ยืนในป่าศักดิ์สิทธิ์
ข้อคิดทางวิญญาณสำหรับคนหนุ่มสาว ซีอีเอส • 6 พฤษภาคม 2012 • แซคราเมนโต แคลิฟอร์เนีย
สวัสดีครับ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าตื้นตันใจและรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้รับงานมอบหมายพิเศษจากฝ่ายประธานสูงสุดให้พูดกับท่านคืนนี้ ข้าพเจ้าขอเริ่มด้วยการบอกให้ท่านทราบว่าเมื่อก่อนข้าพเจ้าไม่มีรอยย่น ผมข้าพเจ้าดก และมีชีวิตชีวาเหมือนท่าน---ส่วนหนึ่งของสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกว่า “อนุชนรุ่นหลัง” ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าคำตรงข้ามที่ถูกต้องกับ รุ่นหลัง คืออะไร--- น่าจะเป็น “รุ่นถลำ” หรือ “รุ่นถดถอย” --- แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม นี่หมายถึงช่วงชีวิตที่ข้าพเจ้าอยู่เวลานี้และดูไม่สดใสเลยสำหรับข้าพเจ้า!
แม้กำลังพูดกับท่านจากห้องนมัสการที่สวยงามใกล้พระวิหารแซคราเมนโต แคลิฟอร์เนีย แต่ข้าพเจ้าเห็นท่านหลายหมื่นคนในมโนภาพ ---พูดต่างกันราว 40 ภาษา --- มาชุมนุมกันอยู่ทั่วโลก ข้าพเจ้าไปเยือนมาแล้วหลายประเทศ ฟังท่านพูดและแสดงประจักษ์พยานในภาษาของท่าน ได้เห็นศรัทธาและการอุทิศตนที่ท่านมีต่อพระเจ้า ข้าพเจ้ารักและชื่นชมความชอบธรรมของท่าน ข้าพเจ้ารู้ว่าชีวิตวัยท่านน่าท้าทาย และรู้ว่าบางครั้งเราทำผิดพลาดและต้องกลับใจ แต่ข้าพเจ้าขอบคุณท่านอย่างจริงใจที่ท่านพยายามยึดมั่นศรัทธาในพระคริสต์และพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู ความปรารถนาสูงสุดของข้าพเจ้าคืนนี้คือขอให้ข้าพเจ้าพูดได้ด้วยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยเหตุนี้จึงช่วยเพิ่มพูนศรัทธาของท่าน
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
มีสถานที่หลายแห่งบนแผ่นดินโลกนี้ที่ศักดิ์สิทธิ์เพราะเหตุการณ์ที่นั่น ตามพันธสัญญาเดิม สถานที่เช่นนั้นแห่งหนึ่ง คือซีนาย โฮเรบ หรือ “ภูเขาของพระเจ้า” (อพยพ 3:1, ดู อพยพ 3:12; 34:2) ด้วย ซึ่งพระเจ้าทรงปรากฏต่อโมเสสที่พุ่มไม้มีไฟลุกโชน เมื่อโมเสสเดินเข้าไปใกล้ พระเจ้าตรัสแก่เขาว่า “อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ ถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์” (อพยพ 3:5)
ข้าพเจ้ากับครอบครัวเคยได้รับพรให้อยู่ในที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ในปี 1993--- สี่ปีหลังจากการเรียกเป็นสาวกเจ็ดสิบ---เราไปรับใช้สองปีในคณะเผยแผ่โรเชสเตอร์ นิวยอร์กของศาสนจักร คณะเผยแผ่ครอบคลุมเมืองพอลไมรา (ที่โจเซฟ สมิธกับครอบครัวอยู่ในช่วงทศวรรษ 1820) กับเมืองเฟเยทท์ (ที่ศาสนจักรจัดตั้งในเดือนเมษายน 1830) ราว 100 ไมล์ทางใต้ของพอลไมราในรัฐเพนซิลเวเนียคือที่ตั้งของเมืองฮาร์โมนีย์ (ที่โจเซฟ สมิธพบเอ็มมา เฮล และอยู่เป็นคู่แต่งงานใหม่ขณะแปลพระคัมภีร์มอรมอนส่วนใหญ่ช่วงปลายทศวรรษ 1820) บริเวณนี้เรียกกันว่า “จุดเริ่มต้นของการฟื้นฟู” ศาสนจักรเกิดที่นี่ ภูมิประเทศแถบนี้สวยงาม มีเนินเขายาวเหยียดปกคลุมด้วยต้นไม้ ทะเลสาบและลำธารใสสะอาด ผู้คนอบอุ่นมีชีวิตชีวา เหตุการณ์ที่นั่นทำให้สถานที่แห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
ป่าศักดิ์สิทธิ์
ในป่าที่มีต้นบีชสูงลิ่ว ต้นโอ๊ก ต้นเมเปิล และพรรณไม้อื่นๆ ห่างจากบ้านของครอบครัวโจเซฟ และลูซี แม็ค สมิธใกล้พอลไมราไปทางตะวันตกราวยี่สิบห้าไมล์ โจเซฟ สมิธวัย 14 ปีเห็นพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาและพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ในนิมิต เมื่อฤดูใบไม้ผลิปี 1820 ปรากฏการณ์ศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ตอบคำสวดอ้อนวอนของโจเซฟเพื่อรู้ความจริงเกี่ยวกับศาสนาและวิธีที่ท่านจะได้รับการปลดบาป จุดเริ่มต้นการฟื้นฟูพระกิตติคุณในสมัยการประทานสุดท้ายนี้ อีกทั้งทำให้ป่าแห่งนั้นเป็นสถานที่น่าเคารพในประวัติศาสตร์ของศาสนจักร---สถานที่ซึ่งเรายกย่องโดยใช้ชื่อว่า “ป่าศักดิ์สิทธิ์”
ขณะข้าพเจ้ารับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ ข้าพเจ้ากับครอบครัวหลงรักป่าแห่งนั้นและรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของที่นั่น เราไปที่นั่นบ่อยๆ แต่ละเดือนเมื่อผู้สอนศาสนาใหม่มาถึงและเมื่อคนที่จบงานเผยแผ่จะกลับบ้าน เราพาพวกเขาไปที่นั่น สิ่งที่เราทำคือรวมกันตรงทางเข้าป่าและหลังจากร้องเพลงสวดเปิดของคืนนั้น—“การสวดอ้อนวอนครั้งแรกของโจเซฟ สมิธ”1— เราเชื้อเชิญเหล่าเอ็ลเดอร์และซิสเตอร์ให้กระจายกันไปหาสถานที่เงียบสงัดในป่าเพื่อติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้าในการสวดอ้อนวอน โดยให้คำมั่นเป็นการส่วนตัวและทูลรายงานต่อพระองค์ การเยือนป่าศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นและยังคงเป็นประสบการณ์ล้ำค่าสำหรับทุกคนที่ได้ไป
ข้าพเจ้าทราบดีว่ามีสมาชิกเพียงไม่กี่คนที่สามารถไปเยือนป่าศักดิ์สิทธิ์ได้ ด้วยเหตุนี้ ในฤดูใบไม้ผลิปี 2012 --- 192 ปีหลังจากนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ --- ข้าพเจ้าจึงอยากให้ท่านมาในป่าศักดิ์สิทธิ์กับข้าพเจ้าจริงๆ ยืนกับข้าพเจ้าที่นั่นขณะข้าพเจ้าเล่าเหตุการณ์บางอย่างเกี่ยวกับป่าแห่งนี้ให้ฟัง เหตุผลที่ข้าพเจ้ารักสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น และบทเรียนอันทรงคุณค่าของชีวิตที่เรียนรู้ได้จากที่นั่น
ข้าพเจ้าเป็นหนี้บุญคุณบราเดอร์โรเบิร์ต แพร์รอตต์ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ นักธรรมชาติวิทยา และลูกจ้างของศาสนจักรที่อยู่ในพอลไมรา ผู้ทำให้ข้าพเจ้าสนใจข้อคิดบางอย่างเกี่ยวกับป่าศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าพเจ้าจะแบ่งปัน แม้จะยังไม่เป็นสมาชิกของเรา แต่บราเดอร์แพร์รอตต์เคารพป่าศักดิ์สิทธิ์และให้การดูแลเอาใจใส่แบบมืออาชีพมาก
จินตภาพในพระคัมภีร์เกี่ยวกับต้นไม้
เมื่อข้าพเจ้าเดินผ่านป่าศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเคารพหรือนั่งคิดอยู่บนม้านั่งที่จัดไว้แถวนั้น ข้าพเจ้ามักนึกถึงจินตภาพหลายข้อในพระคัมภีร์เกี่ยวกับต้นไม้ กิ่งก้าน ราก เมล็ด ผล และป่าใหญ่ อาดัมกับเอวา บิดามารดาแรกของเรา ได้รับบทเรียนแรกในการปลูกต้นไม้อย่างไม่ต้องสงสัย ศาสดาพยากรณ์เจคอบเล่าอุปมานิทัศน์หรือเรื่องเล่าที่ซับซ้อนเกี่ยวกับต้นมะกอกสวนและมะกอกป่าโดยอ้างซีนัสในพระคัมภีร์มอรมอนเมื่อท่านสอนเรื่องการกระจัดกระจายและการรวมอิสราเอล (ดู เจคอบ 5) พวกเรามีใครบ้างที่ไม่เคยอ่าน อ่านทวน และไตร่ตรองร่วมกับการสวดอ้อนวอนถึงเมล็ดแห่งศรัทธาที่แอลมาเชื้อเชิญเราให้หว่านด้วยการดูแลเอาใจใส่และบำรุงเลี้ยงอย่างดีจนกลายเป็น “ต้นไม้ที่งอกงามไปสู่ชีวิตอันเป็นนิจ” (แอลมา 32: 41; ดู ข้อ 27–43)
ทำนองเดียวกับป่าศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่สังเกตธรรมชาติอย่างถี่ถ้วน – โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีนักธรรมชาติวิทยาที่เชี่ยวชาญอย่างบราเดอร์โรเบิร์ต แพร์รอตต์ไปด้วย –จะได้รับบทเรียนสำคัญบางอย่างจากระบบนิเวศที่มีอยู่ที่นั่น ข้าพเจ้าประสงค์จะแบ่งปันบทเรียนสี่บทกับท่านคืนนี้พอสังเขป
บทเรียนของชีวิตจากป่าศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 1:ต้นไม้เจริญเติบโตเข้าหาแสงสว่างเสมอ
ปรากฏการณ์น่าสนใจอย่างหนึ่งที่สังเกตเห็นในป่าศักดิ์สิทธิ์คือต้นไม้ที่เติบโตตรงชายป่าเดิมกับต้นที่อยู่ตามแนวทางเดินด้านใน ต้นไม้เหล่านี้เติบโตออกด้านนอกเพื่อหนีร่มเงาจากช่อใบที่บดบัง ต้นไม้จะสูงชะลูดเพื่อรับแสงแดดให้มากที่สุด ลำต้นและกิ่งก้านคดงอของมันแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับต้นไม้ใกล้เคียงที่เติบโตในลักษณะค่อนข้างตรง ต้นไม้ก็เหมือนสิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมด ต้องการแสงสว่างเพื่ออยู่รอดและเติบโต มันจะดูดซับแสงแดดจนสุดความสามารถเพื่อส่งเสริมการสังเคราะห์แสง—ขั้นตอนการเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นพลังงานเคมีหรือ “เชื้อเพลิง” ที่สิ่งมีชีวิตแทบทุกชนิดต้องใช้
ข้าพเจ้าแน่ใจว่าความคิดอันปราดเปรื่องในวัยหนุ่มสาวของท่านรู้แล้วว่าอุปลักษณ์นี้จากป่าศักดิ์สิทธิ์พาเราไปที่ใด! แสงสว่างเป็นตัวเร่งสำคัญในเรื่องทางวิญญาณยิ่งกว่าในธรรมชาติ ที่เป็นเช่นนี้เพราะแสงสว่างจำเป็นต่อการเติบโตทางวิญญาณของเราและการทำให้เราบรรลุศักยภาพเต็มที่ในฐานะบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า
ความมืดอยู่ตรงข้ามกับความสว่างและหมายถึงอำนาจในโลกที่พยายามแยกเราจากพระผู้เป็นเจ้าและขัดขวางแผนของพระองค์สำหรับชีวิตเรา โดยปกติอำนาจของความชั่วร้ายมักใช้อิทธิพลมากที่สุดหลังค่ำหรือในที่มืด ในชีวิตช่วงนี้ของท่าน การทำผิดกฎแห่งความบริสุทธิ์ทางเพศ การลักขโมย การพนัน การฝ่าฝืนพระคำแห่งปัญญา และพฤติกรรมอื่นๆ ที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงห้าม มักเกิดขึ้นใต้กำบังของความมืด แม้เมื่อเราเลือกทำผิดในช่วงกลางวันแสกๆ – ตัวอย่างเช่น โกงการสอบโดยขโมยคัดลอกวิทยานิพนธ์ นินทาใครบางคนอย่างมุ่งร้าย ใช้ภาษาหยาบคาย หรือกล่าวคำเท็จ – เราก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความมืด
โชคดีที่พระวิญญาณของพระคริสต์ “ทรงให้ความสว่างแก่มนุษย์ทุกคนที่มาในโลก; และพระวิญญาณทรงให้ความสว่างมนุษย์ทุกคนทั่วโลก, ผู้ที่สดับฟังสุรเสียงของพระวิญญาณ.
“และทุกคนที่สดับฟังสุรเสียงของพระวิญญาณย่อมมาหาพระผู้เป็นเจ้า, แม้พระบิดา” (คพ. 84:46–47)
ข้อความนี้จากหลักคำสอนและพันธสัญญาบรรยายอย่างไพเราะเกี่ยวกับการเอื้อมถึงเบื้องบนของมนุษย์ สัญชาตญาณทางวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เราทุกคน – ถ้าเราไม่กดเอาไว้ – เพื่อไปสู่ความสว่างและเมื่อทำเช่นนั้นจะพาเราไปถึงพระผู้เป็นเจ้าและพระบุตรและเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น พระคริสต์ตรัสถึงพระองค์ว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (ยอห์น 8:12)
ในการเข้าใจพระคัมภีร์ ท่านบอกได้มากเกี่ยวกับคำๆ หนึ่งซึ่งมักมีคำอื่นอยู่ด้วย ในการศึกษาพระคัมภีร์ ลองสังเกตว่าท่านพบคำว่า ความสว่าง พระวิญญาณ ความจริง และ พระเยซูคริสต์ อยู่ใกล้กันบ่อยเพียงใด คำเหล่านี้มีความหมายใกล้เคียงกัน และล้วนดึงเราขึ้นสู่วิถีชีวิตที่สูงขึ้นและศักดิ์สิทธิ์ขึ้น
ข้าพเจ้าขอร้องท่านสุดหัวใจให้หลีกเลี่ยงความมืดแห่งบาปที่ชั่วร้ายทุกรูปแบบและเติมชีวิตท่านด้วยพระวิญญาณ ความจริง และความสว่างของพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ ท่านสามารถทำเช่นนี้ได้โดยแสวงหาเพื่อนที่มีคุณธรรม ดนตรีและศิลปะจรรโลงใจ ความรู้จากหนังสือดีที่สุด (โดยเฉพาะพระคัมภีร์) ชั่วขณะของการสวดอ้อนวอนที่จริงใจ เวลาเงียบสงบในธรรมชาติ กิจกรรมและการสนทนาที่ดีงาม ชีวิตที่มีศูนย์รวมอยู่ในพระคริสต์ คำสอนแห่งความรักและการรับใช้ของพระองค์ จงจำคำประกาศของพระเจ้าไว้เสมอ และโดยเฉพาะในการหาคู่นิรันดร์ ว่า “ความจริงน้อมรับความจริง; คุณธรรมรักคุณธรรม; ความสว่างแนบสนิทกับความสว่าง” (คพ. 88:40) หลักธรรมของการดึงดูดความดีเข้าหาความดี---ให้ความหวังว่าถ้าเราดำเนินชีวิตในความสว่างของพระกิตติคุณ ในที่สุดเราจะพบคู่ชีวิตเดินเคียงกันไปในเส้นทางของความชอบธรรม ข้าพเจ้ารู้ว่ายิ่งเราพยายามเติมชีวิตด้วยความสว่าง เรายิ่งมีที่ว่างให้ความมืดน้อยลงและในที่สุดเราจะเข้าใกล้ความเป็นเหมือนพระคริสต์ ความสว่างของโลก มากขึ้น
เนื่องด้วยพรพิเศษที่คืนนี้ข้าพเจ้าได้พูดกับหนุ่มสาววิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ยอดเยี่ยม ข้าพเจ้าจึงต้องการเปล่งเสียงเตือนแต่เป็นเสียงแห่งกำลังใจและความหวังด้วยเช่นกันเกี่ยวกับความมืดที่จะรุกรานชีวิตท่านอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงถ้าท่านพัวพันกับสื่อลามก การใช้สื่อลามกทำให้พระผู้เป็นเจ้าทรงขุ่นเคืองและเป็นการละเมิดพระบัญชาของพระองค์ที่ว่าอย่าล่วงประเวณี “หรือทำอะไรที่เหมือนกันนี้” (คพ. 59:6) การใช้สื่อลามกมักนำไปสู่การฝ่าฝืนกฎแห่งความบริสุทธิ์ทางเพศด้วยเสมอ การเปิดรับสื่อลามกครั้งแล้วครั้งเล่าและมีส่วนในการล่วงละเมิดทางเพศหลายแบบที่มักตามมาสามารถก่อให้เกิดการเสพติดที่ต้องแก้ไขและดูแลรักษาแบบเดียวกับการเสพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือยาเสพติด
ถ้าสื่อลามกรังควานชีวิตท่านแล้ว และกำลังเป็นปัญหาซ้ำซากที่รุมเร้า ข้าพเจ้าขอให้ท่านขอความช่วยเหลือจากผู้นำศาสนาและมืออาชีพ โปรดรู้ว่าการเสพสื่อลามกไม่ใช่แค่ “ปัญหาเล็กน้อย” ที่ท่านเอาชนะได้อย่างลับๆ ด้วยการสวดอ้อนวอน การศึกษาพระคัมภีร์ และการควบคุมตนเองมากขึ้น
เพราะการเสพสื่อลามกสามารถบั่นทอนพลังของเจตจำนงที่จะเลือกความดีเหนือความชั่ว ท่านจึงต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อน้อมรับการชดใช้ของพระเยซูคริสต์และรับพรจากเดชานุภาพแห่งการชดใช้ ความหมายในทางปฏิบัติคือถ้าท่านใช้ความพยายามเต็มที่—ซึ่งรวมถึงผ่านขั้นตอนการกลับใจด้วยความช่วยเหลือของอธิการหรือประธานสาขาเพื่อรับการอภัยบาปและผ่านขั้นตอนการบำบัดที่ครอบคลุมการขอคำปรึกษาจากมืออาชีพและกลุ่มสนับสนุนเพื่อเอาชนะการเสพติด—เดชานุภาพแห่งการชดใช้ (ซึ่ง Bible Dictionary อธิบายว่าเป็นวิธีช่วยเหลือหรือพลังจากเบื้องบน2) จะช่วยท่านเอาชนะแรงผลักดันให้เสพสื่อลามกจนกระทั่งหายจากผลกัดกร่อนของสื่อ โดยผ่านเดชานุภาพแห่งการชดใช้ ทั้งการให้อภัยบาปและบำบัดการเสพติดอยู่ในวิสัยที่ทำได้และวิเศษสุดทั้งคู่
ได้โปรดหลีกเลี่ยงความมืด และขอให้เหมือนต้นไม้ที่พยายามเติบโตเข้าหาแสงสว่างตลอดเวลา
บทที่ 2: ต้นไม้ต้องมีการต่อต้านเพื่อเติมเต็มระดับการสร้างของมัน
ความคิดเห็นหลากหลายเกี่ยวกับการจัดการป่าไม้ตามมาตลอดหลายปีของการดูแลป่าศักดิ์สิทธิ์ ครั้งหนึ่งมีการเลือกแผนทดสอบ และใช้แนวทางปฏิบัติที่เรียกว่า “การตัดขยายระยะ” โดยทำดังนี้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้จำแนกต้นที่พวกเขารู้สึกว่าเป็นกล้าไม้แข็งแรงที่สุดและใหญ่ที่สุดไว้ในแผนทดสอบ จากนั้นก็ตัดและเล็มต้นที่ไม่ค่อยงามกับต้นเล็กที่โตใต้ต้นใหญ่ออก เขาคิดว่าการแยกเอาต้นที่แย่งน้ำ แสงแดด และสารอาหารในดินออกไปจะทำให้ต้นที่เลือกไว้ “มีอากาศหายใจ” เติบโตและงอกงามอย่างยิ่ง
ไม่กี่ปีต่อมาปรากฏว่าเกิดผลตรงกันข้าม เมื่อไม่มีการแก่งแย่ง ต้นที่เลือกไว้จึงชะล่าใจ แทนที่จะแทงยอดสูงขึ้นไปหาแสงสว่าง มันกลับเติบโตในแนวดิ่งช้าลง ออกกิ่งต่ำกว่าหลายกิ่งซึ่งในที่สุดจะไร้ประโยชน์เมื่อมีกิ่งใหญ่ปิดคลุมและแตกแขนงเป็นลำใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกัน ต้นไม้ที่ตัดออกไปก็แตกพุ่มขยายกิ่งก้านมากมายซึ่งจะไม่กลายเป็นต้นที่อยู่รอด แต่ยังคงใช้น้ำและสารอาหาร ต้นไม้ลักษณะเหมือนพุ่มไม้เหล่านี้ยังคงแย่งอาหารจากต้นที่เลือกไว้ แต่นั่นจะทำให้ทั้งสองไม่เติบโตเท่าที่ควร ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีต้นใดในแผนทดสอบมีขนาดหรือพลังชีวิตเทียบได้กับต้นที่ปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติมากกว่าและที่ต้องแก่งแย่งกันและเอาชนะอุปสรรคเพื่ออยู่รอดและเจริญเติบโต
เท่าที่ท่านทราบ หลักคำสอนสำคัญประการหนึ่งของพระคัมภีร์มอรมอนคือต้องมีการตรงกันข้ามในทุกสิ่ง โลกที่มีสิ่งตรงข้ามจัดเตรียมทางเลือกระหว่างดีกับชั่วให้เพื่อจะใช้สิทธิ์เสรีได้ แต่สำคัญเท่ากันคือหลักธรรมที่ว่าการตรงกันข้ามต้องมีอยู่เพื่อให้เกิดการเติบโตทางวิญญาณ – หรือตามที่ท่านบิดาลีไฮอธิบายเพื่อให้เกิด “ความบริสุทธิ์” (2 นีไฟ 2:11) ข้าพเจ้าต้องการเน้นว่าการเข้าใจหลักธรรมนี้ – ที่ว่าการเติบโตทางวิญญาณเรียกร้องการตรงกันข้ามและความยากลำบาก – การน้อมรับหลักธรรมดังกล่าวตามวัยของท่านเป็นกุญแจสู่การยอมรับและมีความสุขกับชีวิต อีกทั้งสำคัญยิ่งต่อประสบการณ์ที่จะเติบโตและพัฒนาตนในส่วนที่จำเป็น
ไม่ช้าก็เร็ว เราทุกคนจะเผชิญการต่อต้านและความยากลำบาก บางอย่างจะเกิดขึ้นเนื่องด้วยการอยู่ในความเป็นมรรตัยในโลกที่ตกแล้ว นั่นเป็นชะตากรรมทั่วไปของมวลมนุษย์ การตรงกันข้ามมีหลายแบบ อาจเกี่ยวข้องกับพลังของธรรมชาติ อาจประกอบด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วย (ดูเหมือนข้าพเจ้าติดไข้หวัดได้แม้จะฉีดวัคซีนป้องกันแล้วก็ตาม!) มันอาจมาในรูปแบบของการล่อลวง สำหรับบางคนนั่นหมายถึงความคาดหวังที่ไม่บรรลุ (ข้าพเจ้าอยากสูง 6 ฟุต 5 นิ้ว แต่เรียนรู้ที่จะมีความสุขกับ 5 ฟุต 9 นิ้วที่ได้มา—และกับการทำให้แท่นพูดต่ำลงเมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้พูด) มันอาจอยู่ในรูปแบบของความเหงา ความบกพร่อง หรือทุพพลภาพทางกายและจิตใจเช่นกัน—อิทธิพลตรงกันข้ามมีมากมายแทบไม่สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้จึงเป็นพรของการเติบโตและการพัฒนาส่วนตัวถ้าเรามีศรัทธาที่จะมองให้ไกลและอดทนด้วยดี ข้าพเจ้ารับการปลอบขวัญจากพระดำรัสของพระเจ้าต่อโจเซฟ สมิธในคุกลิเบอร์ตี้เมื่อโจเซฟแทบแบกภาระไม่ไหว “จงรู้ไว้เถิด, ลูกพ่อ, ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์แก่เจ้า, และจะเกิดขึ้นเพื่อความดีของเจ้า” (คพ. 122:7)
บางครั้งการตรงกันข้ามและความทุกข์เกิดขึ้นเพราะการเลือกผิดๆ ของเราเอง สุขภาพไม่ดีหรือการบาดเจ็บอาจเกิดจากวิถีชีวิตที่ประมาทเลินเล่อ ความปวดร้าวใจและความเศร้าโศกเกิดจากการทำผิดกฎของพระผู้เป็นเจ้า ความเสียใจที่เรารู้สึกภายหลังเมื่อเราไม่ใช้ประโยชน์จากเวลาและพรสวรรค์ที่ประทานแก่เรา—สภาพทั้งหมดล้วนเป็นสภาพที่เราทำเอง เราทุกคนควรสำนึกคุณเพียงใดต่อพระผู้ช่วยให้รอดผู้ซึ่งการชดใช้เตรียมทางให้เราได้ซ่อมทุกอย่างที่แตกหักเสียหาย
ข้าพเจ้าสังเกตว่าเมื่อพบเจอการต่อต้านเรามักถามว่า “ทำไม”—ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเวลานี้ ทำไมต้องเป็นเช่นนี้—ทั้งที่การถามว่า “อะไร” น่าจะสร้างสรรค์กว่า ข้าพเจ้าเคยส่งจดหมายปลอบโยนสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ทุกข์โศกเพราะสามีกำลังจะตายด้วยโรคที่รักษาไม่หาย จดหมายตอบของพวกเขาอ่อนน้อมมาก พวกเขาแจกแจงพรที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ในหลายปีที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน จากนั้นจึงสงสัยว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพยายามสอน “อะไร” ในการชี้นำครั้งสุดท้ายนี้
มีต้นไม้ในป่าศักดิ์สิทธิ์ที่บราเดอร์แพร์รอตต์เรียกว่า “ต้นอุปนิสัย” ต้นไม้เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการตรงกันข้ามเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของเราและในสภาพลำบากแสนสาหัสเรามักได้ประโยชน์มากมาย ต้นไม้เหล่านี้ต้องตอบสนอง ปรับตัว และบางครั้งถึงขึ้นต้องฟื้นตัวจากการตรงกันข้ามหรือความยากลำบากหลากหลายรูปแบบ – สายฟ้าฟาด ลมพัดจัด หิมะหรือน้ำแข็งพอกพูนจนหนา การรุกล้ำจ้วงจาบของมนุษย์ที่เลินเล่อ แม้ถึงกับการรุกรานจากต้นไม้ข้างเคียงในบางครั้ง! สภาพตรงกันข้ามเหล่านี้ทำให้เกิดต้นไม้ที่ดูน่าสนใจที่สุดและทนทานที่สุดในป่า ต้นไม้เหล่านั้นอาจขาดความสวยงามได้สัดส่วน แต่ได้ความเด็ดเดี่ยวและลักษณะเด่นมาชดเชย
จากประสบการณ์ชีวิตข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าการตรงกันข้าม ความทุกข์ และความยากลำบากก่อให้เกิดอุปนิสัยและการเติบโต ประสบการณ์ที่เรียกร้องและท้าทายที่สุดบางอย่างของชีวิตข้าพเจ้า – ความรู้สึกไม่คู่ควรและความเขินอายในช่วงที่ข้าพเจ้าเป็นวัยรุ่น งานเผยแผ่สมัยหนุ่มในเยอรมนี และการเรียนภาษาเยอรมัน การได้ปริญญานิติศาสตร์และผ่านการสอบเป็นทนายความ ความพยายามเป็นสามีและบิดาที่ยอมรับได้ การจัดหาให้ครอบครัวลูกแปดทั้งทางวิญญาณและทางโลก การสูญเสียบิดามารดาและบุคคลที่ข้าพเจ้ารัก แม้กระทั่งสภาพตึงเครียดบ่อยครั้งของการรับใช้เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ (รวมถึงการเตรียมและกล่าวคำปราศรัยต่อท่านคืนนี้ด้วย)—ทั้งหมดนี้และมากกว่านี้ แม้ท้าทายและยาก แต่ก็ให้ประสบการณ์และเป็นไปเพื่อความดีของข้าพเจ้า!
ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่ง่ายที่จะทำให้หนุ่มสาวอย่างท่านเชื่อว่าความเจ็บปวดเล็กน้อยดีสำหรับท่าน แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าเราอยากได้รับ “ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมี” (คพ. 84:38) นั่นจะไม่เกิดขึ้นหากเราไม่ให้ทั้งหมดที่เรามีเป็นการตอบแทน พระบิดาบนสวรรค์ทรงปรารถนาบุตรธิดาผู้มีคุณธรรมและดังที่ลีไฮสอน ความบริสุทธิ์เกิดขึ้นได้ผ่านความยากลำบากและการทดสอบเท่านั้น คนก็เหมือนต้นไม้ ต้องมีการต่อต้านเพื่อเติมเต็มระดับการสร้างของพวกเขา
บทที่ 3: ต้นไม้เติบโตได้ดีที่สุดในป่าใหญ่ ไม่ยืนต้นอยู่โดดเดี่ยว
ถ้าท่านคิดให้ดี ในธรรมชาติเป็นเรื่องแปลกมากถ้าเห็นต้นไม้ยืนต้นอยู่โดดเดี่ยว ต้นไม้มักอยู่รวมกันในป่าเสมอ และป่าเล็กจะกลายเป็นป่าใหญ่ แต่ป่าศักดิ์สิทธิ์เป็นมากกว่าดงไม้ นี่เป็นระบบนิเวศที่ซับซ้อนซึ่งรวมถึงพรรณพืชและฝูงสัตว์หลายสายพันธุ์ มีความเชื่อมโยงถึงกันอย่างเห็นได้ชัดในหมู่ดอกไม้ป่า ไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก ไม้ใหญ่ รา มอส นก สัตว์ที่ใช้ฟันแทะ กระต่าย กวาง และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่นั่น สายพันธุ์เหล่านี้ปฏิสัมพันธ์และพึ่งพากันเรื่องอาหาร ที่อยู่อาศัย และสภาพแวดล้อมทางสังคมซึ่งทั้งหมดสามารถดำเนินตามวงจรชีวิตของตน
แผนของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับชีวิตเรามีความเชื่อมโยงถึงกันและความเป็นสังคมคล้ายกัน เราต้องทำงานเพื่อความรอดของเราด้วยกัน ไม่ใช่ทำคนเดียว ศาสนจักรสร้างอาคารประชุม ไม่ใช่อาศรม เราเข้าร่วมประชุมในวอร์ดหรือสาขาตามที่กำหนด – ไม่เลือกที่ประชุมเหมือนบางศาสนา นโยบายอันชาญฉลาดนี้เรียกร้องให้เราฝึกอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมและต้องชี้แจงต่ออธิการหรือประธานสาขาสำหรับพฤติกรรมของเรา ไม่วิ่งไปแอบเมื่อเกิดปัญหา! เราได้รับบัญชาให้รักเพื่อนบ้าน (ซึ่งรวมถึงสมาชิกครอบครัวของเรา) และการรักคนใกล้ชิดเรามากที่สุดมักจะยากยิ่งกว่ารัก “คนทั้งโลก” ตั้งแต่เริ่มการฟื้นฟู มีพระบัญชาให้วิสุทธิชน “มาสู่ไซอัน” และรวมกันเป็นชุมชนเพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยความปรองดองและสนับสนุนกันโดยให้เกียรติพันธสัญญาบัพติศมาว่า“จะแบกภาระของกันและกัน … โศกเศร้ากับคนที่โศกเศร้า … และปลอบโยนคนที่ต้องการการปลอบโยน” (โมไซยาห์ 18:8–9) ในฐานะลูกของพระผู้เป็นเจ้า เราไม่อาจรุ่งเรืองคนเดียวเฉกเช่นต้นไม้โดดเดี่ยว ต้นไม้ที่แข็งแรงต้องการระบบนิเวศ คนแข็งแรงต้องการกันและกัน
ขอบคุณที่เราทุกคนมีความปรารถนาสังคม ความเป็นเพื่อน เพื่อนที่ภักดี ในฐานะสมาชิกครอบครัวนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า เราทุกคนโหยหาความพอใจและความมั่นคงที่ความสัมพันธ์อันยั่งยืนแน่นแฟ้นให้ได้ ท่านจะเรียนรู้ว่าการสร้างความสัมพันธ์เช่นนั้นใช้เวลา ความพยายาม และจิตกุศลมากมาย ดังมอรมอนกล่าว “จิตกุศล …ไม่แสวงหาเพื่อตน” (โมโรไน 7:45)—ไม่ใช่เพื่อวาระของตน ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของตน และแน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อความพอใจของตน ถึงแม้อินเทอร์เน็ตและไซต์เครือข่ายสังคมให้ความเป็นสังคมแบบหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจทดแทนการสื่อสารที่ซื่อสัตย์เปิดเผยแบบซึ่งหน้า ที่จะต้องเกิดขึ้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันยั่งยืนและเชื่อถือได้
แน่นอนว่าห้องทดสอบการเรียนรู้ห้องแรกสุดและดีที่สุดสำหรับการอยู่ร่วมกับผู้อื่นคือบ้าน ที่บ้านเราเรียนบทเรียนเรื่องการรับใช้ ความไม่เห็นแก่ตัว การให้อภัย และความอดทนซึ่งจำเป็นต่อการสร้างความสัมพันธ์อันยั่งยืนกับผู้อื่น ข้าพเจ้าคิดว่าด้วยเหตุนี้ส่วนหนึ่งของการ “มีค่าควรเข้าพระวิหาร” คือเราต้องอยู่กับสมาชิกในครอบครัวของเราด้วยความรักและความปรองดอง
โชคดีที่องค์การของศาสนจักรจัดเตรียมโอกาสและสภาพแวดล้อมให้เราพัฒนาความเป็นสังคมเช่นกัน เราเป็นส่วนหนึ่งของวอร์ดหรือสาขาตั้งแต่เราอายุน้อยสุดจนอายุมากสุดและอยู่ในสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์กับผู้อื่นและความเป็นสังคมงอกงามได้ ในการเรียก การประชุม ชั้นเรียน โควรัม สภา กิจกรรม และโอกาสอีกมากมายให้เชื่อมสัมพันธ์กันในศาสนจักร เราพัฒนาคุณลักษณะและทักษะทางสังคมที่ช่วยเตรียมเราให้พร้อมรับระเบียบทางสังคมที่จะมีอยู่ในสวรรค์ เมื่อพูดถึงระเบียบที่สูงกว่านี้ พระเจ้าตรัสผ่านโจเซฟ สมิธว่า “และความเป็นสังคมอย่างเดียวกันนั้นซึ่งมีอยู่ท่ามกลางพวกเราที่นี่จะมีอยู่ท่ามกลางพวกเราที่นั่น, เพียงแต่จะควบคู่ไปกับรัศมีภาพนิรันดร์, ซึ่งรัศมีภาพนั้นเราไม่ได้ชื่นชมขณะนี้” (คพ. 130:2)
ถ้าเราหวังจะชื่นชมความเป็นสังคมของสวรรค์และรัศมีภาพที่เกี่ยวข้องในโลกที่จะมาถึง เราต้องมีวุฒิภาวะทางสังคมและทางวิญญาณตลอดเวลาขณะอยู่บนแผ่นดินโลก คนก็เหมือนต้นไม้ เติบโตดีที่สุดในชุมชม ไม่ใช่อยู่โดดเดี่ยว
บทที่ 4: ต้นไม้ดึงพลังจากสารอาหารที่ต้นไม้รุ่นก่อนสร้างไว้
มีช่วงหนึ่งในการดูแลป่าศักดิ์สิทธิ์เมื่อผู้รับผิดชอบตัดสินใจว่าป่าควรสะอาดเรียบร้อยงามตา พวกเขาจึงจัดโครงการบำเพ็ญประโยชน์สำหรับเยาวชนและผู้สอนศาสนาขึ้นเป็นระยะเพื่อแผ้วถางไม้ล้ม และกิ่งที่ร่วงหล่น พุ่มไม้ใต้ต้น แม้กระทั่งตอไม้และใบแห้ง เมื่อทำเช่นนั้นนานเข้าความมีชีวิตชีวาของป่าก็เริ่มลดลง ต้นไม้โตช้าลง ต้นใหม่แตกหน่อน้อยลง ดอกไม้ป่าและพรรณพืชบางสายพันธุ์เริ่มหายไป นกและสัตว์ป่าลดจำนวนลง
เมื่อบราเดอร์แพร์รอตต์เข้ามาดูแลป่าเมื่อหลายปีก่อน เขาแนะนำให้ปล่อยป่าไว้ตามสภาพธรรมชาติ ไม้ล้มและกิ่งที่ร่วงหล่นก็ปล่อยให้ย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยบำรุงดิน ใบไม้ร่วงก็ปล่อยไว้อย่างนั้น เขาขอให้ผู้มาเยือนอยู่บนทางเดินที่ทำเครื่องหมายไว้เพื่อป่าจะถูกรบกวนน้อยลงและดินในป่าแน่นน้อยลง ภายในไม่กี่ปี ป่าเริ่มฟื้นตัวและคืนชีพอย่างน่าอัศจรรย์ ปัจจุบันป่างอกงามในสภาพธรรมชาติ ต้นหมากรากไม้เขียวขจี พรรณไม้และสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์
บทเรียนที่ได้จากประสบการณ์การจัดการป่าไม้ครั้งนี้มีค่ายิ่งต่อใจข้าพเจ้า เจ็ดปีมาแล้วที่ข้าพเจ้ามีโอกาสรับใช้เป็นผู้บันทึกและนักประวัติศาสตร์ศาสนจักร นี่เป็นตำแหน่งที่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธตั้งขึ้นเพื่อตอบรับพระบัญชาของพระเจ้าต่อท่านในวันจัดตั้งศาสนจักร “ดูเถิด, จะต้องมีการเขียนบันทึกในบรรดาพวกเจ้า” (คพ. 21:1) จากวันนั้น – เริ่มด้วยการตั้งออลิเวอร์ คาวเดอรีเป็นผู้บันทึกและนักประวัติศาสตร์คนแรกของศาสนจักร – และต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน – ศาสนจักรมีการจัดเก็บบันทึกมาตลอด จอห์น วิตเมอร์มาแทนออลิเวอร์ คาวเดอรี และพระเจ้ารับสั่งให้เขาเก็บประวัติ “ของเรื่องสำคัญทั้งปวง … ซึ่งจะเป็นประโยชน์ของศาสนจักร, และเพื่ออนุชนรุ่นหลังที่จะเติบใหญ่บนแผ่นดินแห่งไซอัน” (คพ. 69:3, 8)
เหตุใดการจดบันทึกและการรวบรวม การเก็บรักษา และบอกเล่าประวัติศาสตร์จึงมีความสำคัญเช่นนั้นในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ เหตุใดจึงสำคัญยิ่งที่ “อนุชนรุ่นหลัง” อย่างท่านต้องใส่ใจและดึงพลังมาจากคนรุ่นก่อน
เพื่อตอบคำถาม ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตอย่างสมบูรณ์ในปัจจุบันโดยไม่มีรากฐานของอดีต – อย่าว่าแต่แผนสำหรับจุดหมายในอนาคตของท่านเลย หลายเดือนก่อนข้าพเจ้าสนใจความจริงนี้มากขณะพบสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งประสบการทดลองที่ไม่ธรรมดาอย่างที่สุดและข้าพเจ้าได้รับอนุญาตให้เล่าเรื่องราวนี้ หลังจากแต่งงานได้หลายปีและมีบุตรหลายคน ภรรยาประสบอุบัติเหตุร้ายแรง เธอมีสภาพหมดสติอยู่ในโรงพยาบาลหลายสัปดาห์ เมื่อเธอรู้สึกตัว เธอสูญเสียความทรงจำจนหมดสิ้น! เธอไม่มีบันทึกเหตุการณ์ในอดีต โดยที่จำอดีตไม่ได้เธอจึงไม่มีจุดอ้างอิง เธอไม่รู้จักสามี ลูกๆ หรือพ่อแม่! ขณะสามีเล่าเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าฟัง เขาบอกว่าในช่วงหลายเดือนก่อนนั้นหลังเกิดอุบัติเหตุ เขากังวลว่าภรรยาจะเดินเตร่ไปทั่วถ้าไม่มีใครดูแล เขากลัวด้วยว่าภรรยาจะไม่ตกหลุมรักเขาอีก ในช่วงเป็นคู่รัก เขาเป็นชายหนุ่มผอมบาง แข็งแรงเหมือนนักกีฬา และผมดก แต่ปัจจุบัน ในวัยกลางคน เขาท้วมมากขึ้นและผมบางลงมาก!
โชคดีที่อย่างน้อยก็มีบันทึกส่วนหนึ่งเก็บไว้ สามีเก็บจดหมายที่ภรรยาเขียนถึงเขาก่อนและในช่วงงานเผยแผ่ของเขา จดหมายให้หลักฐานยืนยันว่าทั้งสองเคยรักกันมาก่อน เขาเก็บบันทึกส่วนตัวที่มีข้อมูลเป็นประโยชน์ไว้ด้วย ตลอดหลายปีมานี้ ภรรยาเขาฟื้นความจำทีละน้อยโดยมีบุคคลที่เธอรักเล่าอดีตให้ฟัง
สถานการณ์ที่อ่อนโยนและพิเศษสุดนี้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่สำคัญของอดีตกับปัจจุบันและอนาคต นอกจากนี้ช่วยให้เราเห็นคุณค่านิยามความจริงของพระเจ้าดังเปิดเผยต่อโจเซฟ สมิธมากขึ้น “ความจริงคือความรู้ถึงสิ่งทั้งหลายดังที่เป็นอยู่, และดังที่เป็นมา, และดังที่จะเป็น” (คพ. 93:24) ความรู้ที่เรามีเกี่ยวกับอดีตของเราเนื่องด้วยบันทึกที่เก็บไว้ และเกี่ยวกับอนาคตของเราเนื่องด้วยพระคัมภีร์และคำสอนของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต ให้บริบทที่ช่วยให้เราใช้สิทธิ์เสรีได้อย่างฉลาดในช่วงการดำรงอยู่ปัจจุบัน ผลก็คือ ความรู้นี้ทำให้เรามีมุมมองเฉกเช่นพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นเพราะนำเราเข้าใกล้พระปรีชาสามารถของพระองค์ในการให้ ดังที่พระองค์ตรัส “สิ่งทั้งปวงอยู่ต่อหน้าต่อตา [พระองค์]” (คพ. 38:2)
ในฐานะสมาชิกศาสนจักรจากหลายประเทศ เรามีประวัติศาสตร์สมัยเริ่มแรกของศาสนจักรเหมือนกัน สำคัญที่เราทุกคนต้องคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ของศาสนจักร โดยเฉพาะสิ่งที่ข้าพเจ้าจะเรียกว่า “เรื่องราวการก่อตั้ง” ศาสนจักร เรื่องราวเหล่านี้—นิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ การออกมาของพระคัมภีร์มอรมอน การเยือนของเทพชื่อยอห์นผู้ถวายบัพติศมา เปโตร ยากอบ และยอห์น เอลียาห์ เอลีอัส และคนอื่นๆ—ล้วนมีความจริงมูลฐานซึ่งเป็นรากฐานของการฟื้นฟูพระกิตติคุณ
น่าเสียใจคือในยุคเทคโนโลยีที่มีข้อมูลมากมาย – บ้างก็สำคัญต่อเหตุการณ์และประวัติศาสตร์ของศาสนจักร – วิสุทธิชนยุคสุดท้ายบางคนกลับคลอนแคลนในศรัทธาและเริ่มสงสัยความเชื่อที่ยึดมั่นมานาน สำหรับคนที่กำลังสงสัย ข้าพเจ้าขอมอบความรักความเข้าใจ และรับรองว่าถ้าพวกเขาจะปฏิบัติตามหลักธรรมพระกิตติคุณและศึกษาประวัติศาสนจักรร่วมกับการสวดอ้อนวอน – ศึกษามากพอจนได้ความรู้ครอบคลุมมากขึ้นไม่ใช่รู้กระท่อนกระแท่นและไม่ครบถ้วน – พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงยืนยันศรัทธาของพวกเขาในเหตุการณ์จำเป็นในประวัติศาสนจักรโดยพระดำรัสที่ให้ความสงบแก่จิตใจพวกเขา วิธีนี้ทำให้พวกเขามีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูและไม่ “หันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง” (เอเฟซัส 4:14) ข้าพเจ้าผูกวิถีชีวิตข้าพเจ้าทั้งชีวิตไว้กับความรู้สึกสงบเช่นนั้นเกี่ยวกับนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ และเหตุการณ์อื่นๆ ของพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู เช่นเดียวกับหลายท่าน และข้าพเจ้ารู้ว่าเราจะไม่มีวันผิดหวัง
ประวัติศาสตร์ในแบบพื้นฐานที่สุดคือบันทึกของผู้คนและชีวิตพวกเขา เรื่องราวและบทเรียนจากชีวิตเหล่านี้สามารถเสริมสิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เรายืนหยัด และสิ่งที่เราควรทำขณะเผชิญความยากลำบาก ใช่ว่าทุกเรื่องที่เป็นประวัติศาสตร์ของเราจะเป็นเกียรติประวัติเหมือนนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธหรืองานเผยแผ่ของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์ในอังกฤษ อันที่จริง เรื่องราวที่โดดเด่นอย่างแท้จริงบางเรื่องมาจากชีวิตของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายธรรมดาๆ ซึ่งเราส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น พวกเขามีคุณค่าพิเศษและเป็นประโยชน์ต่อเราเมื่อเรื่องราวเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับบรรพชนของเรา
ตัวอย่างเช่น ในทศวรรษ 1920 คุณปู่คุณย่าเจนเซ็นของข้าพเจ้า ---ทั้งที่ลำบากตรากตรำมายาวนาน – ก็ยังถูกบังคับให้คืนเงินแก่คนขายฟาร์มที่พวกท่านซื้อและอาศัยอยู่ที่นั่นในรัฐโอไฮโอ พวกท่านอยากกลับบ้านเกิดในยูทาห์พร้อมลูกเล็กๆ แต่ไม่อาจจากไอดาโฮได้จนกว่าจะสะสางหนี้ 350 เหรียญ เงินจำนวนนี้ดูเหมือนเล็กน้อยในปัจจุบัน แต่สมัยนั้นไม่น้อยเลย คุณปู่พยายามยืมเงินจากคนที่มี แต่ไม่สำเร็จ การยืมจากธนาคารยิ่งไม่ต้องพูดถึงเนื่องด้วยสภาวะข้นแค้นของพวกท่าน ท่านกับคุณย่าสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือทุกวัน เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่งที่การประชุมฐานะปุโรหิต ชายคนหนึ่งที่คุณปู่แทบไม่รู้จักเดินมาบอกท่านว่าเขาได้ข่าวว่าท่านเดือดร้อนและอยากให้ท่านยืมเงิน 350 เหรียญโดยหวังว่าเมื่อกลับถึงยูทาห์ ท่านจะคืนเงินทันทีที่ทำได้ พวกท่านทำข้อตกลงครั้งนี้ด้วยการจับมือและคุณปู่รักษาคำพูด
เรื่องราวเรียบง่ายนี้ที่คุณปู่เจนเซ็นบันทึกไว้ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของครอบครัว คุณลักษณะที่แสดงให้เห็นของความขยันขันแข็ง ความซื่อสัตย์ การเอาชนะความยากลำบาก และความสามัคคีในครอบครัวสร้างแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้า และสำคัญที่สุดคือแสดงให้เห็นพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าในชีวิตคุณปู่คุณย่าที่ซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าดึงพลังและกำลังใจมาจากแบบอย่างของพวกท่านและจากแบบอย่างของผู้อื่น ทั้งคนธรรมดาสามัญและบุคคลสำคัญในรุ่นก่อนๆ
ท่านอาจพบเรื่องราวคล้ายกันในแผ่นดินของท่านและในครอบครัวท่าน ไม่ว่าที่ใด ข้าพเจ้าขอให้ท่านรวบรวมเรื่องราวเหล่านี้ เก็บรักษาไว้ และแบ่งปัน ดูแลส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ลูกๆ ของข้าพเจ้า (และเวลานี้ส่วนใหญ่หลานๆ) ชอบเสมอเมื่อข้าพเจ้าเล่าเรื่อง “สมัยข้าพเจ้าเป็นเด็ก!” ข้าพเจ้าเคยได้ยินว่าคนเราไม่อาจยิ่งใหญ่ไปกว่าเรื่องราวของเราได้ และข้าพเจ้าเชื่อว่าครอบครัวก็เช่นกัน เรื่องดีๆ—ถ้าจริง—จะสร้างประวัติศาสตร์ที่ดี จำไว้ว่า คนเราเหมือนต้นไม้ เราดึงพลังมาจากสารอาหารที่คนรุ่นก่อนสร้างไว้
สรุป
ขณะกล่าวสรุป ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านกลับไปที่ป่าศักดิ์สิทธิ์และยืนกับข้าพเจ้าที่นั่นใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่งเรียกว่า “ต้นพยาน” ต้นไม้เหล่านี้ที่เติบโตในป่าเมื่อ 192 ปีก่อนคราวนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ สามต้นยังมีชีวิตอยู่ในป่าและต้นพยานสามต้นที่ตายแล้วยังยืนต้นตระหง่านโดยผ่านผลงานอนุรักษ์ตามทักษะมืออาชีพของบราเดอร์แพร์รอตต์
เมื่อเรารับใช้งานเผยแผ่ใกล้พอลไมรา บางครั้งข้าพเจ้าเคยเข้าไปในป่าศักดิ์สิทธิ์ตามลำพังและยืนด้วยความคารวะใกล้กับต้นพยานต้นโปรด ข้าพเจ้าเคยจินตนาการว่าถ้าต้นไม้ต้นนั้นพูดได้ มันคงบอกว่าเห็นอะไรในวันฤดูใบไม้ผลิปี 1820 แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ต้นไม้บอกข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ารู้แล้ว โดยอาศัยประสบการณ์และความรู้สึกทางวิญญาณที่เริ่มต้นในวัยเยาว์ และต่อเนื่องมาจนถึงชั่วโมงนี้ ข้าพเจ้ารู้โดยไม่พึ่งบุคคลใดว่า พระผู้เป็นเจ้า พระบิดาของเราทรงพระชนม์ ข้าพเจ้ารู้ด้วยว่าพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของมวลมนุษย์ ข้าพเจ้ารู้ว่าพระสัตภาวะผู้ทรงรัศมีภาพทั้งสองพระองค์ทรงปรากฏต่อโจเซฟ สมิธในป่าศักดิ์สิทธิ์เมื่อฤดูใบไม้ผลิปี 1820 พระองค์ทรงยกโจเซฟขึ้นเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้ก่อตั้งสมัยการประทานพระกิตติคุณสุดท้ายนี้ โดยทำงานภายใต้การกำกับดูแลของพระองค์ โจเซฟแปลพระคัมภีร์มอรมอน ได้รับกุญแจและสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิต และจัดตั้งศาสนจักรอีกครั้งในยุคสุดท้ายนี้ เราได้รับพรมหาศาลที่มีชีวิตอยู่เวลานี้และเป็นสมาชิกศาสนจักรของพระคริสต์
ความจริงอันรุ่งโรจน์เหล่านี้ ซึ่งข้าพเจ้าเป็นพยานถึง มีจุดเริ่มต้นในป่าศักดิ์สิทธิ์ ขณะท่านยืนอยู่กับข้าพเจ้าในป่าศักดิ์สิทธิ์คืนนี้ จงยืนในสถานศักดิ์สิทธิ์นั้นเสมอในใจท่าน ในความคิดของท่าน และซื่อตรงต่อความจริงที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเริ่มเปิดเผยที่นั่น
จงจำบทเรียนของชีวิตที่ป่าศักดิ์สิทธิ์สอน
-
เมื่ออำนาจแห่งความมืดหมายมั่นทำลายท่าน – เช่นที่เคยทำต่อเด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธ จงยืนในป่าศักดิ์สิทธิ์และจดจำลำแสงเหนือความเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ (ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:15–17)
-
เมื่อการต่อต้านและความยากลำบากขวางทางท่านและความหวังริบหรี่ จงยืนในป่าศักดิ์สิทธิ์และจงระลึกว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์แก่เจ้า, และจะเกิดขึ้นเพื่อความดีของเจ้า” (คพ. 122:7)
-
เมื่อความเหงาและความโดดเดี่ยวเป็นชะตากรรมของท่าน และท่านพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีกับมนุษย์ จงยืนในป่าศักดิ์สิทธิ์กับชุมชนวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้ทำพันธสัญญาว่าจะช่วยแบกภาระและปลอบโยนท่านยามต้องการ
-
เมื่อประสบการณ์หรือผู้คนหรือการแอบอ้างความจริงที่ขัดแย้งกันท้าทายศรัทธาของท่าน และก่อให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ จงยืนในป่า จงรับพลังและกำลังใจจากวิสุทธิชนยุคสุดท้ายรุ่นต่างๆ ผู้ซื่อสัตย์และยืนหยัดมาแล้วก่อนท่าน
นี่คือคำสวดอ้อนวอนสำหรับเพื่อนหนุ่มสาวทั้งหลาย ข้าพเจ้ากล่าวด้วยความรักและในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน
© 2012 โดย Intellectual Reserve, Inc. สงวนสิทธิ์ทุกประการ อนุมัติภาษาอังกฤษ: 5/12. อุมัติการแปล: 5/12. แปลจาก Stand in the Sacred Grove.Thai. PD50039048 425