บทที่ 22
การหยิบยื่นความรักให้ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่และสมาชิกที่แข็งขันน้อย
“เราต้องตระหนัก [อยู่] เสมอว่าเรามีข้อผูกมัดในการผูกมิตร … ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสที่เข้ามาในศาสนจักร และหยิบยื่นความรักให้คนที่ … ก้าวเข้าไปในเงาของความไม่แข็งขัน”
จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
หัวข้อหนึ่งที่ประธานฮิงค์ลีย์เน้นย้ำตลอดการรับใช้เป็นประธานศาสนจักรของท่านคือความสำคัญของการยื่นมือช่วยเหลือผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่และคนที่ไม่แข็งขันในศาสนจักร ท่านยกตัวอย่างมากมายจากความพยายามของท่านเองในเรื่องนี้ มีตัวอย่างหนึ่งที่ท่านอธิบายด้วยความขมขื่นว่าเป็น “หนึ่งในความล้มเหลวของข้าพเจ้า” ท่านอธิบายว่า
“ขณะรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาในบริติชไอลส์ ข้าพเจ้ากับคู่สอนชายหนุ่มคนหนึ่งและข้าพเจ้าดีใจที่ได้ให้บัพติศมาเขา เขาเป็นคนมีการศึกษา เขาสุภาพเรียบร้อย เขาขยันเรียน ข้าพเจ้าภูมิใจในตัวชายหนุ่มผู้มีพรสรรค์คนนี้ที่เข้ามาในศาสนจักร ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขามีคุณสมบัติพร้อมจะเป็นผู้นำของเราในวันหน้า
“เขาอยู่ระหว่างทำการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่จากผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสมาเป็นสมาชิก ข้าพเจ้ามีโอกาสเป็นเพื่อนกับเขาช่วงสั้นๆ ก่อนได้รับการปลด จากนั้นข้าพเจ้าได้รับการปลดและกลับบ้าน เขามีความรับผิดชอบเล็กน้อยในสาขาที่ลอนดอน เขาไม่รู้ว่าความรับผิดชอบนั้นคาดหวังอะไรจากเขา เขาทำผิดพลาด หัวหน้าขององค์การที่เขารับใช้เป็นคนที่ข้าพเจ้าพูดได้เลยว่าขาดความรักและชอบวิพากษ์วิจารณ์ เขาตำหนิเพื่อนของข้าพเจ้าที่ทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อย่างไร้เมตตา
“ชายหนุ่มคนนั้นออกจากห้องประชุมเช่าของเราคืนนั้นด้วยความไม่พอใจและเจ็บปวด … เขาพูดกับตนเองว่า ‘ถ้าพวกเขาเป็นคนแบบนี้ ผมจะไม่กลับไปอีก’
“เขาก้าวไปสู่ความไม่แข็งขัน หลายปีผ่านไป … เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในอังกฤษ [อีกครั้ง] ข้าพเจ้าพยายามตามหาเขาแต่ไม่พบ … ข้าพเจ้ากลับบ้านและในที่สุดหลังจากค้นหาอยู่นานก็สามารถติดต่อเขาได้
“ข้าพเจ้าเขียนถึงเขา เขาตอบแต่ไม่พูดถึงพระกิตติคุณเลย
“เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในลอนดอนครั้งต่อมา ข้าพเจ้าตามหาเขาอีกครั้ง วันที่ข้าพเจ้าจะออกจากที่นั่น ข้าพเจ้าพบเขา ข้าพเจ้าโทรศัพท์หาเขา และเราพบกันที่สถานีใต้ดิน เขากางแขนโอบกอดข้าพเจ้าขณะที่ข้าพเจ้าโอบกอดเขา ข้าพเจ้ามีเวลาน้อยมากก่อนจะขึ้นเครื่องบิน แต่เราพูดคุยกันสั้นๆ และด้วยสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นความเคารพนับถือกันจริงๆ เขาสวมกอดข้าพเจ้าอีกครั้งก่อนข้าพเจ้าออกเดินทาง ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่ขาดการติดต่อกับเขาอีก …
“หลายปีผ่านไป ข้าพเจ้ามีอายุมากขึ้นเช่นเดียวกับเขา เขาเกษียณจากงานและย้ายไปสวิตเซอร์แลนด์ ครั้งหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ข้าพเจ้าออกไปหาหมู่บ้านที่เขาอยู่ เราใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันนั้นด้วยกัน—เขากับภรรยา และข้าพเจ้ากับภรรยา เรามีช่วงเวลาที่ดีมาก แต่เห็นชัดว่าไฟแห่งศรัทธามอดไปนานแล้ว ข้าพเจ้าพยายามทุกวิถีทางที่รู้แต่ไม่พบวิธีจุดไฟให้ลุกอีกครั้ง ข้าพเจ้ายังคงเขียนจดหมายโต้ตอบกับเขา ส่งหนังสือ นิตยสาร แผ่นเสียงของคณะนักร้องประสานเสียงแทเบอร์นาเคิล และหลายอย่างซึ่งเขาแสดงความขอบคุณ
“เขาสิ้นชีวิตเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ภรรยาเขาเขียนมาบอกข้าพเจ้าเรื่องนี้ เธอเขียนว่า ‘คุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยมี’
“ข้าพเจ้าน้ำตาไหลอาบแก้มเมื่ออ่านจดหมายฉบับนั้น ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าล้มเหลว บางทีถ้าข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นเพื่อพยุงเขาเมื่อเขาล้มลงครั้งแรก เขาอาจจะทำให้ชีวิตเขาต่างจากนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าน่าจะช่วยเขาตอนนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าน่าจะแต่งบาดแผลที่เขาได้รับ ข้าพเจ้ามีเพียงคำปลอบใจที่ว่า ข้าพเจ้าพยายามแล้ว ข้าพเจ้ามีเพียงความเสียใจที่ว่า ข้าพเจ้าล้มเหลว
“ความท้าทายเวลานี้รุนแรงกว่าที่เคยเป็นมาเพราะจำนวนผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสมีมากกว่าที่เราเคยรู้ … ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสทุกคนมีค่า ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสทุกคนเป็นบุตรหรือธิดาของพระผู้เป็นเจ้า ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสทุกคนเป็นความรับผิดชอบที่จริงจังและสำคัญยิ่ง”1
ความห่วงใยของประธานฮิงค์ลีย์ต่อผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่และสมาชิกที่แข็งขันน้อยเป็นผลสืบเนื่องจากประสบการณ์ของท่านที่เห็นว่าพระกิตติคุณเป็นพรแก่ชีวิตอย่างไร นักข่าวคนหนึ่งเคยถามท่านว่า “อะไรทำให้คุณพอใจมากที่สุดขณะมองดูงานของศาสนจักรในปัจจุบัน” ประธานฮิงค์ลีย์ตอบว่า
“ประสบการณ์ที่ผมพอใจมากที่สุดคือเมื่อผมเห็นว่าพระกิตติคุณนี้ทำอะไรให้ผู้คนบ้าง พระกิตติคุณให้มุมมองใหม่เกี่ยวกับชีวิต ให้ทัศนะที่พวกเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ยกระดับสายตาให้พวกเขาเห็นสิ่งสูงค่าและศักดิ์สิทธิ์ บางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขาที่เห็นแล้วเหลือเชื่อ พวกเขามองไปที่พระคริสต์และมีชีวิต2
คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์
1
เรามีความรับผิดชอบอันสำคัญยิ่งในการดูแลช่วยเหลือบุคคลแต่ละคน
เราต้องดูแลบุคคลแต่ละคน พระคริสต์มักจะตรัสถึงบุคคลแต่ละคนเสมอ พระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยแต่ละคน พระองค์ตรัสถึงบุคคลแต่ละคนในอุปมาของพระองค์ ศาสนจักรนี้เกี่ยวข้องกับบุคคลแต่ละคน ไม่ว่าจะมีจำนวนเท่าไรก็ตาม ไม่ว่าจะมี 6 ล้าน หรือ 10 ล้าน หรือ 12 ล้าน หรือ 50 ล้าน เราต้องไม่มองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าบุคคลแต่ละคนมีความสำคัญ3
เรากำลังเป็นสังคมใหญ่ระดับโลก แต่ความสนใจและความห่วงใยของเรามักจะอยู่กับบุคคลแต่ละคนเสมอ สมาชิกทุกคนของศาสนจักรนี้แต่ละบุคคลเป็นชายหรือไม่ก็หญิง เด็กชายหรือไม่ก็เด็กหญิง ความรับผิดชอบอันสำคัญยิ่งของเราคือดูว่า เรา “จดจำและบำรุงเลี้ยง [แต่ละคน] ด้วยพระวจนะอันประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้า” (โมโรไน 6:4) ดูว่าแต่ละคนมีโอกาสเติบโต แสดงออก ฝึกฝนในงานและทางของพระเจ้า ไม่มีใครขาดสิ่งจำเป็นของชีวิต จัดหาสิ่งจำเป็นให้คนยากจน สมาชิกแต่ละคนได้รับกำลังใจ การอบรม และโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าบนถนนแห่งความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ …
งานนี้เกี่ยวข้องกับผู้คน บุตรหรือธิดาแต่ละคนของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อพูดถึงความสำเร็จของงานนี้เราพูดในแง่ของจำนวน แต่ความพยายามทั้งหมดของเราต้องอุทิศให้พัฒนาการของแต่ละบุคคล4
ข้าพเจ้าต้องการเน้นว่ามีการเติบโตสุทธิในศาสนจักรดีมากและเป็นบวกมาก … เรามีเหตุผลทุกอย่างที่ทำให้รู้สึกมีกำลังใจ แต่ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสคนใดศรัทธาอ่อนลง นั่นเป็นเรื่องน่าเศร้า สมาชิกคนใดตกไปสู่ความไม่แข็งขัน นั่นเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจอย่างจริงจัง พระเจ้าทรงละแกะเก้าสิบเก้าตัวไปตามหาแกะที่หายไปตัวนั้น พระองค์ทรงห่วงใย [คนหนึ่งคน] มากจนพระองค์ทรงทำให้เรื่องนี้เป็นหัวข้อบทเรียนอันสำคัญยิ่งบทหนึ่งของพระองค์ [ดู ลูกา 15:1-7] เราจะปล่อยเลยตามเลยไม่ได้ เราต้องทำให้เจ้าหน้าที่และสมาชิกศาสนจักรตระหนักเสมอว่าพวกเขามีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ต้องผูกมิตรกับผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสที่เข้ามาในศาสนจักรอย่างจริงจัง อบอุ่น และดีเยี่ยม หยิบยื่นความรักให้คนที่ก้าวเข้าไปในเงาของความไม่แข็งขันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม มีหลักฐานมากมายยืนยันว่าเราทำได้หากเราตั้งใจจะทำ5
2
ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสทุกคนมีค่า และเป็นความรับผิดชอบอันสำคัญยิ่งและจริงจัง
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเรื่องเศร้าที่สุดในศาสนจักรคือการสูญเสียคนที่เข้าร่วมศาสนจักรแล้วตกไป นั่นต้องไม่เกิดขึ้น หากเกิดก็ต้องเกิดน้อยมาก ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าเกือบทั่วโลกคนที่ผู้สอนศาสนาให้บัพติศมาได้รับการสอนมากพอ ได้รับความรู้และประจักษ์พยานมากพอจะรับบัพ-ติศมาได้ แต่การเปลี่ยนเข้ามาร่วมศาสนจักรนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นหมายถึงการตัดสายสัมพันธ์เดิมๆ หมายถึงการจากเพื่อนๆ อาจหมายถึงการทิ้งความเชื่อที่ยึดถือ อาจเรียกร้องให้เปลี่ยนนิสัยและข่มความอยาก ในหลายกรณีอาจหมายถึงความเหงา แม้ถึงกับกลัวสิ่งที่ไม่รู้จัก จะต้องมีการบำรุงเลี้ยงและเสริมสร้างความเข้มแข็งในช่วงเวลาที่ยากนี้ของชีวิตผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใส การอยู่ในศาสนจักรของเขาทำให้ต้องเสียสละมาก ความพยายามที่ยาวนานของผู้สอนศาสนาและมูลค่าการรับใช้ของพวกเขา การแยกจากความสัมพันธ์เดิมๆ และความบอบช้ำทางใจอันเกี่ยวเนื่องกับทั้งหมดนี้บ่งบอกว่าเราจำเป็นต้องต้อนรับจิตวิญญาณล้ำค่าเหล่านี้ ทำให้คลายกังวล และช่วยในยามที่พวกเขาอ่อนแอ ให้ความรับผิดชอบซึ่งจะทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้น ให้กำลังใจ และขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่พวกเขาทำ6
แน่นอนว่าจะไม่มีประโยชน์ในการทำงานเผยแผ่ศาสนาเว้นแต่เราจะทำต่อไปจนได้รับผลของความพยายามนั้น สองอย่างนี้ต้องไม่แยกจากกัน ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสเหล่านี้มีค่า … ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสทุกคนคือความรับผิดชอบที่จริงจังและสำคัญยิ่ง สิ่งนี้บ่งบอกชัดเจนว่าเราต้องดูแลคนที่มาเป็นส่วนหนึ่งของเรา …
วันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้รับจดหมายที่น่าสนใจมาก สตรีที่เข้าร่วมศาสนจักรเมื่อหนึ่งปีก่อนเขียนมา เธอเขียนว่า
“การที่ดิฉันเดินทางเข้ามาในศาสนจักรท้าทายมากทีเดียวและพิเศษมาก ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ยากที่สุดเท่าที่ดิฉันมีชีวิตมา อีกทั้งเป็นปีที่ให้ผลคุ้มค่าที่สุด ในฐานะสมาชิกใหม่ ดิฉันยังคงได้รับความท้าทายทุกวัน” …
เธอกล่าวว่า “สมาชิกศาสนจักรไม่รู้ว่าการเป็นสมาชิกใหม่ของศาสนจักรนั้นเป็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรู้วิธีสนับสนุนเรา”
ข้าพเจ้าท้าทายท่าน พี่น้องทั้งหลาย หากท่านไม่รู้ว่าป็นอย่างไร ให้พยายามนึกภาพว่าเป็นอย่างไร อาจจะเหงามาก อาจจะผิดหวัง อาจจะน่ากลัวมาก เราซึ่งเป็นสมาชิกของศาสนจักรนี้แตกต่างไปจากโลกมากกว่าที่เราคิด สตรีผู้นี้กล่าวต่อไปว่า
“เมื่อผู้สนใจอย่างเราเป็นสมาชิกของศาสนจักร เราแปลกใจที่ค้นพบว่าเราเข้ามาในโลกที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง โลกที่มีประเพณี วัฒนธรรม และภาษาของตนเอง เราค้นพบว่าไม่มีบุคคลใดหรือแหล่งใดที่เราสามารถหันไปขอการนำทางในการเดินทางเข้าสู่โลกใหม่ของเรา การเดินทางในช่วงแรกของเราน่าตื่นเต้น ความผิดพลาดของเราน่าขบขัน จากนั้นก็น่าท้อใจ และสุดท้ายความท้อใจกลายเป็นความโกรธ ระยะของความท้อใจและความโกรธนี่เองที่เราออกไป เรากลับไปสู่โลกที่เราจากมา โลกที่เรารู้ว่าเราเป็นใคร โลกที่เราเอื้อประโยชน์ได้ และโลกที่เราจะพูดรู้เรื่อง”7
บางคนรับบัพติศมาเท่านั้น พวกเขาไม่ได้รับการผูกมิตร และพวกเขากล่าวลาในอีกสองสามเดือนต่อมา พี่น้องทั้งหลาย สำคัญมากที่ต้องดูว่า [สมาชิกที่รับบัพติศมาใหม่] เปลี่ยนใจเลื่อมใส ต้องดูว่าพวกเขามีความเชื่อมั่นในใจเกี่ยวกับงานอันสำคัญยิ่งนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องของความคิดเท่านั้น นี่เป็นเรื่องของใจและการรู้สึกถึงพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จนพวกเขารู้ว่างานนี้เป็นความจริง โจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์ พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์ ทั้งสองพระองค์ทรงปรากฏต่อเด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธ พระคัมภีร์มอรมอนเป็นความจริง และฐานะปุโรหิตอยู่ที่นี่พร้อมด้วยของประทานและพรทั้งหมด ข้าพเจ้าไม่สามารถเน้นได้หนักแน่นกว่านี้อีกแล้ว8
3
ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสทุกคนต้องการมิตรภาพ ความรับผิดชอบ และการบำรุงเลี้ยงด้วยพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า
เนื่องด้วยจำนวนผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราจึงต้องพยายามมากขึ้นเพื่อช่วยเหลือพวกเขาขณะพวกเขาหาทางของตน ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสทุกคนต้องการสามสิ่ง คือ เพื่อน ความรับผิดชอบ และการบำรุงเลี้ยงด้วย “พระวจนะอันประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้า” (โมโรไน 6:4) หน้าที่และโอกาสของเราคือจัดหาสิ่งเหล่านี้9
มิตรภาพ
[ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใส] เข้ามาในศาสนจักรด้วยความกระตือรือร้นเพราะสิ่งที่พวกเขาพบ เราต้องสร้างบนความกระตือรือร้นนั้นทันที … ฟังพวกเขา นำทางพวกเขา ตอบคำถามของพวกเขา และคอยช่วยพวกเขาในทุกสภาวการณ์และในทุกสถานการณ์ … ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้สมาชิกทุกคนหยิบยื่นมิตรภาพและความรักให้ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสที่เข้ามาในศาสนจักร10
เรามีภาระหน้าที่เช่นนั้นต่อคนที่รับบัพติศมาเข้ามาในศาสนจักร เราจะเพิกเฉยไม่ได้ เราจะปล่อยให้พวกเขายืนโดดเดี่ยวไม่ได้ พวกเขาต้องการความช่วยเหลือขณะทำความคุ้นเคยกับวิถีและวัฒนธรรมของศาสนจักรนี้ การให้ความช่วยเหลือเช่นนั้นเป็นพรและโอกาสที่ดีมากของเรา … รอยยิ้มที่อบอุ่น การจับมือทักทายอย่างเป็นมิตร และคำพูดให้กำลังจะทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์11
ขอให้เราเอื้อมออกไปหาคนเหล่านี้! ขอให้เราเป็นเพื่อนกับพวกเขา! ขอให้เรามีน้ำใจต่อพวกเขา! ขอให้เราให้กำลังใจพวกเขา! ขอให้เราเพิ่มศรัทธาของพวกเขาและความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับงานนี้ของพระเจ้า12
ข้าพเจ้าขอร้องท่าน … ให้โอบกอดคนที่เข้ามาในศาสนจักรและเป็นเพื่อนกับเขาเหล่านั้น ทำให้พวกเขารู้สึกถึงการต้อนรับ ปลอบโยนพวกเขา และเราจะเห็นผลเลิศ พระเจ้าจะทรงอวยพรท่านที่ช่วยในกระบวนการอันสำคัญยิ่งนี้ของการรักษาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสให้คงอยู่13
ความรับผิดชอบ
ศาสนจักรนี้คาดหวังบางอย่างจากผู้คน ศาสนจักรมีมาตรฐานสูง มีหลักคำสอนที่ชัดเจน คาดหวังการรับใช้อย่างมากจากผู้คน พวกเขาไม่ดำเนินชีวิตอย่างเกียจคร้าน เราคาดหวังให้พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ผู้คนตอบสนอง พวกเขายินดีรับโอกาสในการรับใช้ และเมื่อทำเช่นนั้นพวกเขามีความสามารถมากขึ้น มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น และมีคุณสมบัติพร้อมทำสิ่งต่างๆ และทำได้ดี14
จงให้บางสิ่งแก่ [สมาชิกใหม่] ทำ พวกเขาจะไม่เข้มแข็งในศรัทธาหากไม่ใช้ศรัทธา ศรัทธาและประจักษ์พยานเหมือนกล้ามเนื้อแขน ถ้าใช้กล้ามเนื้อเหล่านั้นและบำรุงเลี้ยง มันจะแข็งแรงขึ้น ถ้าคล้องผ้าไว้เฉยๆ มันจะอ่อนแอและใช้การไม่ได้ ประจักษ์พยานก็เช่นกัน
เวลานี้บางท่านพูดว่าพวกเขาไม่พร้อมรับผิดชอบ แต่ไม่มีพวกเราสักคนพร้อมเมื่อการเรียกมาถึง ข้าพเจ้าพูดถึงตนเองเช่นกัน ท่านคิดหรือว่าข้าพเจ้าพร้อมรับการเรียกอันศักดิ์สิทธิ์และสำคัญยิ่งนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกหนักใจมาก ข้าพเจ้ารู้สึกไม่คู่ควร ข้าพเจ้ายังคงรู้สึกหนักใจมาก ข้าพเจ้ายังคงรู้สึกไม่คู่ควร แต่ข้าพเจ้าพยายามรุดหน้าต่อไป โดยแสวงหาพรของพระเจ้าและพยายามทำตามพระประสงค์ของพระองค์ หวังและสวดอ้อนวอนว่าการรับใช้ของข้าพเจ้าจะเป็นที่ยอมรับต่อพระองค์ ความรับผิดชอบแรกของข้าพเจ้าในศาสนจักรนี้คือเป็นที่ปรึกษาของประธานโควรัมมัคนายกเมื่ออายุสิบสองขวบ ข้าพเจ้ารู้สึกไม่คู่ควร ข้าพเจ้ารู้สึกหนักใจมาก แต่ข้าพเจ้าพยายาม เช่นเดียวกับที่ท่านพยายาม และหลังจากนั้นความรับผิดชอบอื่นๆ ก็ตามมา อย่ารู้สึกว่าไม่คู่ควร แต่ให้รู้สึกขอบพระทัยพระองค์และเต็มใจพยายามเสมอ15
ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสทุกคนที่เข้ามาในศาสนจักรนี้ควรมีความรับผิดชอบทันที อาจจะเป็นความรับผิดชอบเล็กๆ น้อยๆ แต่จะทำให้เกิดความแตกต่างในชีวิตเขา16
แน่นอนว่าผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่จะไม่รู้ทุกอย่าง เขาอาจจะทำผิดพลาดบ้าง แล้วไง เราทุกคนล้วนทำผิดพลาด สิ่งสำคัญคือการเติบโตที่จะมาจากความแข็งขัน17
การบำรุงเลี้ยงด้วยพระวจนะอันประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าเชื่อ … ว่าผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสเหล่านี้มีประจักษ์พยานในพระกิตติคุณ ข้าพเจ้าเชื่อว่าพวกเขามีศรัทธาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์และรู้ถึงการดำรงอยู่จริงของพระองค์ ข้าพเจ้าเชื่อว่าพวกเขากลับใจแล้วจริงๆ จากบาปของพวกเขาและมีความตั้งใจว่าจะรับใช้พระเจ้า
โมโรไน [กล่าว] เกี่ยวกับพวกเขาหลังจากรับบัพติศมาว่า “และหลังจากรับพวกเขาเข้ามาสู่บัพติศมา, และอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำและชำระพวกเขาแล้ว, จึงนับพวกเขาอยู่ในบรรดาผู้คนของศาสนจักรของพระคริสต์; และรับชื่อพวกเขาไว้, เพื่อพวกเขาจะได้รับการจดจำและบำรุงเลี้ยงด้วยพระวจนะอันประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้า, เพื่อให้พวกเขาอยู่ในทางที่ถูกต้อง, เพื่อให้พวกเขาเอาใจใส่ต่อการสวดอ้อนวอนตลอดเวลา, โดยวางใจแต่ในคุณความดีของพระคริสต์, ซึ่งเป็นพระผู้ทรงลิขิตและพระผู้ทรงประสิทธิ์ศรัทธาของพวกเขา” (โมโรไน 6:4)
ในสมัยนี้เช่นเดียวกับในสมัยนั้น ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใส “นับอยู่ในบรรดาผู้คนของศาสนจักร … จดจำและบำรุงเลี้ยง [พวกเขา] ด้วยพระวจนะอันประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้า, เพื่อให้พวกเขาอยู่ในทางที่ถูกต้อง, เพื่อให้พวกเขาเอาใจใส่ต่อการสวดอ้อนวอนตลอดเวลา.” … ขอให้เราช่วยพวกเขาขณะที่พวกเขาเดินก้าวแรกๆ ในฐานะสมาชิก18
ทั้งหมดนี้บ่งบอกว่า [ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ทุกคน] จำเป็นต้องเข้าร่วมกับโควรัมฐานะปุโรหิต หรือสมาคมสงเคราะห์ เยาวชนหญิง เยาวชนชาย โรงเรียนวันอาทิตย์ หรือปฐมวัย เราต้องกระตุ้นให้เขามาการประชุมศีลระลึกเพื่อรับส่วนศีลระลึก ต่อพันธสัญญาที่ทำไว้เมื่อครั้งรับบัพติศมา19
4
การกลับสู่ความแข็งขันในศาสนจักรมีแต่ได้และไม่มีเสีย
มีหลายพันคนทั่วโลก … ที่เป็นสมาชิกของศาสนจักรแต่ในนาม และตอนนี้ออกไปแล้ว เวลานี้ในใจพวกเขาอยากกลับมา แต่ไม่ทราบจะทำอย่างไรและเขินอายเกินกว่าจะพยายาม …
พี่น้องทั้งหลาย ท่านที่ได้รับมรดกทางวิญญาณและจากไปแล้ว บัดนี้พบความว่างเปล่าในชีวิต ทางเปิดให้ท่านกลับมาเสมอ … หากท่านจะเดินกลับมาครั้งแรกด้วยความเขินอาย ท่านจะพบแขนที่กางออกต้อนรับท่านและเพื่อนที่อบอุ่นทำให้ท่านรู้สึกถึงการต้อนรับ
ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้ารู้ว่าเหตุใดพวกท่านบางคนจึงออกไป ท่านขุ่นเคืองคนที่พลั้งเผลอทำร้ายท่าน และท่านเข้าใจผิดคิดว่าการกระทำของเขาหมายถึงการกระทำของศาสนจักร หรือท่านอาจย้ายจากเขตที่มีคนรู้จักไปอยู่ในเขตที่ส่วนใหญ่ท่านอยู่คนเดียว และเติบโตที่นั่นด้วยความรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับศาสนจักร
หรือท่านอาจถูกดึงไปหากลุ่มอื่นหรือนิสัยที่ท่านรู้สึกว่าเข้าไม่ได้กับกลุ่มคนในศาสนจักร หรือท่านอาจรู้สึกว่าในเรื่องปัญญาของโลกตัวท่านฉลาดกว่าคนที่ท่านคบหาในศาสนจักร และท่านถอนตัวออกจากกลุ่มของพวกเขาด้วยความรังเกียจ
ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อแจกแจงสาเหตุ ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะไม่ จงวางอดีตไว้เบื้องหลัง … ท่านมีแต่ได้และไม่มีเสีย กลับมาเถิดเพื่อนทั้งหลาย มีสันติสุขในศาสนจักรมากกว่าที่ท่านเคยรู้ มีคนมากมายที่ท่านจะได้รับมิตรภาพของพวกเขา20
พี่น้องที่รักของข้าพเจ้าผู้อาจ … ห่างหายไป ศาสนจักรต้องการท่าน และท่านต้องการศาสนจักร ท่านจะพบหูมากมายคอยฟังด้วยความเข้าใจ จะมีมือมากมายช่วยให้ท่านพบทางกลับ จะมีใจทำให้ใจท่านอบอุ่น จะมีน้ำตา ไม่ใช่น้ำตาของความขมขื่นแต่เป็นน้ำตาของความยินดี21
5
สำหรับวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่กลับมาแข็งขันในศาสนจักร เขาจะรู้สึกดีที่ได้กลับบ้านอีกครั้ง
วันอาทิตย์วันหนึ่งข้าพเจ้าเข้าร่วมการประชุมใหญ่สเตคในเมืองแคลิฟอร์เนีย ชื่อและรูปของข้าพเจ้าปรากฎในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เช้าวันนั้น เสียงโทรศัพท์ดังที่ศูนย์สเตคขณะข้าพเจ้ากับประธานสเตคเข้าไปในอาคาร มีคนโทรหาข้าพเจ้าและผู้โทรบอกชื่อของเขา เขาต้องการพบข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอตัวออกจากการประชุมที่ข้าพเจ้าจัดเช้าตรู่วันนั้นและขอให้ประธานสเตคดำเนินการต่อ ข้าพเจ้ามีสิ่งสำคัญกว่าต้องทำ
เพื่อนคนนี้มาพบข้าพเจ้า ท่าทางเขินอายและค่อนข้างกลัว เขาหายไปนาน เราโอบกอดกันเหมือนพี่น้องที่จากกันไปนาน ตอนแรกเราสนทนากันอย่างเคอะเขิน แต่ไม่นานก็เป็นกันเองเมื่อเราพูดคุยกันถึงวันเวลาที่เราคุ้นเคยในอังกฤษเมื่อหลายปีก่อน มีน้ำตาในดวงตาของชายที่เข้มแข็งคนนี้ขณะที่เขาพูดถึงศาสนจักรซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของเขา จากนั้นจึงพูดถึงหลายปีที่ยาวนานและว่างเปล่าต่อจากนั้น เขาพูดถึงเรื่องนี้เหมือนคนพูดถึงฝันร้าย เมื่อเขาบอกเล่าถึงวันเวลาที่เสียไปหลายปีนั้น เราพูดถึงการกลับมาของเขา เขาคิดว่าคงยาก คงตะขิดตะขวงใจ แต่เขารับปากว่าจะพยายาม
ข้าพเจ้า [ได้รับ] จดหมายจากเขาเมื่อไม่นานมานี้ เขาบอกว่า “ผมกลับมาแล้ว ผมกลับมาแล้ว และรู้สึกดีมากเหมือนกลับบ้านอีกครั้ง”
ท่านก็เช่นกัน เพื่อนทั้งหลายที่อยากกลับมาเช่นเดียวกับเขา แต่ลังเลไม่กล้าเดินก้าวแรก ขอให้ท่านลอง ขอให้เราพบท่านตรงจุดที่ท่านยืนเวลานี้ จูงมือท่านและช่วยท่าน ข้าพเจ้าสัญญากับท่านว่าท่านจะรู้สึกดีเหมือนกลับบ้านอีกครั้ง22
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
คำถาม
-
เหตุใด “ความสนใจและความห่วงใยของเรามักจะอยู่กับบุคคลแต่ละคน” แม้ในศาสนจักรที่ขยายไปทั่วโลก (ดู หัวข้อ 1) ท่านได้รับพรจากคนที่สนใจท่านเป็นส่วนตัวเมื่อใด เราจะละเอียดอ่อนมากขึ้นได้อย่างไรในการดูแลบุคคลแต่ละคน
-
เราเรียนรู้และประยุกต์ใช้อะไรได้บ้างจากจดหมายที่ประธานฮิงค์ลีย์แบ่งปันในหัวข้อ 2 ไตร่ตรองสิ่งที่ท่านทำได้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้คนที่กำลังพยายามสร้างศรัทธาของพวกเขา
-
เหตุใดผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ทุกคนจึงต้องการมิตรภาพ ความรับผิดชอบ และการบำรุงเลี้ยงด้วยพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า (ดู หัวข้อ 3) เราจะเป็นเพื่อนกับผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ด้วยวิธีใดได้บ้าง เราจะสนับสนุนผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ในความรับผิดชอบของพวกเขาในศาสนจักรได้อย่างไร เราจะช่วยให้ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ได้รับการ “บำรุงเลี้ยงด้วยพระวจนะอันประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้า” ได้อย่างไร
-
เหตุใดบางครั้งจึงยากที่สมาชิกจะกลับมาแข็งขันในศาสนจักร (ดู หัวข้อ 4) เราจะช่วยให้พวกเขากลับมาได้อย่างไร ท่านเคยประสบหรือเห็นความชื่นชมยินดีที่มากับการกลับมาแข็งขันในศาสนจักรเมื่อใด
-
ท่านเรียนรู้อะไรจากเรื่องที่ประธานฮิงค์ลีย์แบ่งปันในหัวข้อ 5 พิจารณาว่าท่านจะยื่นมือช่วยเหลือคนที่ไม่แข็งขันในศาสนจักรให้ “กลับบ้านอีกครั้ง” ได้อย่างไร
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
ลูกา 15; ยอห์น 10:1–16, 26–28; 13:34–35; โมไซยาห์ 18:8–10; ฮีลามัน 6:3; 3 นีไฟ 18:32; โมโรไน 6:4–6; คพ. 38:24
ความช่วยเหลือด้านการศึกษา
“คนจำนวนมากพบว่าเวลาดีที่สุดในการศึกษาคือช่วงเช้าหลังจากพักผ่อนตอนกลางคืน …บางคนชอบศึกษาในเวลาเงียบสงบหลังเลิกงานและเรื่องกลัดกลุ้มของวันนั้นผ่านพ้นไปแล้ว …บางทีสิ่งสำคัญกว่าเวลาของวันคือเวลาประจำที่กำหนดไว้ศึกษา” (ฮาเวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์, “Reading the Scriptures,” Ensign, Nov. 1979, 64)