2018
ทำให้ชีวิตท่านเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นเร้าใจของการเติบโตส่วนตัว
ธันวาคม 2018


ทำให้ชีวิตท่านเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นเร้าใจของการเติบโตส่วนตัว

การเรียนรู้ การดำเนินชีวิต และการสอนพระกิตติคุณเป็นหัวใจของการเติบโตจนบรรลุศักยภาพอันสูงส่งของเรา

ภาพ
looking up at stars

ภาพประกอบจาก Getty Images

ช่างเป็นเวลาที่น่าตื่นเต้นในการเป็นสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย! เมื่อข้าพเจ้านึกถึงพัฒนาการเมื่อเร็วๆ นี้ในอาณาจักรของพระเจ้า เห็นชัดว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงกำลังพาเราเดินทางอย่างน่าตื่นเต้นเร้าใจไปตามเนินเขา หุบเขา และทัศนียภาพอันน่าตื่นตะลึงจนเราแทบนึกภาพไม่ออกจนกว่าเราจะปีนสูงขึ้นไปอีกนิดและสิ่งเหล่านั้นอยู่ตรงหน้าเรา

แค่ปีที่แล้วปีเดียว เราอำลาศาสดาพยากรณ์ที่รักท่านหนึ่งและสนับสนุนศาสดาพยากรณ์คนใหม่ด้วยความรัก เรารับวิธีใหม่มาใช้ในการประชุมสมาคมสงเคราะห์และการประชุมโควรัมฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค โดยเน้นมากขึ้นเรื่องการหารือกันเพื่อทำให้งานของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง ในเจตนารมณ์เดียวกันนั้น เราเห็นพระเจ้านำมหาปุโรหิตและเอ็ลเดอร์มารวมกันเป็นหนึ่งโควรัม และเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในวิธีที่ผู้ดำรงฐานะปุโรหิตและพี่น้องสตรีปฏิบัติศาสนกิจต่อบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า ถ้านั่นยังไม่มากพอจะทำให้เราประหลาดใจ ลองพิจารณาคำประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ของฝ่ายประธานสูงสุดเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลใหม่เพื่อสนับสนุนการศึกษาพระคัมภีร์เป็นส่วนตัวและกับครอบครัว พร้อมด้วยการเปลี่ยนแปลงที่มากับสื่อการเรียนการสอนของปฐมวัยและโรงเรียนวันอาทิตย์—ไม่รวมถึงความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในด้านงานเผยแผ่ศาสนา การค้นคว้าประวัติครอบครัว และงานพระวิหาร

และจะมีมาอีกแน่นอน ดังที่หลักแห่งความเชื่อข้อเก้าประกาศ “เราเชื่อทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยมาแล้ว”—สิ่งนี้มักเป็นส่วนที่ทำได้ง่าย แต่ต้องใช้ศรัทธาแบบพิเศษเพื่อ “เชื่อว่าพระองค์จะยังทรงเปิดเผยเรื่องสำคัญและยิ่งใหญ่อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า” และพร้อมยอมรับหลังจากนั้นไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้าเราเต็มใจ พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำเราไปยังที่ซึ่งเราไม่นึกฝันว่าจะไปได้—สูงส่งเท่าที่เราอาจจะฝันไว้แล้ว พระดำริหรือความคิดของพระองค์และทางของพระองค์สูงยิ่งกว่าเราแน่นอน (ดู อิสยาห์ 55:8–9) ในแง่หนึ่งของความคิดข้าพเจ้า ใช่ว่าเราจะไม่เหมือนคนในเคิร์ทแลนด์ผู้ซึ่งศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกล่าวว่าพวกเขา “ไม่รู้เกี่ยวกับจุดหมายปลายทางของศาสนจักรและอาณาจักรนี้มากไปกว่าเด็กทารกบนตักมารดา”1

พระองค์ทรงต้องการเปลี่ยนใจเรา

แต่กระนั้น เมื่อเราหวนนึกถึงจุดที่เราเคยอยู่ ข้าพเจ้าหวังว่าเราจะมองเห็นมากกว่านโยบายที่เพิ่งปรับเปลี่ยน โปรแกรมใหม่ๆ และคู่มือที่แก้ไข สุดท้ายแล้วงานของพระเจ้าเกี่ยวข้องกับผู้คนเสมอ ไม่ใช่โปรแกรม ไม่ว่าพระองค์จะทรงกำกับดูแลให้เปลี่ยนอะไรในองค์กรหรือกำหนดการหรือหลักสูตร สิ่งที่พระองค์ทรงหวังจะเปลี่ยนจริงๆ คือท่านและข้าพเจ้า พระองค์ทรงต้องการเปลี่ยนใจเราและยกระดับอนาคตของเรา

ไม่ เราจะยังมองไม่เห็นสิ่งสำคัญและยิ่งใหญ่เหล่านั้นที่อยู่เลยทางโค้งถัดไปในทางเดิน แต่เรามีแนวคิดบางประการเกี่ยวกับจุดหมายสุดท้าย นั่นคือ

“ยังไม่ปรากฏว่าต่อไปเบื้องหน้านั้นเราจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น” (1 ยอห์น 3:2)

“เจ้าควรเป็นคนอย่างไรเล่า? ตามจริงแล้วเรากล่าวแก่เจ้า, แม้ดังที่เราเป็น’ (3 นีไฟ 27:27)

“เจ้าจะได้รับความสมบูรณ์แห่งพระองค์, และรุ่งโรจน์ในเราดังที่เราในพระบิดา; ฉะนั้น, เราจึงกล่าวแก่เจ้า, เจ้าจะได้รับพระคุณแทนพระคุณ” (คพ. 93:20)

ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่กับข้าพเจ้านั่นฟังเหมือนเป็นการเดินทางที่ยาวไกล—แต่เป็นการเดินทางที่เบิกบานใจ! เป้าหมายสูงส่งเช่นนั้นทำให้พระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูดึงดูดใจและสร้างแรงบันดาลใจ ลึกในจิตวิญญาณเราคือเสียงสะท้อน—ความทรงจำ—ที่บอกเราว่านี่คือสาเหตุที่เรามายังแผ่นดินโลก เรายอมรับแผนของพระบิดาในสวรรค์เป็นอันดับแรกเพราะเราต้องการเป็นเหมือนพระองค์ เรารู้ว่านั่นเป็นเป้าหมายที่ยากมากซึ่งไม่มีวันบรรลุผลสำเร็จได้โดยง่าย แต่เราไม่อาจพอใจกับสิ่งที่น้อยกว่านั้นได้ จิตวิญญาณเราสร้างมาเพื่อเติบโต และเราถูกกระตุ้นมาแต่ไหนแต่ไรให้เดินทาง

เรียนรู้และเป็น

ภาพ
star-filled sky

การสอน การเรียนรู้ และการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณเป็นหลักธรรมสำคัญต่อการเติบโตจนบรรลุศักยภาพอันสูงส่งของเราและเป็นเหมือนพระบิดาพระมารดาบนสวรรค์ บางครั้งเราเรียกกระบวนการนี้ว่า ความก้าวหน้านิรันดร์ บางครั้งเราเรียกว่า การเปลี่ยนใจเลื่อมใส บางครั้งเราเรียกง่ายๆ ว่า การกลับใจ แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไร กระบวนการนั้นเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “ท่านต้องเรียนรู้ว่าตัวท่านจะเป็นพระผู้เป็นเจ้า เป็นกษัตริย์ และปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร … โดยเริ่มจากระดับเล็กๆ ไปสู่อีกระดับหนึ่ง และจากความสามารถเล็กๆ ไปสู่ความสามารถที่ยิ่งใหญ่ …

“เมื่อท่านไต่บันได ท่านต้องเริ่มจากขั้นต่ำสุดและขึ้นไปทีละขั้น จนถึงขั้นบนสุด เช่นเดียวกับหลักธรรมของพระกิตติคุณ—ท่านต้องเริ่มจากขั้นแรกแล้วดำเนินต่อไปจนท่านเรียนรู้หลักธรรมทั้งหมดของความสูงส่ง”2

ด้วยเหตุนี้เราจึงพูดถึงการเรียนรู้ เพราะข้าพเจ้าชอบการสอน ข้าพเจ้าจึงชอบคำและแนวคิดเรื่องการเรียนรู้ แม้จะคิดว่าเราควรนิยามคำนี้ให้ดีกว่าที่เรานิยามโดยทั่วไป สำหรับจุดประสงค์เชิงพระกิตติคุณ ข้าพเจ้าไม่เพียงหมายถึงการสั่งสมความรู้ แม้นั่นจะเป็นส่วนหนึ่ง ทั้งไม่เพียงหมายถึงการฟังบรรยายเฉย ๆ หรือท่องจำข้อเท็จจริงเท่านั้น ข้าพเจ้าหมายถึงการเรียนรู้ในแง่ของการเติบโตและการเปลี่ยนแปลง ความเข้าใจอันลึกซึ้งซึ่งนำไปสู่การปรับปรุง การรู้ความจริงซึ่งนำเราให้ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแห่งความจริงทั้งมวลมากขึ้น

ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันผูกโยงการเรียนรู้กับการเปลี่ยนแปลงในใจเมื่อท่านสอนว่าขณะที่ “พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความเชื่อมั่นแก่ผู้ตั้งใจแสวงหาความจริง” สิ่งนั้นหล่อหลอมศรัทธา ซึ่ง “ส่งเสริมการกลับใจและการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า” ส่วนประกอบที่จำเป็นเหล่านี้ของการเปลี่ยนใจเลื่อมใสหันเรา “จาก วิถีของโลก มาหา … วิถีของพระเจ้า” ซึ่ง “ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่ยิ่งของใจ”3

นี่ไม่เกี่ยวกับการรู้ชื่อสิบสองเผ่าของอิสราเอลหรือการวาดแผนภาพอุปมานิทัศน์เรื่องต้นมะกอก ซึ่งการทำเช่นนั้นอาจมีประโยชน์ การเรียนรู้แบบนี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงตัวเรา การเป็นคนต่างจากเดิม (ดีขึ้น) เพราะเรารู้มากขึ้นในสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้

ท่านจะเห็นได้ว่าการเรียนรู้ในแบบที่ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงมีมากเกินกว่าจะเรียนรู้ในห้องเรียนหรือในช่วงบทเรียน 45 นาที พระคัมภีร์ ศาสดาพยากรณ์ บิดามารดา แสงแดด วันฝนตก การกระตุ้นเตือนทางวิญญาณ และหลักสูตรทุกวันของชีวิตล้วนให้โอกาสเราได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าและแผนของพระองค์ เพราะโดยแท้แล้ว “สิ่งทั้งปวงกล่าวคำพยาน” ถึงพระองค์ (โมเสส 6:63) ในที่สุดเราทุกคนค้นพบว่าพระองค์เต็มพระทัยสอนเราไม่เพียงที่โบสถ์เท่านั้นแต่ทุกที่และทุกเวลา—ในช่วงไม่เป็นทางการกับลูกๆ และมิตรสหายของเรา เพื่อนบ้านหรือเพื่อนร่วมงานของเรา ชายหรือหญิงที่เราพบเห็นบนรถประจำทางหรือลูกจ้างผู้ช่วยเราที่ตลาด—เราเต็มใจเรียนรู้ไม่ว่าที่ใดและเมื่อใด

แต่ความจริงทั้งหมดนี้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงพยายามสอนเราในแต่ละวันเป็นเพียงเมล็ดจำนวนมากที่หว่านในดินปนหินหรือกลางหนามให้ถูกแดดเผาหรือถูกหนามปกคลุมเว้นแต่เราจะรับคำแนะนำของแอลมาให้บำรุงเลี้ยงโดยทดลองพระวจนะ หรือตามที่ยากอบกล่าว เป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น (ดู มาระโก 4:1–20; ยากอบ 1:22; แอลมา 32:27–43) เมื่อเราเรียนรู้ความจริงและเลือกปฏิบัติตามความจริงนั้น ประจักษ์พยานของเราเติบโต (ดู ยอห์น 7:17) จากนั้น เมื่อเราทำให้ความจริงเป็นส่วนหนึ่งของเราโดยพยายามดำเนินชีวิตตามความจริงนั้นอยู่เสมอแม้ขณะเผชิญความท้าทาย ความจริงจะเปลี่ยนเราและเราจะเป็นเหมือนพระบิดาแห่งความจริงมากขึ้น4

การเรียนพระกิตติคุณมีบ้านเป็นศูนย์กลาง

นี่คือสาเหตุที่เราพูดว่าการสอน การเรียนรู้ และการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณต้อง “มุ่งเน้นที่ครอบครัวและสนับสนุนศาสนจักร”5 หนึ่ง บ้านเป็นที่ซึ่งเราใช้เวลามากที่สุด—มากกว่าเวลาที่เราใช้ที่โบสถ์แน่นอน (ทั้งที่อธิการมีงานล้นมือ) เราจะไม่คาดหวังให้ร่างกายของเรามีชีวิตอยู่นานด้วยอาหารสัปดาห์ละมื้อ—แม้จะเป็นมื้อที่ดีมากก็ตาม ในทำนองเดียวกัน ต่อให้ชั้นเรียนหนึ่งชั่วโมงที่โบสถ์ แม้ชั้นเรียนที่ดีเยี่ยมที่โบสถ์ เป็นสภาวะแวดล้อมหลักสำหรับการ “ดื่มด่ำพระวจนะของพระคริสต์” (2 นีไฟ 31:20) เราก็ยังอยู่ในอันตรายของการบำรุงเลี้ยงทางวิญญาณ

สอง บ้านเป็นทั้งห้องเรียนและห้องทดลอง ที่ซึ่งการเรียนรู้และการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณผสานกันไร้รอยต่อจนเราแทบแยกไม่ออก ประสบการณ์ในห้องทดลองของชีวิตไม่สามารถสร้างใหม่ในห้องเรียนอย่างเดียว

สำคัญที่สุดคือบ้านเป็น—หรือสามารถเป็น—เสียงสะท้อนของสวรรค์ สิ่งเตือนใจให้นึกถึงเป้าหมายนิรันดร์ที่เรามาเพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายนั้น ดังที่ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานสูงสุดกล่าว “แม้ครอบครัวบนโลกจะห่างไกลความดีพร้อม แต่ก็ให้โอกาสดีที่สุดแก่ลูกพระผู้เป็นเจ้าที่จะได้รับการต้อนรับสู่โลกพร้อมความรักแบบเดียวบนแผ่นดินโลกที่ใกล้เคียงกับความรักที่เรารู้สึกในสวรรค์—ความรักของพ่อแม่ ครอบครัวยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะรักษาและสืบทอดคุณธรรมจริยธรรมและหลักธรรมที่แท้จริงซึ่งเป็นสิ่งเหมาะสมที่สุดที่จะนำเรากลับสู่ที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า”6

ข้าพเจ้าทำให้ท่านผู้เป็นบิดามารดาหวั่นใจหรือไม่ หวังว่าจะไม่ การเน้นเรื่องการสอน การเรียนรู้ และการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณที่บ้านมิได้มุ่งหมายจะเพิ่มภาระให้บุคคลและครอบครัว แต่ตรงกันข้าม—เราหวังว่าโดยการยอมรับและสนับสนุนความพยายามของท่านที่บ้าน เราจะสามารถแบ่งเบาภาระที่ท่านแบกที่บ้านได้บ้าง หรือดีกว่านั้นเราอาจจะเสริมกำลังให้ท่าน “ทนแบก [ภาระ] ได้โดยง่าย” (โมไซยาห์ 24:15)

สนับสนุนการเรียนพระกิตติคุณที่โบสถ์

ภาพ
climbing and building a ladder

ทัศนะเพิ่มเติมนี้ของการน้อมรับพระกิตติคุณนอกห้องเรียนมิได้หมายความว่าห้องเรียนไม่สำคัญ เราหวังแน่นอนว่าการเรียนรู้ที่มีความหมายจะยังเกิดขึ้นที่โบสถ์ อันที่จริง บทบาทสนับสนุนของชั้นเรียนศาสนจักรสำคัญยิ่งต่อการเรียนรู้ที่มีบ้านเป็นศูนย์กลาง แต่เพื่อช่วยเปลี่ยนชีวิต การสอนที่โบสถ์จึงไม่สามารถแยกโดยสิ้นเชิงจากสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเหล่านั้น จะต้องเกี่ยวพันกันและใช้ประสบการณ์ทั้งของครูและนักเรียนให้เป็นประโยชน์

เห็นได้ชัดว่าการให้ความสนใจกับคู่มือหรือกระดานหรือการจัดเก้าอี้หรือแม้แต่คำถามสนทนาที่ดีเยี่ยมบางข้ออาจไม่ใช่การมุ่งเน้นที่ถูกต้อง บุตรธิดาแต่ละคนของพระผู้เป็นเจ้าและความก้าวหน้านิรันดร์ของเขาต้องเป็นวัตถุประสงค์ของความพยายามและความรักของเรา เรากำลังพยายามสัมผัสชีวิต และเราสัมผัสเก้าอี้หรือชอล์กหรือโสตทัศนอุปกรณ์เพียงเพื่อช่วยให้เราสัมผัสชีวิต เพื่อถอดความตามที่พระผู้ช่วยให้รอดตรัส ครูหรือชั้นเรียนจะได้ประโยชน์อะไรถ้ามัวแต่นำเสนอหลักคำสอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกและไม่มีหลักคำสอนใดประจักษ์ชัดในชีวิตและความรัก ความคิดและความรู้สึกของสมาชิกแต่ละคน บุคคลที่พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการช่วยให้รอดและทำให้สูงส่งอย่างมาก

มาตรวัดความสำเร็จที่แท้จริงจะไม่วัดว่าบทเรียนราบรื่นเพียงใด เราใช้เวลาดีเพียงใด ครูได้รับคำชมหลังจากนั้นมากเพียงใด หรือสมาชิกชั้นเรียนมีส่วนร่วมมากเพียงใด ความสำเร็จขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตผู้เรียน บราเดอร์เฮอร์เรโรพบบางสิ่งในพระคัมภีร์ในชั้นเรียนสัปดาห์ที่แล้วที่ช่วยให้เขาผ่านพ้นความท้าทายที่กำลังประสบอยู่หรือไม่ หรือดีกว่านั้นคือ มีบางอย่างเกิดขึ้นในชั้นที่ทำให้เขาเพิ่มความสามารถในการหาคำตอบที่ต้องการในระหว่างสัปดาห์หรือไม่ เมื่อเขาแบ่งปันประสบการณ์นั้นในสัปดาห์นี้ ซิสเตอร์ชมิดท์พบความหวังและศรัทธาที่เธอต้องการเพื่อเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยเธอเช่นกันหรือไม่ (ดู “การมองดูคนอื่นออกกำลังกายไม่ได้ทำให้ท่านแข็งแรง”)

ทั้งหมดนี้อาจหมายความว่า ถ้าท่านเป็นครู สิ่งที่ท่านเห็นในแหล่งข้อมูลการสอนแบบใหม่ของเราจะค่อนข้างต่างจากสิ่งที่ท่านเคยเห็นในคู่มือเล่มเก่า ท่านอาจพบคำแนะนำจำเพาะเจาะจงน้อยลงเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำและวิธีทำ แต่ออกแบบไว้กระตุ้นให้ท่านสวดอ้อนวอน มองหา และใช้ประสบการณ์ของท่านเอง การดลใจของท่านเอง และของคนที่ท่านสอนให้เป็นประโยชน์ (ดู “ท่านกำลังร้องเดี่ยวหรือนำคณะนักร้อง”)

เราลองสมมติว่าหลักสูตรการศึกษาคือพันธสัญญาใหม่ และข้าพเจ้าเป็นครูโรงเรียนวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องมาชั้นเรียนพร้อมข้อมูลไม่เป็นสาระจำนวนมากเกี่ยวกับเหตุการณ์ใน มัทธิว 5 คำพูดสร้างแรงบันดาลใจจากปราชญ์ทั้งหลายเกี่ยวกับคำเทศนาบนภูเขา และกิจกรรมสร้างสรรค์เกี่ยวกับวิธีเป็นผู้สร้างสันติ ทั้งหมดจัดเรียงและกำหนดเวลาให้เราใช้จนถึงห้านาทีก่อนหมดชั่วโมง แต่ข้าพเจ้าศึกษาและดำเนินชีวิตตามหลักธรรมใน มัทธิว 5 เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าคาดหวังให้ผู้เรียนทำ ความแตกต่างอย่างเดียวคือข้าพเจ้าจะทำเช่นนั้นด้วยการคิดและสวดอ้อนวอนมากขึ้นเกี่ยวกับสมาชิกชั้นเรียนแต่ละคนและหลักธรรมเหล่านี้จะมีความหมายต่อพวกเขาอย่างไร จากนั้น ในชั้น ภายใต้อิทธิพลของพระวิญญาณ ข้าพเจ้ากระตุ้นพวกเขาให้จรรโลงใจกันและสนับสนุนกันในการพยายามศึกษาและดำเนินชีวิตตาม มัทธิว 5 ข้าพเจ้าช่วยให้พวกเขาเห็นความเชื่อมโยงระหว่างชีวิตพวกเขากับหลักคำสอนอันล้ำค่าในพระคัมภีร์ เหนือสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอการดลใจในช่วงเปลี่ยนข้อเท็จจริงเป็นศรัทธา เปลี่ยนคำถามเป็นการแสวงหา

ภาพ
putting puzzle pieces together

แน่นอนว่า ในปฐมวัยบทบาทของข้าพเจ้าอาจต่างออกไปเล็กน้อย แต่เป้าหมายของข้าพเจ้าคือไม่ใช่ให้เด็กเล็กสนุกสนานตลอด 45 นาทีหรือให้พวกเขาเงียบเพื่อข้าพเจ้าจะได้พูดสิ่งที่อยากพูดโดยไม่ถูกขัดจังหวะ จุดประสงค์ของข้าพเจ้าคือสร้างพวกเขาให้เป็นผู้เรียนที่พึ่งตนเอง ช่วยให้พวกเขาเห็นว่าชีวิตพวกเขาดีขึ้นเพราะความจริงจากพระกิตติคุณอย่างไร และสนับสนุนบิดามารดาของพวกเขา—ครูสอนพระกิตติคุณที่สำคัญที่สุดของพวกเขา

ข้าพเจ้าทำให้พ่อแม่งงงวยมาแล้ว ตอนนี้ข้าพเจ้าอาจจะทำให้ครูหวั่นใจ ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะขอปลอบใจท่านด้วยความคิดสองข้อนี้ (1) ท่านกำลังสอนคน ไม่ใช่บทเรียน และท่านรู้จักคนดีกว่าคู่มือบทเรียนจะรู้จัก (2) การพยายามเรียนรู้และดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณด้วยตัวท่านเองเป็นการเตรียมสอนพระกิตติคุณที่ดีที่สุดให้ผู้อื่น พึงจดจำว่าวิธีที่ดีที่สุดในการอัญเชิญพระวิญญาณเข้ามาในชีวิตเรา—และในการสอนของเรา—คือเรียนรู้และดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณด้วยตัวท่านเอง พระวิญญาณทรงเป็นครูสูงสุดในศาสนจักรนี้และโชคดีที่อิทธิพลของพระองค์ไม่มีขีดจำกัด

พระองค์ทรงทำเครื่องหมายเส้นทางและทรงนำทาง

ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของเราคือขอให้พระเจ้าทรงยกเราขึ้นสู่ความสูงใหม่ๆ ของการเติบโตทางวิญญาณผ่านวิธีใหม่ของการเรียนรู้และการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ ด้วยความช่วยเหลือจากพระองค์ เราจะแบ่งปันพระกิตติคุณกับเพื่อนๆ ของเรา ไม่ใช่เพราะเรารู้สึกเป็นภาระหน้าที่แต่เพราะพระกิตติคุณเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา และเราไม่สามารถอ้าปากของเราได้โดยไม่แบ่งปันความจริงบางอย่างของพระกิตติคุณ ถ้าเป็นไปตามที่นึกฝันไว้ เพื่อนต่างศาสนาของเราจะเห็นแสงสว่างเพิ่มขึ้นในชีวิตเรา และจะพบผู้สอนศาสนา—ก่อนผู้สอนศาสนาพบพวกเขาด้วยซ้ำ—เพื่อให้ครอบครัวของพวกเขาเองได้เห็นสิ่งที่พวกเขาเห็น การแต่งงานในพระวิหาร งานประวัติครอบครัว อำนาจและศาสนพิธีฐานะปุโรหิต ความบริสุทธิ์ทางศีลธรรม การดูแลคนจน—ทั้งหมดนั้นจะเป็นผลสืบเนื่องจากการเรียนรู้และดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณทุกวันของสานุศิษย์ที่เปลี่ยนใจเลื่อมใสพระคริสต์อย่างลึกซึ้ง พร้อมด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่ เหมาะสม และสม่ำเสมอจากชั้นเรียนวันอาทิตย์ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้ากำลังนำเราไปให้ถึง และเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นเร้าใจอย่างแท้จริง!

เราใช้วลี “การสอนในวิธีของพระผู้ช่วยให้รอด” แต่ข้าพเจ้าหวังว่านั่นจะไม่เป็นคำที่พูดติดปากหรือพูดบ่อยเกินไป จริงๆ แล้ว ทั้งหมดที่เราหมายถึงคือเราทั้งครูและนักเรียนต้องการเป็นเหมือนพระคริสต์ เราจึงต้องพยายามแบ่งปันพระกิตติคุณในวิธีของพระองค์ นี่เป็นโอกาสให้สมทบกับสานุศิษย์ เข้าไปในถนนหลวงและตรอกซอกซอยพร้อมกับพระเยซูขณะตามหาคนที่หายไป นี่เป็นโอกาสให้ปีนเขาของผู้เป็นสุขพร้อมกับมหาชนและนั่งริมฝั่งทะเลกาลิลีกับฝูงชน นี่เป็นโอกาสให้เราทุกคนแตะชายฉลองพระองค์ของพระอาจารย์และหายเป็นปกติ

ข้าพเจ้ารักบทกวีนี้ที่อีไลซา อาร์. สโนว์ประพันธ์คำร้องให้เพลงสวดที่สร้างแรงบันดาลใจมากที่สุดเพลงหนึ่งในศาสนจักร

พระองค์บอกทาง เดินนำทางนั้น

และชี้แจงจุดนานา

สู่แสงและชีวีและนิรันดร์

เบื้องพระพักตร์บรรเจิดจ้า7

ภาพ
opening a door to light

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เดินกับท่านไปสู่อนาคตอันรุ่งโรจน์ที่พระบิดาในสวรรค์ทรงเตรียมไว้ให้เรา ข้าพเจ้ารู้ใจท่าน ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านรักพระเจ้าและต้องการทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานว่าเมื่อเราเรียนรู้พระประสงค์ของพระองค์ เมื่อเราสั่งสมแสงสว่างและความจริง และทำให้เป็นส่วนหนึ่งของเราทุกวัน แสงสว่างนั้นจะเพิ่มขึ้นในเรา “เจิดจ้ายิ่งขึ้นๆ จนถึงวันที่ สมบูรณ์” (คพ. 50:24; เน้นตัวเอน) วันที่เราจะได้อยู่กับพระองค์เพราะเราจะเป็นเหมือนพระองค์

อ้างอิง

  1. คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ (2007), 152.

  2. คำสอน: โจเซฟ สมิธ, 237, 289.

  3. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “พระเยซูคริสต์—พระผู้เชี่ยวชาญการรักษา,” เลียโฮนา, พ.ย. 2005, 102.

  4. ดู ดัลลิน เอช. โอ๊คส์, “การท้าทายเพื่อที่จะเป็น,” เลียโฮนา, ม.ค. 2001, 47–50; ดู เดวิด เอ. เบดนาร์, “เปลี่ยนใจเลื่อมใสมาสู่พระเจ้า,” เลียโฮนา, พ.ย. 2012, 106–109.

  5. คู่มือเล่ม 2: การบริหารงานศาสนจักร (2010), 1.4.

  6. เฮนรีย์ บี. อายริงก์, “การรวบรวมครอบครัวของพระผู้เป็นเจ้า,” เลียโฮนา, พ.ค. 2017, 20.

  7. “ปัญญาและความรักยิ่งใหญ่,” เพลงสวด, บทเพลงที่ 88.

พิมพ์