“ตอนนี้ข้าพระองค์จะเป็นลูกคนหนึ่งของพระองค์”
ในปี 1854 หลังจากการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลอันยาวนาน อีแลม ลัดดิงตันก็มาถึงประเทศไทยซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าสยาม เพื่อเปิดงานสอนศาสนาแล้วจากไปหลังจากนั้นสี่เดือน กว่าหนึ่งศตวรรษต่อมา วิสุทธิชนยุคสุดท้ายบางคนที่ทำงานให้รัฐบาลสหรัฐได้เริ่มการประชุมประจำสัปดาห์ในกรุงเทพฯ อิทธิพลของพวกเขาทำให้แน่งน้อย ฐิตปุระ ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสชาวไทยคนแรกรับบัพติศมาวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1966
ลูอิสกับจูน แอลดริดช์สามีภรรยาชาวอเมริกันเป็นเพื่อนกับชายหนุ่มคนหนึ่งชื่ออนันต์ ทับทิมแท้ หลังจากคุณแม่ของอนันต์เสียชีวิต เขามีคำถามมากมายเกี่ยวกับชีวิตและความตาย อนันต์ย้ายไปอยู่กับครอบครัวแอลดริดช์ในฐานทัพทหารซึ่งทหารวิสุทธิชนยุคสุดท้ายได้ให้คำตอบสำหรับคำถามมากมายของเขา หลังจากเรียนแบบไม่เป็นทางการอยู่หลายเดือน อนันต์ก็รับบัพติศมาวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1967 ความที่อยากบอกเล่าความเชื่อใหม่ของตน เขาจึงสอนชั้นเรียนที่โบสถ์กับผู้สนใจวัยรุ่นมากถึง 70 คน เมื่อผู้สอนศาสนาเต็มเวลากลุ่มแรกมาถึงประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1968 อนันต์อาศัยอยู่กับพวกเขา สอนภาษาไทยให้พวกเขา และช่วยแปลหนังสือคู่มือต่างๆ ของศาสนจักร สี่เดือนต่อมา อนันต์ผู้ซึ่งครอบครัวแอลดริดช์รับเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว ได้รับการเรียกให้เป็นผู้สอนศาสนาคนแรกจากประเทศไทย
หลายคนในท้องที่เริ่มสนใจศาสนจักรหลังจากพบทหารวิสุทธิชนยุคสุดท้ายหรือผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสในท้องที่ คนไทยจำนวนมากถือว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของชนชั้นล่าง และหวั่นใจเมื่อคิดจะทิ้งความเชื่อดั้งเดิมของครอบครัว แต่ถึงแม้จะรู้ว่าเพื่อนๆ หลายคนและคนในครอบครัวจะไม่มีความสุข แต่หลายคนก็เลือกรับบัพติศมา
ในปี 1968 หลังจากพบกับผู้ศาสนาเป็นครั้งคราวอยู่หลายเดือน ศรีลักษณา สุนทรหุต กอตต์เชรู้สึกได้รับการดลใจให้เริ่มอ่านพระคัมภีร์มอรมอน “ฉันรู้สึกได้ทันทีว่าพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทำให้ใจฉันอ่อนลง”เธอกล่าว “ฉันคุกเข่าและสวดอ้อนวอนถึงพระบิดาในสวรรค์เป็นครั้งแรก” พอทราบว่าศรีลักษณารับบัพติศมาแล้ว คุณพ่อบอกเธอว่า “ตอนนี้ลูกตายจากพ่อไปแล้ว” เมื่อถูกครอบครัวและเพื่อนๆ ตัดสัมพันธ์ ศรีลักษณาจึงหันมาสร้างความเข้มแข็งให้กับวิสุทธิชนรอบตัวเธอ
นัทธมน ดี. ลิ้มสุคนธ์เกิดที่เชียงใหม่ และเคยคิดจะบวชชีตอนเป็นสาว เมื่อย้ายมากรุงเทพฯ เธอเช่าห้องที่วายดับเบิลยูซีเอ (Young Women’s Christian Association – YWCA) ผู้สอนศาสนาวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเช่าห้องประชุมที่นั่นด้วย การร้องเพลงของวิสุทธิชนดึงดูดใจนัทธมนจนเธอเข้าร่วมกิจกรรม Mutual Improvement Association (สมาคมพัฒนาสหกิจกรรม) และยอมฟังบทสนทนา
เธอประทับใจเรื่องราวของโจเซฟ สมิธแต่ไม่แน่ใจว่าเธอเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระบิดาบนสวรรค์ของเธอ เธออยากรอให้มีประจักษ์พยานก่อนจึงจะรับบัพติศมา คืนหนึ่งเธอฝันเห็นคนกลุ่มหนึ่งแต่งชุดขาว เธอถามพวกเขาว่าเธอควรรับบัพติศมาหรือเปล่า หนึ่งในนั้นตอบเธอว่า “เธอจำเป็นต้องรับบัพติศมา” ไม่นานนัทธมนก็ตัดสินใจเข้าร่วมศาสนจักร “ตอนนี้ข้าพระองค์จะเป็นลูกคนหนึ่งของพระองค์” เธอสวดอ้อนวอนทูลพระบิดาบนสวรรค์ นัทธมนรับบัพติศมาในเดือนพฤศจิกายนปี 1969 หลังจากนั้นก็กลับไปอยู่เชียงใหม่ เธอเป็นสมาชิกคนเดียวที่นั่นจนกระทั่งมีการมอบหมายให้ผู้สอนศาสนามาอยู่เขตนั้นในอีกไม่กี่เดือนต่อมา