การประชุมนักการศึกษาศาสนา ซีอีเอส
การสอนศาสนาให้เยาวชนและคนหนุ่มสาว - การอภิปรายแบบคณะ


33:13

การสอนศาสนาให้เยาวชนและคนหนุ่มสาว - การอภิปรายแบบคณะ

การสนทนาตอนที่ 2 – ประธานโอ๊คส์, แชด เว็บบ์, อาดัม สมิธ

ประธานโอ๊คส์: บราเดอร์เว็บบ์ ดีใจที่ได้อยู่กับคุณวันนี้ บราเดอร์สมิธครับ เรามาต่อกันเลย

บราเดอร์ เว็บบ์: ขอบคุณครับ เราตื่นเต้นที่ได้อยู่กับท่านครับ ขอบคุณสำหรับข่าวสารอันยอดเยี่ยมครับ จริงๆ แล้ว การได้ฟังคำแนะนำของท่านทำให้เกิดคำถามหลายข้อที่เราอยากพูดถึง เราจะเริ่มที่คำถามนี้ เมื่อท่านพูดถึงความรักที่เรามีต่อนักเรียน และส่วนหนึ่งของการรักนักเรียนคือการสอนพวกเขาเกี่ยวกับพระกิตติคุณและช่วยพวกเขาเข้าใจสิ่งเหล่านั้นที่ล้ำค่าที่สุด เราจะทำให้แน่ใจได้อย่างไรว่าในบรรดาสิ่งต่างๆ ที่เราจะสอน เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่จะมีค่ามากที่สุดต่อนักเรียนก่อน?

ประธานโอ๊คส์: สิ่งที่ทำให้ระบบการศึกษาของศาสนจักรเราพิเศษคือความรับผิดชอบทางพระคัมภีร์ที่จะไม่เพียงแต่แสวงหาการเรียนรู้โดยการศึกษาเท่านั้น แต่โดยศรัทธาด้วย

บราเดอร์อาดัม สมิธ: เมื่อผมนึกถึงสิ่งที่เราจะสอนนักเรียนซึ่งจะมีค่ามากที่สุด ผมได้รับการชี้นำจากคำสอนของประธานอายริงก์ซึ่งผมอยากแบ่งปัน ประธานอายริงก์กล่าวว่า “จากความจริงทั้งหมดที่เน้นย้ำในพระคัมภีร์ช่วงนี้ ความจริงใดจะช่วยให้นักเรียนใกล้ชิดพระบิดาบนสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้นและนำไปสู่ความรอด?” ประธานอายริงก์กล่าวต่อว่า “ขณะที่ท่านเตรียมบทเรียน จงมองหาหลักธรรมแห่งการเปลี่ยนใจเลื่อมใส … หลักธรรมแห่งการเปลี่ยนใจเลื่อมใสคือหลักธรรมที่นำไปสู่การเชื่อฟังพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า”1 สิ่งที่ผมดึงมาจากคำสอนที่สำคัญยิ่งนี้จากประธานอายริงก์คือว่าสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับนักเรียนจะเชื่อมโยงพวกเขากับพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ในวิธีที่เป็นส่วนตัวและลึกซึ้ง เราจำเป็นต้องสอนสิ่งที่จะช่วยนักเรียนให้รู้สึกและเข้าใจความจริงพระกิตติคุณ โดยเฉพาะความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่จริงของพระเยซูคริสต์ การชดใช้ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์—และช่วยพวกเขารู้สึกว่าในความเป็นจริงแล้วพระเยซูคริสต์ทรงมีอำนาจรักษา ช่วยเหลือ ปลอบประโลม และชำระพวกเขาให้สะอาด ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เรามุ่งเน้นได้

ประธานโอ๊คส์: จริงและมีพลังมากครับ

บราเดอร์เว็บบ์: ขอบคุณครับ และนั่นก็เกี่ยวข้องเป็นอย่างดีกับแนวคิดเรื่องการทำให้แน่ใจว่าพวกเขาเรียนรู้โดยศรัทธา—และว่าพวกเขากระทำด้วยศรัทธาแล้วได้รับการยืนยันจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าสิ่งที่กำลังเรียนรู้และดำเนินชีวิตตามมาจากพระบิดาในสวรรค์จริงๆ ขอบคุณครับ ประธานครับ ท่านได้กล่าวถึงบทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการสอนของเราด้วย ผมจึงอยากถามว่ามีความจริงเพิ่มเติมใดเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมทั้งอิทธิพลและบทบาทของพระองค์ในชั้นเรียนเราที่ท่านอยากแบ่งปันกับเรา

ประธานโอ๊คส์: ผมคิดว่ากุญแจสู่ความรู้สึกที่ได้จากประวิญญาณบริสุทธิ์คือการรับส่วนศีลระลึก เนื่องจากมีสัญญาหนึ่งในพันธสัญญาที่เราทำเมื่อเรารับส่วนศีลระลึกว่าเราจะ “มีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับ [เรา] ตลอดเวลา” นั่นเป็นพื้นฐานหลัก

บราเดอร์เว็บบ์: ผมชอบที่ประธานพูดเช่นนี้ครับ ทำให้นึกถึงตอนที่เป็นครูสมัยหนุ่ม ผมใช้เวลาหลายเดือนศึกษาหลักธรรมที่ปกครองการอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมคิดว่านั่นเป็นโอกาสดีที่เราต้องศึกษาเรื่องนั้นกันต่อไป แต่สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ผมพบคือสิ่งที่ท่านเพิ่งกล่าวไป: ว่าคำสวดศีลระลึกกล่าวว่าหากเราจะระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา เราจะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับเรา นั่นไม่ใช่แค่ระหว่างศีลระลึกหรือในวันอาทิตย์ แต่ตลอดเวลา—รวมถึงในชั้นเรียนด้วย หากเรามุ่งไปที่พระผู้ช่วยให้รอด—เมื่อเราระลึกถึงพระองค์ในฐานะแบบอย่างวิธีดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณและดึงพลังและคำสอนของพระองค์มาใช้—เมื่อเราระลึกถึงพระองค์ เราอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในประสบการณ์การเรียนรู้ ผมคิดว่าความรับผิดชอบและบทบาทหลักของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือเป็นพยานถึงพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักและพระเยซูคริสต์ในฐานะศูนย์กลางในแผนของพระบิดาบนสวรรค์ ดังนั้นหากเราต้องการอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสู่ชั้นเรียน เราต้องมุ่งเน้นสิ่งที่พระองค์จะทรงเป็นพยาน ผมชอบจังเลยครับ ขอบคุณครับ

ประธานโอ๊คส์: และประธานเนลสันยืนยันถึงความสำคัญปัจจุบันของเรื่องนั้นในคำพูดเหล่านี้ ท่านกล่าวว่า “ในวันข้างหน้า เราจะรอดทางวิญญาณไม่ได้หากปราศจากอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีให้ตลอดเวลา ทั้งนำทาง ชี้ทาง และปลอบโยน”2

บราเดอร์เว็บบ์: ขอบคุณครับ ขอบคุณสิ่งที่ทุกคนพูดมาจริงๆ มันนำผมไปสู่ถามคำถามนี้: เราคุยกันไปบ้างเกี่ยวกับสิ่งที่ครูจัดลำดับความสำคัญในแบบที่จะอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะช่วยให้นักเรียนให้ความสำคัญอันดับแรกกับสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตอย่างไร?

ประธานโอ๊คส์: เมื่อผมคิดถึงเรื่องนั้นในยุคนี้ที่มีอิทธิพลทางโลกมากมายรายล้อมเราและนักเรียน ผมคิดว่าเราจำต้องระลึกว่าเรื่องทางโลก—สิ่งที่โลกให้คุณค่า ไม่ว่าอะไร—ล้วนมีค่าเพียงชั่วคราว ไม่นาน สิ่งเหล่านั้นก็จะสำคัญน้อยลงกว่าหลักธรรมที่จำเป็นต่อการเรียนรู้จุดประสงค์ของชีวิตนี้และจุดหมายปลายทางของเราในนิรันดร มีอะไรจะเพิ่มเติมไหมครับบราเดอร์สมิธ?

บราเดอร์สมิธ: ประธานโอ๊คส์ครับ ตอนที่ท่านสอนเรื่องนั้น ผมนึกถึงพระคัมภีร์ข้อหนึ่งเมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงสวดอ้อนวอนศักดิ์สิทธิ์ก่อนเสด็จไปเกทเสมนี และตรัสว่า “และ​นี่​แหละ​คือ​ชีวิต​นิ‌รันดร์ คือ​การ​ที่​พวก‍เขา​รู้‍จัก​พระ‍องค์ ผู้​ทรง​เป็น​พระ‍เจ้า​เที่ยง‍แท้​องค์​เดียว และ​รู้‍จัก​พระ‍เยซู‍คริสต์​ที่​พระ‍องค์​ทรง​ใช้​มา”3 ผมว่าถ้าเราช่วยนักเรียนเข้าใจว่าพวกเขาต้องพิจารณาว่าที่พวกเขาใช้เวลาและที่พวกเขาให้ความสนใจจะช่วยให้พวกเขารู้จักและรักพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์หรือไม่? และอีกข้อคิดหนึ่งที่ผมนำมาเสริมกันคือสิ่งที่ท่านสอนเราในการประชุมใหญ่สามัญล่าสุดครับประธานโอ๊คส์ และนั่นคือการถามคำถามว่า “สิ่งนี้จะนำไปสู่จุดใด?” และการนึกถึงคำถามนั้นในบริบทที่ว่า “สิ่งนี้นำฉันเข้าใกล้พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์มากขึ้นหรือไม่? สิ่งนี้กำลังนำฉันให้บรรลุอัตลักษณ์หรือจุดประสงค์แห่งสวรรค์ของฉันหรือไม่?” ผมคิดว่านั่นจะเป็นตัวกรองที่ทรงพลังให้แก่เรา และเราสามารถช่วยนักเรียนให้เข้าใจตัวกรองนี้ในการเลือกว่าจะใช้เวลาที่ใด รวมถึงสิ่งที่พวกเขาดูหรือฟังหรือมอง พวกเขาต้องทำการเลือกด้วยตัวเอง เพียงแต่จะช่วยพวกเขาถามว่า “สิ่งนี้จะนำไปสู่จุดใด นำฉันให้เข้าใกล้พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์มากขึ้นหรือไม่?”

ประธานโอ๊คส์: เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ครับ และจะมีความหมายแค่ไหนหากนักเรียนทุกคนเข้าใจหลักธรรมนั้น

บราเดอร์เว็บบ์: และการที่ครูเน้นย้ำและแสดงประจักษ์พยานถึงสิ่งเหล่านั้นเพื่ออัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์มายืนยันความสำคัญ—ไม่เพียงแค่ความจริงของหลักธรรมเหล่านั้น แต่ความสำคัญของหลักธรรมในชีวิตพวกเขาด้วย ผมขอเสริมหน่อยนะครับ แค่แนวคิดเรื่องความสัมพันธ์ ผมคิดว่าสิ่งที่เราทำได้คือเชื้อเชิญนักเรียนให้ค้นพบความสัมพันธ์กันของหลักธรรมเหล่านี้ในชีวิต บางครั้งผมคิดว่าเราพูดเรื่องเหล่านี้ในแง่การดึงเวลาและความสนใจพวกเขา และบางครั้งเราก็ต้องให้สิ่งมีค่าที่สุดมาก่อน แต่ผมว่าเราสามารถช่วยพวกเขาให้เห็นว่าพระกิตติคุณมีบทบาทอย่างไรในชีวิตประจำวันได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ผมเคยเรียนรู้สมัยเป็นนักเรียน ว่าถ้าผมรักษาวันสะบาโตให้ศักดิ์สิทธิ์ และศึกษาพระคัมภีร์ก่อนอ่านหนังสือเรียน ผมจะเป็นนักเรียนที่ดีขึ้นกว่าการพยายามแยกสิ่งเหล่านั้นและพูดว่า “ตอนนี้ผมจะใช้เวลากับเรื่องทางวิญญาณนะ และตอนนี้ผมจะใช้เวลากับเรื่องทางโลก” แต่ในทุกด้านของชีวิต เมื่อผมให้พระบิดาบนสวรรค์มีส่วน—เมื่อผมเชื้อเชิญพระวิญญาณให้มาช่วย—แม้สิ่งที่ดูลักษณะเหมือนจะเป็นทางโลกมากกว่าสำหรับนักเรียน แต่พวกเขาจะมองเห็นความสัมพันธ์กับพระกิตติคุณในสิ่งที่กำลังพยายามทำให้สำเร็จในชีวิต แทนที่จะดึงเวลามา กลับเป็นเรื่องเดียวกัน

ประธานโอ๊คส์: และเราจำได้ว่าพระเจ้าทรงสอนว่าทรงไม่เคยให้พระบัญญัติที่เป็นเรื่องทางโลกเลย พระบัญญัติทุกข้อและการชี้นำของพระองค์เป็นเรื่องทางวิญญาณ

บราเดอร์สมิธ: อีกอย่างที่ผมนึกขึ้นได้ขณะท่านพูดอย่างนั้น—อย่างน้อยก็สำหรับนักเรียนเซมินารีของเรา—คือโปรแกรมเด็กและเยาวชนของศาสนจักร เป็นวิธีที่ทรงพลังในการสร้างสัมพันธ์กับพระกิตติคุณและสร้างเป้าหมายที่ปฏิบัติได้ในการใช้พระกิตติคุณมาช่วยเราในทุกด้านของชีวิตเพื่อพยายามเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดยิ่งขึ้น

ประธานโอ๊คส์: ใช่ครับ ทีนี้ผมอยากถามคำถามกับสองคนซึ่งเป็นครูศาสนาโดยอาชีพ: พวกคุณและเพื่อนร่วมอาชีพได้เรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับการสอนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ระหว่างการระบาดใหญ่ที่พวกเราประสบกันตอนนี้?

บราเดอร์สมิธ: ผมอยากบอกว่าสิ่งแรกที่เราได้เรียนรู้—ผมคงบอกว่าเราได้รับการย้ำเตือนและมันเห็นได้ชัด—ว่าเรามีครูที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน ว่าพวกเขารักพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ รักนักเรียน และทุ่มเทเต็มที่ เรารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ผมคิดด้วยว่าการระบาดใหญ่ได้เน้นองค์ประกอบการปฏิบัติศาสนกิจซึ่งมีอยู่ในการสอนพระกิตติคุณโดยธรรมชาติ ผมคิดว่าเราเก่งขึ้นในเรื่องการฟังนักเรียน ในการพิจารณาความต้องการและความสามารถพวกเขาและตอบสนองสิ่งเหล่านั้น รักพวกเขาในแบบที่พวกเขาเป็น และหาวิธีสร้างสรรค์มาช่วยพวกเขาเข้าใกล้พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์มากขึ้น ผมคิดว่าในช่วงการระบาดใหญ่ที่มีความยากลำบากมากมาย เราได้เห็นความช่วยเหลือจากสวรรค์ที่มาสู่ครูผู้พยายามรักพระผู้เป็นเจ้าและนักเรียนและทำเต็มความสามารถจริงๆ

บราเดอร์เว็บบ์: ผมว่าพูดได้ดีมากครับ ผมแค่อยากขอบคุณและแสดงความซาบซึ้งใจ รู้ไหมครับเรามีครูที่พยายามสอนแบบเจอตัวและเรียนรู้ที่จะสอนออนไลน์ พวกเขาใส่หน้ากากอนามัยที่บางทีก็ไม่สะดวก บางครั้งพวกเขาเสี่ยงและทำด้วยความรักยิ่งใหญ่ที่มีต่อนักเรียนและต่อพระบิดาบนสวรรค์ด้วยปณิธานอันมุ่งมั่น ผมแค่อยากขอบคุณสำหรับการเสียสละและความพยายามทุกอย่างที่จะทำแบบนั้นในช่วงยากลำบากเช่นนี้

ประธานโอ๊คส์: ผมด้วยครับ ในฐานะตัวแทนฝ่ายประธานสูงสุด ขอขอบคุณสิ่งที่คุณเพิ่งกล่าวไป เรารักท่าน พี่น้องของเราที่สอนในเซมินารีและสถาบันในงานสอนศาสนาในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย

บราเดอร์เว็บบ์: ขอบคุณครับ นั่นมีความหมายมาก อีกคำถามที่ผมตื่นเต้นที่จะถามท่านเนื่องจากสิ่งที่ท่านสอนในสถานการณ์อื่นๆ คือ: ทำไมจึงสำคัญที่เราจะสอนหลักธรรม ไม่ใช่กฎระเบียบ?

ประธานโอ๊คส์: ผมดีใจที่คุณถามคำถามนั้น นั่นเป็นเรื่องโปรดผมเลยครับ ในคอลัมน์ที่รู้จักกันดีของ Church News แทด อาร์. คอลลิสเตอร์ อดีตประธานโรงเรียนวันอาทิตย์ พูดเกี่ยวกับเรื่องนั้นว่า: “ประการแรก กฎระเบียบมักจำกัดแค่สถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งหรือไม่กี่สถานการณ์ ในขณะที่โดยทั่วไปแล้วหลักธรรมประยุกต์ใช้ได้กว้างกว่ามาก สอง หลักธรรมสร้างสภาพแวดล้อมที่ขยายสิทธิ์เสรีสูงสุด แต่กฎระเบียบมักลดสิทธิ์เสรีโดยการจำกัด [และ] แม้กระทั่งบงการการเลือกของเราในบางครั้ง” ผมอยากเสริมว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงแทนที่กฎของโมเสสซึ่งขับเคลื่อนด้วยกฎระเบียบ ด้วยกฎที่สูงขึ้นของพระคริสต์ซึ่งขับเคลื่อนด้วยหลักธรรม บราเดอร์คอลลิสเตอร์อธิบายหลักธรรมนั้นดังนี้ครับ ท่านกล่าวว่า: “หลักธรรมสอดคล้องกับกฎที่สูงกว่า กฎระเบียบกับกฎที่ต่ำกว่า การมุ่งเน้นต่อเนื่องของเราควรเป็นการสอนหลักธรรมของหลักคำสอน เพราะอะไร? เนื่องจากหลักธรรมมีศักยภาพสูงสุดในการยกเราสู่ระดับซีเลสเชียล ในท้ายที่สุดหลักธรรมจะปกครองในอาณาจักรซีเลสเชียล—ไม่ใช่กฎระเบียบ”4 จบข้อความอ้างอิง

บราเดอร์เว็บบ์: ผมขอบคุณเรื่องนั้นมากด้วยครับ ยังมีประโยชน์อีกข้อหนึ่งครับ ไม่นานมานี้ผมอยู่กับครูกลุ่มหนึ่งที่เล่าให้ฟังว่าในชั้นเรียนเหมือนจะมี—คำที่พวกเขาใช้คือ “ความขัดแย้ง” เมื่อนักเรียนถามคำถามมากขึ้นและมีความคิดเห็นและการรับรู้ต่างกัน ผมชอบสิ่งที่ท่านเพิ่งสอนเพราะทำให้ผมนึกถึงการสนทนานั้นและช่วยผมตระหนักว่าวิธีหนึ่งที่คุณจะทำคือการไม่สอนวิธีนำไปใช้ที่พวกเขาจะถกเถียงเรื่องการนำไปใช้ในสภาวการณ์ตนเอง เท่ากับการสอนหลักธรรมพระกิตติคุณ ไปที่ข้อหลัก—การสอนแผนแห่งความรอด การสอนหลักคำสอนของพระคริสต์ การสอนหลักธรรมพระกิตติคุณ และเปิดโอกาสให้มีการนำไปใช้ส่วนตัวด้วยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ประธานโอ๊คส์: พูดได้ดีครับ

บราเดอร์เว็บบ์: ผมคิดว่ามันจริงและเป็นประโยชน์ต่อสิ่งที่เรากำลังพยายามทำครับประธาน ขอบคุณครับ บราเดอร์สมิธมีอะไรเสริมไหมครับ?

บราเดอร์สมิธ: ผมคิดว่ามันคล้ายกับสิ่งที่คุณเน้นไว้ครับ บราเดอร์เว็บบ์ อีกอย่างโดยการสอนหลักธรรมแทนการนำไปใช้ เราเชื้อเชิญนักเรียนให้เป็นผู้กระทำในกระบวนการเรียนรู้ ในกระบวนการการเติบโตของตนเอง—ที่จากนั้นพวกเขาสามารถนำหลักธรรมไปแสวงหาการเปิดเผยส่วนตัว สามารถไปศึกษาด้วยตัวเองมากขึ้นและพิจารณาขั้นตอนที่ดีที่สุดที่จะทำขณะนำหลักธรรมนั้นไปใช้ในสภาวการณ์ส่วนตัว

บราเดอร์เว็บบ์: ขอบคุณครับ คำถามที่ตามมาคงเป็น “กับอิทธิพลต่างๆ นานา—เสียงต่างๆ นานาในโลก—เราจะช่วยนักเรียนของเราผ่านอิทธิผลมากมายในสังคมอย่างไร?”

ประธานโอ๊คส์: เราต้องเข้าใจว่าซาตานเป็นบิดาแห่งความเท็จ—“ผู้กล่าวเท็จมานับจากกาลเริ่มต้น”5 พระคัมภีร์กล่าว การบอกความเท็จอันฉลาดที่สุดของเขาคือการผสมกับความจริง จึงดึงดูดและแพร่เชื้อไปสู่การค้นหาของคนดีๆ ด้วยการผสมผสานระหว่างความจริงและความเท็จ เพราะเหตุนั้น ในบรรดาสิ่งมีค่าที่สุดที่เราพยายามเรียนรู้ในมรรตัยคือการสอนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำให้เรารู้ว่าอะไรจริงและไม่จริง

บราเดอร์สมิธ: ในทำนองเดียวกัน ในการผสมผสานความจริงกับความเท็จนี้ ปฏิปักษ์ก็นำเอาความจริงออกไปจากบริบทนิรันดร์และจากแผนของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเพิ่มความน่าจะเป็นที่ความจริงจะถูกนำไปใช้ผิดๆ หรือเข้าใจผิด เช่น ไม่กี่นาทีที่แล้ว ประธานโอ๊คส์ได้สอนเราอย่างสวยงามเกี่ยวกับหลักธรรมแห่งความรักและที่ของมันในแผนของพระผู้เป็นเจ้า—ความสำคัญในการรักพระผู้เป็นเจ้าและเพื่อนบ้าน—ว่าความรักเป็นพลังจูงใจจริงๆ ที่อยู่เบื้องหลังความปรารถนาของพระบิดาบนสวรรค์ในการเตรียมเราสำหรับชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเรารู้ว่าเป็นของประทานยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาของประทานทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นเพราะความรักของเราต่อพระผู้เป็นเจ้าที่จูงใจเราให้รักและรับใช้ผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ตนเอง เมื่อปฏิปักษ์แยกหลักธรรมแห่งความรักออกจากบริบทของมันได้สำเร็จ ก็สามารถบิดเบือนได้ง่ายๆ และบางคนที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับความรักอาจสนับสนุนเจตนารมณ์ผิดๆ พวกเขาอาจแม้แต่พบว่าตัวเองอยู่ตรงข้ามกับกฎของพระผู้เป็นเจ้าและศาสดาพยากรณ์ เพราะการแยกความจริงออกจากบริบทนิรันดร์ของมันสามารถนำไปสู่การปลอมแปลงหรือความเข้าใจที่โดดเดี่ยวจากบริบท และปฏิปักษ์ทำแบบนั้นกับหลายๆ หลักธรรม

ประธานโอ๊คส์: เราเห็นหลักฐานเรื่องนั้นเยอะในโลกรอบตัวเราใช่ไหมครับ? บราเดอร์เว็บครับ ในฐานะครู คุณจะตอบคำถามเกี่ยวกับข้อกังวลในปัจจุบันในความคิดนักเรียน เช่น หัวข้อประวัติศาสนจักรที่รบกวนใจ ประเด็น LGBT คำถามเกี่ยวกับการใช้ชีวิตภายใต้การควบคุมของรัฐบาลอันเกี่ยวเนื่องกับโรคระบาด และเรื่องอื่นๆ อย่างไรครับ? คำถามมีนับไม่ถ้วน คุณจะตอบคำถามเหล่านั้นได้ดีที่สุดอย่างไรในบริบทของชั้นเรียนศาสนาของคุณ?

บราเดอร์เว็บบ์: เป็นคำถามที่ดีครับและเป็นสิ่งที่ครูต้องรับมืออยู่เรื่อยๆ ผมอยากเริ่มด้วยการพูดว่าผมชอบที่อัครสาวกเปาโลแนะนำเราให้สอนหรือพูดความจริงด้วยความรัก แน่นอนว่าเราต้องสอนพระกิตติคุณ เราต้องสอนพระคัมภีร์และคำสอนของศาสดาพยากรณ์สมัยปัจจุบัน เราต้องสอนความจริง การสอนสิ่งที่ไม่จริงไม่มีประโยชน์อะไรกับใครเลย ทั้งไม่นำไปสู่ความสุข แต่อีกส่วนหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญจริงๆ คือ เมื่อพระองค์ตรัสว่าให้ทำด้วยความรักเหมือนที่ท่านพูดถึงในคืนนี้ ผมคิดว่าสำคัญที่จะเริ่มด้วยความสัมพันธ์ มีงานวิจัยมากมายที่แสดงให้เราเห็นชัดเจนว่าการเรียนของนักเรียนขึ้นอยู่กับความส้มพันธ์อย่างมาก และสำหรับผม ความสัมพันธ์เหล่านั้นเริ่มกับครูที่เต็มใจฟัง—เพื่อเข้าใจนักเรียนและสภาวการณ์ของพวกเขาจริงๆ และมีความเห็นอกเห็นใจที่จะพยายามเข้าใจความต้องการของพวกเขา ผมคิดว่าสำคัญด้วยที่จะรับรู้ว่าทุกคนทำคุณประโยชน์บางอย่างได้ ว่าเราเห็นค่า—ว่าเราต้องการกันและประสบการณ์ของกันเพื่อจะเรียนรู้และได้อะไรจากประสบการณ์นั้น ก็เลยมีอะไรต้องพูดมากมายเกี่ยวกับคำถามนี้ ผมชอบคำถามนี้ครับ สำหรับผม มันคือการพูดความจริงด้วยความรัก นั่นหมายถึงความสัมพันธ์ที่ช่วยผู้คนให้วางใจและเรียนรู้ร่วมกันและร่วมกันเชื้อเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในประสบการณ์

ประธานโอ๊คส์: สิ่งที่คุณพูดถึงความสัมพันธ์ทำให้ผมนึกถึงคำปราศรัยยอดเยี่ยมไม่นานมานี้ของประธานเยาวชนชายสามัญ สตีเวน เจ. ลันด์ ที่การประชุมใหญ่สตรีของบีวายยูที่ผ่านมา เขาอธิบาย—พูดถึงความสัมพันธ์ว่าเป็นอิทธิพลจูงใจที่เราเป็นได้ในชีวิตคนที่มารวมตัวกันเพื่อหาบุคคลต้นแบบหรือผู้ให้คำปรึกษา เขาพูดว่านักวิจัยของเราพบว่าพัฒนาการทางวิญญาณของเยาวชนแอลดีเอสโดยส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับคุณภาพความสัมพันธ์ของพวกเขา ทั้งกับพ่อแม่ เพื่อน และครู และความสัมพันธ์เหล่านั้นกับผู้นำพัฒนาได้ดีที่สุดในชั้นเรียนเซมินารีและโรงเรียนวันอาทิตย์และชั้นเรียนโควรัมที่ซึ่งพวกเขาจะเริ่มเคารพรักครูและเพื่อนวิสุทธิชน6 จบข้อความอ้างอิง ทั้งหมดนี้ ผมสรุปว่าเท่ากับการยอมรับอย่างน่าทึ่งถึงความสำคัญของการที่ครูจะรักและทำงานกับนักเรียน ความวางใจที่พัฒนาขึ้นแบบนี้จะเป็นอิทธิพลช่วยสอนซึ่งจะเสริมสร้างพวกเขาให้เข็มแข็งในการตอบคำถามคาใจด้วยตัวเอง

บราเดอร์เว็บบ์: ขอบคุณครับ ใช่ครับ ผมคิดว่านั่นเป็นใจกลางจริงๆ ของสิ่งที่เราพยายามบรรลุ: การสร้างความสัมพันธ์ และจากสิ่งที่ท่านเพิ่งแบ่งปันกับเรา เราสามารถทำบางสิ่งในเซมินารีเพื่อช่วยพวกเขาเสริมสร้างความสัมพันธ์อื่นๆ คุณพูดถึงโปรแกรมการพัฒนาเยาวชน เราสามารถชี้พวกเขาไปหาผู้นำเยาวชน ไปหาอธิการ ไปหาผู้นำเยาวชนหญิง เราสามารถช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ของพวกเขากับพ่อแม่ด้วยวิธีที่เราพูดเกี่ยวกับครอบครัวและหันพวกเขาไปหาพ่อแม่ ผมคิดว่าทั้งหมดนั้นสำคัญจริงๆ—ไม่ใช่แค่ในการสร้างความสัมพันธ์ของเรากับพวกเขา แต่การเสริมสร้างความสัมพันธ์กับคนที่จะนำพวกเขาไปในทิศทางที่ถูกต้องด้วย ขอบคุณที่พูดแบบนั้นครับ กับเรื่องนั้น ผมขอพูดอีกหน่อยเกี่ยวกับการสอนสิ่งสำคัญพื้นฐานเหล่านี้ในวิธีที่จะไม่ทำให้คนรุ่นเยาว์ขุ่นเคืองหรือทำให้พวกเขาเลิกสนใจหรือหนีไปจากพระกิตติคุณ จริงๆ แล้ว ผมขอเล่าตัวอย่างสั้นๆ เพื่อตีกรอบคำถามในความคิด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ครูคนหนึ่งโทรมาหาผมบอกว่าผู้ปกครองคนหนึ่งมาถอนถูกสาวออกจากเซมินารีเพราะว่าเขาสอนบางหลักธรรมเกี่ยวกับครอบครัวและความสำคัญของครอบครัว ผู้ปกครองคนนี้เจ็บปวดเพราะความเป็นไปในครอบครัวและไม่ต้องการให้ลูกถูกสอนถึงบทบาทศูนย์กลางของครอบครัว—แม้ในบริบทของแผนแห่งความรอด ครูคนนี้เสียใจมากที่เสียนักเรียนคนนี้ไปและตั้งคำถามว่า: “ฉันจะสอนความจริงอย่างไร? เราจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรในโลกที่เราไม่ต้องการผลักไสใคร แต่เราต้องสอนพระกิตติคุณอย่างบริสุทธิ์แก่นักเรียน?”

ประธานโอ๊คส์: เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมครับ บราเดอร์สมิธ มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหมครับ?

บราเดอร์สมิธ: เมื่อคิดดูอีกครั้ง—ผมรู้เราเพิ่งคุยกันไปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ แต่ผมคิดว่านักเรียนที่วางใจครู—และรู้สึกรักโดยครู—พวกเขาจะเปิดใจ กำแพงป้องกันอาจตั้งขึ้นมาบางครั้งหากเราสอนอุดมคติที่ไม่ใช่ความเป็นจริงของนักเรียน และสิ่งที่จะทลายกำแพงป้องกันคือเมื่อนักเรียนรักและวางใจในครู อีกครั้งครับ นั่นสำคัญจริงๆ ผมอยากเน้นความคิดเห็นต่อคำถามก่อนหน้านั้น—การสร้างความสัมพันธ์เหล่านั้นกับนักเรียน

ประธานโอ๊คส์: ใช่ครับ และผมคิดว่าสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะเข้าใจว่าเราไม่ได้มีหน้าที่ต้องเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่มาวางอยู่ตรงหน้า—ไม่ว่าจะโดยนักเรียนหรือผู้ปกครองนักเรียนหรือโดยคนอื่นในสังคม ไม่ใช่ธุระของเราที่จะยืนยันทุกความเชื่อในตลาดความคิด เรามีหน้าที่สอนความจริง แต่ในการทำเช่นนั้น เราต้องระวังอย่างยิ่งว่าเราจะไม่มีวันถอยจากความรับผิดชอบที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงมอบให้ในการรักเพื่อนบ้าน ไม่ว่าอะไรที่เราทำต้องอยู่ในบริบทของความรักเพื่อที่เราจะไม่ปะทะกับใคร แต่เราประกาศคำสอนเพื่อให้เป็นคำสอนที่ประจันหน้ากับความเชื่อผิดๆ บริคัม ยังก์ ซึ่งเป็นคนค่อนข้างชอบปะทะ พูดสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นมากที่ผมได้อ่านไม่นานมานี้ในคำสอน—หรือคำปราศรัยของบริคัม ยังก์ ในคำพูดหนึ่งท่านพูดอย่างนี้—ผมขอยกมากล่าว: “ไม่เคยมีอะไรมาเปลี่ยนความรู้สึกที่ข้าพเจ้ามีต่อบุคคลใด ไม่ว่าชายหรือหญิง ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อดังที่ข้าพเจ้าเชื่อหรือไม่ ท่านจะเป็นเพื่อนบ้านข้าพเจ้าได้หรือไม่? ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนบ้านท่านได้ และข้าพเจ้าไม่มีความกังวลอะไรแม้แต่น้อยว่าท่านจะเชื่อกับข้าพเจ้าหรือไม่”7 จบคำพูดจากประธานบริคัม ยังก์ ผมคิดว่านั่นเป็นที่มาซึ่งไม่คาดคิดมาก่อนที่มีการประกาศแจ้งชัดเช่นนั้นของความจริงที่ว่าเราสามารถดำเนินชีวิตด้วยความรักกับคนที่เราไม่เห็นด้วย

บราเดอร์เว็บบ์: ครับ เหมาะกับครูของเราตอนนี้เลยจริงๆ ผมคิดว่านั่นเป็นคุณลักษณะสำคัญที่สุดประการหนึ่งของสานุศิษย์ของพระผู้ช่วยให้รอดทุกวันนี้: การที่สามารถไม่เห็นด้วยและรักคนอื่นต่อไปและจริงใจในความสัมพันธ์นั้นแม้จะเห็นต่างในความเชื่อ

ประธานโอ๊คส์: อีกส่วนคือเราต้องพยายามเพื่อให้การรักและยอมรับของเรา—แม้แต่การไม่ถือโทษคนที่เราสมาคมด้วย—จะไม่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการเห็นชอบ นั่นเป็นเส้นบางๆ ที่ต้องขีดไว้ เราเห็นความล้มเหลวในการยอมรับเรื่องนี้ในโลกการเมืองและการสื่อสารมวลชนหลายแห่ง บางครั้งดูเหมือนคนจะสรุปไปเองว่าเราเห็นชอบบางสิ่งเพราะเรามีความรักต่อคนที่มีส่วนร่วมในสิ่งนั้น

บราเดอร์เว็บบ์: สิ่งเหล่านี้เกี่ยวพันกันใช่ไหมครับ? ย้อนกลับไปที่ความสัมพันธ์ กลับไปที่การฟังและการเห็นใจ แต่ก็ย้อนกลับไปที่การสอนหลักธรรมด้วย ย้อนไปที่ข้อหลักที่ว่าทำไมเราเชื่อสิ่งที่เราทำ บนพื้นฐานของแผนแห่งความรอดและหลักคำสอนของพระคริสต์ และผูกสิ่งเหล่านั้นเข้าด้วยกัน และเดินอยู่บนเส้นบางๆ ที่ท่านพูดถึง

ประธานโอ๊คส์: และผมคิดว่ามันเกี่ยวพันย้อนไปถึงพระบัญญัติข้อแรกที่สำคัญที่สุดคือรักพระผู้เป็นเจ้า และไปถึงคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอด “ถ้า​พวก‍ท่าน​รัก​เรา ท่าน​ก็​จะ​ประ‌พฤติ​ตาม​บัญญัติ​ของ​เรา”8 และพระบัญญัติข้อสองคือให้รักเพื่อนบ้าน ข้อเท็จจริงที่เรารักเพื่อนบ้านไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักพระผู้เป็นเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์เป็นอันดับแรก

บราเดอร์เว็บบ์: ขอบคุณครับ

บราเดอร์สมิธ: ผมนึกถึงสถานการณ์ที่ครูพูดความจริงด้วยความรักและปกป้องหลักคำสอนของพระคริสต์ด้วยความกล้าหาญ—แต่ก็รักนักเรียนด้วย นักเรียนจึงรู้สึกปลอดภัยและวางใจและรักครูคนนั้น อาจมีนักเรียนสักคนที่ไม่เห็นด้วยกับองค์ประกอบของหลักคำสอนของพระคริสต์—หรืออาจจะดีกว่าถ้าพูดว่าในหลักธรรมหนึ่งอย่างของพระกิตติคุณ—แต่เขาก็ยังมาชั้นเรียน และเขาก็ยังมาที่สถาบันหรือเซมินารีเพราะรู้สึกปลอดภัย และเขารู้สึกว่าสามารถสร้างศรัทธาในพระเยซูคริสต์ในสภาวะแวดล้อมนั้นได้ ผมจึงคิดว่าความสมดุลที่เราพูดถึงนั้นสำคัญมากที่ต้องทำให้ได้: เพื่อปกป้องความจริงอย่างองอาจและรักคนที่อาจไม่เห็นด้วยกับความจริงนั้นเพื่อที่ชั้นเรียน หรือเซมินารี หรือสถาบันจะเป็นสถานที่ปลอดภัยให้นักเรียน

ประธานโอ๊คส์: ผมรู้สึกว่าต้องพูดว่าผู้ฟังของเราที่มีส่วนในสถาบันและการสอนศาสนาในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยมีความท้าทายยิ่งกว่าในเรื่องที่ว่านี้ นักเรียนที่โตกว่าในชั้นเรียนมักมีแนวโน้มที่จะคิดด้วยตัวเองและชอบปะทะมากกว่านักเรียนในเซมินารี เป็นตัวอย่างครับ แต่หลักธรรมเหมือนกัน การนำไปใช้ต่างกันบ้างตามสภาวะแวดล้อมและวุฒิภาวะของบุคคล แต่หลักธรรมก็เหมือนกับที่เราได้สนทนาไป

บราเดอร์เว็บบ์: ขอบคุณครับ

ประธานโอ๊คส์: คำถามหนึ่งที่เปลี่ยนหัวข้อไปสักเล็กน้อย แต่ค่อนข้างสำคัญในยุคของเรา: เราจะโน้มน้าวนักเรียนให้เก็บโทรศัพท์มือถือในช่วงที่เราพยายามสอนพวกเขาได้อย่างไร?

บราเดอร์เว็บบ์: นั่นเป็นคำถามที่ดีมากที่จริงๆ แล้วเกี่ยวข้องกับการเผชิญหน้ากันในชั้นเรียนหรือการเห็นต่างในชั้นเรียน เพราะบางครั้งนั่นคือสิ่งที่มันทำให้เกิดใช่ไหมครับ? บราเดอร์สมิธครับ?

บราเดอร์สมิธ: ผมคิดว่าแน่นอนว่ามีช่วงเวลาในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่นักเรียนต้องตัดการเชื่อมต่อและเก็บโทรศัพท์มือถือ ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้พวกเขาทำแบบนั้นคือการสอนที่มีส่วนร่วมและน่าสนใจ เอ็ลเดอร์บัลลาร์ด—หรือประธานบัลลาร์ด—เคยบอกเราครั้งหนึ่งว่าให้แน่ใจว่าการสอนของเราน่าสนใจ แต่ผมคิดว่ามีช่วงเวลาที่เราสามารถเชิญผู้เรียนให้ใช้โทรศัพท์มือถือในประสบการณ์การเรียนรู้ด้วย ด้วยแหล่งช่วยใน ChurchofJesusChrist.org และในแอปคลังค้นคว้าพระกิตติคุณ บางครั้งเราสามารถเชิญนักเรียนให้มีส่วนร่วมในประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้เนื้อหาที่เสริมสร้างศรัทธาในโทรศัพท์ ผมคิดว่านั่นอาจมีพร—มีผลดีต่อพวกเขานอกชั้นเรียน—ว่าพวกเขาอาจเริ่มมองเห็นอุปกรณ์นี้เป็นมากกว่าอุปกรณ์ไว้เล่นเกมหรือใช้โซเชียลมีเดีย—หรือสำหรับบางคน เป็นแหล่งการล่อลวง พวกเขาจะเรียนรู้ว่าบางครั้งอุปกรณ์เดียวกันนั้นสามารถใช้เพื่อสร้างศรัทธาในพระเยซูคริสต์ได้ ผมคิดว่านั่นต้องใช้การดลใจในส่วนของครู—และความสมดุล แต่ผมคิดว่าพระเจ้าจะทรงช่วยเราหาโอกาสสร้างศรัทธาผ่านการใช้อุปกรณ์นั้น แล้วเข้าใจชัดเจนด้วยถึงเวลาที่จำเป็นต้องปิดและเก็บไว้

ประธานโอ๊คส์: คำแนะนำของคุณที่ว่าเราไม่ได้ต่อต้านโทรศัพท์มือถือทำให้นึกถึงประสบการณ์เก่า—ย้อนไปสัก 10 หรือ 15 ปี—ตอนที่ผมแวะไปชั้นเรียนโรงเรียนวันอาทิตย์ของเยาวชนวัยเซมินารี และผมไปด้วยทัศนคติที่ไม่เป็นมิตรกับโทรศัพท์มือถือ แต่เมื่อมองไปรอบชั้นเรียนของนักเรียนสิบกว่าคน ผมก็ตระหนักว่ามีพระคัมภีร์แค่เล่มเดียวในทั้งห้อง ทุกคนอ่านจากพระคัมภีร์และดูบทเรียนตามในโทรศัพท์มือถือ นั่นเป็นตอนที่ผมเริ่มเห็นว่าปัญหาไม่ใช่เรื่องการห้ามใช้แต่เป็นเรื่องความสมดุล

บราเดอเว็บบ์: กล่าวได้ดีเลยครับ ขอบคุณครับ ประธานครับ เราดีใจที่ได้อยู่กับท่าน ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่านวันนี้ เราอยากจะใช้เวลาสักหน่อย บราเดอร์สมิธเริ่มก่อนได้ไหมครับ ช่วยแบ่งปันประจักษ์พยานอะไรก็ได้ แล้วผมแบ่งปันต่อจากนั้น และเวลาที่เหลือจะมอบให้ท่านครับ

บราเดอร์สมิธ: ขอบคุณครับ เมื่อผมนึกถึงโอกาสศักดิ์สิทธิ์ของเราในการสอนเยาวชนคนหนุ่มสาวของศาสนจักร และคนที่อยู่ในสถาบัน CES ของเรา ผมนึกถึงคำสอนจากศาสดาพยากรณ์ที่รัก ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน ท่านกล่าวว่า: “ดวงวิญญาณที่สูงส่งที่สุดหลายดวง [ของพระผู้เป็นเจ้า]—บางที … ทีมที่ดีที่สุดของพระองค์ … ทรงส่งมาแผ่นดินโลกในเวลานี้โดยเฉพาะ … [พวกเขา] เป็นหนึ่งในบรรดาคนดีที่สุดที่พระเจ้า เคย ส่งมายังโลกนี้”9 และผมอยากแบ่งปันความเชื่อว่าคนหนุ่มสาวที่เรามีโอกาสปฏิสัมพันธ์ด้วยเป็นแบบที่ศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าสอนจริงๆ ช่างเป็นสิทธิพิเศษอันศักดิ์สิทธิ์ที่เราจะได้เป็นพยานต่อพวกเขาถึงการมีอยู่จริงของพระเยซูคริสต์ การชดใช้ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ และผมเป็นพยานวันนี้ถึงการมีอยู่จริงของการชดใช้และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ว่านี่คือศาสนจักรของพระองค์ ว่าเราได้รับการนำโดยศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผยที่มีชีวิตของพระองค์ และว่าเรากำลังมีส่วนร่วมในอุดมการณ์ของพระองค์ขณะที่เราสอนเยาวชนในยุคสุดท้าย และผมแบ่งปันประจักษ์พยานนี้ไว้กับพวกท่าน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

บราเดอร์เว็บบ์: เอเมน ผมอยากจะเสริมประจักษ์พยานของผมด้วยเกี่ยวกับการมีอยู่จริงของพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักของพวกเราและของพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของโลก—ว่านี่คือศาสนจักรและอาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลก และผมรู้สึกสำนึกคุณทีได้ใช้เวลาในชีวิตของผมแต่ละวันเป็นพยานถึงพระองค์และสอนผู้อื่นถึงพระกิตติคุณของพระองค์ ผมสำนึกคุณต่อคนที่สอนผมและได้เป็นพรแก่ผมด้วยศรัทธาและประจักษ์พยานของพวกเขาในพระผู้ช่วยให้รอด และผมสำนึกคุณที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในงานนี้กับพวกท่านในการสอนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ที่ได้รับการฟื้นฟู และขอพูดสั้นๆ ว่าเมื่อผมนึกถึงความรักของพระบิดาในสวรรค์ของเรา เรามักพูดถึงว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรักนักเรียนของเราเพียงใด แต่ผมอยากเสริมว่าผมรู้ว่าพระบิดาในสวรรค์ของเราทรงรักท่าน ว่าพระองค์ทรงขอบคุณที่ท่านต้องการใช้ชีวิตของพวกท่านสอนบุตรธิดาของพระองค์ และว่าพระองค์ทรงรักครอบครัวท่าน และว่าเมื่อท่านรับใช้พระองค์ต่อไปอย่างซื่อสัตย์ในการสอนบุตรธิดาของพระองค์ พระองค์จะทรงประทานพรท่านและครอบครัวท่านขณะที่ท่านเป็นพรแก่บุตรธิดาของพระองค์ด้วยคำสอน ประจักษ์พยาน และแบบอย่างของท่าน ผมขอขอบคุณท่านในสิ่งที่ท่านเป็นและสิ่งที่ท่านทำ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

ประธานโอ๊คส์: เอเมน ผมเสริมประจักษ์พยานกับที่ผู้รับใช้ที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ของพระเจ้าได้แสดงไปแล้ว ผมเป็นพยานถึงพระบิดาและพระบุตร โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ว่านี่คืองานของพระองค์ และท่านเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อนครูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ผมขอพรจากสวรรค์ลงมาบนท่านขณะท่านรับใช้พระเจ้าและมุ่งหน้าต่อไปกับครอบครัวสู่จุดหมายปลายทางที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเตรียมไว้ให้บุตรธิดาที่มีค่าควร: ชีวิตนิรันดร์ และผมทำเช่นนี้ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

ทุกคน: เอเมน