พยายาม พยายาม พยายาม
พระผู้ช่วยให้รอดทรงใส่พระนามของพระองค์ไว้ในใจท่าน ท่านรู้สึกว่าพระคริสต์ทรงมีความรักอันบริสุทธิ์ต่อผู้อื่นและต่อตัวท่าน
พี่น้องที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าปลื้มปีติในโอกาสที่ได้พูดกับท่าน การประชุมครั้งนี้หนุนใจและจรรโลงใจข้าพเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำบทเพลงที่ขับขานและถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยมาสู่ใจเรา ขอให้พระวิญญาณองค์เดียวกันถ่ายทอดสิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูดกับท่าน
หลายปีก่อนข้าพเจ้าเป็นที่ปรึกษาที่หนึ่งของประธานท้องถิ่นในสหรัฐตะวันออก ขณะขับรถไปสาขาเล็กๆ ของเรา เขาพูดกับข้าพเจ้ามากกว่าหนึ่งครั้งว่า “ฮัล เมื่อคุณพบใครบางคน ปฏิบัติต่อพวกเขาเสมือนหนึ่งพวกเขากำลังเดือดร้อนมาก และคุณจะถูกมากกว่าครึ่ง” เขาไม่เพียงพูดถูก แต่ข้าพเจ้าเรียนรู้มาตลอดหลายปีว่าเขาคาดคะเนต่ำเกินไปด้วย ว้นนี้ ข้าพเจ้าประสงค์จะให้กำลังใจท่านในยามที่ท่านเผชิญความเดือดร้อน
พระผู้เป็นเจ้าทรงออกแบบชีวิตมรรตัยของเราให้เป็นการทดสอบและเป็นบ่อเกิดของการเติบโต ท่านคงจำได้ถึงพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าขณะพระองค์ทรงสร้างโลก “และพวกเราจะพิสูจน์พวกเขาโดยวิธีนี้, เพื่อดูว่าพวกเขาจะทำสิ่งทั้งปวงไม่ว่าอะไรก็ตามที่พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาจะทรงบัญชาพวกเขาหรือไม่”1
การทดสอบไม่ง่ายมาตั้งแต่ต้น เราเผชิญการทดลองอันเกิดจากการมีร่างกาย เราทุกคนอยู่ในโลกที่การต่อสู้ของซาตานกับความจริงและกับความสุขของเรารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โลกกับชีวิตของท่านดูเหมือนจะโกลาหลมากขึ้น
ข้าพเจ้าขอรับรองว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงยอมให้การทดสอบเหล่านี้เกิดขึ้นกับท่านทรงออกแบบวิธีที่ท่านจะผ่านพ้นไปได้ พระบิดาบนสวรรค์ทรงรักโลกมากถึงกับส่งพระบุตรที่รักมาช่วยเรา2 พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อเรา พระเยซูคริสต์ทรงแบกน้ำหนักบาปทั้งหมดของเราในเกทเสมนีและบนกางเขน ทรงประสบโทมนัส ความเจ็บปวด และผลจากบาปทั้งหมดของเราเพื่อจะทรงปลอบโยนและเพิ่มพลังให้เราผ่านการทดสอบทุกอย่างในชีวิต3
ท่านคงจำที่พระเจ้าตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ได้
“พระบิดาและเราเป็นหนึ่งเดียวกัน. เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาในเรา; และตราบเท่าที่เจ้ารับเรา, เจ้าก็อยู่ในเราและเราในเจ้า.
“ดังนั้น, เราอยู่ท่ามกลางเจ้า, และเราคือเมษบาลผู้ประเสริฐ, และศิลาแห่งอิสราเอล. คนที่สร้างอยู่บนศิลานี้จะไม่มีวันตกเลย”4
ศาสดาพยากรณ์ของเรา ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันให้คำสัญญาเดียวกัน นอกจากนี้ ท่านยังได้พูดถึงวิธีที่เราจะสร้างบนศิลานั้นและใส่พระนามของพระเจ้าไว้ในใจเราเพื่อนำทางเราผ่านการทดลอง
ท่านกล่าวว่า “ท่านที่ละเหี่ยใจเป็นครั้งคราว จำไว้ว่าชีวิตไม่ง่าย ท่านต้องทนรับการทดลองและทนต่อความโศกเศร้าตลอดทาง เมื่อท่านจดจำว่า ‘ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พระเจ้าทรงทำไม่ได้’ (ลูกา 1:37) จงรู้ว่าพระองค์คือพระบิดาของท่าน ท่านเป็นบุตรธิดาที่ทรงสร้างตามรูปลักษณ์ของพระองค์ มีสิทธิ์รับการเปิดเผยผ่านความมีค่าควรของท่านเพื่อช่วยท่านขณะพยายามทำสิ่งชอบธรรม ขอจงรับพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าไว้กับท่าน เพื่อท่านจะได้พูดในพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า (ดู คพ. 1:20)”5
ถ้อยคำของประธานเนลสันเตือนให้เรานึกถึงสัญญาที่พบในคำสวดอ้อนวอนศีลระลึก สัญญาที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงรักษาเมื่อเราทำตามสัญญาของเรา
ลองฟังถ้อยคำนี้ “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า, พระบิดานิรันดร์, พวกข้าพระองค์ทูลขอพระองค์ในพระนามของพระบุตรของพระองค์, พระเยซูคริสต์, โปรดประทานพรและทำให้ขนมปังนี้ศักดิ์สิทธิ์แก่จิตวิญญาณของเขาทั้งหลายผู้ที่รับส่วน, เพื่อพวกเขาจะรับประทานในความระลึกถึงพระวรกายของพระบุตรของพระองค์, และเป็นพยานต่อพระองค์, ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า, พระบิดานิรันดร์, ว่าพวกเขาเต็มใจรับพระนามของพระบุตรของพระองค์, และระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งพระองค์ประทานให้พวกเขา; เพื่อพวกเขาจะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับพวกเขาตลอดเวลา. เอเมน”6
ทุกครั้งที่เรากล่าว เอเมน เมื่อมีผู้สวดอ้อนวอนแทนเรา เรากำลังให้สัญญาโดยการรับส่วนขนมปังว่าเราเต็มใจรับพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ ระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เราได้รับสัญญาตอบแทนว่าเราจะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา เพราะสัญญาเหล่านี้ พระผู้ช่วยให้รอดจึงทรงเป็นศิลาให้เรายืนบนนั้นอย่างปลอดภัยและไม่หวั่นพายุทุกลูกที่เราเผชิญ
ขณะข้าพเจ้าไตร่ตรองพันธสัญญาและพรที่สัญญาไว้ ข้าพเจ้าสงสัยว่าการเต็มใจยอมรับพระนามของพระเยซูคริสต์หมายความว่าอย่างไร
ประธานดัลลิน เอช. โอ๊คส์อธิบายว่า “สำคัญตรงที่เมื่อเรารับส่วนศีลระลึกเราไม่ได้เป็นพยานว่าเรา รับ พระนามของพระเยซูคริสต์ เราเป็นพยานว่าเรา เต็มใจ รับพระนามนั้น (ดู คพ. 20:77) ข้อเท็จจริงที่ว่าเราเป็นพยานถึงความเต็มใจของเราบ่งบอกว่าต้องมีสิ่งสำคัญที่สุดบางอย่างเกิดขึ้นก่อนเรารับพระนามศักดิ์สิทธิ์นั้นจริงๆ”7
ข้อความที่ว่าเรา “เต็มใจรับ” พระนามของพระผู้ช่วยให้รอดบอกเราว่าถึงแม้เรารับพระนามของพระผู้ช่วยให้รอดครั้งแรกเมื่อรับบัพติศมา แต่การรับพระนามไม่ได้จบที่บัพติศมา เราต้องรับพระนามของพระองค์ต่อเนื่องตลอดชีวิตเรา รวมถึงเวลาที่เราต่อพันธสัญญาที่โต๊ะศีลระลึกและทำพันธสัญญาในพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าด้วย
ดังนั้นคำถามสำคัญสองข้อสำหรับเราแต่ละคนคือ “ฉันต้องทำอะไรเพื่อรับพระนามของพระองค์” และ “ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังก้าวหน้า”
คำกล่าวของประธานเนลสันบอกคำตอบที่เป็นประโยชน์หนึ่งข้อ ท่านกล่าวว่าเราสามารถรับพระนามของพระผู้ช่วยให้รอดและเราสามารถพูดแทนพระองค์ เมื่อเราพูดแทนพระองค์ เรารับใช้พระองค์ “เพราะคนจะรู้จักผู้เป็นนายซึ่งเขาไม่เคยรับใช้, และเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา, และอยู่ไกลจากความนึกคิดและเจตนาของใจเขาได้อย่างไร?”8
การพูดแทนพระองค์เรียกร้องคำสวดอ้อนวอนจากศรัทธา สวดอ้อนวอนพระบิดาบนสวรรค์อย่างแรงกล้าเพื่อให้รู้ว่าเราจะพูดอะไรเพื่อช่วยพระผู้ช่วยให้รอดในงานของพระองค์ เราต้องคู่ควรกับสัญญาที่ว่า “ไม่ว่าโดยเสียงของเราเอง หรือโดยเสียงของผู้รับใช้ทั้งหลายของเรา, ก็เหมือนกัน.”9
ทว่าการรับพระนามของพระองค์เป็นมากกว่าการพูดแทนพระองค์ มีความรู้สึกในใจเราว่าเราต้องคู่ควรกับการเป็นผู้รับใช้ของพระองค์
ศาสดาพยากรณ์มอรมอนอธิบายความรู้สึกที่ทำให้เราคู่ควรและสามารถรับพระนามของพระองค์ ความรู้สึกเหล่านี้ได้แก่ ศรัทธา ความหวัง และจิตกุศลซึ่งคือความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์
มอรมอนอธิบายว่า
“เพราะข้าพเจ้าตัดสินว่าท่านมีศรัทธาในพระคริสต์เพราะความมีใจอ่อนน้อมของท่าน; เพราะหากท่านไม่มีศรัทธาในพระองค์เมื่อนั้นก็ไม่เหมาะที่จะนับท่านอยู่ในบรรดาผู้คนของศาสนจักรของพระองค์.
“และอนึ่ง, พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าจะพูดกับท่านเกี่ยวกับความหวัง. จะเป็นไปได้อย่างไรที่ท่านจะบรรลุถึงศรัทธา, นอกจากท่านจะมีความหวัง?
“และอะไรเล่าที่ท่านจะหวัง? ดูเถิดข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่าท่านจะมีความหวังโดยผ่านการชดใช้ของพระคริสต์และเดชานุภาพแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์, เพื่อยกท่านขึ้นสู่นิรันดรแห่งชีวิต, และนี่เพราะศรัทธาของท่านในพระองค์ตามสัญญา.
“ดังนั้น, หากคนใดมีศรัทธาเขาจำต้องมีความหวัง; เพราะปราศจากศรัทธาจะมีความหวังไม่ได้.
“และอนึ่ง, ดูเถิดข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่าเขาจะมีศรัทธาและความหวังไม่ได้, นอกจากเขาจะมีความอ่อนโยน, และใจนอบน้อม.
“หากเป็นเช่นนั้น, ศรัทธาและความหวังของเขาเปล่าประโยชน์, เพราะไม่มีใครจะเป็นที่ยอมรับต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า, นอกจากผู้ที่มีความอ่อนโยนและใจนอบน้อม; และหากผู้ใดมีความอ่อนโยนและใจนอบน้อม, และสารภาพโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าพระเยซูคือพระคริสต์, เขาจำต้องมีจิตกุศล; เพราะหากเขาไม่มีจิตกุศลเขาก็ไม่เป็นอะไรเลย; ดังนั้นเขาต้องมีจิตกุศล”
หลังจากพูดถึงจิตกุศล มอรมอนกล่าวต่อไปว่า
“แต่จิตกุศลคือความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์, และสิ่งนี้ยั่งยืนตลอดกาล; และผู้ใดที่ถูกพบว่าครอบครองมันในวันสุดท้าย, ย่อมจะดีกับเขา.
“ดังนั้น, พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า, จงสวดอ้อนวอนพระบิดาจนสุดพลังของใจ, เพื่อท่านจะเปี่ยมด้วยความรักนี้, ซึ่งพระองค์ประทานให้ทุกคนซึ่งเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงของพระบุตรของพระองค์, พระเยซูคริสต์; เพื่อท่านจะกลับกลายเป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า; เพื่อว่าเมื่อพระองค์จะเสด็จมาปรากฏเราจะเป็นเหมือนพระองค์, เพราะเราจะเห็นพระองค์ดังที่พระองค์ทรงดำรงอยู่; เพื่อเราจะมีความหวังนี้; เพื่อพระองค์จะทรงทำให้เราบริสุทธิ์แม้ดังที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์. เอเมน”10
ประจักษ์พยานของข้าพเจ้าคือพระผู้ช่วยให้รอดทรงใส่พระนามของพระองค์ไว้ในใจท่าน หลายท่าน ศรัทธาในพระองค์กำลังเพิ่มขึ้น ท่านมีความหวังและมองโลกในแง่ดีมากขึ้น ท่านรู้สึกว่าพระคริสต์ทรงมีความรักอันบริสุทธิ์ต่อผู้อื่นและต่อตัวท่าน
ข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้นในผู้สอนศาสนาที่รับใช้อยู่ทั่วโลก ข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้นในสมาชิกที่พูดกับเพื่อนและสมาชิกครอบครัวเกี่ยวกับศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ชาย หญิง เยาวชนคนหนุ่มสาว และเด็กกำลังปฏิบัติศาสนกิจเพราะรักพระผู้ช่วยให้รอดและรักเพื่อนบ้าน
ทันทีที่ทราบข่าวภัยพิบัติทั่วโลก สมาชิกวางแผนไปช่วยโดยไม่ต้องขอ บางครั้งข้ามมหาสมุทร บางครั้งพวกเขาไม่อยากรอให้เขตประสบภัยเตรียมต้อนรับพวกเขา
ข้าพเจ้าทราบว่าบางท่านที่ฟังอยู่เวลานี้อาจรู้สึกว่าศรัทธาและความหวังของท่านถูกความเดือดร้อนครอบงำ และท่านอาจโหยหาความรัก
พี่น้องทั้งหลาย พระเจ้าทรงมีโอกาสใกล้ท่านให้รู้สึกและแบ่งปันความรักของพระองค์ ท่านสามารถสวดอ้อนวอนด้วยความเชื่อมั่นขอพระเจ้าทรงนำท่านให้รักบางคนแทนพระองค์ พระองค์ทรงตอบคำสวดอ้อนวอนของอาสาสมัครเช่นท่าน ท่านจะรู้สึกว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักท่านและคนที่ท่านรับใช้แทนพระองค์ เมื่อท่านช่วยบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าในยามที่พวกเขาเดือดร้อน ความเดือดร้อนของท่านเองจะบรรเทาลง ศรัทธาและความหวังของท่านจะแรงกล้าขึ้น
ข้าพเจ้าเห็นความจริงดังกล่าวด้วยตาตนเอง ภรรยาข้าพเจ้าพูดแทนพระเจ้าและรับใช้ผู้คนแทนพระองค์ชั่วชีวิต ดังที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้ อธิการคนหนึ่งของเราเคยพูดกับข้าพเจ้าว่า “ผมทึ่งมาก ทุกครั้งที่ผมทราบข่าวว่าคนในวอร์ดเดือดร้อน ผมรีบไปช่วย แต่พอไปถึง ดูเหมือนทุกครั้งภรรยาคุณอยู่ที่นั่นแล้ว” เป็นความจริงในทุกหนแห่งที่เราอยู่ด้วยกันมา 56 ปี
เวลานี้เธอพูดได้วันละไม่กี่คำ คนที่เธอรักแทนพระเจ้ามาเยี่ยมเธอ ทุกค่ำเช้าข้าพเจ้าร้องเพลงสวดกับเธอและเราสวดอ้อนวอน ข้าพเจ้าเป็นผู้กล่าวในการสวดอ้อนวอนและร้องเพลง บางครั้งข้าพเจ้าเห็นเธอทำปากขมุบขมิบตามเพลงสวด เธอชอบเพลงของเด็ก อารมณ์ที่ดูเหมือนเธอจะชอบมากที่สุดสรุปไว้ในเพลง “ฉันพากเพียรเป็นเหมือนพระเยซู”11
วันหนึ่งหลังจากร้องสร้อยเพลง “จงรักกันและกันดังเยซูรักท่าน จงมั่นเมตตาในทุกสิ่งที่ท่านทำ” เธอพูดเบาๆ แต่ชัดเจนว่า “พ-ยา-ยาม” ข้าพเจ้าคิดว่าเธอจะพบ เมื่อเธอเห็นพระผู้ช่วยให้รอดว่าพระองค์ทรงใส่พระนามไว้ในใจเธอและเธอเป็นเหมือนพระองค์ พระองค์ทรงช่วยให้เธอผ่านพ้นความเดือดร้อนเวลานี้ และจะทรงช่วยเธออีกหลายปี
ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงรู้จักและรักท่าน ทรงรู้จักชื่อท่านดังที่ท่านรู้จักพระนามพระองค์ ทรงทราบความเดือดร้อนของท่าน พระองค์ทรงประสบสิ่งเหล่านั้นแล้ว ทรงเอาชนะโลกโดยการชดใช้ โดยเต็มใจยอมรับพระนามของพระองค์ท่านจะยกภาระของคนนับไม่ถ้วน ท่านจะพบในที่สุดว่าท่านรู้จักพระผู้ช่วยให้รอดดีขึ้นและท่านรักพระองค์มากขึ้น พระนามของพระองค์จะอยู่ในใจท่านและตราตรึงในความทรงจำของท่าน เป็นพระนามที่ท่านจะถูกเรียก ข้าพเจ้าเป็นพยานด้วยความสำนึกคุณต่อความการุณย์รักที่พระองค์ทรงมีต่อข้าพเจ้า ต่อคนที่ข้าพเจ้ารัก และต่อท่านทั้งหลาย ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน