ลำแสงและรังสี
เราเองก็มีลำแสงเป็นของตนเองได้—ทีละหนึ่งรังสี
ข่าวสารของข้าพเจ้าสำหรับคนที่กำลังกังวลเกี่ยวกับประจักษ์พยานของตนเนื่องจากยังไม่มีประสบการณ์ทางวิญญาณอันท่วมท้น ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้ข้าพเจ้าสามารถมอบสันติสุขและความมั่นใจได้
การฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เริ่มต้นด้วยการปะทุของแสงสว่างและความจริง! เด็กหนุ่มคนหนึ่งทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ก ซึ่งมีชื่อธรรมดาๆ ว่าโจเซฟ สมิธ เข้าไปในป่าเพื่อสวดอ้อนวอน เขากังวลเรื่องจิตวิญญาณและจุดยืนของเขาต่อพระผู้เป็นเจ้า เขาแสวงหาการอภัยบาป และเขาสับสนว่าควรเข้าร่วมกับศาสนจักรใด เขาต้องการความกระจ่างและสันติสุข—เขาต้องการความสว่างและความรู้
ขณะโจเซฟคุกเข่าสวดอ้อนวอน และ “ตั้งจิตปรารถนา [ของเขา] ต่อพระผู้เป็นเจ้า” ความมืดมิดเข้ามารายล้อมเขา บางสิ่งที่ชั่วร้าย กดขี่ และมีตัวตนจริงๆ พยายามหยุดยั้งเขา—ผูกลิ้นเขาไว้จนพูดไม่ได้ พลังแห่งความมืดรุนแรงเสียจนโจเซฟคิดว่าเขากำลังจะตาย แต่เขา “ใช้พลังทั้งหมด [ของเขา] เรียกหาพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงปลดปล่อย [เขา] หลุดพ้นจากอำนาจของศัตรูนี้ซึ่งตรึง [เขา] ไว้” และจากนั้น “ชั่วขณะนั้นเองที่ [เขา] กำลังจะจมลงสู่ความสิ้นหวังและยอมตนต่อความพินาศ” เมื่อเขาไม่รู้ว่าเขาจะยืนหยัดต่อไปได้อีกหรือไม่ แสงสุกใสอันรุ่งโรจน์ก็ปกคลุมทั่วผืนป่า ทำให้ความมืดมิดและศัตรูแห่งจิตวิญญาณกระจัดพลัดพรายไป
“ลำแสง” หนึ่งเจิดจ้ากว่าดวงอาทิตย์ค่อยๆ เลื่อนลงมาบนเขา พระอติรูปองค์หนึ่งปรากฏ แล้วก็มีอีกองค์หนึ่ง “ความเจิดจ้าและรัศมีภาพของทั้งสองพระองค์เกินกว่าจะพรรณนาได้” พระองค์แรก พระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงเรียกชื่อเขา “พลางชี้พระหัตถ์ไปที่อีกองค์หนึ่ง—[โจเซฟ!] นี่คือบุตรที่รักของเรา จงฟังท่าน!”
และด้วยการปะทุอันท่วมท้นนั้นของแสงสว่างและความจริง การฟื้นฟูได้เริ่มขึ้น การเปิดเผยและพรจากสวรรค์อันเอ่อล้นจะตามมา: พระคัมภีร์ใหม่ กุญแจฐานะปุโรหิตที่ได้รับการฟื้นฟู อัครสาวกและศาสดาพยากรณ์ ศาสนพิธีและพันธสัญญา และการสถาปนาขึ้นอีกครั้งของศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่ของพระเจ้า ซึ่งสักวันหนึ่งจะเติมเต็มแผ่นดินโลกด้วยแสงสว่างและพยานของพระเยซู และพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระองค์
ทั้งหมดนั้นและอีกมาก เริ่มต้นจากการสวดอ้อนวอนอย่างสุดชีวิตของเด็กหนุ่มและลำแสงหนึ่ง
เราเองก็มีความต้องการอย่างสุดชีวิต เราเองก็ต้องการอิสรภาพจากความสับสนทางวิญญาณและความมืดมนทางโลก เราต่างต้องรู้ด้วยตัวเราเอง นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน เชื้อเชิญให้เรา “จดจ่อความคิด [ของเรา] อยู่ในแสงสว่างอันรุ่งโรจน์ของการฟื้นฟู”
ความจริงอันสำคัญยิ่งประการหนึ่งของการฟื้นฟูคือสวรรค์เปิดอยู่—เราเองก็รับความสว่างและความรู้จากเบื้องบนได้ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่านี่เป็นความจริง
แต่เราต้องระวังกับดักทางวิญญาณ บางครั้งสมาชิกศาสนจักรที่ซื่อสัตย์กลับท้อแท้และเหินห่างไปเพราะพวกเขาไม่มีประสบการณ์ทางวิญญาณที่ท่วมท้น—เพราะพวกเขาไม่เคยประสบกับลำแสงของตนเอง ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์เตือนว่า “การคาดหวังความน่าตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอ ทำให้หลายคนพลาดการสื่อสารที่เปิดเผยมาอย่างต่อเนื่อง”
ประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธเล่าเช่นเดียวกันว่า “พระเจ้าทรงระงับเรื่องอัศจรรย์จากข้าพเจ้า [เมื่อข้าพเจ้ายังเด็ก] และแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นความจริง บรรทัดมาเติมบรรทัด กฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์ ที่นี่นิดและที่นั่นหน่อย”
นั่นคือแบบแผนของพระเจ้า พี่น้องทั้งหลาย แทนที่จะส่งลำแสงมาให้เรา พระเจ้าทรงส่งรังสีมาให้เราทีละรังสี ทีละรังสี และทีละรังสี
รังสีเหล่านั้นสาดส่องมาที่เราอย่างต่อเนื่อง พระคัมภีร์สอนว่าพระเยซูคริสต์ “ทรงเป็นแสงสว่างและชีวิตของโลก” ว่า “พระวิญญาณ [ของพระองค์] ทรงให้ความสว่างแก่มนุษย์ทุกคนที่มาในโลก” และว่าแสงสว่างของพระองค์ “เติมเต็มความกว้างใหญ่ไพศาลของที่ว่าง” ซึ่งให้ “ชีวิตแก่สิ่งทั้งปวง” แสงสว่างของพระคริสต์อยู่รอบตัวเราจริงๆ
หากเราได้รับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และพยายามใช้ศรัทธา กลับใจ และให้เกียรติพันธสัญญาของเรา เมื่อนั้นเราก็มีค่าควรได้รับรังสีจากสวรรค์เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ในวลีที่น่าจดจำของเอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์ “เรากำลัง ‘ดำเนินชีวิตอยู่ในการเปิดเผย’”
แต่ถึงกระนั้น เราทุกคนก็แตกต่างกัน ไม่มีคนสองคนที่ประสบกับแสงสว่างและความจริงของพระผู้เป็นเจ้าในลักษณะเดียวกันทุกประการ โปรดใช้เวลาสักครู่คิดว่าท่านประสบกับแสงสว่างและพระวิญญาณของพระเจ้าอย่างไร
ท่านอาจเคยประสบกับการปะทุออกมาของแสงสว่างและประจักษ์พยานเหล่านี้เมื่อ “ความสงบ [พูด] แก่จิตใจของท่านเกี่ยวกับเรื่อง” ที่ทำให้ท่านกังวลอยู่
หรือเป็นการดลใจ—เสียงเบาๆ—ที่ฝังแน่น “อยู่ในความนึกคิดและในใจท่าน” และกระตุ้นให้ท่านทำดี เช่น การช่วยเหลือใครสักคน
บางทีท่านอาจเคยอยู่ในชั้นเรียนที่โบสถ์—หรือที่ค่ายเยาวชน—และรู้สึกปรารถนาแรงกล้าที่จะติดตามพระเยซูคริสต์และซื่อสัตย์ต่อไป บางทีท่านอาจยืนแบ่งปันประจักษ์พยานที่ท่านหวังว่าจะเป็นความจริงแล้วรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น
หรือบางทีท่านอาจสวดอ้อนวอนและรู้สึกมั่นใจอย่างเปี่ยมปีติว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักท่าน
ท่านอาจเคยได้ยินบางคนแสดงประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ และประจักษ์พยานนั้นกินใจและเติมเต็มความหวังให้ท่าน
บางทีท่านอาจกำลังอ่านพระคัมภีร์มอรมอนและมีข้อหนึ่งพูดแก่จิตวิญญาณท่าน ราวกับว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเตรียมไว้ตรงนั้นเพื่อท่านโดยเฉพาะ—แล้วท่านก็ตระหนักว่าพระองค์ทรงทำเช่นนั้น
ท่านอาจรู้สึกถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้าต่อผู้อื่นขณะรับใช้พวกเขา
หรือบางทีท่านอาจประสบปัญหาในการรู้สึกถึงพระวิญญาณในขณะนั้นเพราะความหดหู่หรือความวิตกกังวล แต่มีของประทานอันล้ำค่าและศรัทธาที่จะมองย้อนกลับไปและรับรู้ถึง “พระเมตตาอันละเอียดอ่อนของพระเจ้า” ในอดีต
ประเด็นของข้าพเจ้าคือมีหลายวิธีที่จะได้รับรังสีแห่งประจักษ์พยานจากสวรรค์ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงบางส่วน อาจไม่ใช่เรื่องเร้าใจ แต่ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของประจักษ์พยานของเรา
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นลำแสง แต่เหมือนกับพวกท่าน ข้าพเจ้ามีประสบการณ์กับรังสีจากสวรรค์มามากมาย หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าพเจ้าพยายามทะนุถนอมประสบการณ์เหล่านั้น ข้าพเจ้าพบว่าเมื่อทำเช่นนั้น ข้าพเจ้ารับรู้และจดจำสิ่งเหล่านั้นได้มากขึ้น นี่คือตัวอย่างบางส่วนจากชีวิตข้าพเจ้าเอง อาจดูไม่น่าทึ่งสำหรับบางคน แต่มีคุณค่ามากสำหรับข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจำได้ว่าเคยเป็นวัยรุ่นที่ชอบเอะอะโวยวายในพิธีบัพติศมา ขณะที่การประชุมกำลังจะเริ่ม ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระวิญญาณทรงกระตุ้นให้ข้าพเจ้านั่งลงและอยู่ในความคารวะ ข้าพเจ้านั่งลงและเงียบตลอดทั้งการประชุม
ก่อนเป็นผู้สอนศาสนา ข้าพเจ้ากลัวว่าประจักษ์พยานจะไม่เข้มแข็งพอ ไม่มีใครในครอบครัวข้าพเจ้าเคยรับใช้งานเผยแผ่ และข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าจะทำได้หรือไม่ ข้าพเจ้าจำได้ว่ากำลังศึกษาและสวดอ้อนวอนอย่างสุดชีวิตเพื่อให้ได้รับพยานที่แน่นอนมากขึ้นถึงพระเยซูคริสต์ วันหนึ่ง ขณะวิงวอนพระบิดาบนสวรรค์ ข้าพเจ้ารู้สึกถึงแสงสว่างและความอบอุ่นอันทรงพลัง และข้าพเจ้าก็รู้ ข้าพเจ้าแค่รู้
หลายปีต่อมา ข้าพเจ้าจำได้ว่าคืนหนึ่งถูกปลุกให้ตื่นด้วยความรู้สึกถึง “ปัญญาอันบริสุทธิ์” ที่บอกว่าข้าพเจ้าจะได้รับเรียกให้รับใช้ในโควรัมเอ็ลเดอร์ สองสัปดาห์ต่อมาข้าพเจ้าก็ถูกเรียก
ข้าพเจ้าจำได้ว่าที่การประชุมใหญ่สามัญครั้งหนึ่ง สมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองผู้เป็นที่รักท่านหนึ่งแสดงประจักษ์พยานตรงกับคำพูดที่ข้าพเจ้าบอกเพื่อนคนหนึ่งว่าข้าพเจ้าหวังจะได้ยิน
ข้าพเจ้าจำได้ว่าคุกเข่ากับพี่น้องชายหลายร้อยคนเพื่อสวดอ้อนวอนให้เพื่อนรักคนหนึ่งที่นอนหมดสติอยู่โดยใช้เครื่องช่วยหายใจในโรงพยาบาลเล็กๆ ที่ห่างไกล หลังจากหัวใจเขาหยุดเต้น ขณะที่เรารวมใจกันร้องขอชีวิตเขา เขาก็ตื่นขึ้นมาและดึงเครื่องช่วยหายใจออกจากลำคอของเขาเอง ปัจจุบันเขารับใช้เป็นประธานสเตค
ข้าพเจ้าจำได้ว่าตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกทางวิญญาณอันแรงกล้าหลังจากความฝันอันสดใสถึงเพื่อนและพี่เลี้ยงผู้เป็นที่รักที่ด่วนจากไปและทิ้งหลุมมหึมาไว้ในชีวิตข้าพเจ้า เขายิ้มและมีความสุข ข้าพเจ้ารู้ว่าเขาสบายดี
นี่คือรังสีบางส่วนของข้าพเจ้า ท่านเคยมีประสบการณ์ของตนเอง—ประจักษ์พยานของท่านเองที่ปะทุไปด้วยแสงสว่าง เมื่อเรารับรู้ จดจำ และรวบรวมรังสีเหล่านี้ “รวบรวมทุกสิ่ง” สิ่งอัศจรรย์และทรงพลังก็เริ่มเกิดขึ้น “ความสว่างแนบสนิทกับความสว่าง”—“ความจริงน้อมรับความจริง” ความเป็นจริงและพลังของรังสีแห่งประจักษ์พยานรังสีหนึ่งเสริมและรวมเข้ากับอีกรังสีหนึ่ง และจากนั้นอีกรังสีหนึ่ง และก็อีกรังสีหนึ่ง บรรทัดมาเติมบรรทัด กฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์ รังสีที่นี่นิดและรังสีที่นั่นหน่อย—ช่วงเวลาสั้นๆ ทางวิญญาณอันล้ำค่าทีละช่วง นั่นคือแก่นแท้ของประสบการณ์ทางวิญญาณที่เต็มไปด้วยแสงสว่างที่เติบโตขึ้นภายในเรา บางทีไม่มีรังสีใดแรงพอหรือสว่างพอที่จะสร้างประจักษ์พยานที่สมบูรณ์ได้ แต่เมื่อมารวมกันแล้วรังสีเหล่านั้นจะกลายเป็นแสงสว่างที่ความมืดแห่งความสงสัยไม่สามารถเอาชนะได้
“โอ้ดังนั้นแล้ว, นี่ไม่จริงหรือ?” แอลมาถาม “ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่าน, ถูกแล้ว, เพราะมันคือความสว่าง”
“สิ่งซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้าเป็นความสว่าง” พระเจ้าสอนเรา “และคนที่รับความสว่าง, และดำเนินอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าต่อไป, รับความสว่างมากขึ้น; และความสว่างนั้นเจิดจ้ายิ่งขึ้นๆ จนถึงวันที่สมบูรณ์.”
พี่น้องทั้งหลาย นั่นหมายความว่าด้วยเวลาและโดย “ความขยันหมั่นเพียรยิ่ง” เราเองก็มีลำแสงเป็นของตนเองได้—ทีละหนึ่งรังสี และท่ามกลางลำแสงนั้น เราเองก็จะพบพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเรา ทรงเรียกชื่อเรา พลางชี้พระหัตถ์ไปที่พระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ และเชื้อเชิญให้เรา “ฟังพระองค์!”
ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงเป็นความสว่างและชีวิตของทั้งโลกนี้—ทั้งโลกส่วนตัวของท่านและของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรองค์จริงและทรงพระชนม์อยู่ของพระผู้เป็นเจ้าองค์จริงและทรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นประมุขของศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่แห่งนี้ ซึ่งได้รับการนำทางและกำกับดูแลโดยศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่แท้จริงและมีชีวิตอยู่ของพระองค์
ขอให้เรารับรู้และรับความสว่างอันรุ่งโรจน์ของพระองค์แล้วเลือกพระองค์เหนือความมืดมนของโลก—เสมอและตลอดไป ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน