2023
บุตรที่หายไปและถนนที่นำกลับบ้าน
พฤศจิกายน 2023


14:32

บุตรที่หายไปและถนนที่นำกลับบ้าน

ถึงแม้การเลือกอาจพาท่านไปไกลจากพระผู้ช่วยให้รอดและศาสนจักรของพระองค์ แต่พระปรมาจารย์ด้านการเยียวยาทรงยืนต้อนรับท่านตรงถนนที่นำกลับบ้าน

ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน

มีคนเรียกเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องสั้นที่ดีที่สุดที่เคยเล่าขานกันมา1 เนื่องจากเรื่องนี้แปลมาแล้วในหลายพันภาษาทั่วโลก อาจเป็นไปได้ทีเดียวว่าในช่วงสองพันปีที่ผ่านมา ดวงอาทิตย์ไม่ทันตกโดยไม่มีที่ไหนสักแห่งในโลกพูดถึงเรื่องนี้

ผู้เล่าเรื่องนี้คือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของเรา ผู้เสด็จมาโลกนี้เพื่อ “ช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด”2 พระองค์ทรงเริ่มด้วยพระดำรัสเรียบง่าย: “ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน”3

แล้วเราก็ได้เรียนรู้ทันทีถึงปมขัดแย้งอันน่าสะเทือนใจ บุตรคนหนึ่ง4 บอกพ่อว่าเขาใช้ชีวิตที่บ้านมาพอแล้ว เขาต้องการอิสรภาพ เขาอยากทิ้งการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่ จึงขอส่วนแบ่งมรดกของตนเอง—ตอนนี้เลย5

ท่านนึกภาพออกไหมว่าผู้เป็นพ่อรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินแบบนี้? เมื่อเขาตระหนักว่าสิ่งที่บุตรต้องการเหนือสิ่งอื่นใดคือออกจากครอบครัวและอาจไม่กลับมาอีก?

การผจญภัยครั้งใหญ่

บุตรคนนี้ต้องรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการผจญภัยและความตื่นเต้นอย่างแน่นอน ในที่สุด เขาก็ได้เป็นเอกเทศ เป็นอิสระจากหลักธรรมและกฎเกณฑ์การอบรมในวัยเยาว์ ในที่สุดเขาก็ได้เลือกเองโดยไม่ต้องมีพ่อแม่มาคอยกำหนด ไม่ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไป เขาจะได้เป็นที่ยอมรับของกลุ่มคนที่มีความคิดแบบเดียวกันและใช้ชีวิตตามแบบของตัวเอง

เมื่อมาถึงประเทศห่างไกล เขาหาเพื่อนใหม่ทันทีและเริ่มใช้ชีวิตแบบที่ใฝ่ฝันมาตลอด เขาต้องเป็นคนโปรดของหลายคนแน่นอน เพราะใช้จ่ายไม่ยั้งมือ บรรดาเพื่อนใหม่—ผู้ได้ประโยชน์จากความสุรุ่ยสุร่ายของเขา—ไม่มาตัดสินเขา คนเหล่านั้นยกย่องสรรเสริญและสนับสนุนการเลือกของเขา6

ถ้ามีโซเชียลมีเดียในสมัยนั้น เขาคงมีภาพรื่นเริงของเพื่อนๆ กำลังสรวลเสเฮฮาเต็มหน้าเพจ: #ใช้ชีวิตเต็มที่! #สุขกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว! #น่าจะทำแบบนี้มาตั้งนาน!

กันดารอาหาร

แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา—มันมักจะเป็นเช่นนั้น มีสองอย่างเกิดขึ้น: อย่างแรกคือเขาเงินหมด และสองคือเกิดความกันดารอาหารทั่วแผ่นดิน7

เมื่อปัญหารุนแรงขึ้น เขาตื่นตระหนก จากคนที่มีกินมีใช้แบบฟุ่มเฟือยกลับไม่มีเงินซื้ออาหารสักมื้อ ที่พักยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาจะอยู่รอดได้อย่างไร?

เขาเคยใจดีกับเพื่อนฝูง—ตอนนี้เพื่อนจะช่วยเขาหรือเปล่า? ข้าพเจ้าพอจะเห็นภาพว่าเขาคงขอความช่วยเหลือนิดๆ หน่อยๆ—ชั่วครู่ชั่วยาม—จนกว่าจะฟื้นตัวได้

พระคัมภีร์บอกเราว่า “ไม่มีใครให้อะไรเขาเลย”8

เขาดิ้นรนอยากมีชีวิตอยู่ต่อ จนได้เจอกับเจ้าของฟาร์มผู้จ้างเขาไปเลี้ยงสุกร9

ตอนนี้เขาหิวโซ ถูกทอดทิ้งไว้เดียวดาย ชายหนุ่มคนนี้ต้องสงสัยแน่เลยว่าทำไมถึงเกิดเรื่องเลวร้ายได้มากมายขนาดนี้

เขาไม่ได้ทุกข์เพียงเพราะท้องว่าง แต่เพราะจิตวิญญาณเขาว่างเปล่า เขาเคยมั่นใจมากว่าการยอมทำตามความปราถนาทางโลกจะทำให้เขามีความสุข และกฎศีลธรรมเป็นอุปสรรคต่อความสุขนั้น ตอนนี้เขารู้ดีขึ้น โอ้ เขาต้องจ่ายแพงลิ่วสำหรับความรู้นั้น!10

เมื่อความหิวโหยทางกายและทางวิญญาณเพิ่มขึ้น เขาจึงหวนคิดถึงพ่อ พ่อจะช่วยเขาหรือเปล่าหลังจากเกิดเรื่องทั้งหมดนั้น? แม้แต่ลูกจ้างต่ำต้อยที่สุดของพ่อก็ยังมีอาหารกินและมีที่กำบังพายุ

แต่ให้กลับไปหาพ่อน่ะหรือ?

ไม่มีวัน

ให้สารภาพกับคนในหมู่บ้านหรือว่าเขาผลาญมรดกไปหมดแล้ว?

ไม่มีทาง

ต้องไปเจอหน้าเพื่อนบ้านที่เคยเตือนว่าเขาทำให้ครอบครัวอับอายและทำให้พ่อแม่ใจสลายอย่างนั้นหรือ? ต้องกลับไปหาเพื่อนเก่าหลังจากเคยไปอวดว่าเป็นอิสระแล้ว?

ไม่ไหวแน่

แต่ความหิว ความเหงา และความสำนึกผิดไม่ยอมหายไป—จน “เขาสำนึกตัว”11

เขารู้ว่าต้องทำอะไร

การกลับมา

เรากลับมาที่พ่อ หัวหน้าครอบครัวผู้ใจสลาย กี่ร้อยกี่พันชั่วโมงที่เขาใช้ไปกับการเป็นห่วงลูกชาย?

กี่ครั้งที่เขามองไปตามถนนเส้นที่ลูกชายเลือกและหวนนึกถึงความสูญเสียที่เสียดแทงใจขณะลูกชายเดินจากไป? กี่ครั้งที่เขาสวดอ้อนวอนกลางดึก ทูลวิงวอนพระผู้เป็นเจ้าขอให้ลูกชายปลอดภัย ได้ค้นพบความจริง และยอมกลับมา?

และแล้ววันหนึ่ง พ่อก็มองออกไปทางถนนสายเปลี่ยวเส้นนั้น—ถนนที่นำกลับบ้าน—และเห็นร่างหนึ่งกำลังเดินมาหาอยู่ไกลๆ

เป็นไปได้หรือ?

แม้คนนั้นจะอยู่ไกลมาก แต่ผู้เป็นพ่อรู้ทันทีว่านั่นคือลูกชาย

เขาวิ่งไปหาลูกชาย โอบกอด และจูบแก้มลูก12

“พ่อ” ลูกชายร้องไห้ออกมาและใช้คำพูดที่เขาคงซักซ้อมมาเป็นพันครั้ง “ลูกผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย ไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป ขอโปรดให้ลูกอยู่ในฐานะของลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด”13

แต่พ่อไม่ยอมปล่อยให้ลูกพูดจนจบ พ่อน้ำตาคลอ สั่งบ่าวว่า: “จงไปเอาเสื้อที่ดีที่สุดในบ้านมาคลุมไหล่ให้ลูกชายเรา เอาแหวนมาสวมที่นิ้วมือ และเอารองเท้ามาสวมให้ด้วย จัดงานเลี้ยงฉลอง ลูกชายเรากลับมาแล้ว!”14

งานฉลอง

ในห้องทำงานของข้าพเจ้ามีภาพวาดของศิลปินชาวเยอรมันชื่อริชาร์ด เบอร์เดอ แฮร์เรียตกับข้าพเจ้าชอบภาพวาดนี้มาก เป็นภาพเหตุการณ์หนึ่งจากอุปมาของพระผู้ช่วยให้รอดในมุมมองที่ลึกซึ้งขึ้น

การกลับมาของบุตรที่หายไป โดยริชาร์ด เบอร์เดอ

ขณะที่เกือบทุกคนดีใจมากที่บุตรคนนั้นกลับมา แต่มีคนหนึ่งไม่ดีใจ ก็คือพี่ชาย15

เขากำลังแบกภาระทางอารมณ์บางอย่าง

เขาอยู่ที่นั่นด้วยตอนน้องชายเรียกร้องมรดก เขาเห็นความเศร้าโศกสุดแสนของพ่อด้วยตาตนเอง

ตั้งแต่น้องชายจากไป เขาพยายามแบ่งเบาภาระของพ่อมาโดยตลอด เขาพยายามทุกวันเพื่อฟื้นฟูใจที่แตกสลายของพ่อ

และตอนนี้ลูกชายเสเพลคนนั้นก็กลับมา และคนอื่นก็เอาแต่สนใจน้องชายผู้ดื้อรั้นของเขา

“หลายปีมานี้” เขาบอกพ่อ “ลูกไม่เคยปฏิเสธสักเรื่องที่พ่อขอให้ทำ แต่ตลอดเวลานั้น พ่อไม่เคยจัดงานเลี้ยงให้ลูกเลย”16

พ่อผู้เปี่ยมด้วยความรักตอบว่า “ลูกรัก ทั้งหมดที่พ่อมีเป็นของลูกอยู่แล้ว! นี่ไม่ใช่เวลามาเปรียบเทียบรางวัลหรืองานฉลอง แต่เป็นเวลาเยียวยา นี่คือช่วงเวลาที่เราเฝ้าหวังมาตลอดหลายปี น้องชายของลูกตายไปแล้วแต่กลับเป็นขึ้นอีก! เขาหายไปแล้วแต่ยังได้พบกันอีก!”17

อุปมาสำหรับยุคสมัยของเรา

พี่น้องที่รัก มิตรสหายที่รัก เช่นเดียวกับอุปมาทุกเรื่องของพระผู้ช่วยให้รอด เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคนที่มีชีวิตเมื่อนานมาแล้วเท่านั้น แต่เกี่ยวกับท่านและข้าพเจ้าในปัจจุบัน

ใครบ้างในพวกเราไม่เคยออกนอกเส้นทางศักดิ์สิทธิ์ โดยคิดแบบโง่ๆ ว่าเราจะพบความสุขมากขึ้นจากการไปตามเส้นทางที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง?

ใครบ้างในพวกเราไม่เคยรู้สึกต้อยต่ำ ใจสลาย และต้องการได้รับการอภัยและความเมตตา?

บางทีบางคนอาจแม้แต่สงสัยว่า “กลับมาได้จริงหรือ? ฉันจะถูกเพื่อนเก่าตราหน้า ปฏิเสธ และหลบหน้าหรือเปล่า? หายไปแบบนี้จะดีกว่าไหม? พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าฉันพยายามกลับมา?”

อุปมาเรื่องนี้ให้คำตอบ

พระบิดาบนสวรรค์จะทรงวิ่งมาหาเรา ใจพระองค์ท่วมท้นด้วยความรักและความสงสาร พระองค์จะทรงโอบกอดเรา เอาเสื้อมาคลุมไหล่เรา สวมแหวนให้เรา และสวมรองเท้าให้เรา และประกาศว่า “วันนี้เราจะฉลอง! เพราะลูกของเราที่ตายไปแล้ว กลับมามีชีวิตอีกครั้ง!”

สวรรค์จะชื่นชมยินดีที่พวกเรากลับมา

ความยินดีเป็นล้นพ้นสุดจะพรรณนา

ข้าพเจ้าขอใช้เวลาสักครู่พูดกับท่านเป็นรายบุคคล

ไม่ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นในชีวิตท่าน ข้าพเจ้าขอประกาศถ้อยคำของมิตรที่รักและเพื่อนอัครสาวกของข้าพเจ้า เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์ว่า: “เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะจมดิ่งลงไปลึกกว่าที่ความสว่างอันไม่มีขอบเขตจากการชดใช้ของพระคริสต์จะส่องถึง”18

ถึงแม้การเลือกอาจพาท่านไปไกลจากพระผู้ช่วยให้รอดและศาสนจักรของพระองค์ แต่พระปรมาจารย์ด้านการเยียวยาทรงยืนต้อนรับท่านตรงถนนที่นำกลับบ้าน และเราในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์หมายมั่นที่จะทำตามแบบอย่างของพระองค์และโอบกอดท่านเสมือนพี่น้อง เสมือนเพื่อนของเรา เราชื่นชมยินดีและฉลองกับท่าน

การกลับมาของท่านจะไม่ลดพรของผู้อื่น เพราะความอารีของพระบิดาไม่มีขอบเขต และสิ่งที่ประทานให้คนหนึ่งไม่ได้ลดสิทธิ์แต่กำเนิดของคนอื่นแม้แต่น้อย19

ข้าพเจ้าไม่ได้แสร้งหลอกว่าการกลับมาทำได้ง่าย ข้าพเจ้าเป็นพยานเรื่องนี้ได้ อันที่จริง นั่นอาจเป็นการเลือกที่ยากที่สุดที่ท่านจะเคยทำก็ได้

แต่ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าทันทีที่ท่านตัดสินใจกลับมาเดินในทางของพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของเรา เดชานุภาพของพระองค์จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตท่าน20

เหล่าเทพในสวรรค์จะชื่นชมยินดี

เราผู้เป็นครอบครัวของท่านในพระคริสต์ก็จะชื่นชมยินดีด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้ว เรารู้ว่าการเป็นบุตรที่หายไปเป็นอย่างไร เราทุกคนล้วนพึ่งพาอำนาจการชดใช้ของพระคริสต์เหมือนกันทุกวัน เรารู้เส้นทางนี้ และเราจะเดินกับท่าน

ไม่เลย เส้นทางของเราจะไม่ปลอดความทุกข์โศกและความเศร้าเสียใจ แต่เรามาไกลถึงเพียงนี้ “โดยพระวจนะของพระคริสต์พร้อมด้วยศรัทธาอันไม่สั่นคลอนในพระองค์; โดยวางใจอย่างเต็มที่ในคุณงามความดีของพระองค์ผู้ทรงอานุภาพที่จะช่วยให้รอด” และเราจะพร้อมใจกัน “มุ่งหน้าด้วยความแน่วแน่ในพระคริสต์, โดยมีความเจิดจ้าอันบริบูรณ์แห่งความหวัง, และความรักต่อพระผู้เป็นเจ้าและต่อ [คน] ทั้งปวง”21 เราจะพร้อมใจกัน “ชื่นชมยินดีด้วยความยินดีเป็นล้นพ้นสุดจะพรรณนา”22 เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นความเข้มแข็งของเรา!23

คำสวดอ้อนวอนของข้าพเจ้าคือขอให้เราแต่ละคนได้ยินสุรเสียงของพระบิดาในอุปมาอันลึกซึ้งนี้ที่ทรงเรียกเราเข้ามาสู่ถนนที่นำกลับบ้าน—เพื่อที่เราจะกล้ากลับใจ รับการอภัย และเดินตามเส้นทางที่นำกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมีความเมตตากรุณา ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงสิ่งนี้และฝากพรไว้กับท่านในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ใน ลูกา 15 อุปมาเรื่องนี้เป็นหนึ่งในสามเรื่อง (แกะหาย เหรียญหาย และบุตรหาย) ที่อธิบายคุณค่าของสิ่งที่หายไปและงานฉลองที่เกิดขึ้นเมื่อพบสิ่งที่หายไปนั้น

  2. ลูกา 19:10

  3. ลูกา 15:11

  4. บุตรคนนี้น่าจะอายุยังน้อย เขายังไม่แต่งงาน ซึ่งอาจบ่งบอกวัยของเขา แต่อายุไม่ได้น้อยถึงขนาดไม่สามารถเรียกร้องมรดกและออกจากบ้านทันทีที่ได้มา

  5. ตามกฎหมายและประเพณีชาวยิว บุตรคนโตมีสิทธิ์รับมรดกของบิดาสองในสามส่วน ดังนั้นบุตรคนเล็กจึงมีสิทธิ์รับหนึ่งในสามส่วน (ดู เฉลยธรรมบัญญัติ 21:17)

  6. ดู ลูกา 15:13

  7. ดู ลูกา 15:14

  8. ลูกา 15:16

  9. ชาวยิวถือว่าหมู “ไม่สะอาด” (ดู เฉลยธรรมบัญญัติ 14:8) และน่ารังเกียจ ชาวยิวที่เคร่งศาสนาจะไม่เลี้ยงสุกร ซึ่งบ่งบอกว่าผู้คุมงานเป็นคนต่างชาติ ทั้งยังบอกเป็นนัยด้วยว่าบุตรคนเล็กเดินทางไปไกลมากแค่ไหนเพื่อหนีจากชาวยิวที่เคร่งศาสนา

  10. เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์สอนว่า: “แน่นอนว่าถ้าเราถ่อมตน ‘เพราะพระวจนะ’ ย่อมดีกว่า [ถ่อมตน] เพราะสภาวการณ์ แต่เราอาจเป็นอย่างหลัง! (ดู แอลมา 32:13–14) ความกันดารอาหารสามารถทำให้เกิดความหิวโหยทางวิญญาณได้” (“Tugs and Pulls of the World,” Ensign, Nov. 2001, 45)

  11. ลูกา 15:17

  12. ดู ลูกา 15:20

  13. ดู ลูกา 15:18–19, 21

  14. ดู ลูกา 15:22–24

  15. อย่าลืมว่าบุตรคนเล็กได้รับมรดกของตนแล้ว สำหรับบุตรคนโต นั่นหมายความว่าทุกอย่างที่เหลือเป็นของเขา การให้สิ่งใดกับบุตรคนเล็กย่อมหมายถึงการเอาสิ่งนั้นไปจากบุตรคนโตที่อยู่กับพ่อ

  16. ดู ลูกา 15:29

  17. ดู ลูกา 15:31–32

  18. เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์, “คนงานในสวนองุ่น,” เลียโฮนา, พ.ค. 2012.

  19. สิ่งที่ประทานให้คนหนึ่งไม่ได้ลดสิทธิ์แต่กำเนิดของคนอื่นแม้แต่น้อย พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนหลักคำสอนนี้เมื่อทรงให้อุปมาเรื่องคนงานใน มัทธิว 20:1–16

  20. ดู แอลมา 34:31

  21. 2 นีไฟ 31:19–20

  22. 1 เปโตร 1:8

  23. ดู สดุดี 28:7