“ขั้นตอนที่ 11: แสวงหาผ่านการสวดอ้อนวอนและการไตร่ตรองเพื่อรู้ถึงพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า และเพื่อให้มีพลังในการทำตามพระประสงค์นั้นให้ลุล่วง,” การเยียวยาผ่านพระผู้ช่วยให้รอด: คู่มือการบำบัด 12 ขั้นตอนของโปรแกรมบําบัดการเสพติด (2023)
“ขั้นตอนที่ 11,” คู่มือการบำบัด 12 ขั้นตอนของโปรแกรมบําบัดการเสพติด
ขั้นตอนที่ 11: แสวงหาผ่านการสวดอ้อนวอนและการไตร่ตรองเพื่อรู้ถึงพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า และเพื่อให้มีพลังในการทำตามพระประสงค์นั้นให้ลุล่วง
หลักธรรมสําคัญ: การเปิดเผยส่วนตัว
ในขั้นตอนที่ 11 เราตั้งใจแน่วแน่ทุกวันที่จะแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าและสวดอ้อนวอนขอให้ได้รับพลังในการทําสิ่งนี้ให้สําเร็จ เราพบว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการตรัสกับเราและเราสามารถเรียนรู้วิธีที่จะฟังพระองค์ ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรง ต้องการ ตรัสกับท่านจริงหรือ? ใช่!” (“การเปิดเผยสำหรับศาสนจักร การเปิดเผยสำหรับชีวิตเรา,” เลียโฮนา, พ.ค. 2018, 95) จุดประสงค์ของขั้นตอนนี้คือการพัฒนาความสามารถของเราในการฟังพระเยซูคริสต์ รับการเปิดเผยส่วนตัว และรับพลังในการดำเนินชีวิตตามนั้น ความปรารถนาที่จะได้รับการเปิดเผยส่วนตัวนี้ ตรงกันข้ามอย่างยิ่งกับความอยากที่เราได้รับการสนองเมื่อหลงอยู่ในการเสพติดของเรา
ในอดีตเราคิดว่าความหวัง ปีติ สันติสุข และความสมหวังจะมาจากแหล่งทางโลก เช่น แอลกอฮอล์ ยาเสพติด ตัณหาราคะ การกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หรือพฤติกรรมเสพติดอื่นๆ วิถีที่เราเคยดำเนินคือหลีกเลี่ยงอารมณ์เชิงลบโดยทำให้ด้านชาไปด้วยการเสพติดของเรา บางคนพยายามเติมเต็มความว่างเปล่าในชีวิตด้วยสิ่งต่างๆ นอกจากพระผู้เป็นเจ้า เมื่อเวลาผ่านไป เราค้นพบว่าผลดีจากการเสพติดเป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาชั่วคราวที่ไม่คุ้มค่าและทำให้เราไร้จุดหมาย
การแสวงหาการเปิดเผยเป็นขั้นตอนสําคัญในการบรรลุการบำบัดที่ยั่งยืน ประธานเนลสันกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอให้ท่านเพิ่มพูนความสามารถทางวิญญาณปัจจุบันในการรับการเปิดเผยส่วนตัว เพราะพระเจ้าทรงสัญญาว่า ‘หากเจ้าจะ [แสวงหา], เจ้าจะได้รับการเปิดเผยมาเติมการเปิดเผย, ความรู้มาเติมความรู้, เพื่อเจ้าจะรู้ความลี้ลับและสิ่งที่ส่งเสริมความสงบสุข—สิ่งนั้นที่นำมาซึ่งปีติ, สิ่งนั้นที่นำมาซึ่งนิรันดรแห่งชีวิต’ [หลักคำสอนและพันธสัญญา 42:61]” (“การเปิดเผยสําหรับศาสนจักร การเปิดเผยสําหรับชีวิตเรา,” 95)
เราเริ่มเห็นคุณค่าของความต้องการพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ และเข้าใจบทบาทของพระองค์ในชีวิตเรา พวกเราบางคนรู้สึกงุ่มง่ามและไม่ถนัดขณะสวดอ้อนวอน แต่เราเริ่มสวดอ้อนวอนพระบิดาในพระนามของพระเยซูคริสต์เพื่อขอความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับพระองค์ เราทราบว่าเราสามารถทำได้มากกว่านี้มากเมื่ออยู่กับพระองค์ มากกว่าที่เราจะทำได้โดยปราศจากพระองค์ เราเริ่มเรียนรู้ว่าการบำบัดไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การเสพติดหรือการสงบสติอารมณ์เท่านั้น แต่รวมถึงการเชื้อเชิญพระเจ้าให้ทรงนำทางในทุกด้านของชีวิตเรา
การสวดอ้อนวอน การไตร่ตรอง และการศึกษาพระคัมภีร์เป็นสิ่งสำคัญในการมาหาพระคริสต์ สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้เราได้ยินสุรเสียงของพระองค์และได้รับพลังที่จะทําตามพระประสงค์ของพระองค์ เราพยายามสวดอ้อนวอนด้วยความนอบน้อมถ่อมตน โดยรู้ว่าเราต้องพึ่งพาการนําทางและความเข้มแข็งจากพระเจ้า เราหยุดและไตร่ตรองตลอดทั้งวัน พยายามทําจิตใจให้สงบและฟังเสียงสงบแผ่วเบา เราศึกษาพระคัมภีร์ โดยเฉพาะพระคัมภีร์มอรมอน เพราะพระคัมภีร์เป็นพยานถึงความเต็มพระทัยของพระเจ้าที่จะประทานการนําทางและพลังแก่เรา เมื่อเราทําสิ่งเหล่านี้ เราได้รับการเปิดเผยส่วนตัวและได้รับพรของการ “[มี] พระวิญญาณของพระองค์อยู่กับ [เรา] ตลอดเวลา” เพื่อนําทาง ชี้ทาง และปลอบโยนเรา (โมโรไน 4:3)
สําหรับหลายคน แนวคิดเรื่องการได้รับการเปิดเผยส่วนตัวเป็นเรื่องยากเพราะเราเชื่อว่าเราไม่คู่ควรกับความรักของพระผู้เป็นเจ้า ในการเสพติดของเรา เราอาจคิดว่าพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ไม่สนพระทัยมากพอจะสื่อสารกับเรา หรือเราเสียสิทธิ์ในการรับการเปิดเผยเพราะอดีตของเรา บางคนคิดว่าเราไม่เคยได้รับการเปิดเผยส่วนตัว เราสวดอ้อนวอนหรือไตร่ตรอง และดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราไม่ได้รู้สึกอะไรพิเศษหรือได้รับคำตอบที่ชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนี้ วิธีคิดแบบเก่าของเราก็ผุดขึ้นมา: “พระผู้เป็นเจ้าอาจทรงช่วยเหลือผู้อื่น แต่พระองค์ไม่ทรงช่วยฉัน”
หลายคนยังคงต่อสู้กับความรู้สึกเหล่านี้ แต่เมื่อเรารู้สึกถึงความรักและพระเมตตาของพระองค์ ความเชื่อผิดๆ เหล่านั้นก็สลายไป ความมั่นใจของเราว่าพระองค์ทรงรักเรามากพอที่จะสื่อสารกับเราสามารถเพิ่มขึ้นได้เมื่อเราประยุกต์ใช้ขั้นตอนที่ 11 กับชีวิตเรา
งานของเราในขั้นตอนที่ 11 ต้องการให้เรามีศรัทธาว่าพระองค์จะทรงตอบเรา และเราสามารถเรียนรู้ที่จะรับรู้สุรเสียงของพระองค์ได้ อาจไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหรือมีเครื่องหมายอัศจรรย์จากสวรรค์ แต่เราสามารถฟังและอดทนได้ เราทุกคนได้ยินพระองค์ต่างกัน บางครั้งเราไม่ได้รับคำแนะนำที่ชัดเจนทันที นี่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่ทรงรักเรา แต่อาจหมายความว่าพระองค์ทรงต้องการให้เราเรียนรู้ที่จะวางใจพระองค์และประยุกต์ใช้ความจริงที่พระองค์ประทานแก่เราแล้ว ความวางใจของเราในพระองค์ช่วยให้เราเต็มใจรอคอยพระองค์และเติบโตในความสามารถที่จะได้ยินสุรเสียงของพระองค์ (ดูข้อมูลเพิ่มเติมใน Richard G. Scott, “Learning to Recognize Answers to Prayer,” Ensign, Nov. 1989, 30)
พระเจ้ามักจะทรงตอบคำสวดอ้อนวอนของเราผ่านผู้อื่น ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์สอนว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงสังเกตเห็นเรา และทรงดูแลเรา แต่ปกติพระองค์จะทรงให้ตามความต้องการของเราผ่านผู้อื่น” (“Small Acts of Service,” Ensign, Dec. 1974, 5) การเชื่อมต่อกับผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่อยู่ในระบบสนับสนุนของเรา เราสามารถได้ยินสุรเสียงของพระองค์ผ่านผู้นําศาสนจักร สมาชิกครอบครัว และมิตรสหาย เช่นเดียวกับการอ่านพระคัมภีร์ การศึกษาคําพูดการประชุมใหญ่ และการฟังเพลงศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ เราสามารถได้รับแรงบันดาลใจและคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเราเข้าร่วมการประชุมบำบัดและปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ ของการบำบัดกับผู้อุปถัมภ์ของเรา
การพัฒนาความสามารถของเราในการแสวงหาและรับการเปิดเผยต้องใช้การฝึกฝนและความอดทน “แน่นอนว่าอาจมีบางครั้งที่ท่านรู้สึกประหนึ่งสวรรค์ปิด แต่ข้าพเจ้าสัญญากับท่านว่าเมื่อท่านเชื่อฟังต่อไป โดยแสดงความสำนึกคุณต่อพรทุกประการที่พระเจ้าประทานแก่ท่าน และเมื่อท่านให้เกียรติตารางเวลาของพระเจ้าอย่างอดทน ท่านจะได้รับความรู้และความเข้าใจที่ท่านแสวงหา พรทุกประการที่พระเจ้ามีให้ท่าน—แม้กระทั่งปาฏิหาริย์—จะตามมา นั่นคือการเปิดเผยส่วนตัวจะทําเพื่อท่าน” (รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “การเปิดเผยสําหรับศาสนจักร การเปิดเผยสําหรับชีวิตเรา,” 95–96)
ขั้นตอนการปฏิบัติ
นี่เป็นโปรแกรมแห่งการปฏิบัติ ความก้าวหน้าของเราขึ้นอยู่กับการนําขั้นตอนต่างๆ ไปใช้ในชีวิตประจําวันของเราอย่างสม่ำเสมอ นี่เรียกว่า “การปฏิบัติตามขั้นตอน” การปฏิบัติต่อไปนี้ช่วยให้เรามาหาพระคริสต์และได้รับการนําทางและพลังที่จําเป็นต่อการก้าวต่อไปในการบําบัดของเรา
มาหาพระเยซูคริสต์ผ่านการสวดอ้อนวอน การอดอาหาร และการไตร่ตรอง
สําหรับพวกเราที่มีประสบการณ์น้อยเรื่องการสวดอ้อนวอน คําพูดของเอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์ปลอบใจว่า “อย่ากังวลกับความรู้สึกขัดเขินที่ท่านแสดงออกมา จงพูดกับพระบิดาของท่าน พระองค์ทรงได้ยินคําสวดอ้อนวอนทุกครั้งและทรงตอบในวิธีของพระองค์” (“Learning to Recognize Answers to Prayer,” Ensign, Nov. 1989, 31) การทบทวนส่วนต่างๆ ของการสวดอ้อนวอนเป็นประโยชน์เช่นกัน เราเอ่ยชื่อพระบิดาบนสวรรค์ บอกพระองค์ว่าเราขอบพระทัยสําหรับอะไร ทูลขอพรที่เราต้องการ แล้วจบในพระนามของพระเยซูคริสต์ เราคุกเข่าหากร่างกายเอื้ออำนวย เราสวดอ้อนวอนออกเสียงบ่อยครั้งถึงพระบิดา ทูลขอการนําทางผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ดู โรม 8:26) เราไม่จําเป็นต้องใช้คำพูดสละสลวย เราสามารถซื่อสัตย์และเปิดใจเรากับพระบิดาบนสวรรค์
หลายคนเรียนรู้ที่จะตื่นแต่เช้าและใช้เวลาศึกษาและสวดอ้อนวอนเงียบๆ เรากําหนดเวลาสําหรับการสวดอ้อนวอนและการไตร่ตรองโดยปกติในตอนเช้า ในช่วงเวลานี้เราสามารถให้พระผู้เป็นเจ้ามาก่อนใครหรือสิ่งอื่นใดในแต่ละวัน จากนั้นเราจะศึกษาโดยใช้พระคัมภีร์และคําสอนของศาสดาพยากรณ์ยุคปัจจุบันเป็นแนวทางในการไตร่ตรองของเรา การอดอาหารอาจเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่จะเสริมความพยายามนี้ จากนั้นเราฟังใจและความคิดของเราเพื่อพยายามฟังหรือรู้สึกถึงพระองค์ เราจดความคิดและความประทับใจของเราเมื่อเราสวดอ้อนวอนและไตร่ตรอง
เมื่อเวลาส่วนตัวอันมีค่านี้สิ้นสุดลง เราจะไม่หยุดสวดอ้อนวอน การสวดอ้อนวอนเงียบๆ ในส่วนลึกของใจและความคิดเรากลายเป็นวิธีคิดของเราตลอดทั้งวัน เราปรึกษาพระเจ้าเมื่อเราปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ตัดสินใจ และรับมือกับอารมณ์และการล่อลวง เราอัญเชิญและแสวงหาพระวิญญาณของพระองค์สถิตกับเราตลอดเวลาเพื่อเราจะได้รับการนําทางให้ทําสิ่งที่ถูกต้อง (ดู สดุดี 46:1; แอลมา 37:36–37; 3 นีไฟ 20:1)
ไตร่ตรองในความเงียบสงบ
หลายคนพบว่าการไตร่ตรองช่วยได้เมื่อเราแสวงหาการเปิดเผยและการนําทางจากพระเจ้า เรามองหาสถานที่เงียบสงบ ปราศจากสิ่งรบกวน ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกล่าวว่า “ช่วงเวลาเงียบสงบคือเวลาศักดิ์สิทธิ์” (“สิ่งที่เราเรียนรู้และจะไม่มีวันลืม,” เลียโฮนา, พ.ค. 2021, 80) อาจช่วยได้หากอยู่ในท่าที่สบาย เราทําจิตใจให้ปลอดโปร่งและผ่อนคลาย เราหายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ
ต่อไปเราคิดและไตร่ตรองเกี่ยวกับสิ่งที่สําคัญสําหรับเราและฟังความคิดที่เข้ามาในใจเรา เราสามารถนึกถึงความท้าทายที่กําลังเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความท้าทายในการบำบัดหรือความสัมพันธ์ของเรา เราสามารถนึกถึงข้อพระคัมภีร์หรือคําปราศรัยการประชุมใหญ่สามัญที่เรากําลังศึกษา เราสามารถคิดถึงวันข้างหน้าและทิศทางที่เราต้องการ เราสามารถบันทึกความคิดที่เข้ามาในใจเราลงในสมุดบันทึกเพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจากช่วงเวลาอันเงียบสงบนี้ เรายังคงแสวงหาการนําทางและเดชานุภาพของพระเจ้าตลอดทั้งวันขณะที่เราพยายาม “ดูที่ [พระองค์] ในความนึกคิดทุกอย่าง” (หลักคําสอนและพันธสัญญา 6:36)
ประธานเอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ดสอนว่า “สําคัญที่ต้องนิ่ง ฟัง และทําตามพระวิญญาณ เรามีสิ่งดึงดูดความสนใจของเรามากเกินไป ไม่เหมือนช่วงเวลาใดในประวัติศาสตร์โลก ทุกคนต้องมีเวลาพินิจไตร่ตรองและใคร่ครวญ เราทุกคนต้องมีเวลาถามตัวเราเองหรือมีการสัมภาษณ์ตัวเราเองเป็นประจำ เรามักยุ่งอยู่กับงานและโลกเสียงดังมากจนยากจะได้ยินพระดำรัสจากสวรรค์ว่า ‘จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่าเราคือพระเจ้า’ [สดุดี 46:10]” (“จงนิ่งเถิดและรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า” [การให้ข้อคิดทางวิญญาณระบบการศึกษาของศาสนจักรสําหรับคนหนุ่มสาว, 4 พ.ค., 2014], broadcasts.ChurchofJesusChrist.org)
ศึกษาและทำความเข้าใจ
พระคัมภีร์และคํากล่าวต่อไปนี้จากผู้นําศาสนจักรสามารถช่วยเราในการบําบัดการเสพติด เราสามารถใช้ในการพินิจไตร่ตรอง การศึกษา และการจดบันทึก เราต้องจําไว้ว่าต้องซื่อสัตย์และแน่วแน่ในงานเขียนของเราเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากงานเขียนนั้น
เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น
“จงมาอยู่ใกล้เราและเราจะเข้ามาอยู่ใกล้เจ้า; จงแสวงหาเราอย่างขยันหมั่นเพียรและเจ้าจะได้พบเรา; ขอ, และเจ้าจะได้รับ; เคาะ, และจะเปิดมันให้เจ้า” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:63)
พระเจ้าทรงเคารพความประสงค์และสิทธิ์เสรีของเรา พระองค์ทรงยอมให้เราเลือกเข้าหาพระองค์โดยไม่ถูกบังคับ พระองค์ทรงเข้าใกล้เราเมื่อเราเชื้อเชิญให้พระองค์ทําเช่นนั้น
-
วันนี้ฉันจะเข้าใกล้พระองค์อย่างไร?
แสดงความสำนึกคุณ
“จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับพวกท่านในพระเยซูคริสต์ อย่าขัดขวางพระวิญญาณ” (1 เธสะโลนิกา 5:17–19)
เมื่อเราจดจำที่จะสํานึกคุณสำหรับทุกสิ่งในชีวิต แม้แต่สิ่งที่เราไม่เข้าใจ เราจะสามารถรักษาการเชื่อมต่อกับพระผู้เป็นเจ้าที่เปาโลเรียกว่า “[อธิษฐาน] อย่างสม่ำเสมอ” พยายามขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าตลอดทั้งวัน
-
การปฏิบัติด้วยความสํานึกคุณเช่นนี้ส่งผลต่อความใกล้ชิดพระวิญญาณของฉันอย่างไร?
จงดื่มด่ำพระวจนะของพระคริสต์
“เทพพูดโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์; ดังนั้น, เทพจึงพูดพระวจนะของพระคริสต์ “ดังนั้น ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่าน จงดื่มด่ำพระวจนะของพระคริสต์; เพราะดูเถิด, พระวจนะของพระคริสต์จะบอกท่านทุกสิ่งที่ท่านควรทำ” (2 นีไฟ 32:3)
ในข้อนี้ นีไฟสอนว่าเมื่อเราดื่มด่ำพระวจนะของพระคริสต์ พระวจนะเหล่านี้จะนําทางเราในทุกสิ่งที่เราต้องรู้และทํา ลองนึกภาพว่าจะเป็นอย่างไรถ้ามีพระเยซูคริสต์ทรงเดินและพูดคุยกับท่านทั้งวัน
-
ฉันรู้สึกอย่างไรเมื่อฉันไตร่ตรองภาพนี้?
การรับการเปิดเผยส่วนตัว
“พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า ‘เราจะบอกเจ้าใน ความนึกคิดเจ้า และใน ใจเจ้า โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (ค&พ 8:2, เน้นตัวเอน) … ความประทับใจต่อ ความนึกคิด เป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงมาก ถ้อยคำที่มีรายละเอียดสามารถได้ยินหรือรู้สึกและเขียนไว้ราวกับเป็นคำแนะนำที่บอกให้เขียนตาม การสื่อสารกับ ใจ เป็นความประทับใจทั่วไปมากกว่า” (ริชาร์ด จี. สก็อตต์, “Helping Others to Be Spiritually Led” [คำปราศรัยที่กล่าวใน Church Educational System Symposium, 11 ส.ค. 1998], 3–4)
เมื่อความเข้าใจของเราในการเปิดเผยส่วนตัวเพิ่มขึ้น เราจะรับรู้บ่อยขึ้นและหลากหลายมากขึ้น
-
ฉันได้รับการกระตุ้นเตือนและการเปิดเผยจากพระเจ้าอย่างไร?
“ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่าน [เรื่องเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าพูดมา] เป็นที่รู้แก่ข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า ดูเถิด, ข้าพเจ้าอดอาหารและสวดอ้อนวอนมาหลายวันเพื่อข้าพเจ้าจะรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง และบัดนี้ข้าพเจ้ารู้ด้วยตนเองว่าเรื่องเหล่านี้จริง; เพราะพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงเรื่องเหล่านี้ให้ประจักษ์แก่ข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์; และนี่คือวิญญาณแห่งการเปิดเผยซึ่งอยู่กับข้าพเจ้า” (แอลมา 5:46)
การอดอาหารในวิธีที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งสามารถทําให้เกิดพลังยิ่งใหญ่ที่เราไม่สามารถมีได้ (ดู มัทธิว 17:14–21) อันที่จริง เราสามารถอดอาหารเพื่อเอาชนะการเสพติดโดยเฉพาะ อิสยาห์สอนว่า “เราเลือกการอดอาหารอย่างนี้ไม่ใช่หรือ? คือการแก้พันธนะอธรรม การแก้สายรัดของแอก การปลดปล่อย ผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ และการหักแอกทั้งหมดเสีย” (อิสยาห์ 58:6)
-
การอดอาหารและการสวดอ้อนวอนเพิ่มความสามารถของฉันในการรับการเปิดเผยอย่างไร?
“แนวคิดที่ว่าการอ่านพระคัมภีร์นำไปสู่แรงบันดาลใจและการเปิดเผยเป็นการเปิดประตูสู่ความจริงซึ่งพระคัมภีร์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความหมายโดยตรงเมื่อเขียน แต่ยังรวมถึงความหมายของพระคัมภีร์ต่อผู้อ่านในยุคปัจจุบันด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การอ่านพระคัมภีร์อาจนําไปสู่การเปิดเผยในปัจจุบันเกี่ยวกับสิ่งอื่นใดที่พระเจ้าทรงประสงค์จะสื่อสารกับผู้อ่านในเวลานั้น เราไม่ได้กล่าวถึงประเด็นนี้เกินจริงเมื่อเราพูดว่าพระคัมภีร์สามารถเป็นอูริมและทูมมิมที่จะช่วยให้เราแต่ละคนได้รับการเปิดเผยส่วนตัว” (Dallin H. Oaks, “Scripture Reading and Revelation,” Ensign, Jan. 1995, 8)
การเรียนภาษาของพระคัมภีร์มีความคล้ายคลึงกับการเรียนภาษาต่างประเทศ วิธีดีที่สุดในการเรียนรู้คือตั้งใจศึกษาพระคัมภีร์—อ่านและศึกษาทุกวัน
-
ฉันได้รับการเปิดเผยจากข้อพระคัมภีร์เมื่อใด?
การรับคำแนะนำจากพระเจ้า
“จงอย่าพยายามให้คำปรึกษาพระเจ้า, แต่จงรับคำปรึกษาจากพระหัตถ์ของพระองค์ เพราะดูเถิด, ตัวท่านเองรู้ว่าพระองค์ทรงให้คำปรึกษาด้วยพระปรีชาญาณ, และด้วยความยุติธรรม, และด้วยพระเมตตาอันหาที่สุดมิได้, เหนืองานทั้งหมดของพระองค์” (ยาโคบ 4:10)
การสวดอ้อนวอนของเราอาจไม่มีประสิทธิภาพในอดีตเพราะเราใช้เวลาปรึกษาพระเจ้ามากกว่า—บอกสิ่งที่เราต้องการ—แทนที่จะแสวงหาพระประสงค์ของพระองค์เกี่ยวกับการตัดสินใจและความประพฤติของเรา
-
ฉันเพิ่งมีประสบการณ์การสวดอ้อนวอนหรือไม่? หากมี เป็นการให้คำแนะนำพระเจ้าหรือรับคำแนะนำจากพระเจ้า?
-
ฉันเต็มใจฟังและรับคําแนะนําของพระองค์หรือไม่?