พระเยซูคริสต์ทรงเป็นคำตอบ
ยามค่ำกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ • 8 กุมภาพันธ์ 2019 • แทเบอร์นาเคิลซอลท์เลคซิตี้
พี่น้องทั้งหลาย ท่านที่อยู่ในแทเบอร์นาเคิลบนเทมเปิลสแควร์แห่งนี้และท่านที่ชุมนุมกันอยู่ทั่วโลก นับเป็นเกียรติที่ซิสเตอร์ราสแบนด์กับข้าพเจ้าได้อยู่กับท่านที่นี่ ข้าพเจ้าหวนนึกถึงอิทธิพลของครูเซมินารีและครูสถาบันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตข้าพเจ้า จวบจนทุกวันนี้ข้าพเจ้าได้เห็นรอยประทับของครูต่อวิธีศึกษาพระคัมภีร์ของข้าพเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรักมากมายที่ข้าพเจ้ามีต่อพระคัมภีร์มอรมอน
ทั้งยังเห็นคุณค่าประสบการณ์ทางสังคมของการอยู่ในที่ปลอดภัยกับเพื่อนผู้ชอบอยู่ด้วยกันในแวดวงพระกิตติคุณเช่นกัน เราเตร่อยู่ที่ตึกเซมินารีในโรงเรียนมัธยมปลายและที่สถาบันในวิทยาลัย สิ่งที่เฝ้ารอเป็นพิเศษคือได้พาเมลานี ทวิทเชลล์ไปงานเต้นรำของสถาบัน ตอนนี้เมลานีเป็นภรรยาที่สวยและยอดเยี่ยมของข้าพเจ้า
ครูเซมินารีและสถาบันเช่นท่านทำงานหลายชั่วโมงเพื่อนำจิตวิญญาณมาหาพระเยซูคริสต์ ท่านสวดอ้อนวอนให้นักเรียน ท่านศึกษาเพื่อจะตอบคำถามของพวกเขาได้ ท่านเตรียมตัวทางวิญญาณเพื่อสอนด้วยพระวิญญาณ ท่านยกระดับ รับรอง และชี้แจงความจริงของพระกิตติคุณ
เมื่อพระเจ้าทรงมองหาคนช่วยนักเรียนที่ยุ่งยากใจ เยาวชนที่ฉงนใจ บุตรธิดาที่ล้ำค่าคนหนึ่งของพระองค์ผู้เสื่อมถอยในประจักษ์พยานและความเข้าใจ พระองค์ทรงเตรียมท่านให้ก้าวเข้ามาร่วมทีมกับผู้ปกครองและผู้นำศาสนจักร ท่านยืนต่อหน้านักเรียนและเน้นย้ำความจริงที่ว่าพระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์ พระบิดาในสวรรค์ทรงรักเราแต่ละคน และเรามีที่ในแผนนิรันดร์ของพระองค์ และดีที่สุดคือท่านเชื่อเช่นนั้นจริงๆ
ดังที่เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์กล่าวบ่อยครั้งว่าท่านเป็น “ครูที่มาจากพระเจ้า”1
“กี่ [คนถูกนำ] … มาร้องสดุดีความรักที่ไถ่, และนี่เพราะพลังแห่งพระวจนะของพระองค์ซึ่งอยู่ใน [ท่าน], ฉะนั้น [ท่าน] ไม่มีเหตุผลอันหนักแน่นที่จะชื่นชมยินดีหรือ ?
“แท้จริงแล้ว, [ท่าน] มีเหตุผลที่จะสรรเสริญพระองค์ตลอดกาล, เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด”2
ทว่าหลายครั้งท่านแทบจะแบกน้ำหนักของการหนุนใจ การสอน และให้กำลังใจเยาวชนไม่ไหว พระเจ้าทรงทราบว่างานของการนำจิตวิญญาณมาหาพระองค์เป็นงานยาก ข้าพเจ้าเรียนรู้เรื่องนี้สมัยเป็นประธานคณะเผยแผ่ในนิวยอร์กซิตีเมื่อพระคัมภีร์ข้อนี้ในแอลมาสะท้อนใจข้าพเจ้า “บัดนี้เมื่อใจเราหดหู่, และเราเกือบจะกลับอยู่แล้ว, ดูเถิด, พระเจ้าทรงปลอบโยนเรา, และตรัส : จงไปในบรรดาชาวเลมัน, … และจงรับความทุกข์ของเจ้าด้วยความอดทน, และเราจะให้ความสำเร็จแก่เจ้า”3
ปฏิปักษ์ไม่พอใจกับสิ่งที่เขาหั่นออกมาจากอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก เขาต้องการมากกว่านั้น เขาก้าวร้าวและเหี้ยมโหด เขากำลังเล็งคนที่ท่านดูแล เราเห็นในบางคน พวกเขา “สลบไสลไปเพราะความกลัว”4
นักเรียนบางคนตกราง แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า ท่านสามารถช่วยนำพวกเขากลับขึ้นมาบนรางได้ จงจดจำถ้อยคำของเปาโล “เราเผชิญความยากลำบากรอบด้าน แต่ก็ไม่ถูกบดขยี้ เราสับสนแต่ก็ไม่หมดหวัง เราถูกข่มเหงแต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีให้ล้มลง แต่ก็ไม่ถูกทำลาย”5
เพราะเหตุใด
เพราะอุดมการณ์ของพระคริสต์มาพร้อมคำสัญญาอันเป็นนิจ “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก”6
พระเจ้าตรัสว่า “ดังนั้น, จงรื่นเริงเถิด, และอย่ากลัวเลย, เพราะเราพระเจ้าอยู่กับเจ้า, และจะยืนเคียงข้างเจ้า; และเจ้าจะกล่าวคำพยานถึงเรา, แม้พระเยซูคริสต์, ว่าเราคือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์, ว่าเราเคยดำรงอยู่, ว่าเราดำรงอยู่, และว่าเราจะมา”7
เราจะมีความ “รื่นเริง” ไม่ได้8 ถ้าจมปลักอยู่ในความกลัว ทั้งสอง—รื่นเริงและกลัว—อยู่ร่วมกันไม่ได้ และถ้าเราทำตามพระบัญชาของพระเจ้า—ถ้าเรามีความรื่นเริง—เราจะพร้อมเป็นพยานถึงพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดของโลก เราจะรู้จักพระองค์ดังที่พระองค์ทรงเป็นและรับรู้บทบาทสำคัญของพระองค์ในการยกเราให้อยู่พ้นและอยู่เหนือความไม่แน่นอนของโลก
รื่นเริงคือวางใจพระองค์เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่เราวางแผนไว้ หมายถึงมุ่งมั่นต่อไปเมื่อสถานการณ์ในชีวิตยากและพลิกผันอย่างคาดไม่ถึง เมื่อความโศกสลดและความลำบากทำลายความฝันของเรา แต่พระเจ้าทรงเตือนเราว่า “ในโลกนี้ปีติของเจ้าไม่บริบูรณ์, แต่ในเราปีติของเจ้าบริบูรณ์”9
ท่านบอกได้ว่านักเรียนคนใดในชั้นของท่านมีความ “รื่นเริง” พวกเขายังคงมีความท้าทายและปัญหา แต่พวกเขาเผชิญสิ่งเหล่านั้นด้วยศรัทธาและความวางใจพระผู้เป็นเจ้า พวกเขานั่งในชั้น อยากตอบคำถาม หวังจะรู้ความจริงที่สอน และเชื่อมั่นว่าตนเป็นใคร สำหรับพวกเขา “ฉันลูกพระผู้เป็นเจ้า”10 เป็นทั้งความรู้และความมั่นใจ ไม่ใช่แค่ความทรงจำที่ขับร้องในปฐมวัยมานาน พวกเขาแสวงหาประสบการณ์ทางวิญญาณ ข้อคิด และความเข้าใจที่จะช่วยพวกเขาตอบคำถามของตนเอง พวกเขาต้องการให้ความหวังเป็นแรงผลักดันขณะสำรวจโลกที่ขัดแย้งกัน และท่ามกลางแรงกดดันมากมาย แสงสว่างในดวงตาของพวกเขามีพลังเหนือความอ่อนล้าของชีวิตประจำวัน
สมัยข้าพเจ้าเรียนเซมินารีและสถาบัน—ดูเหมือนนานมาแล้ว—นักเรียนมาชั้นเรียนอย่างเชื่อมั่น หรือดูเหมือนเป็นเช่นนั้นสำหรับข้าพเจ้า พวกเขาไม่ เขว ตามสิ่งที่พบบนอินเทอร์เน็ต เพราะไม่มีอินเทอร์เน็ต พวกเขาไม่แบกข้อกังวลที่โลกโยนใส่พวกเขาเกี่ยวกับศาสนา การเปิดเผย ศาสดาพยากรณ์ หรือความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า
และท่านคิดอย่างไรกับนักเรียนที่เอาหนังสือปิดหน้านั่งหลับอยู่แถวหลัง หรือเด็กสาวที่เพิ่งกล้อนผมและไม่ยอมสบตาท่าน สองคนที่เคยเดินคุยกันเข้ามาในห้องเรียน และตอนนี้แทบไม่พูดกันเลย ท่านคิดอย่างไรกับนักเรียนดีเด่นที่ดูเหมือนไม่สนใจการสนทนาพระกิตติคุณและขาดเรียนมากกว่าเข้าเรียนในเวลานี้ คิดอย่างไรกับสายตาว่างเปล่าของนักเรียนบางคน สีหน้าไม่สนใจและไม่พยายามเรียนรู้ของพวกเขา นักเรียนบางคนมาชั้นเรียน นั่ง แล้วเดินออกประตู ไม่นำอะไรไปด้วยเลย—แม้แต่พระวิญญาณ ความเครียด ความกลัว การล่อลวง วิกฤติ และความผิดหวังครอบงำชีวิตอันมีค่าของพวกเขา
ท่านเคยถามตนเองหรือไม่ว่า “เกิดอะไรขึ้นที่นี่” ข้าพเจ้าเคย!
ความกลัวและความสิ้นหวัง: นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น กลัวเพื่อนๆ จะไม่ยอมรับ กลัวผลการเรียน แรงกดดัน และปัญหาที่บ้านที่พวกเขาแก้ไม่ตก กลัวว่าพวกเขาวางใจใครไม่ได้และไม่มีใครวางใจพวกเขา กลัวอยู่คนเดียว และกลัวอยู่ในกลุ่ม กลัวว่าพวกเขาเป็นภาระของผู้อื่น กลัวศาสนาที่จัดตั้งหรือศาสนาอื่น กลัวว่าจะไม่มีทางออกหรือวิธีบรรเทาความเจ็บปวด ความกลัวก่อให้เกิดความท้อแท้สิ้นหวัง ความวิตกและความหดหู่ ความกลัวก่อให้เกิดความคับข้องใจที่ไม่ส่งผลดีแต่อย่างใด ความกลัวเชื่อว่าไม่มีใครจะเข้าใจ และที่หนักไปกว่านั้นคือไม่มีใครถามด้วยซ้ำว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ความกลัวแสดงออกหลายรูปแบบ และรูปแบบที่โหดร้ายที่สุดคือการฆ่าตัวตาย
เมื่อผู้ว่าการรัฐยูทาห์ตั้งกลุ่มพิเศษเมื่อปีที่แล้วเพื่อแก้ปัญหาการฆ่าตัวตายในวัยรุ่น เขาขอให้ประธานรัสเซลล์ เอ็ม เนลสันแต่งตั้งผู้นำศาสนจักรคนหนึ่งมาช่วยเรื่องนี้ ประธานเนลสันมอบหมายความรับผิดชอบอันสำคัญนี้ให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าไม่มีใครหนีพ้น การฆ่าตัวตายในวัยรุ่นเป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นทั่วโลก สถิติแสดงว่าเวลานี้การฆ่าตัวตายเป็นหนึ่งในสามสาเหตุหลักของความตายในหมู่เยาวชนอายุ 15 ถึง 24 ปี และ “การพยายามฆ่าตัวตายถี่กว่าการฆ่าตัวตายสำเร็จ 20 เท่า”11พี่น้องทั้งหลาย นี่เป็นสถิติที่โหดร้าย
เราทุกคนต้องเผชิญปัญหานี้ ในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเราต้องมุ่งมั่นทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อเปลี่ยนความคิดที่ว่าการฆ่าตัวตายเป็นทางออก เป็นคำตอบที่พึงพิจารณาด้วยซ้ำ เราต้องพูดคุยกับวัยรุ่นเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายและรักพวกเขาเพื่อพวกเขาจะไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นวิธีสลายความเจ็บปวด ชีวิตของประธานโธมัส เอส. มอนสันเป็นแบบอย่างของวลี “ช่วยชีวิต” เราต้องถือว่านั่นเป็นหน้าที่ของเรา
เป็นสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำเพื่อเราทุกคน พระองค์เสด็จมาช่วยชีวิตเราด้วยการชดใช้ ทรงแสดงความรักลึกซึ้งเช่นนั้นอย่างต่อเนื่องโดยทรงรักษาเรา ส่งเสริมเรา และนำสันติสุขมาให้เราถ้าเราจะหันไปหาพระองค์
เราแสดงความรักได้ถ้านั่นคือสิ่งที่เยาวชนต้องการ หาเพื่อนให้พวกเขา ฟังพวกเขา และพยายามช่วยพวกเขาด้วยคำพูดหรือท่าทีที่อ่อนโยน เราอาจต้องทำงานกับผู้ปกครองและอธิการเพื่อขอคำปรึกษาเมื่อเกิดภาวะซึมเศร้าหรือป่วยทางจิตอื่นๆ เราสามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ คนที่ฆ่าตัวตายง่ายมากคือเยาวชนและคนหนุ่มสาวที่มีปัญหาทางเพศ พวกเขาต้องถูกโอบไว้ในพระพาหุของพระผู้ช่วยให้รอดและรู้ว่าเรารักพวกเขา บ่อยครั้งที่พระเจ้าทรงขอร้องเรา ทรงคาดหวังให้เราเป็นแขนที่ต้อนรับและรักแทนพระองค์ เราต้องกระตุ้นให้เพื่อนๆ ทำแบบเดียวกัน
การฆ่าตัวตายเชื่อมโยงกับความเจ็บปวดจากคำถามที่ไม่มีคำตอบ ความเศร้าเสียใจ จะเป็นอย่างไรถ้า...และจะทำอย่างไร... ความสูญเสียชีวิตเหล่านี้เป็นเรื่องเศร้ามากถึงขนาดต้องให้คำปรึกษาวิธีใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม แสดงความสนใจและความห่วงใย ใกล้ชิดและสนับสนุนเยาวชนของเรา พยายามเอ่ยพระนาม “พระเยซูคริสต์” ขณะตกอยู่ในสภาพเสี่ยงอันตรายกับคนที่สูญสิ้นความหวัง การเรียกหาพระนามของพระองค์ด้วยความคารวะจะช่วยได้เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่ยาก
ชุมชนบางแห่งกำลังประสบสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าการฆ่าตัวตาย “หมู่” คือวัยรุ่นหนึ่งคนฆ่าตัวตายและคนอื่นเห็นเป็นทางเลือกและทำตาม
ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องวัยรุ่นชาวบริติชคนหนึ่งที่ออกข่าวบีบีซีในเดือนเมษายน ปี 2018 เรื่องมีอยู่ว่าเฮติ สปาเรย์–เซาธ์วัย 16 ปี “เคยพยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว เธออยากลองอีกครั้งและอาจทำสำเร็จถ้าไม่เพราะครูสังเกตเห็นเธอไม่มีความสุข” เพื่อนสามคนของเธอเปลิดชีวิตตนเองแล้ว เธอเป็นโรคซึมเศร้ามานานสองปี
เฮติบอกว่า “ดิฉันมักจะเศร้ามาก มากที่สุด และนอนไม่หลับ” ความมืดยังอยู่ พ่อแม่ของเธอแยกทางกัน คุณแม่เข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำเพราะปัญหาสุขภาพ ทุกคนสนใจแต่คุณแม่ของเธอ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นความเซื่องซึมในดวงตาของเฮติ ไม่มีใครถามว่า “คุณรับมืออย่างไร คุณรู้สึกอย่างไร”
วันหนึ่งเธอสวมเสื้อยืดน่ากลัวมาก เดินเข้าไปในชั้นเรียน และเพิ่งจะกล้อนผมมา ครูถามว่า “คุณสบายดีหรือ เป็นอย่างไรบ้าง”
เฮติตอบว่า “โอเค” แต่เธอไม่หยุดแค่นั้น มีคนสังเกตเธอ “หนูรู้สึกแย่มากๆ ค่ะ” เธอกล่าว “หนูรู้สึกเศร้ามาก หนูร้องไห้ตลอด”
จากนั้นเฮติก็ร้องไห้ไม่หยุด จนเครื่องสำอางเลอะแก้ม แต่นั่นไม่สำคัญแล้วในเวลานี้เพราะมีบางคนยื่นมือช่วยเหลือเธอ
ครูคนนี้ถามคำถามง่ายๆ ที่เธอถามเด็กหลายคน แต่ในการส่งสัญญาณว่าเธอห่วงใย เฮติยอมรับความช่วยเหลือทันที และได้รับความช่วยเหลือ
เธออธิบายภายหลังว่า “ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กแต่นั่นมีพลังอย่างเหลือเชื่อเมื่อคุณทักทายนักเรียนว่า ‘สบายดีหรือ’ ขณะพวกเขาเข้ามาในห้องเรียน และถึงแม้พวกเขาเหมือน ‘สบายดี’ แต่พวกเขาจะได้ยินคุณ” 12
พี่ชายผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์กล่าวว่า “ไม่ว่าท่านต่อสู้ดิ้นรนกับอะไร—ทางจิตหรือทางอารมณ์หรือทางร่างกายหรืออื่นๆ—จงอย่าโหวตให้ความล้ำค่าของชีวิตโดยการจบชีวิต! จงวางใจพระผู้เป็นเจ้า ยึดมั่นในความรักของพระองค์ จงรู้ว่าวันหนึ่งอรุณจะเบิกฟ้าเรืองรองและเงามืดทั้งปวงแห่งความเป็นมรรตัยจะจากไป แม้เราอาจรู้สึกเป็น ‘เหมือนภาชนะแตก’ ดังที่ผู้เขียนสดุดีบอกไว้ แต่เราต้องระลึกว่าภาชนะนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของช่างปั้นหม้อผู้สูงส่ง”13
ไม่มีแม่แบบสำหรับผู้ที่อยู่ในความเสี่ยง เยาวชนเหล่านี้เป่าทรอมโบน ร้องเพลงในคณะนักร้องประสานเสียง อยู่ในทีมฟุตบอล หรือบรรจุของชำใส่ถุงหลังเลิกเรียน พวกเขามาโบสถ์ บางคน—พวกเขาเป็นเพื่อนของคนที่มาชั้นเรียนของท่าน ถึงแม้บางคนเคยเมินศาสนามานานแล้วก็ตาม แต่มีบางอย่างเหมือนกัน นั่นคือ ความผิดหวัง การสอบซ่อม เลิกกับแฟน การข่มเหงรังแก ความเครียดด้านวิชาการ และสิ่งที่เราอาจจะเรียกว่าความทุกข์ตามประสาวัยรุ่น
ศาสนจักรเอาจริงเอาจังกับการฆ่าตัวตายของวัยรุ่น โดยสร้างเว็บไซต์ที่มีข้อมูล วีดิทัศน์ออนไลน์ ความช่วยเหลือสำหรับคนที่รู้สึกโดดเดี่ยว สายด่วนขอความช่วยเหลือ และสัญญาณเตือนมากมายที่บอกว่าต้องได้รับความช่วยเหลือเหมือนเฮติ
ขอให้ทำความรู้จักแหล่งข้อมูลเหล่านี้และท่านจะทำการเรียกในฐานะ “ครูที่มาจากพระเจ้า” ได้สมบูรณ์มากขึ้น14
เราจะบอกคนที่กำลังประสบความทุกข์ใจได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงทราบว่าเขารู้สึกอย่างไร พระองค์ทรงรับเอาความท้าทายและความผิดพลาดส่วนตัวของเขาไว้กับพระองค์ พระองค์ทรงแบกสิ่งเหล่านั้นแทนเขา ทั้งนี้เพื่อให้เขามีใครสักคนที่จะปฏิบัติศาสนกิจด้วยความเข้าใจถ่องแท้ว่าเขาเจ็บปวดตรงไหนและเพราะเหตุใด
การเข้าใจพระเยซูคริสต์มากขึ้นจะช่วยคนที่กำลังสิ้นหวัง ความรักที่ทรงมีต่อพวกเขา และสถานที่อันสูงส่งลึกซึ้งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาในนิรันดรคือข่าวสารแห่งความหวัง พระองค์ทรงรักพวกเขา พวกเขาจำเป็นต้องรู้ พระคัมภีร์กล่าวว่า “เราพระเจ้าอยู่กับเจ้า, และจะยืนเคียงข้างเจ้า”15สัญญาของพระองค์ว่าจะทรงอยู่ที่นั่นไม่ใช่สัญญาที่สงวนไว้สำหรับคนสะอาดหมดจดหรือคนในสภาเซมินารีเท่านั้น พระองค์จะทรงยืนเคียงข้างเยาวชนของเราทุกคน—เราทุกคนด้วยเช่นเดียวกัน—ในโมงอันมืดมิดที่สุดของเรา นั่นคือพลังแห่งการไถ่ และเราต้องสอนเรื่องนี้ให้คนที่กำลังประสบความทุกข์เข้าใจ
จงช่วยนักเรียนกำหนด “พระคัมภีร์คุ้มครอง” สักหนึ่งข้อ ข้อที่พวกเขานึกออกเมื่ออยู่ในสถานการณ์อันตรายหรือต้องการพลังเพื่อเดินหนี “จงรื่นเริงเถิด, และอย่ากลัวเลย, เพราะเราพระเจ้าอยู่กับเจ้า,”16 เป็นข้อที่ดี
ชีวิตเต็มไปด้วยความท้าทายเสมอ ไม่มีใครหนีพ้น ไม่ว่าท่าน ไม่ว่าข้าพเจ้า และพวกเขา เยาวชนบางคนทุกข์ใจเพราะคิดว่าพวกเขาเป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่มีความทุกข์ ดูเหมือนคนอื่นไม่มีปัญหา พวกเขาเชื่อผิดๆ ว่าถ้าศึกษาพระคัมภีร์ รักษาพระบัญญัติ และสวดอ้อนวอนทุกวัน ความปวดร้าวใจ ความวุ่นวาย การขาดความนิยมชมชอบ และอุบัติเหตุจะผ่านพ้นไป แต่ประจักษ์พยานในหลักธรรมไม่ได้ทำงานเช่นนั้น การทดลองมาถึงเราทุกคน
ปัญหา ความท้าทาย การทดลอง ความยากลำบาก ความทุกข์ทนหม่นหมอง—เรียกได้ตามใจท่าน—เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์มรรตัยที่ทำให้เราเข้มแข็งและเสริมสร้างเรา พรคือโดยผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์เราจะยัง “รื่นเริง” ได้17
อย่าปล่อยให้ความเข้มงวดของการสอนพระกิตติคุณสำคัญกว่าอำนาจของพระวิญญาณที่จะสัมผัสและกระตุ้นนักเรียนของท่าน จงเตรียมพวกเขาให้พร้อมรับการดลใจและทำตามนั้น เตรียมพวกเขาให้พร้อมรับการเปิดเผยส่วนตัวตามที่ประธานเนลสันเน้น18
เมื่อพวกเขาพร้อม พวกเขาจะประสบปาฏิหาริย์ของการนำทางจากพระเจ้า ซึ่งเป็นความรักในรูปแบบของพระองค์จริงๆ
เหตุใดข้าพเจ้าจึงเลือกพูดเรื่องการฆ่าตัวตายที่มาคู่กับ—ความกลัว ความเหงา ความผิดหวัง ความวิตก และความเจ็บปวด—ในสภาวะแวดล้อมเช่นนี้ เพราะท่าน พี่น้องทั้งหลาย อยู่ในกลุ่ม “บุคลากรแนวหน้า” และถ้าไม่ใช่ ข้าพเจ้าขอให้ท่านเป็น การฆ่าตัวตายและความรู้สึกที่มาคู่กันเป็นเรื่องจริง เหตุการณ์เหล่านี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่เยาวชนของเรา เป็นหายนะที่หลอกล่อแม้ผู้ถูกเลือกที่อายุยังน้อยและอนาคตสดใสให้เชื่อว่าชีวิตไม่มีจุดประสงค์สำหรับพวกเขา นั่นไม่จริงเลย
ชีวิตเปราะบาง เราไม่รู้เมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้นกับบางคนจนทำให้เราประหลาดใจ เรารู้สึกไม่พร้อมและไม่ทราบจะทำอย่างไร แต่ถ้าพวกเขามาจากบ้านที่มีการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว การศึกษาพระคัมภีร์ และการสังสรรค์ในครอบครัว เครื่องมือให้ “ยึด” ย่อมแข็งแรงขึ้น ขออย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าเยาวชนคนหนึ่งของเราอาจไม่มีความเสี่ยงแม้เมื่อพวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เยาวชนชายคนหนึ่งขานรับกิจกรรมการสังสรรค์ในครอบครัวที่ขอให้สมาชิกแต่ละคนเขียนสิ่งที่สำคัญต่อพวกเขามาหนึ่งอย่าง เด็กหนุ่มวัย 14 ปีที่ดูเหมือนมีพร้อมทุกอย่างเขียนดังนี้ “การรู้ว่ามีคนคอยช่วยเหลือผม”
ข้าพเจ้ามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ไม่เรียนเซมินารีจนกระทั่งเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย เขาไม่มาโบสถ์ เขาไม่มาตั้งแต่อายุ 13 ปี เพราะเป็นนักร้อง เขาจึงตัดสินใจสมัครเข้าคณะนักร้องเซมินารี และเขาทำสำเร็จ (ทุกคนทำได้ในการเข้าร่วมคณะนักร้องเซมินารี!) เขาจำบทเรียนที่เรียนในชั้นไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่ร้องเพลง พระวิญญาณสถิตในห้องนั้น และเขารู้ว่านี่ต่างจากคณะนักร้องของโรงเรียนฝั่งตรงข้ามที่เขาเข้าร่วม เขารู้สึกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขารู้สึกถึงพระวิญญาณ เขามาจากบ้านที่ไม่มีการสอนพระกิตติคุณ เขาจึงไม่คุ้นเคยกับพระวิญญาณ เขาเริ่มยึดมั่นและพึ่งพาพระวิญญาณ เขาแข็งแกร่งในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เพราะ “มีคนคอยช่วยเหลือเขา” ตอนนี้ หลายปีต่อมา เขายังคงพูดคุยบ่อยๆ กับครูเซมินารีของเขาผู้เป็น “ครูที่มาจากพระเจ้า”19
สำหรับคนที่ท่านสอนผู้ไม่มีเครือข่ายสนับสนุน ไม่มีความเข้มแข็งที่บ้าน คำสอนของท่านสำคัญอย่างยิ่งต่อความผาสุกของพวกเขา พวกเขาอาจเป็นคนที่ถามคำถามเพียงเพื่อมีส่วนในการสนทนาพระกิตติคุณมากขึ้นเพราะนั่นเป็นเวลาเดียวที่พวกเขามีความเชื่อมโยงทางวิญญาณในวันนั้น ขอให้ทะนุถนอมโอกาสเหล่านั้น และจัดเวลาให้พวกเขา
การเยียวยามาจากพระผู้ช่วยให้รอดผู้ “เสด็จลงต่ำกว่าสิ่งทั้งปวง”20 เพื่อพระองค์จะทรงรู้ “ตามเนื้อหนังว่าจะทรงช่วยผู้คนของพระองค์ตามความทุพพลภาพของพวกเขาได้อย่างไร”21
ลองพิจารณาเมื่อพระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคนด้วยปลาและขนมปังซึ่งเป็นอาหารกลางวันของเด็กหนุ่มคนหนึ่งและจากนั้นเสด็จขึ้นเขาตามลำพังเพื่อสวดอ้อนวอน เหล่าสาวกของพระองค์เริ่มข้ามทะเลกาลิลี และเมื่อกลางคืนผ่านไป พระเยซูทรงดำเนินบนทะเลไปหาพวกเขา เมื่อเห็นพระองค์ พวกเขา “ร้องด้วยความกลัว”22 และพระองค์ตรัสตอบว่า “ทำใจดีดีเถิด นี่เราเอง อย่ากลัวเลย”23
เมื่อเปโตรกล้ากระโดดลงจากเรือคืนนั้นตามพระดำรัสเชิญของพระเจ้าและเริ่มเดินบนน้ำ เขาเต็มไปด้วยความรื่นเริงจนเขามองลงไปและเห็นทะเลปั่นป่วน แล้วเขาก็ร้องด้วยความกลัว
พระเยซูทรงเอื้อมไปจับเขาไว้ไม่ใช่ด้วยความโกรธแต่ด้วยความสงสาร โมโรไนพูดถึงความลังเลของเราด้วยคำพูดนี้: “ขอให้พระคริสต์ทรงยกลูกขึ้น, และขอให้ความทุกขเวทนาและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ … และพระเมตตาและความอดกลั้นของพระองค์, และความหวังในรัศมีภาพของพระองค์และชีวิตนิรันดร์, จงสถิตอยู่ในจิตใจลูกตลอดกาล”24
เขากำลังพูดกับเราเพราะเราทุกคน พี่น้องทั้งหลาย กำลังเดินอยู่บนผืนน้ำ
ในอีกเหตุการณ์หนึ่งจากพันธสัญญาใหม่ คนกลุ่มหนึ่งมารวมกันรอบ “คนง่อยคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอน”25พระเจ้าพระเยซูทอดพระเนตรเห็นชายคนนั้นและรู้สึกถึงศรัทธาของคนที่อยู่รอบๆ เขาจึงตรัสว่า “จงชื่นใจเถิด”26
ในสมัยการประทานสุดท้ายนี้ พระเยซูคริสต์ตรัสผ่านโจเซฟ สมิธถึงผู้รับใช้ของพระองค์ที่ออกไปเป็นผู้สอนศาสนา เผชิญภัยอันตรายทั้งหลายว่า “จงรื่นเริงเถิด, เด็กน้อยเอ๋ย, เพราะเราอยู่ท่ามกลางเจ้า”27
โจเซฟ สมิธเห็นในนิมิตว่าอัครสาวกที่ไปสอนศาสนาในอังกฤษ “ยืนเป็นวงกลม อิดโรยมาก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เท้าบวม ตามองพื้น พระเยซูทรงยืนท่ามกลางพวกเขา และพวกเขาไม่เห็นพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดทอดพระเนตรพวกเขาและทรงกันแสง”28
ท่านสามารถเห็นรูปแบบหรือไม่ เดชานุภาพของพระคริสต์ประจักษ์ในความเรียบง่ายที่ว่าพระองค์ทรงคอยช่วยเหลือเรา—เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พระองค์จะทรงอยู่กับเรา จะทรงปลอบโยนเรา และจะทรงรักษาเราถ้าเรามาหาพระองค์และใช้เดชานุภาพของพระองค์ช่วยให้เรารอด พระองค์ทรงรักษาใจที่บาดเจ็บบ่อยที่สุด ทรงรักษาอย่างไร เราถาม ทรงรักษาโดยพลังแห่งการชดใช้ในชีวิตเราวันนี้ ไม่ใช่ในบั้นปลายก่อนการพิพากษาครั้งสุดท้าย แต่ทุกวันเมื่อเราพยายามเป็นเหมือนพระองค์ รักสิ่งที่พระองค์ทรงรัก และทำตามศาสดาพยากรณ์ของพระองค์
เมื่อข้าพเจ้าศึกษาเรื่องการชดใช้ ข้าพเจ้าพยายามนึกภาพความปวดร้าวขณะพระผู้ช่วยให้รอดทรงคุกเข่าในสวนเกทเสมนี และพระองค์ทรงสวดอ้อนวอน “ว่าข้าแต่พระบิดา ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”29พระองค์ตรัสถึงความทุกข์ของพระองค์เองว่า “อาดูรเพียงใดเจ้าหารู้ไม่, แสนสาหัสเพียงใดเจ้าหารู้ไม่, แท้จริงแล้ว, ยากเหลือจะทนเพียงใดเจ้าหารู้ไม่”30เยาวชนของเราต้องเข้าใจข้อความอันลึกซึ้งดังกล่าว
“มีทูตองค์หนึ่งจากฟ้าสวรรค์มาปรากฏต่อพระองค์ และช่วยชูกำลังพระองค์”31
ขณะทรงรับน้ำหนักบาปทั้งหมดของเรา วันที่แย่มากของเรา ความอ่อนแอและความผิดหวังของเราไว้กับพระองค์ เทพปรากฏเพื่อปลอบโยนพระองค์ ในสภาพที่เราอับจน พี่น้องทั้งหลาย พระเจ้าทรงจัดเตรียม “[เหล่าเทพ]ห้อมล้อมเจ้า, เพื่อประคองเจ้าไว้”32ครูที่รัก ท่านอาจเป็นเทพองค์นั้น
พระผู้ช่วยให้รอดทรงประกาศชัดเจนก่อนพระกระยาหารมื้อสุดท้ายถึงพระพันธกิจและสันติสุขที่สัญญาไว้ว่า “ในโลกนี้ ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”33พระองค์ทรงทราบแน่นอนว่าอะไรอยู่เบื้องหน้า ทรงทราบแน่นอนว่าพระองค์ทรงมีส่วนในการทำให้แผนแห่งความรอดสมบูรณ์จึงได้ทรงกระตุ้นเหล่าสาวกให้ “รื่นเริงเถิด”
เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์กล่าวว่า “ความปวดร้าวที่คาดไม่ถึงของเกทเสมนีกำลังจู่โจมพระเยซู การทรยศของยูดาสใกล้เข้ามาแล้ว จากนั้นจะเกิดการจับกุมและการไต่สวนพระเยซู การกระจัดกระจายของอัครสาวกสิบสองเหมือนแกะ การโบยพระผู้ช่วยให้รอด การไต่สวนที่ไม่เป็นธรรม เสียงร้องของฝูงชนให้ปล่อยบารับบัสแทนพระเยซู และต่อจากนั้นการตรึงกางเขนอันโหดร้ายบนคัลวารี มีอะไรให้รื่นเริงหรือ มีเพียงสิ่งที่พระองค์ตรัส: พระองค์ทรงชนะโลกแล้ว! การชดใช้กำลังจะเป็นความจริง มนุษยชาติทั้งปวงจะฟื้นคืนชีวิตแน่นอน ความตายผ่านพ้นไป—ซาตานไม่สามารถหยุดยั้งการชดใช้ได้”34
เราสามารถสอนความจริงที่ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกล่าว “หากปราศจากการชดใช้อันไม่มีขอบเขตของพระผู้ไถ่ เราคงไม่มีหวังจะได้กลับไปหาพระบิดาบนสวรรค์ของเรา หากปราศจากการฟื้นคืนพระชนม์ ความตายคงเป็นจุดจบ การชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดทำให้ชีวิตนิรันดร์เกิดขึ้นได้และความเป็นอมตะเกิดขึ้นกับทุกคน”35
ไตร่ตรองว่าท่านจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจความเข้มแข็งของพระผู้ช่วยให้รอด ความรักที่ทรงมีต่อเราทุกคน และความเคารพต่อแผนของพระบิดาได้อย่างไร สวดอ้อนวอนขอให้พวกเขารู้ว่าการชดใช้ของพระเยซูคริสต์มีไว้เพื่อพวกเขาและมีความหมายอย่างไรในชีวิตที่ซับซ้อนมากของพวกเขา
กระตุ้นการรับใช้ในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งมาพร้อมพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า
การได้รับใช้และนำในแผนกพระวิหารของศาสนจักรนานหลายปีทำให้ข้าพเจ้าชอบเข้าพระวิหารและเห็นเยาวชน—ชายและหญิงต่อแถวเข้าไปในพระวิหารเพื่อทำบัพติศมาแทนผู้วายชนม์ ขณะท่านเน้นพลังของพระวิหารในการสอนของท่าน ท่านกำลังเสริมโอกาสอันสำคัญยิ่งนี้ว่าพวกเขาต้องรู้จักพระเยซูคริสต์ รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นบ่อเกิดแห่ง “ความรื่นเริง” ของพวกเขา
ข้าพเจ้าชื่นชมเมื่อคนหนุ่มสาวที่เพิ่งรับเอ็นดาวเม้นท์รับใช้เป็นเจ้าหน้าที่พระวิหารเพิ่มขึ้น ทุกคนสวมชุดสีขาว ในสภาวะแวดล้อมที่เงียบสงบ ยืนอยู่บนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ขณะเป็นพยานถึงพระองค์ ว่าพระองค์เคยดำรงอยู่ พระองค์ทรงดำรงอยู่และจะเสด็จมาอีกครั้ง36การรับใช้พระเจ้าในพระวิหารเป็นวิธีเดียวที่เรารู้สึกว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงอยู่ใกล้
กระตุ้นให้นักเรียนของท่านถือใบรับรองพระวิหารที่เป็นปัจจุบันตลอดเวลา—จำกัดการใช้หรือประจำขึ้นอยู่กับอายุและสภาวการณ์ของพวกเขา—แล้วแบ่งปันความรู้สึกของพวกเขาเกี่ยวกับการอยู่ในพระวิหาร การเปิดเผยและการดลใจที่เกิดขึ้นเมื่อพวกเขาเอื้อมข้ามชีวิตนี้ไป “แสวงหาสิ่งต่างๆ ของโลกที่ดีกว่า”37 ขณะรับใช้คนที่ไม่สามารถทำศาสนพิธีด้วยตนเองได้
ประธานเนลสันผู้เป็นที่รักกล่าวไว้ว่า “เมื่อศูนย์กลางของชีวิตเราอยู่ที่แผนแห่งความรอดของพระผู้เป็นเจ้า … และพระเยซูคริสต์กับพระกิตติคุณของพระองค์ เราจะรู้สึกปีติได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น—หรือไม่เกิดขึ้น—ในชีวิตเรา”38
เมื่อข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งเป็นอัครสาวก ประธานมอนสันผู้เป็นที่รักกล่าวว่าข้าพเจ้าต้องเป็นพยานพิเศษถึงพระนามของพระเยซูคริสต์ไปทั่วโลก ข้าพเจ้าไม่ได้รับหน้าทีนั้นอย่างผิวเผิน ข้าพเจ้ามุ่งมั่นศึกษาพระคัมภีร์ โดยค้นหาพระนามและพระสมัญญานามของพระเจ้า ทั้งหมดนี้ที่ข้าพเจ้าจะแบ่งปันกับท่านมาจากข้อพระคัมภีร์ที่เตือนข้าพเจ้าให้จดจำว่าความหวังของเราอยู่ในพระองค์ พระองค์ทรงเป็น:
-
ความหวังแห่งอิสราเอล39
-
ดาวประจำรุ่งอันสุกใส40
-
พระเมษบาลผู้ประเสริฐ41
-
ที่ปรึกษา42
-
เจ้าชายแห่งสันติ43
-
พระผู้ช่วยกู้ชีวิต44
-
ความสว่างของโลก45
-
มหาปุโรหิตแห่งบรรดาสิ่งประเสริฐซึ่งมาถึงแล้ว46
-
พระผู้ทรงอานุภาพที่จะช่วยให้รอด47
-
พระองค์ผู้ทรงมีเดชานุภาพทั้งมวล48
อิทธิพล รอยประทับ และขอบเขตของพระคริสต์ครอบคลุมทั้งหมด พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นเมื่อเราลังเลและพยายามก้าวไปข้างหน้า ถ้าเราก้าวพลาด “แสงสว่าง [ของพระองค์] ซึ่งส่องในความมืด”49—อีกพระนามหนึ่งของพระองค์—จะสว่างเจิดจ้ากว่าเดิม พระองค์ทรงรักเราทั้งในเวลาสว่างที่สุดและมืดที่สุดของเรา
การเป็นสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์ไม่ใช่การคาดเดา รอยพระบาทพระองค์ทำเครื่องหมายเส้นทางไว้ชัดเจน เมื่อเราเดินตามพระองค์ เราจะรักสิ่งที่พระองค์ทรงรัก เมื่อเราต่อพันธสัญญากับพระองค์ทุกสัปดาห์ขณะรับส่วนศีลระลึกอันศักดิ์สิทธิ์ เราจะเข้าใจมากขึ้นว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของโลก50 พระวิญญาณแห่งความจริง51 พระวาทะ52
จงสอนพลังของศีลระลึกให้แก่นักเรียนของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ลังเลและคนที่ไม่เห็นความสำคัญของศาสนพิธีอันล้ำค่านี้ จงให้พรของศีลระลึก การ “มีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับ [เรา] ตลอดเวลา”53 เป็นสิ่งที่ท่านพูดถึงเพื่อให้เดชานุภาพการเยียวยาของพระเยซูคริสต์ผ่านการชดใช้ของพระองค์ใช้ได้จริง
นอกจากนี้ พระผู้ช่วยให้รอดยังตรัสถึงพระองค์เองในข้อความที่เปิดเผยทั้งธรรมชาติวิสัยและบทบาทนิรันดร์ของพระองค์ ดังข้อความเหล่านี้:
-
“จงนิ่งเถิดและรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า”54
-
“เราสามารถทำให้เจ้าบริสุทธิ์”55
-
“เราทำตามพระประสงค์ของ [พระบิดา]”56
-
“เรา, พระเจ้า … ยินดีที่จะยกย่องคนเหล่านั้นที่รับใช้เรา”57
-
“พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า”58
-
“เจ้าจะมีสันติสุขในเรา”59
-
“อย่ากลัว … เพราะเจ้าเป็นของเรา”60
เพื่อน พี่น้องทั้งหลาย นั่นคือพระผู้ช่วยให้รอดที่ข้าพเจ้ารู้จัก รัก และเคารพสุดหัวใจ ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานจากส่วนลึกของจิตวิญญาณถึงพระองค์ พระคุณความดี และพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาว่า “เพราะเจ้าเป็นเพื่อนของเรา, และเจ้าจะมีมรดกกับเรา”61
ในความเป็นจริงแล้ว พี่น้องทั้งหลาย พระเยซูคริสต์ทรงเป็นคำตอบเสมอ การเข้าใจพระพันธกิจและพระกิตติคุณของพระองค์ ความรักที่เรามีต่อพระองค์ ความเชื่อและความวางใจในพระองค์จะทำให้เรามีพลัง
ฮีลามันอธิบายเรื่องนี้ได้ดี “จงจำไว้ว่าบนศิลาของพระผู้ไถ่ของเรา, ผู้ทรงเป็นพระคริสต์, พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า, ที่ลูกต้องสร้างรากฐานของลูก; เพื่อเมื่อมารจะส่งลมอันมีกำลังแรงของเขามา, แท้จริงแล้ว, ลูกศรของเขาในลมหมุน, แท้จริงแล้ว, เมื่อลูกเห็บของเขาและพายุอันมีกำลังแรงของเขาทั้งหมดจะกระหน่ำมาบนลูก, มันจะไม่มีพลังเหนือลูกเพื่อลากเอาลูกลงไปสู่ห้วงแห่งความเศร้าหมองและวิบัติอันหาได้สิ้นสุดไม่, เพราะศิลาซึ่งบนนั้นลูกได้รับการสร้างขึ้น, ซึ่งเป็นรากฐานอันแน่นอน, รากฐานซึ่งหากมนุษย์จะสร้างบนนั้นแล้วพวกเขาจะตกไม่ได้”62
ข้าพเจ้าขอฝากพรให้ท่านรู้สึกถึงความรักของพระเจ้าในชีวิตท่านและท่านจะช่วยให้นักเรียนรู้สึกอย่างเดียวกัน ข้าพเจ้าขออวยพรให้ท่านมีความหวังและ “รื่นเริง” ให้พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตกับท่าน ทรงดลใจท่าน และหนุนใจท่าน ข้าพเจ้าขออวยพรให้ท่านฟังนักเรียนของท่าน รับรู้สิ่งที่พวกเขาไม่พูดและสิ่งที่พวกเขาแสดงออก และมีการดลใจให้รู้ว่าพระเจ้าทรงประสงค์ให้ท่านทำอะไร ข้าพเจ้าขออวยพรครอบครัวท่าน ภรรยาท่านและสามีท่าน ขอให้ทุกท่านทราบว่าข้าพเจ้ากับเพื่อนอัครสาวกเคารพ วางใจ และรักท่านและงานสำคัญที่ท่านทำเพื่อนำจิตวิญญาณมาหาพระพระเยซูคริสต์ ขอให้ท่านรู้สึกว่าพระเจ้าทรงยืนเคียงข้างท่านขณะท่านกล่าวคำพยานถึงพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดของโลก พระเยซูคริสต์ทรงเป็นคำตอบเสมอ
ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน
© 2019 by Intellectual Reserve, Inc. All rights reserved. ฉบับ: 11/18 แปลจาก “Jesus Christ Is the Answer.” Thai. PD60007796 425