การถ่ายทอดประจำปี
การอภิปรายเป็นคณะ


2:3

การอภิปรายเป็นคณะ

การถ่ายทอดการอบรม S&I ประจำปี 2020

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2020

บราเดอร์เจสัน วิลลาร์ด: ขอต้อนรับท่านไม่ว่าอยู่ที่ใดเข้าสู่การอภิปรายกลุ่มครั้งนี้ ผมชื่อเจสัน วิลลาร์ด เป็นผู้ช่วยผู้บริหารเซมินารีและสถาบันศาสนา เรามีความสุขมากวันนี้ที่แขกพิเศษอยู่กับเรา ซิสเตอร์เรย์นา อะบูร์โต ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญ ซิสเตอร์มิเชลล์ เครก ที่ปรึกษาที่หนึ่งในฝ่ายประธานเยาวชนหญิงสามัญ ซิสเตอร์จิลล์ จอห์นสัน ภรรยาของเอ็ลเดอร์พอล วี. จอห์นสันกรรมาธิการของเรา บราเดอร์แชด วิลคินสัน กับบราเดอร์เบิร์ต วิมพีย์ ทั้งสองเป็นผู้ช่วยผู้บริหาร S&I ขอบคุณที่มาร่วมกับเราวันนี้ครับ

จุดประสงค์ของการอภิปรายครั้งนี้คือสนทนาคำถามบางข้อที่เราหวังว่าจะเป็นประโยชน์ในสภาวการณ์หลากหลายเมื่อคุณหมายมั่นตั้งใจเป็นพรแก่เยาวชนและคนหนุ่มสาวทั่วโลกมากขึ้น เราทูลขอความช่วยเหลือจากสวรรค์ในการเตรียมสนทนาวันนี้ และขอให้คุณทำเหมือนกัน

เรามาเริ่มด้วยคำถามข้อแรกกันเลยนะครับ ดูเหมือนเราจะมีครู นักเรียน และครอบครัวที่ประสบความเครียด ความกังวล ความซึมเศร้า และความท้าทายทางอารมณ์อื่นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยพวกเขา?

ซิสเตอร์เรย์นา ไอ. อะบูร์โต: ดิฉันคิดว่าจริงๆ แล้วเราทุกคนต้องมีการเยียวยาบางอย่าง แต่ที่สำคัญสำหรับเราคือช่วยให้นักเรียนเข้าใจว่าถ้าพวกเขากำลังต่อสู้หรือจัดการกับอารมณ์ของพวกเขา พวกเขาไม่ได้แย่ พวกเขาไม่ได้มีข้อบกพร่อง อารมณ์เหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอันสูงส่งของเรา แต่ถ้าเรามีความเศร้าตลอด เราอาจต้องขอความช่วยเหลือ ดิฉันจึงแนะนำให้ทำตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงถามคำถามเพื่อให้ผู้คนแสดงความรู้สึกออกมา ทรงให้ผู้คนแสดงความเจ็บปวดออกมา—อย่างเช่นเมื่อทรงถามคำถามมารีย์กับมารธาตอนลาซารัสตาย และบนถนนไปเอมมาอูส พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวก ทรงถามคำถามเพื่อให้พวกเขาแสดงความกังวลและความเจ็บปวดออกมาเพราะพวกเขาสูญเสียพระผู้ช่วยให้รอด สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับมารีย์ชาวมักดาลาที่อยู่ข้างอุโมงค์ เมื่อพระองค์ทรงถามคำถามหลายๆ คนเพื่อช่วยให้พวกเขาแสดงความรู้สึก

ดิฉันรู้สึกว่าถ้าเราสร้างสภาพแวดล้อมที่นักเรียนรู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงความรู้สึก—ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียน หรือต่อกันแต่ปลอดภัยที่จะแสดงความรู้สึก อาจจะในการเขียน อาจจะต่อสมาชิกครอบครัว ต่อเพื่อน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพระบิดาบนสวรรค์ เราสามารถถามคำถามเพื่อจะให้พวกเขาแสดงความรู้สึกออกมา “คุณมีข้อกังวลอะไรบ้างเกี่ยวกับเพื่อนๆ ของคุณ ครอบครัวคุณ?” “เราจะช่วยกันได้อย่างไร?”

ดิฉันสังเกตว่าเมื่อเราถามเพื่อขอแนวคิดหรือการเปิดเผยหรือการดลใจเกี่ยวกับวิธีช่วยเหลือผู้อื่น พวกเขาได้รับการดลใจนั้นถ้าสวดอ้อนวอนขอ และพวกเขาสามารถไปช่วยได้ ฉะนั้นถ้าเราสร้างสภาพแวดล้อมที่พวกเขาไม่รู้สึกว่าถูกตัดสิน เท่ากับเรากำลังช่วยพวกเขาเรื่องนั้น และช่วยให้เข้าใจว่าไม่มีคำตอบผิด แค่ถามคำถามปลายเปิด ว่าให้พวกเขาสามารถถามคำถามและรู้สึกอิสระและปลอดภัยที่จะแสดงความรู้สึกออกมา โดยเฉพาะถ้าพวกเขามีปัญหากับบางอย่างอยู่พวกเขาไม่ต้องรับมือตามลำพัง พวกเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากพระบิดาบนสวรรค์ พระผู้ช่วยให้รอด และจากกัน ไม่ว่าอะไร ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตพวกเขา เราแต่ละคนเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้า และเราสามารถหันไปพึ่งพระบิดาบนสวรรค์ เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน เราสามารถหันมาพึ่งกัน และเราเป็นสานุศิษย์ของพระคริสต์เหมือนกัน เราสามารถหันไปพึ่งพระองค์ได้

บราเดอร์เบิร์ต วิมพีย์: ผมชื่นชมเอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์—ถ้าคุณจำได้ ในคำปราศรัยการประชุมใหญ่ของท่านเดือนตุลาคม 2013 ท่านพูดถึงการต่อสู้ของท่านเองตอนท่านเป็นโรคซึมเศร้า จากนั้นท่านพูดเช่นนี้ว่า “ไม่ควรมีความละอายใจในการยอมรับ [ปัญหาสุขภาพจิตของเรา] มากไปกว่าการยอมรับเมื่อต้องต่อสู้กับความดันโลหิตสูงหรือเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน”1 ท่านบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะพูดถึงและแสดงออกมา แบ่งปันเรื่องเหล่านั้น แล้วผมก็ชอบสามสิ่งที่ท่านแบ่งปันมาก คือ “จงอย่าสูญเสียศรัทธาในพระบิดาในสวรรค์ … แสวงหาคำแนะนำจากผู้ที่ถือกุญแจสำหรับความผาสุกทางวิญญาณของท่าน” และจากนั้นถ้าจำเป็น “จงแสวงหาคำแนะนำจากผู้ที่น่าเชื่อถือและผ่านการอบรมในเรื่องนี้ มีทักษะของมืออาชีพ และเป็นที่เคารพนับถือ”2

ผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่เฉพาะนักเรียนเท่านั้น แต่ครูของเราที่ต้องรู้ด้วยว่าเป็นเรื่องปกติที่จะแสดงสิ่งเหล่านั้นออกมา และพูดเพื่อขอความช่วยเหลือที่พวกเขาต้องการ เป็นเรื่องดีด้วยในอาชีพของเราที่สามารถพูดคุยกับตัวแทนฝ่ายบุคคลเพื่อดูว่าประโยชน์มีอะไรบ้างและพวกเขาจะไปขอความช่วยเหลือได้ที่ใด เว็บไซต์ของศาสนจักรเป็นที่ซึ่งจะไปหาแหล่งช่วยได้ด้วย

บราเดอร์วิลลาร์ด: บราเดอร์วิมพีย์ ขอบคุณครับ คำถามต่อไปนี้เกี่ยวกับเยาวชนและคนหนุ่มสาว และเราจะช่วยให้พวกเขาเห็นได้อย่างไรว่าทำไมศาสนจักรเกี่ยวพันกับชีวิตพวกเขา ทำไมพวกเขาต้องการศาสนจักร และทำไมศาสนจักรต้องการพวกเขา

ซิสเตอร์มิเชลล์ เครก: ดิฉันคิดว่านี่เป็นคำถามสำคัญมาก ดิฉันเชื่อจริงๆ ว่าเยาวชนและหนุ่มสาวโสดของเราต้องรู้สึกว่าการเป็นสมาชิกในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเป็นมากกว่ากฎข้อบังคับหรือช่องให้กา เป็นมากกว่าสโมสร พวกเขาต้องเข้าใจว่าแก่นของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์คือความรัก รักพระผู้เป็นเจ้า และรักผู้อื่น ในการเรียนรู้และการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ พวกเขาจะได้รู้และรู้สึกจริงๆ ถึงอัตลักษณ์และจุดประสงค์ของตน

เยาวชนของเราทุกวันนี้ขานรับหลักธรรมเช่นการรักผู้อื่น การช่วยเหลือคนชายขอบด้วยความรัก พวกเขาต้องการอุดมการณ์ และต้องการสร้างความแตกต่างในโลก ดิฉันหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจได้ว่าเมื่อพวกเขาซื่อสัตย์ภายในโครงสร้างการจัดองค์การของศาสนจักร พวกเขาจะมีโอกาสสร้างความแตกต่างในโลกมากกว่าผ่านองค์การอื่นใด

สิ่งหนึ่งที่ดิฉันรักเกี่ยวกับประธานเนลสันและทิศทางที่ศาสนจักรกำลังไปคือมีการเน้นที่เยาวชนและหนุ่มสาวโสด มากกว่าครั้งใดๆ ที่ที่ดิฉันจำได้ ผู้ใหญ่อย่างเราต้องถอยออกมา เราต้องเปิดโอกาสให้เยาวชนนำ วางแผน แสวงหาการเปิดเผย และทำตามการเปิดเผยนั้น เราต้องเคารพสติปัญญาของพวกเขา เราจำเป็นต้องเรียนรู้บทเรียนที่พวกเขาต้องสอนเรา เราต้องการพวกเขาไม่ใช่เพื่อเพิ่มจำนวน แต่เพราะโลกต้องการสิ่งที่พวกเขาต้องมอบให้ ศาสนจักรมีโครงสร้างให้หาหนทางสนองความต้องการเหล่านั้นทีละคน ดิฉันหวังว่าทุกอย่างที่เยาวชนและหนุ่มสาวโสดของเรากำลังเรียนรู้ในบ้านของพวกเขา ในศาสนจักร และในเซมินารีและสถาบันจะดลใจพวกเขาให้ใช้ใจและมือหยิบยื่นและรักคนอื่นๆ และรับใช้คนที่พวกเขาไปมาหาสู่ เพราะนั่นเป็นผลตามธรรมชาติของการรักพระเยซูคริสต์และรักผู้อื่น

ดิฉันคิดว่าโดยสรุปแล้ว—ทุกสิ่งมุ่งไปสู่พระเยซูคริสต์ และทุกอย่างที่เราทำและสอนในฐานะครูและในฐานะคนที่รักและปฏิสัมพันธ์กับเยาวชน หนุ่มสาวโสด และเด็ก ควรเสริมสร้างประจักษ์พยานในพระชนม์ชีพ พระพันธกิจ และการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ และทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ดิฉันคิดว่าถ้าเราทำเช่นนั้น พวกเขาจะได้รู้ว่านี่คือพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ นี่คือพระกิตติคุณของพระองค์ พรของการเป็นสมาชิกในพระกิตติคุณใหญ่หลวงนักและจำต้องมีเราทุกคนจึงจะทำงานสำเร็จ นี่คืองานของพระองค์จริงๆ

บราเดอร์วิลลาร์ด: พูดได้ดีครับ ขอบคุณครับ บราเดอร์วิลคินสันครับ คุณจะเสริมอะไรไหมครับ?

บราเดอร์แชด วิลคินสัน: ผมเห็นด้วยมากๆ กับที่ซิสเตอร์เครกเพิ่งพูดครับ ผมแค่คิดขณะเธอพูดถึงชั้นเรียนสถาบันของผมที่ส่วนใหญ่เป็นอดีตผู้สอนศาสนา พวกเขาพูดถึงปัญหาใหญ่สุดอย่างหนึ่งของการปรับตัวเมื่อกลับถึงบ้านคือพวกเขาสนใจแต่คนอื่นมานาน 18 เดือนหรือสองปี และเมื่อกลับบ้านดูเหมือนทุกสิ่งจะเกี่ยวกับพวกเขา ภายในพระกิตติคุณและภายในห้องเรียนเราสามารถเชิญชวนให้พวกเขาคิดเรื่องนั้นหรือสำรวจวิธีทำสิ่งเหล่านั้นและเอื้อมออกนอกตัว

บราเดอร์วิลลาร์ด: ซิสเตอร์จอห์นสันครับ คุณจะเสริมอะไรไหมครับ?

ซิสเตอร์จิลล์ จอห์นสัน: ขณะพิจารณาคำถามนี้ดิฉันมีอีกหนึ่งความคิดเกี่ยวกับพลังในพันธสัญญาที่เรามีได้เฉพาะในศาสนจักรที่มีสิทธิอำนาจและพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ในโลกทุกวันนี้ที่กดดันคนหนุ่มสาวมากและดึงพวกเขาออกจากศาสนจักร เราต้องเชื่อมต่อพวกเขาอีกครั้งกับพลังในการรักษาพันธสัญญา เรารู้สึกได้ในโลกนี้ว่าเราโดดเดี่ยวและไม่มีพลังเอาชนะสิ่งที่เกิดกับเรา การทดลอง การล่อลวงของเรา แต่พันธสัญญาที่คุณพบได้ในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเท่านั้น และในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีพลังยิ่งกว่าการทดลองและการล่อลวงเหล่านั้น ดิฉันคิดจริงๆ ว่านั่นคือสิ่งที่ศาสนจักรให้ได้ เราสามารถทำให้นักเรียนของเรารู้และแสดงประจักษ์พยานเรื่องนั้น แสดงให้พวกเขาเห็นผ่านชีวิตเราเองว่าศาสนจักรมีมากกว่าแค่ทำดี มีพลังในพันธสัญญา

บราเดอร์วิมพีย์: ซิสเตอร์จอห์นสัน ขอบคุณสำหรับความเห็นนั้นครับ ผมเคยสนทนากับคนหนุ่มสาวที่เคยพูดกับผมทำนองนี้ “ผมรู้สึกใกล้ชิดพระบิดาบนสวรรค์ได้โดยไม่ต้องไปโบสถ์” และผมพูดว่า “ผมเห็นด้วย แต่เป้าหมายของผมไม่ใช่แค่ใกล้ชิดพระบิดาบนสวรรค์ ผมอยากเป็นเหมือนพระองค์ เป้าหมายของผมคือได้รับความสูงส่ง” ผมคิดว่าเราต้องช่วยให้เยาวชนและคนหนุ่มสาวทั้งหมดของเราจดจำว่าจุดประสงค์ของความเป็นมรรตัยคือเป็นเหมือนพระบิดาบนสวรรค์ ศาสนจักรคือที่ซึ่งพวกเขาพบกุญแจของฐานะปุโรหิต ศาสนพิธี และพันธสัญญาเหมือนซิสเตอร์จอห์นสันพูดถึง นี่คืออาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนโลกนี้ และมีบางอย่างที่พวกเขาจะได้ที่นี่ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาเป็นเหมือนพระบิดาบนสวรรค์ พวกเขาจะไม่ได้จากที่อื่นและในวิธีอื่น

บราเดอร์วิลลาร์ด: จริงทีเดียวครับ ไม่ใช่แค่เป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ แต่—ผมคิดว่ามีกล่าวไว้ในการประชุมใหญ่สามัญครั้งล่าสุด—เป็นส่วนหนึ่งของ “อุดมการณ์ของพระคริสต์” และนั่นคือสิ่งที่พันธสัญญาเหล่านั้นจัดหาให้เรา ขอบคุณมากครับ เราจะทำเรื่องเล็กและเรียบง่ายอะไรได้บ้างเพื่อเพิ่มพลังให้เราเป็นพรแก่นักเรียน สอนด้วยพลังมากขึ้น และมีการสอนที่น่าทึ่งจริงๆ?

บราเดอร์วิลคินสัน: ผมชอบคำถามนั้น เราพูด สอน และอบรมมามากเกี่ยวกับทักษะ วิธี และเรื่องต่างๆ มากมาย ทั้งหมดสำคัญ แต่เมื่อตั้งตัวเราเป็นครู—หมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นครู—เมื่อเราตั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นครูของเรา และเราอัญเชิญพระองค์เข้ามาในห้องเรียน เมื่อนั้นพลังนั้น การสอนอันน่าทึ่งจะเกิดขึ้น

ครั้งหนึ่งเอ็ลเดอร์จอห์นสันสอนผมว่าซาตานจะไม่สามารถทำให้เจ้าหน้าที่ S&I จำนวนมากหรือคนอื่นๆ ประพฤติล่วงประเวณีหรือฝ่าฝืนพระคำแห่งปัญญาหรือทำเรื่องเลวร้ายหรือรุนแรงหรือร้ายแรง แต่เขาสามารถทำเรื่องเล็กน้อยที่จะทำให้เราเสียพลัง เขาสามารถเชิญชวนให้เราบ่น หรือนั่งล้อมวงและพูดให้ร้ายคน หรือล้อเลียนนักเรียนหรือหัวเราะเยาะ หรือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เมื่อเราทำเราสูญเสียพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สามารถสถิตกับเราได้ในระดับเดียวกับที่พระองค์ทรงสามารถหรือควรสถิตกับเรา

ผมนึกถึงอาคานในพันธสัญญาเดิม ที่พวกเขาได้รับบัญชาเมื่อพวกเขาไปรบกับเยรีโคว่าอย่าเอาสิ่งที่ต้องทำลาย—สิ่งของ หรือทรัพย์สมบัติใดๆ—มาจากเยรีโค และอาคานเอามา ไม่มีใครรู้ การรบครั้งต่อไปที่ดูเหมือนพวกเขาน่าจะชนะเมืองอัย พวกเขากลับพ่ายแพ้ และ 36 คนเสียชีวิต

มีหลักธรรมหนึ่งในนั้นคือสิ่งที่เราทำสำคัญ เรื่องเล็กน้อยที่เราอาจจะพูด หรือการบ่นว่าหรือพร่ำบ่นหรืออะไรก็ตามที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตเราล้วนมีผลต่ออำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์—นั่นสำคัญ มันทำให้ทั้งระบบเสียพลัง มันเป็นอะไรบางอย่างที่สำคัญ ผมอยากให้เราทำเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น จงเอาใจใส่เรื่องเล็กน้อยและเรียบง่ายที่จะอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือช่วยให้เราสามารถมีอิทธิพลของพระองค์ได้มากที่สุด

บราเดอร์วิลลาร์ด: บราเดอร์วิมพีย์ครับ มีความคิดเห็นไหมครับ?

บราเดอร์วิมพีย์: ถ้าเรามีพระผู้ช่วยให้รอดเป็นศูนย์กลางจริงๆ ซึ่งในความคิดผมนะครับ ขณะผมนั่งคิดเกี่ยวกับนักเรียน และคิดเกี่ยวกับบทเรียน ผมกำลังมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลางจริงๆ ผมอยากให้นักเรียนรู้คุณสมบัติและคุณลักษณะของพระองค์ มันเริ่มตรงนั้นถ้าผมเน้นที่พระผู้ช่วยให้รอด

ต่อจากนั้นผมคิดว่าอย่างที่สองคือผมเน้นที่นักเรียน ผมชื่นชมเอ็ลเดอร์เบดนาร์มาก—ถ้าคุณจำได้ ในชุดส่งเสริมการเป็นผู้นำ ท่านพูดถึงประสบการณ์กับลูกชายเมื่อลูกชายท่านอยากรู้ว่าจะวางแผนอะไรสำหรับกิจกรรมปุโรหิตและกุลสตรี เอ็ลเดอร์เบดนาร์จึงอ่าน เจคอบ 1:5 ให้เขาฟัง: “เพราะด้วยเหตุจากศรัทธาและความกังวลอันใหญ่หลวง, จึงมีการแสดงให้ประจักษ์จริง ๆ แก่เราเกี่ยวกับผู้คนของเรา, ว่าสิ่งใดจะเกิดกับพวกเขา” ถ้าคุณจำเรื่องนี้ได้ ต้องอ่านสองครั้งกว่าลูกชายของเอ็ลเดอร์เบดนาร์จะตระหนักในที่สุดว่าเอ็ลเดอร์เบดนาร์กำลังพูดว่า “ต้องเกิดอะไรขึ้น? ก่อนคุณวางแผนกิจกรรม ลองคิดก่อนว่านักเรียนของเราต้องการประสบการณ์อะไร” วางแผนจาก “สิ่งที่นักเรียนต้องการประสบ?” ในการเตรียมของเรา

แล้วผมก็คิดอย่างที่สาม ตามที่บราเดอร์วิลคินสันกล่าว คือต้องยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำบทบาทหน้าที่ของพระองค์ขณะเราอยู่ในห้องเรียน นั่นสำคัญมาก ผมคิดว่าน่าจะทบทวนคู่มือ การสอนและเรียนรู้พระกิตติคุณ หมวด 2.1 เมื่อเราคิดจริงๆถึงบทบาทและหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แค่เข้าใจและยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำบทบาทหน้าที่ของพระองค์ในห้องเรียน นั่นสำคัญมากๆ

ซิสเตอร์เครก: สิ่งเรียบง่ายที่ดิฉันพบคือถ้าดิฉันกำลังสอนและรู้สึกว่าพระวิญญาณไม่อยู่ที่นั่น ถ้าดิฉันแสดงประจักษ์พยานที่จริงใจถึงพระเยซูคริสต์และพระบิดาบนสวรรค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมเสด็จมา พระพันธกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือเป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์และพระบิดาบนสวรรค์ ถ้าดิฉันแสดงประจักษ์พยานที่เรียง่ายพระวิญญาณจะเสด็จมา

บราเดอร์วิลลาร์ด: เราพูดถึงการสอนให้มีพลังมากขึ้น มีพระคริสต์เป็นศูนย์กลางมากขึ้น แต่เมื่อเราพยายามให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น ครูจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้การเตรียมของพวกเขาเกี่ยวพันและตรงกับนักเรียนมากขึ้น?

ซิสเตอร์จอห์นสัน: เมื่อดิฉันอ่านคำถามนั้นครั้งแรกดิฉันสงสัย ปฏิบัติศาสนกิจต่อนักเรียนทีละคนหมายถึงอะไร? นั่นหมายถึงการทำความรู้จักพวกเขาเฉพาะตัวหรือ? เราสามารถเพียงรู้จักพวกเขาเป็นส่วนตัวได้ไหม? ไม่ได้หมายถึงใช้เวลากับพวกเขาเพื่อให้รู้จักพวกเขามากขึ้นหรอกหรือ? แล้วดิฉันก็คิดว่าคำถามนี้จะต่างออกไปสำหรับครูในโอเร็มที่สอนนักเรียน 100 กว่าคน การพยายามเข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตนักเรียนทั้งหมดนี้เป็นรายตัวคงทำได้ยากเมื่อเทียบกับครูในแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนีที่มีนักเรียนหกคนที่ไปโบสถ์กับเขาและสนิทกับพวกเขาบางครอบครัวมาก ดิฉันจึงคิดว่าคุณคงท้อใจเมื่อรู้สึกว่าความรับผิดชอบของคุณในฐานะครูคือต้องเกี่ยวข้องกับนักเรียนแต่ละคนทำนองนั้น เช่นไปเยี่ยมครอบครัวและเข้าร่วมเหตุการณ์ต่างๆ ของพวกเขา พวกเขามีเหตุการณ์มากมายจนคุณเข้าร่วมไม่ไหว

ดิฉันมีแนวคิดสองสามอย่างเพื่อประเมินความต้องการ ดิฉันคิดว่าเราต้องถาม เราต้องถามนักเรียนว่าพวกเขาต้องการอะไร เราต้องถามครูคนอื่นๆ ว่าพวกเขาสังเกตเห็นอะไรในนักเรียนที่มีอายุ กลุ่มอายุ และวัฒนธรรมเหมือนกัน เพราะศาสนจักรนี้มีอยู่ทั่วโลกและมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมมาก แต่สำคัญที่สุดคือ ทูลถามพระบิดาในสวรรค์ พึ่งพาพระวิญญาณและคำสัญญาที่เรามีว่าถ้าเราจะทำทุกอย่างที่ทำได้ เราจะได้รับการดลใจที่ต้องการเพื่อรู้จักนักเรียนเหล่านั้นและรู้ว่าเราต้องสอนอะไรพวกเขา ในโลกที่ซับซ้อนพร้อมกับความท้าทายใหม่ๆ ทั้งหมดที่เยาวชนมี สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเราต้องได้รับการนำทางจากพระบิดาบนสวรรค์ในการสอนพวกเขา

ซิสเตอร์อะบูร์โต: ดิฉันคิดว่าถ้าเราหารือกับพวกเขาและรู้เกี่ยวกับพวกเขา เราจะรู้จักพวกเขาดีขึ้น สำคัญที่ต้องสังเกตพวกเขาด้วย ฟังเบาะแสเหล่านั้น หรือดูเบาะแสที่พวกเขาจะให้เรา ความคิดเห็นของพวกเขา หรือการไม่มีความเห็น หรือคำถามที่พวกเขาถามทำให้เรารู้จักพวกเขามากขึ้น เราอาจให้พวกเขาถามคำถามโดยไม่ระบุชื่อ บางครั้งพวกเขารู้สึกอิสระมากขึ้นที่จะพูดความในใจถ้าเราไม่รู้ชื่อพวกเขา พึงแน่ใจด้วยว่าได้เชื่อมโยงหลักธรรมและหลักคำสอนที่เราเรียนรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตพวกเขาตอนนี้—ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในอนาคต แต่ตอนนี้—เพื่อพวกเขาจะเห็นตนเองในพระคัมภีร์ เพื่อพวกเขาจะเห็นตนเองในการรวบรวมอิสราเอล เพื่อพวกเขาจะเห็นตนเองในงานแห่งความรอดและความสูงส่ง และพวกเขาสามารถมองย้อนกลับไปในชีวิตและเห็นเวลาที่พระเจ้าประทานพรแก่ชีวิตพวกเขา พวกเขาจะจำได้ว่าพวกเขาเป็นใครและว่าพระองค์ทรงพร้อมอวยพรพวกเขาเสมอ จงช่วยให้พวกเขาพบความเกี่ยวพันนั้น และเพื่อทำเช่นนั้น คุณต้องรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในชีวิตพวกเขา

บราเดอร์วิลคินสัน: ผมคิดว่าทั้งสองความคิดเห็นดีมากจริงๆ ผมพบว่าวันแรกของชั้นเรียน ผมให้นักเรียนเขียนจดหมายถึงผม ผมไม่อยากให้พวกเขาบอกผมว่าพวกเขาทำบาปอะไรหรืออะไรทำนองนั้น แต่บอกผมเกี่ยวกับตนเอง ผมต้องรู้อะไรเกี่ยวกับคุณที่จะช่วยให้ผมรับใช้คุณได้ดีที่สุดในฐานะครูเทอมนี้หรือปีนี้? บอกผมเกี่ยวกับครอบครัวคุณ เกี่ยวกับงานของคุณ เกี่ยวกับกิจกรรมที่คุณเข้าร่วม บอกผมเกี่ยวกับสิ่งที่คุณคาดหวังจากชั้นเรียน หรือบอกว่า “ฉันกำลังมีปัญหากับศรัทธาของฉัน” หรือ “ฉันกำลังต่อสู้กับบางอย่าง” แล้วผมถ่ายรูปนักเรียนแต่ละคนเย็บติดกับกระดาษแผ่นนั้น และเมื่อผมอ่านจดหมาย ผมได้รู้จักนักเรียนคนนั้น และนึกถึงพวกเขาขณะผมเตรียมบทเรียน นั่นเป็นวิธี อาจเป็นบางวิธีช่วยให้ได้สิ่งที่ซิสเตอร์จอห์นสันกับซิสเตอร์อะบูร์โตกำลังสอนเรา

บราเดอร์วิลลาร์ด: คำถามข้อต่อไปของเรามีไว้ให้ครูของเราช่วย เราสร้างความสมดุลย์ให้ความรับผิดชอบที่เราต้องสอนหลักคำสอนอย่างชัดเจนตามความจริงขณะยังคงให้กำลังใจนักเรียนที่มาจากสภาวการณ์และภูมิหลังทางวัฒนธรรมต่างกันเพื่อแบ่งปันความคิดและความรู้สึกของพวกเขาอย่างเหมาะสมได้อย่างไร? คุณจะพูดอะไรกับครูที่กำลังพยายามทำให้นักเรียนรู้สึกว่าพวกเขามีเสียงในชั้นเรียน พวกเขาพูดได้ พวกเขาสามารถแบ่งปันความคิดและความรู้สึกที่อาจต่างจากสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ในชั้นเรียนและยังคงสอนหลักคำสอน?

บราเดอร์วิมพีย์: นั่นเป็นสมดุลที่ยากบางครั้งในห้องเรียน ผมคิดว่าเราต้องจำไว้ว่าความรับผิดชอบของเราคือสอนความจริง ไม่ใช่ความเห็น นักเรียนต้องรู้ว่าเมื่อพวกเขามาชั้นเรียน พวกเขาจะได้ยินความจริง นั่นคือสาเหตุที่เราต้องมีศูนย์กลางในพระคัมภีร์และถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ เมื่อนักเรียนมา นั่นคือที่ที่เราจะอยู่ และนั่นคือที่ที่เราจะหาคำตอบของเรา จงจำวัตถุประสงค์ด้วย และจุดประสงค์ของเราคือช่วยให้เยาวชนและคนหนุ่มสาวเข้าใจและพึ่งพาคำสอนและการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ ผมต้องช่วยให้นักเรียนของผมเข้าใจ

แต่ผมคิดด้วยว่าเราต้องจำไว้ว่านักเรียนของเรามีหน้าที่รับผิดชอบ จำว่าใน หลักคำสอนและพันธสัญญาภาค 50 เราจะสั่งสอนพระคำแห่งความจริง แต่นักเรียนของเราต้องรับพระคำแห่งความจริงด้วย พวกเขาต้องเชื่อเมื่อพวกเขามาชั้นเรียน ฉะนั้นถ้าชั้นเรียนของเราจะเป็นเหมือนห้องทดลอง ที่นักเรียนของเรามา และรู้สึกว่านี่เป็นสภาพแวดล้อมที่จะสอนความจริง เมื่อนั้นพวกเขาย่อมรู้สึกปลอดภัยที่จะถามคำถามหรือเล่าประสบการณ์หรือบอกข้อกังวล แล้วครูอย่างเราอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยให้นักเรียนเรียนรู้วิธีเรียนรู้—เรียนรู้วิธีรู้สึกถึงพระวิญญาณ วิธีเรียนรู้ด้วยตนเอง ในสภาพแวดล้อมนั้น เพื่อแบ่งปันสิ่งที่คุณกำลังคิด นั่นอาจจะนำเราไปสู่การสนทนา นำเราเข้าไปในพระคัมภีร์ และนำเราไปสู่ถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์เพื่อช่วยให้เราพบว่าอะไรคือความจริง ไม่ใช่แค่สิ่งที่เป็นความเห็นหรือสิ่งที่พูดในโลกทุกวันนี้

แต่ให้เราเน้นว่าอะไรคือความจริง จงนึกถึงแบบแผนของการได้มาซึ่งความรู้ทางวิญญาณ ถ้าเราจะเน้นแบบแผนนั้นจริงๆ และช่วยให้นักเรียนรู้วิธีลงมือทำด้วยศรัทธา และมีมุมมองนิรันดร์ เมื่อนั้นพวกเขาจะมองดูแหล่งที่กำหนดไว้จากสวรรค์เพื่อได้คำตอบของพวกเขา เมื่อพวกเขามาชั้นเรียน นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาอยู่ที่นั่น พวกเขาจะได้เรียนรู้ความจริง เพื่อพวกเขาจะสามารถเป็นเหมือนพระบิดาบนสวรรค์

ผู้อำนวยการภาคคนหนึ่งของเราเล่าประสบการณ์หนึ่งให้ผมฟัง เขานั่งอยู่ในห้องเรียน และนักเรียนคนหนึ่งแสดงความเห็นที่ไม่สอดคล้องกับคำสอนของศาสนจักรเลย แล้วครูก็ตอบทำนองนี้ เขาพูดว่า “ประจักษ์พยานและความเข้าใจของคุณเกี่ยวกับแผนแห่งความรอดบอกความเห็นคุณอย่างไร? เริ่มจากสถานที่แห่งศรัทธา จากสิ่งที่คุณรู้ สิ่งที่คุณรู้สึก เรามาคุยกันจากมุมมองนั้น” แล้วเขาพูดว่าเขาเห็นนักเรียนคนนี้ได้การเปิดเผยตรงนั้นขณะพวกเขาพยายามลงมือทำด้วยศรัทธาและมองเรื่องนั้นด้วยมุมมองนิรันดร์ พวกเขาคุยกันเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขารู้ สิ่งที่พวกเขายังไม่รู้ และสาเหตุที่พวกเขาต้องพยายามคิดให้ออก พวกเขาไม่มีคำตอบทั้งหมด แต่ในสภาพแวดล้อมนั้น พวกเขารู้ความจริงด้วยกัน และดูนั่นสิ ลงมือทำด้วยศรัทธาและมีความเชื่อ จากสิ่งที่พวกเขารู้

ตอนนี้ ผมจะช่วยให้คุณเรียนรู้วิธีเรียนรู้และวิธีหาคำตอบได้อย่างไรขณะคุณก้าวหน้าในความสามารถนั้น? บางครั้งผมคิดว่าเราต้องระวัง บางครั้งถ้าเราไม่ยอมให้หลักธรรมและหลักคำสอนของพระกิตติคุณเปลี่ยนเรา เราจะพยายามเปลี่ยนหลักธรรมและหลักคำสอนของพระกิตติคุณให้เหมาะกับสภาวการณ์และสถานการณ์ของเรา ถ้าเราพูดได้จริงว่า “พระบิดาบนสวรรค์ ข้าพระองค์ต้องการเป็นเหมือนพระองค์ โปรดช่วยให้ข้าพระองค์เรียนรู้ว่าหลักคำสอนและหลักธรรมของพระกิตติคุณจะช่วยข้าพระองค์อย่างไร” และในเจตนานั้น “ข้าพระองค์ยังมีคำถามและข้อกังวล แต่ต้องการรู้จริงๆ ว่าความจริงคืออะไร” ผมคิดว่าครูอย่างเราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมแบบนั้นได้แน่นอน วิธีที่เราตอบ แต่เราต้องช่วยให้นักเรียนไปหาพระคัมภีร์และศาสดาพยากรณ์เพื่อเรียนรู้ความจริง เพื่อช่วยพวกเขาขณะพวกเขาต่อสู้ เพื่อรู้จริงๆ ว่าอะไรจริง แล้วผมจะพูดด้วยว่า อย่าดูแคลนพลังของประจักษ์พยานและพยาน “และด้วยปากของพยานสองหรือสามคนคำทุกคำจะได้รับสถาปนา”3 ในพระคัมภีร์ ถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์และพยานของพวกท่านเองถึงสิ่งที่จริง และจากนั้นเมื่อพระวิญญาณเป็นพยาน คนหนุ่มสาวของเราจะคิดออก พวกเขาจะเรียนรู้วิธีเรียนรู้ด้วยตนเองและได้รู้ความจริงด้วยตนเอง

บราเดอร์วิลลาร์ด: ผมชอบความคิดเห็นจากนีไฟเมื่อท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้ความหมายของเรื่องทั้งหมด, กระนั้นก็ตาม, ข้าพเจ้ารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักลูกๆ ของพระองค์”4 นีไฟแสดงประจักษ์พยานถึงสิ่งที่ท่านรู้ และนั่นเป็นพรอย่างยิ่งสำหรับเราทุกคน

บราเดอร์วิลคินสัน: ความคิดหนึ่งที่เข้ามาในความคิดผมคือผู้หญิงที่ล่วงประเวณีและแบบอย่างของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงหลบเลี่ยงการสอนความจริง พระองค์ทรงสอนหลักคำสอนว่าสิ่งนั้นไม่โอเค แต่พระองค์ทรงสอนแบบที่ปกป้องเธอ ทำให้ปลอดภัยเพื่อช่วยให้เธอมีประสบการณ์

ซิสเตอร์จอห์นสัน: ดิฉันคิดเหมือนกันว่าถ้านักเรียนรู้สึกถึงความรักนั้นของพระผู้ช่วยให้รอดและพลังของการชดใช้เสมือนเป็นพลังมากกว่าเมื่อเราสอนพระบัญญัติและผลของการไม่เชื่อฟัง ถ้าสุดท้ายแล้วความรู้สึกที่พวกเขาได้จากชั้นเรียนและบทเรียนคือมีคนที่รักพวกเขามาก มีวิธีเข้าถึงพลังแห่งการชดใช้ เมื่อเราทำผิดพลาดไปแล้ว—และทุกคนจะทำและทุกคนทำ—มีสิ่งที่เราแค่ต้องมีการชดใช้ นักเรียนจะออกจากชั้นเรียนไปพร้อมด้านบวกทั้งหมดนี้ พวกเขาย่อมรู้สึกเหมือนมีความหวัง และพวกเขาต้องการความหวังนั้นอย่างมากในโลกนี้

บราเดอร์วิลลาร์ด: ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ คำถามสุดท้ายนี้เกี่ยวข้องกับความหวังด้วยครับ: เราจะช่วยให้เยาวชนรู้สึกเหมือนเราเห็นพวกเขาจริงๆ และคำถามของพวกเขาสำคัญจริงๆ ได้อย่างไร? ซิสเตอร์เครกครับ คุณจะเพิ่มเติมอะไรครับ?

ซิสเตอร์เครก: ดิฉันคิดถึงพระคัมภีร์ข้อหนึ่งในมาระโกที่คุณทุกคนรู้จักดี ขุนนางหนุ่มที่ร่ำรวยมาหาพระผู้ช่วยให้รอด พลางสงสัยว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างเพื่อได้รับชีวิตนิรันดร์ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสถึงพระบัญญัติบางข้อที่เขาเชื่อฟังอยู่แล้ว จากนั้นก่อนขอให้ชายหนุ่มคนนี้ทำบางอย่างที่ยากมาก—เราทุกคนมีสิ่งที่ทำยาก— ดิฉันชอบใน ข้อ 21 “และพระเยซูทอดพระเนตรเห็นเขา” หรือมองดูเขา “ทรงรักเขา”5 ดิฉันคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่เราทำได้กับการปฏิสัมพันธ์ทุกครั้งกับเยาวชนของเราคือช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าเรารักพวกเขา ดิฉันตระหนักว่าไม่ง่ายเสมอไป และบางครั้งเราต้องใช้ความพยายามและสวดอ้อนวอนมากเพื่อให้มีตามองเห็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดทรงมองเห็น

อีกอย่างที่เข้ามาในความคิดเมื่อดิฉันนึกถึงเรื่องนี้คือเราต้องใช้พลังของคำถามให้เป็นประโยชน์ เราพูดเรื่องนี้ไปแล้ววันนี้ แต่เราต้องฝึกปรับให้เข้ากับนักเรียนและคนที่เรากำลังสอนและถามคำถามที่ดี—คำถามที่จะให้เราประเมินว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรและพวกเขาอยู่จุดไหนแล้วกระตุ้นพวกเขาให้ถามคำถามจริงๆ ไม่ใช่แค่คำถามที่พวกเขารู้สึกเหมือนเราอยากให้พวกเขาถาม แต่เป็นคำถามที่ทำให้อึดอัดบางครั้งและไม่มีคำตอบง่ายๆ และนั่นไม่เป็นไร พวกเขาจะถูกเมินเฉยไม่ได้เพราะดิฉันคิดว่าข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขามีคำถามยากๆ แต่ก็บ่งบอกถึงความสนใจของพวกเขา เราไม่ต้องการให้พวกเขาเป็นผู้เข้าร่วมที่อยู่เฉย เราต้องการให้พวกเขาถาม งานของเราคือช่วยนำพวกเขาไปหาแหล่งที่เหมาะสม สำคัญที่สุดคือพระเจ้า เพื่อได้รับและทำตามการเปิดเผยส่วนตัว เราต้องทำแบบเดียวกันเมื่อเราสร้างสภาพแวดล้อมของความไว้วางใจที่พวกเขารู้สึกปลอดภัยในการแสดงความเชื่อและบางครั้งความสงสัยออกมา ดิฉันคิดว่าเมื่อเราสร้างสภาพแวดล้อมของความปลอดภัย และเมื่อเราเคารพพวกเขา สติปัญญา ความสามารถ สิ่งที่พวกเขาต้องสอนเรา และสิ่งที่พวกเขาต้องมอบให้จริงๆ เมื่อเราเปิดโอกาสให้พวกเขาตอบรับคำขอร้องของศาสดาพยากรณ์และพระเยซูคริสต์ และมีส่วนในงานแห่งความรอดและความสูงส่ง ดิฉันคิดว่าการรู้สึกว่ามีคนเห็น ได้ยิน และต้องการพวกเขาจะเกิดขึ้นเอง

ซิสเตอร์อะบูร์โต: ดิฉันคิดว่าเราต้องเห็นใจนักเรียนที่มีสภาวการณ์ต่างกันในชีวิตและในครอบครัวของพวกเขา เราต้องแน่ใจว่าพวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนจักรนี้และพระกายของพระคริสต์เหมือนเรา ดิฉันรู้สึกว่าเราต้องระวังคำพูดที่เราใช้ด้วย ตัวอย่างเช่น มีนักเรียนบางคนอาจไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ และเราอาจจะแค่พูดว่า “ครอบครัวคุณ” หรือ “คนที่คุณรัก” แทนที่จะพูดว่า “พ่อแม่” ดิฉันคิดว่าความเปราะบางช่วยให้พวกเขาเห็นว่าเราทุกคนต่อสู้กับบางอย่าง เราทุกคนมีความอ่อนแอ ดิฉันคิดว่าการช่วยให้นักเรียนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางที่เรามีร่วมกัน และว่าไม่มีใครดีพร้อม จะช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าตนสำคัญ แน่นอนว่าต้องฟังพวกเขาด้วย ฟังความคิดเห็น ฟังคำถามที่พวกเขาถาม ถ้าพวกเขาถามคำถาม เราต้องหยุดสิ่งที่ทำอยู่ และพยายามช่วยพวกเขาหาคำตอบด้วยตนเอง—ไม่จำเป็นต้องให้คำตอบ แต่ให้พวกเขาหาคำตอบในพระคัมภีร์ผ่านการสวดอ้อนวอน ผ่านถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต

ซิสเตอร์จอห์นสัน: ดิฉันอยากพูดว่าคำถามเหล่านี้ทำให้ดิฉันนึกถึงครูที่ดิฉันเคยมีในชีวิต พวกเขาสำคัญต่อชีวิตดิฉันมาก—น่าทึ่งมาก ดิฉันซาบซึ้งมากกับสองสามวันมานี้ขณะเตรียมอภิปรายครั้งนี้ ที่ได้คิดถึงครูที่ดิฉันเคยมี ความรักของพวกเขา ความภักดีของพวกเขาต่อพระผู้ช่วยให้รอด และนั่นมีผลกระทบใหญ่หลวง ดิฉันรู้สึกสำคัญและเกี่ยวพันมากเพราะพวกเขา และความรักที่พวกเขามีต่อพระผู้ช่วยให้รอดและต่อดิฉัน ดิฉันจะสำนึกคุณชั่วนิรันดรต่อครูที่ดีทั้งหมดที่เรามีในศาสนจักรนี้ การได้คิดถึงความดีอีกครั้งนับเป็นประสบการณ์ที่ดี

บราเดอร์วิลลาร์ด: เมื่อมาถึงตรงนี้ แบบอย่างของครูที่ยิ่งใหญ่สะท้อนความจริงมากมาย แบบอย่างจะพูดมากกว่าการอภิปรายครั้งนี้หรือคำพูดนับไม่ถ้วนเรื่องการสอน ทั้งหมดที่ต้องทำคือนึกถึงครูที่เป็นพรแก่ชีวิตคุณ คิดถึงคนที่ยื่นมือช่วยเหลือคุณและปฏิบัติศาสนกิจต่อคุณเพื่อเป็นพรแก่ชีวิตคุณ ผมรู้ว่าเรื่องนี้ใช้เวลาพูดนานเกินกว่าเราจะพูดได้ในเวลาของเราวันนี้ ขอบคุณที่เตือนครับ

ขณะสิ้นสุดเวลาอยู่ด้วยกันวันนี้ ผมขอขอบคุณทุกท่านในกลุ่มอภิปรายนี้ที่สอนเราทั้งด้วยคำพูดของคุณในการสนทนาของเราวันนี้ แต่สำคัญกว่านั้นคือด้วยแบบอย่างการดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสต์ของคุณ คุณเป็นสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์ และผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้อยู่กับคุณและเรียนรู้จากคุณวันนี้ กับผู้กำลังฟังอยู่ทั่วโลก พวกเราแต่ละคนในกลุ่มอภิปรายนี้รักคุณ เราขอบคุณที่คุณพยายามเป็นพรแก่ลูกๆ ของพระผู้เป็นเจ้าในหลายๆ ด้าน ผมเป็นพยานว่าพระองค์ทรงพระชนม์ นี่คืองานของพระองค์ และสวดอ้อนวอนขอให้พรประเสริฐสุดของพระองค์หลั่งเทในชีวิตคุณไม่ว่าคุณอยู่ที่ใด ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน