2010–2019
ความต้องการตรงหน้าเรา
ตุลาคม 2017


2:3

ความต้องการตรงหน้าเรา

ความต้องการเร่งด่วนที่สุดบางอย่างที่เราตอบรับได้อยู่ภายในครอบครัวเรา ท่ามกลางมิตรสหาย ในวอร์ดของเรา และในชุมชนของเรา

ไม่กี่วันมานี้เราได้เห็นภัยธรรมชาติจำนวนมาก ในเม็กซิโก สหรัฐ เอเชีย แคริบเบียน และแอฟริกา เหตุการณ์ดังกล่าวนำส่วนดีที่สุดในผู้คนออกมาขณะคนหลายพันคนก้าวเข้ามาช่วยผู้อยู่ในอันตรายหรือเดือดร้อนและผู้ประสบความสูญเสีย ดิฉันตื่นเต้นที่ได้เห็นเยาวชนหญิงในเทกซัสและฟลอริดากับอีกหลายคนสวมเสื้อร่วมมือร่วมใจสีเหลืองและกำลังช่วยเก็บกวาดเศษขยะหลังเกิดเฮอริเคนครั้งล่าสุด คนอื่นๆ อีกหลายพันคนยินดีจะไปศูนย์ให้ความช่วยเหลือถ้าอยู่ไม่ไกล แต่ท่านก็ได้บริจาคด้วยความเอื้อเฟื้อเพื่อบรรเทาทุกข์ ความเอื้อเฟื้อและความเมตตาสงสารของท่านน่าประทับใจและเป็นเหมือนพระคริสต์

เยาวชนหญิงกับประธานอายริงก์

วันนี้ดิฉันต้องการกล่าวถึงการรับใช้ด้านหนึ่งที่ดิฉันรู้สึกว่าสำคัญต่อทุกคน—ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม สำหรับเราผู้ที่ชมข่าวของเหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้และไม่ทราบจะช่วยอย่างไร คำตอบอาจจะอยู่ตรงหน้าเราก็ได้

พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนว่า “เพราะ‍ว่าใครต้อง‍การจะเอาชีวิต‍รอด คน‍นั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คน‍นั้นจะได้ชีวิต‍รอด”1 ประธานโธมัส เอส. มอนสันกล่าวถึงพระคัมภีร์ข้อนี้ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงกำลังบอกเราว่าหากเราไม่ทุ่มเทในการรับใช้ผู้อื่น ชีวิตเราจะมีความหมายเพียงน้อยนิด ผู้ที่มีชีวิตอยู่เพื่อตนเองในที่สุดจะเหี่ยวแห้งร่วงโรยไป เปรียบได้กับการเสียชีวิต ขณะผู้ที่ไม่นึกถึงตนเองในการรับใช้ผู้อื่นเติบโตและเบิกบาน—ส่งผลให้มีชีวิตรอด”2

เราอยู่ในวัฒนธรรมที่นับวันเราจะจดจ่ออยู่กับหน้าจอเล็กๆ ในมือเรามากกว่าคนรอบข้าง เราส่งข้อความและทวีตแทนที่จะมองตาและยิ้มให้กันหรือดีกว่านั้นคือสนทนากันซึ่งหน้า เรามัวแต่สนใจว่าจะมีคนติดตามและไลค์กี่คนมากกว่าจะโอบกอดเพื่อนและแสดงความรัก ความห่วงใย และความสนใจอย่างแท้จริง น่าทึ่งที่เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถกระจายข่าวสารพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และช่วยเราติดต่อกับครอบครัวและมิตรสหาย แต่ถ้าเราไม่ระวังวิธีที่เราใช้อุปกรณ์ส่วนตัวของเรา เราจะเริ่มสนใจแต่ตนเองและลืมไปว่าแก่นแท้ของการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณคือการรับใช้

ดิฉันมีความรักมากและมีศรัทธาในพวกท่านผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว ดิฉันเคยเห็นและรู้สึกว่าท่านปรารถนาจะรับใช้และสร้างสรรค์สิ่งพิเศษในโลก ดิฉันเชื่อว่าสมาชิกส่วนใหญ่ถือว่าการรับใช้เป็นหัวใจของพันธสัญญาและการเป็นสานุศิษย์ของพวกเขา แต่ดิฉันคิดเช่นกันว่าบางครั้งเราพลาดโอกาสสำคัญที่สุดบางอย่างในการรับใช้ผู้อื่นไปง่ายๆ เพราะเราเขวหรือเพราะเรากำลังหาวิธีเปลี่ยนโลก และเราไม่เห็นว่าความต้องการเร่งด่วนที่สุดบางอย่างที่เราจัดการได้อยู่ภายในครอบครัวเรา ท่ามกลางมิตรสหายของเรา ในวอร์ดของเรา และในชุมชนของเรา เราสะเทือนใจเมื่อเห็นความทุกข์และความเดือดร้อนของคนที่อยู่ไกลจากเรา แต่เราไม่ได้มองว่ามีคนต้องการความเป็นเพื่อนจากเรานั่งอยู่ข้างๆ เราในชั้นเรียน

ซิสเตอร์ลินดา เค. เบอร์ตันเล่าเรื่องของประธานสมาคมสงเคราะห์สเตคที่ทำงานกับคนอื่นๆ เพื่อรวบรวมผ้านวมให้คนขัดสนในช่วงทศวรรษ 1990 “เธอกับลูกสาวขับรถกระบะซึ่งเต็มไปด้วยผ้านวมจากลอนดอนไปโคโซโว ระหว่างเดินทางกลับบ้านเธอได้รับความประทับใจทางวิญญาณอย่างสุดซึ้งซึ่งฝังลึกในใจเธอ ความรู้สึกนั้นคือ ‘สิ่งที่เจ้าทำเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ตอนนี้จงกลับบ้าน เดินข้ามถนน และรับใช้เพื่อนบ้านของเจ้า!’”3

การช่วยเหลือชาวโลกจะเกิดประโยชน์อันใดหากเราละเลยความต้องการของคนใกล้ตัวเรามากที่สุดและคนที่เรารักมากที่สุด การช่วยแก้ปัญหาชาวโลกมีค่าเพียงใดหากคนรอบข้างเรากำลังลำบากและเราไม่สังเกต พระบิดาบนสวรรค์อาจวางคนที่ต้องการเราไว้ใกล้เราที่สุด โดยที่ทรงทราบว่าเราเหมาะสมที่สุดที่จะตอบรับความต้องการของคนเหล่านั้น

ซาราห์กำลังเดินกับน้องสาวของเธอ

ทุกคนสามารถหาวิธีรับใช้เหมือนพระคริสต์ ที่ปรึกษาของดิฉัน ซิสเตอร์แครอล เอฟ. แมคคองกีเล่าให้ฟังเมื่อเร็วๆ นี้เกี่ยวกับซาราห์หลานสาววัย 10 ขวบของเธอที่ตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะช่วยเมื่อทราบว่าคุณแม่ของเธอป่วย เธอปลุกน้องสาวตัวเล็ก ช่วยแต่งตัว แปรงฟัน หวีผม และรับประทานอาหารเช้าเพื่อให้คุณแม่ของเธอได้พัก เธอทำการรับใช้ที่เรียบง่ายนี้อย่างเงียบๆ โดยไม่ต้องขอเพราะเธอเห็นความจำเป็นและปรารถนาจะช่วย ซาราห์ไม่เพียงเป็นพรแก่คุณแม่ของเธอเท่านั้น แต่ดิฉันมั่นใจว่าเธอรู้สึกปีติเช่นกันที่รู้ว่าเธอได้แบ่งเบาภาระของคนที่เธอรักและกระชับความสัมพันธ์กับน้องสาวไปในตัว ประธานเจมส์ อี. เฟาสท์กล่าวว่า “การรับใช้ผู้อื่นเริ่มทำได้แทบทุกวัย … ไม่ต้องเป็นงานใหญ่โต และการรับใช้ที่ประเสริฐที่สุดอยู่ภายในครอบครัว”4

ซาราห์กับน้องสาวเธอกำลังอ่านหนังสือ

เด็กๆ อย่างท่านตระหนักหรือไม่ว่ามีความหมายต่อพ่อแม่และสมาชิกครอบครัวเพียงใดเมื่อท่านมองหาวิธีรับใช้ที่บ้าน สำหรับท่านที่เป็นวัยรุ่น การให้กำลังใจและรับใช้สมาชิกครอบครัวควรอยู่ในอันดับต้นๆ ที่ท่านจะทำขณะมองหาวิธีเปลี่ยนโลก การแสดงน้ำใจห่วงใยพี่น้องและพ่อแม่จะช่วยสร้างบรรยากาศของความสามัคคีและอัญเชิญพระวิญญาณเข้ามาในบ้าน การเปลี่ยนโลกเริ่มจากการทำให้ครอบครัวท่านเข้มแข็ง

อีกด้านหนึ่งที่เราให้ความสำคัญสำหรับการรับใช้อยู่ในครอบครัววอร์ดของเรา บางครั้งลูกๆ จะถามเราว่า “ทำไมหนูต้องไปสหกิจกรรม หนูไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไหร่”

ถ้าดิฉันอยากเป็นพ่อแม่ที่ดี ดิฉันจะตอบว่า “อะไรทำให้หนูคิดว่าหนูไปสหกิจกรรมเพราะ หนู ได้ประโยชน์”

เพื่อนรุ่นเยาว์ทั้งหลาย ดิฉันรับรองได้ว่าทุกการประชุมของศาสนจักรที่ท่านเข้าร่วมมักจะมีคนเหงา คนที่กำลังประสบความท้าทายและต้องการเพื่อน หรือคนที่รู้สึกว่าเขาไม่เข้าพวก ท่านมีสิ่งสำคัญบางอย่างให้เอื้อประโยชน์ต่อทุกการประชุมหรือทุกกิจกรรม และพระเจ้าทรงปรารถนาให้ท่านมองหาเพื่อนวัยเดียวกันแล้วดูแลช่วยเหลือดังที่พระองค์จะทรงทำ

เอ็ลเดอร์ดี. ทอด์ คริสทอฟเฟอร์สันสอนว่า “เหตุผลหลักที่พระเจ้าทรงจัดตั้งศาสนจักรคือเพื่อสร้างประชาคมวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่จะสนับสนุนกันใน‘ทางคับแคบและแคบนี้ซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์’” ท่านกล่าวต่อไปว่า “ศาสนานี้ไม่ห่วงเฉพาะตนเอง แต่เราทุกคนถูกเรียกให้รับใช้ เราเป็นตา มือ ศีรษะ เท้า และส่วนอื่นๆ ของร่างกายของพระคริสต์”5

เป็นความจริงที่ว่าเราเข้าร่วมการประชุมของศาสนจักรทุกสัปดาห์เพื่อมีส่วนร่วมในศาสนพิธี เรียนหลักคำสอน และรับการดลใจ แต่เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับการเข้าร่วมคือ ในฐานะครอบครัววอร์ดและในฐานะสานุศิษย์ของพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ เราดูแลกัน ให้กำลังใจกัน หาวิธีรับใช้กันและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กัน เราไม่เป็นผู้รับฝ่ายเดียวที่โบสถ์ แต่เราต้องเป็นผู้ให้และผู้จัดหาด้วย เยาวชนทั้งหลาย ต่อไปเมื่อท่านอยู่ที่สหกิจกรรม แทนที่จะหยิบโทรศัพท์มาดูว่าเพื่อนของท่านกำลังทำอะไร ให้หยุด เหลียวมองไปรอบๆ และถามตัวท่านว่า “วันนี้ใครต้องการฉันบ้าง” ท่านอาจจะเป็นคนสำคัญที่ช่วยเหลือและสัมผัสชีวิตเพื่อนวัยเดียวกันหรือให้กำลังใจเพื่อนที่กำลังดิ้นรนอย่างเงียบๆ ก็ได้

ทูลขอให้พระบิดาบนสวรรค์ทรงแสดงให้ท่านเห็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากท่านและดลใจให้ท่านรับใช้พวกเขาได้ดีที่สุด จำไว้ว่าบ่อยครั้งพระผู้ช่วยให้รอดทรงปฏิบัติศาสนกิจทีละคน

เอธานกับครอบครัวของเขา

เอธานหลานชายของเราอายุ 17 ปี ฤดูร้อนปีนี้ดิฉันตื้นตันใจเมื่อเขาบอกดิฉันว่า แบบอย่างของคุณแม่สร้างแรงบันดาลใจให้เขาสวดอ้อนวอนทุกวันเพื่อขอโอกาสรับใช้คนบางคน เมื่อเราใช้เวลากับครอบครัวเขา ดิฉันสังเกตเห็นเอธานปฏิบัติต่อพี่น้องด้วยความอดทน ความรัก และความอ่อนโยน ช่วยพ่อแม่ และมองหาวิธีช่วยเหลือผู้อื่น ดิฉันประทับใจที่เขาใส่ใจคนรอบข้างและปรารถนาจะรับใช้คนเหล่านั้น เขาเป็นแบบอย่างให้ดิฉัน การทำอย่างที่เอธานทำ—การทูลขอให้พระเจ้าทรงช่วยเราพบวิธีรับใช้—จะทำให้พระวิญญาณเปิดตาเราให้มองเห็นความต้องการรอบข้างเรา เห็น “คนหนึ่ง” ที่ต้องการเราในวันนั้น และรู้วิธีช่วยเหลือเขา

ภาพเหมือนของเอธาน

นอกจากจะรับใช้ครอบครัวและสมาชิกวอร์ดของท่านแล้ว จงมองหาโอกาสรับใช้ในละแวกบ้านและชุมชนของท่านด้วย แม้บางครั้งจะมีคนขอให้เราช่วยหลังเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ แต่ขอให้เรามองหาโอกาสช่วยเหลือคนขัดสนในละแวกบ้านของเราเองทุกวัน ประธานภาคคนหนึ่งสอนดิฉันเมื่อเร็วๆ นี้ขณะรับใช้ในประเทศซึ่งมีความท้าทายทางโลกมากมายว่า วิธีที่ดีที่สุดในการช่วยคนขัดสนในภูมิภาคอื่นของโลกคือจ่ายเงินบริจาคอดอาหารด้วยความเอื้อเฟื้อ บริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมของศาสนจักร และมองหาวิธีรับใช้คนในชุมชนที่ท่านอาศัยอยู่ ลองนึกภาพดูว่าโลกจะได้รับพรอย่างไรถ้าทุกคนทำตามคำแนะนำนี้

พี่น้องทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชน ขณะที่ท่านพยายามเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์มากขึ้นและดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาของท่าน ท่านจะยังคงได้รับพรให้มีความปรารถนาจะบรรเทาทุกข์และช่วยคนที่โชคดีน้อยกว่า พึงจำไว้ว่าความต้องการเร่งด่วนที่สุดบางอย่างอาจจะอยู่ตรงหน้าท่าน จงเริ่มรับใช้ในบ้านของท่านเองและภายในครอบครัวท่าน สิ่งเหล่านี้เป็นความสัมพันธ์ที่สามารถดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ ถึงแม้—และถ้า—สถานการณ์ครอบครัวท่านไม่ดีนัก ท่านสามารถหาวิธีรับใช้ พยุง และทำให้เข้มแข็งได้ จงเริ่มตรงที่ท่านอยู่ รักพวกเขาอย่างที่พวกเขาเป็น และเตรียมสร้างครอบครัวที่ท่านต้องการมีในวันข้างหน้า

จงสวดอ้อนวอนขอให้ช่วยท่านมองเห็นคนในครอบครัววอร์ดที่ต้องการความรักและกำลังใจ แทนที่จะไปโบสถ์ด้วยคำถามว่า “ฉันจะได้อะไรจากการประชุมนี้” ให้ถามว่า “วันนี้ใครต้องการฉันบ้าง ฉันต้องทำคุณประโยชน์อะไรบ้าง”

ขณะท่านเป็นพรแก่ครอบครัวท่านเองและสมาชิกวอร์ด จงมองหาวิธีเป็นพรแก่คนในชุมชนของท่านด้วย ไม่ว่าท่านมีเวลารับใช้มากหรือให้ได้เดือนละไม่กี่ชั่วโมง ความพยายามของท่านจะเป็นพรแก่ชีวิตและจะเป็นพรแก่ท่านในวิธีที่ท่านคิดไม่ถึง

ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์สอนว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงสนพระทัยเรา และทรงดูแลเรา แต่ปกติพระองค์จะทรงตอบรับความต้องการของเราผ่านผู้อื่น”6 ขอให้เราแต่ละคนเห็นคุณค่าของสิทธิพิเศษและพรที่ได้มีส่วนในการทำงานของพระบิดาบนสวรรค์ให้สำเร็จขณะที่เราตอบรับความต้องการของลูกๆ พระองค์ ดิฉันสวดอ้อนวอนในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน