การปรับใจเรารับสุรเสียงของพระวิญญาณ
การให้ข้อคิดทางวิญญาณ ซีอีเอส สำหรับคนหนุ่มสาว • 2 มีนาคม 2014 • มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์-ไอดาโฮ
ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบกับท่านในการให้ข้อคิดทางวิญญาณครั้งนี้ ดิฉันสวดอ้อนวอนขอพระเจ้าอวยพรท่านให้ได้ยินสิ่งที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการรับรู้สุรเสียงของพระวิญญาณ ท่านอาจได้รับข่าวสารที่ท่านรู้สึกว่าเหมาะกับท่านไปแล้วในเพลงไพเราะที่เราได้ยินนั้น
ประมาณ 41 ปีมาแล้ว ดิฉันลังเลที่จะเข้าร่วมการให้ข้อคิดทางวิญญาณสำหรับคนหนุ่มสาวที่เทมเปิลสแควร์ พายุหิมะลูกใหญ่ที่เราได้รับบ่ายวันนั้นทดสอบศรัทธาของดิฉัน แต่เพราะมีการขอให้ดิฉันเข้าร่วมซึ่งเป็นเรื่องที่เล็กน้อย ดิฉันจึงไปทำหน้าที่ ดิฉันเรียนรู้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่าสิ่งที่ประธานอายริงก์แบ่งปันเป็นความจริง: “คนคนหนึ่งไม่สามารถให้เศษขนมปังแด่พระเจ้าโดยไม่ได้รับขนมปังก้อนเป็นการตอบแทน”1 สามีที่ยอดเยี่ยมของดิฉันคือ “ขนมปังก้อน” ที่ดิฉันได้รับทดแทนจาก “เศษขนมปัง” ของการเข้าร่วมประชุม! ดิฉันพบเขาที่การประชุมการให้ข้อคิดทางวิญญาณครั้งนั้น เขาร้องเพลงในคณะนักร้องและกล้ามาแนะนำตัวกับดิฉันตอนเลิกการประชุม ดิฉันขอบพระทัยที่ดิฉันรู้สึกว่าต้องเข้าร่วมคืนนั้นตามหน้าที่และพระบิดาบนสวรรค์ยังทรงเมตตายอมรับการลังเลของดิฉันในที่ๆ ดิฉันต้องอยู่
ดิฉันปลื้มปีติที่ลูกและหลานสาวคนโตของเราบางคนอยู่กับเราที่นี่คืนนี้ แม็คเคลาสีไวโอลิน เธอเริ่มเรียนไวโอลินตอนอายุ 3 ขวบ ตอนนี้เธออายุ 16 ปีและเป็นนักดนตรีที่มีพรสวรรค์ ดิฉันบอกเช่นนั้นได้เพราะดิฉันเป็นคุณยายของเธอ และคุณยายไม่พูดปด! น่าประทับใจที่ได้เห็นเธอก้าวหน้าทีละขั้น ฝึกใช้เครื่องดนตรีไม่เพียงให้เป็นพรต่อชีวิตเธอเท่านั้นแต่ต่อชีวิตคนอีกมากมายด้วย เธอได้เรียนรู้ศิลปะการปรับเสียงไวโอลิน ความสำคัญของการหมั่นฝึกทุกวัน และปีติของการแสดงและการสีไวโอลินร่วมกับคนอื่นๆ
ระหว่างรับใช้งานเผยแผ่กับสามีดิฉันเมื่อหลายปีก่อน ดิฉันฝึกอ่านสัญลักษณ์และออกเสียงตัวอักษรเกาหลี ดิฉันฝึกคำทักทายพื้นฐาน สำนวนบางสำนวน และคำศัพท์พระกิตติคุณบางคำ และดิฉันแยกออกระหว่างภาษาเกาหลีกับภาษาอื่น ดิฉันท่องจำเพลงสวดและเพลงปฐมวัยเพลงโปรดบางเพลงเป็นภาษาเกาหลี แต่ดิฉันมีความสามารถจำกัดมาก ไม่สามารถพูดหรือเข้าใจภาษาที่ไพเราะนั้นได้ทั้งหมด
เหตุใดดิฉันจึงยกตัวอย่างที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับท่าน เพราะดิฉันประสงค์จะให้เราพูดถึงการเรียนภาษาของพระวิญญาณ—วิธีที่พระองค์ตรัสกับท่านและวิธีที่เราจะเพิ่มความสามารถของเราในการฟังเสียงพระองค์ได้ การเรียนดนตรีหรือภาษาเป็นกระบวนการฉันใด การเรียนภาษาของพระวิญญาณก็เป็นกระบวนการด้วยฉันนั้น กระบวนการสำคัญยิ่งที่เราแต่ละคนต้องเรียนรู้ ไม่ว่าเราจะเพิ่งรับบัพติศมาหรือเป็นสมาชิกศาสนจักรมานานแล้วก็ตาม
พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนในพระคัมภีร์มอรมอนว่าชาวเลมัน “รับบัพติศมาด้วยไฟและด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์, และพวกเขาหารู้ไม่”2 ความปรารถนาในส่วนลึกของดิฉันคือให้เราสามารถได้ยินและเข้าใจการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณมากขึ้นและทำตามการกระตุ้นเตือนที่เราได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อทำเช่นนั้นเราต้องฝึกรับรู้สุรเสียงของพระองค์ก่อน
ขอให้เราใช้เวลาสักครู่ประเมินประสบการณ์ของเรา เพราะผู้ฟังที่นี่กลุ่มใหญ่มากและมีคนหนุ่มสาวร่วมกับเราทั่วโลก ดิฉันอยากเชื้อเชิญให้พวกท่านทำอะไรบางสิ่ง ท่านจะบอกเล่าประสบการณ์บางอย่างที่ไม่เป็นส่วนตัวเกินไปของคำถามต่อไปนี้ให้กันทางทวิตเตอร์ได้ไหม เมื่อท่านมีเวลาให้ “ทวีต” คำตอบของท่านด้วย #cesdevo
คำถามที่ท่านจะตอบคือ: เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราได้ยินสุรเสียงของพระวิญญาณ
เราอาจถามตัวเองเพิ่มเติมสักสองสามคำถามขณะที่เราไตร่ตรองคำถามนี้:
• ฉันเคยประสบความรู้สึกรัก ปีติ สันติ ความอดทน ความอ่อนโยน ความสุภาพอ่อนน้อม ศรัทธา ความหวัง และความสบายใจหรือไม่
• เคยมีความคิดเกิดขึ้นในจิตหรือความรู้สึกเกิดขึ้นในใจฉันหรือไม่ที่ฉันรู้ว่ามาจากพระเจ้าและไม่ใช่จากฉัน
• ฉันเคยได้ยินเสียงตนเองพูดความจริงโดยไม่ได้วางแผนจะพูดหรือไม่
• ฉันเคยประสบกับการขยายทักษะและความสามารถของตนเองหรือไม่
• ฉันเคยรู้สึกถึงการนำทางและความคุ้มครองจากการหลอกลวงหรือไม่
• ฉันเคยยอมรับบาปในชีวิตฉันและปรารถนาจะแก้ไขหรือไม่
• ฉันเคยรู้สึกว่าพระวิญญาณกำลังยกย่องสรรเสริญและเป็นพยานถึงพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์หรือไม่3
หากท่านตอบคำถามข้อใดเหล่านี้ว่า “เคย” แสดงว่าท่านเคยรู้สึกถึงพระวิญญาณของพระเจ้าบางครั้งในชีวิตท่าน แต่คำถามสำคัญที่สุดคือ “ท่านรู้สึกเช่นนั้นขณะนี้ได้หรือไม่”4
คำแนะนำของศาสดาพยากรณ์มอรมอนเกี่ยวกับการดำเนินตามแสงแห่งพระคริสต์สามารถช่วยให้เรารู้ว่าจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไร มอรมอนกล่าวว่า
“เพราะดูเถิด, พระวิญญาณของพระคริสต์ประทานให้มนุษย์ทุกคน, เพื่อเขาจะรู้ความดีจากความชั่ว; ดังนั้น, ข้าพเจ้าจึงแสดงวิธีตัดสินให้ท่าน; เพราะทุกสิ่งที่เชื้อเชิญให้ทำดี, และชักชวนให้เชื่อในพระคริสต์, ส่งมาโดยเดชานุภาพและของประทานของพระคริสต์; ดังนั้น ท่านจะรู้ด้วยความรู้อันสมบูรณ์ว่านี่เป็นของพระผู้เป็นเจ้า.
แต่สิ่งใดก็ตามที่ชักชวนให้มนุษย์ทำชั่ว, และไม่เชื่อในพระคริสต์, และปฏิเสธพระองค์, และไม่รับใช้พระผู้เป็นเจ้า, เมื่อนั้นท่านจะรู้ด้วยความรู้อันสมบูรณ์ว่านี่เป็นของมาร; เพราะมารทำงานตามวิธีนี้, เพราะเขาไม่ชักชวนผู้ใดให้ทำความดี, ไม่, ไม่เลยสักคน; ทั้งเทพของเขาก็ไม่ทำ; ทั้งคนที่ยอมตนขึ้นอยู่กับเขาก็ไม่ทำ.”5
ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ตั้งข้อสังเกตว่า: “นั่นคือการทดสอบ เมื่อพิจารณาทุกๆ อย่างแล้ว นั่นชักชวนเราให้ทำดี ลุกขึ้น ยืนอย่างสง่า ทำสิ่งถูกต้อง มีเมตตา และเอื้อเฟื้อหรือไม่ ถ้าใช่แสดงว่านั่นมาจากพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า”6
เหตุใดการแยกแยะสุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณดูเหมือนยาก บางทีเหตุผลหนึ่งอาจเป็นว่าพระวิญญาณทรงสื่อสารทั้งต่อความคิดและจิตใจเรา ในการเรียนภาษาของพระวิญญาณบางครั้งเรานำความคิด ของเรา และอารมณ์ ของเรา มาปะปนกับการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณ อีกเหตุผลหนึ่งคือการแยกแยะพระวิญญาณเป็นของประทานแห่งพระวิญญาณ การเรียนภาษาง่ายสำหรับบางคนและไม่ง่ายสำหรับบางคนฉันใด การสามารถเข้าใจสุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณก็ฉันนั้น ส่วนใหญ่แล้วการเรียนดนตรีหรือภาษาใช้ความพยายามมาก รวมถึงการฝึกและบางครั้งก็ทำผิดพลาด กระบวนการเรียนรู้ภาษาของพระวิญญาณก็เช่นกัน
นั่นจะช่วยท่านหรือไม่ที่รู้ว่าการเปิดเผยส่วนตัวเป็นกระบวนการแบบบรรทัดมาเติมบรรทัด กฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์ที่แม้แต่ศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผยก็ยังต้องเรียนรู้ในการเข้าใจ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างจากชีวิตของเอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์
“มีหลายครั้งที่การจะไปจาก เอ ถึง ซี มีทางเดียวคือผ่าน บี
“ข้าพเจ้าเติบโตทางภาคใต้ของยูทาห์และชื่นชอบความน่าพิศวงและความสวยงามทางภาคโต้ของยูทาห์และภาคเหนือของแอริโซนา ด้วยเหตุนี้จึงอยากให้บุตรชายรู้จักที่นั่นและต้องการให้เขาเห็นสถานที่ที่ข้าพเจ้าเคยเห็นและชื่นชอบสมัยอายุเท่าเขา คุณแม่ของเขาห่ออาหารกลางวันให้เราและเราขับรถกระบะของคุณตาของเขาล่องใต้ไปจนถึงจุดที่เราเรียกว่า Arizona Strip ที่เก่าแก่
“เมื่อเห็นดวงอาทิตย์คล้อยต่ำเราจึงตัดสินใจว่ากลับดีกว่า แต่เรากลับมาถึงทางแยก ซึ่งเป็นทางแยกเดียว ณ จุดนั้นที่เราจำไม่ได้เลย ข้าพเจ้าขอให้ลูกชายสวดอ้อนวอนว่าจะไปทางไหนและเขารู้สึกแรงกล้าว่าควรไปทางขวาและข้าพเจ้ารู้สึกเช่นกัน และเราไปทางขวาแต่เป็นทางตัน เราไปอีกสี่หรือห้าหรือหกร้อยหลาและนั่นเป็นทางตันแน่นอน เห็นชัดว่าผิดทาง
“เราเลี้ยวกลับไปอีกทาง และเห็นชัดว่าถนนไปทางซ้ายเป็นถนนที่ถูกต้อง
“ระหว่างทาง แมทท์พูดว่า ‘พ่อครับ ทำไมเรารู้สึกหลังจากสวดอ้อนวอนว่าทางขวาเป็นทางที่ควรไป เป็นทางที่ถูกต้อง แต่กลับไม่ใช่’ ข้าพเจ้าตอบว่า ‘พ่อคิดว่าพระเจ้า พระประสงค์ของพระองค์ตอนนั้นและคำตอบการสวดอ้อนวอนของเราคือให้เราไปถูกทางเร็วที่สุดด้วยความมั่นใจระดับหนึ่ง ด้วยความเข้าใจระดับหนึ่งว่าเราไปทางขวาและเราไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น และในกรณีนี้ วิธีง่ายที่สุดที่จะทำเช่นนั้นคือต้องปล่อยให้เราไปผิดทาง 400 ถึง 500 เมตรและรู้อย่างรวดเร็วโดยไม่สงสัยว่าเราไปผิดทางและด้วยเหตุนี้เราจึงแน่ใจและมั่นใจพอๆ กันว่าอีกทางเป็นทางที่ถูกต้อง’
“ข้าพเจ้ามีความรู้แน่ชัด ความรู้ที่สมบูรณ์ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักเรา พระองค์ทรงกรุณา ทรงเป็นพระบิดาของเราและทรงคาดหวังให้เราสวดอ้อนวอน วางใจ เชื่อ ไม่ยอมแพ้ ไม่ตื่นตระหนก ไม่ถอยกลับ ไม่สละเรือเมื่อบางอย่างดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง เรายังดำเนินต่อ ทำงานต่อไป เชื่อต่อไป วางใจต่อไป ไปตามเส้นทางเดิม และเราจะมีชีวิตเพื่ออยู่ในพระพาหุของพระองค์ รู้สึกถึงอ้อมกอดของพระองค์ ได้ยินพระองค์ตรัสว่า ‘เราบอกเจ้าว่าจะเรียบร้อยเราบอกเจ้าว่าจะเป็นไปด้วยดี’”7
ดิฉันมีประสบการณ์คล้ายกับเอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์ขณะเตรียมพูดคืนนี้ ดิฉันเริ่มที่หัวข้อหนึ่ง ค้นคว้าและเขียนความคิดเรื่องหนึ่งที่จะพูด แต่รู้สึกว่าจิตใจไม่สงบ ดิฉันมีความรู้สึกว่ามีเรื่องอื่นที่ดิฉันควรพูดแทน ในที่สุดดิฉันก็นึกถึงประสบการณ์ที่เคยมีเมื่อสองปีก่อน สมัยที่ได้รับเรียกให้รับใช้เป็นประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญ ดิฉันนอนไม่หลับหลายคืน มีอยู่คืนหนึ่ง ความคิดมากมายประดังเข้ามาและบีบคั้นจิตใจดิฉัน ดิฉันบันทึกความคิดเหล่านั้นแล้วเก็บเข้าแฟ้ม ไม่นึกถึงอีกเลยจนกระทั่งไม่กี่สัปดาห์ก่อน เมื่อความรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับหัวข้อแรกเริ่มทำให้กังวล พระบิดาบนสวรรค์ทรงปล่อยให้ดิฉันไปเส้นทางอื่นช่วงหนึ่ง แต่พระองค์ทรงนำดิฉันกลับมาเส้นทางนี้ผ่านความรู้สึกอ่อนโยนในใจดิฉันและความทรงจำที่กลับเข้ามาในความคิดผ่านของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
เราทำอะไรได้บ้างเพื่อจะรับสุรเสียงของพระวิญญาณได้ดีขึ้น เราเริ่มได้โดยรับรู้ว่าพระบิดาในสวรรค์ทรงต้องการสื่อสารกับเรา เรารู้เช่นนี้เพราะศาสดาพยากรณ์ยุคสุดท้ายทุกท่านได้สอนหลักคำสอนเรื่องการเปิดเผยส่วนตัว ลองนึกถึงพรอีกมากมายที่พระเจ้าประทานแก่เราเพื่อเราจะได้สื่อสารกับพระองค์และได้รับพระวจนะของพระองค์ อาทิ พระคัมภีร์ ปิตุพร การสวดอ้อนวอน ศาสนพิธี ผู้นำและพ่อแม่ที่ได้รับการดลใจ และของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
เราเริ่มตรงจุดไหนในการพยายามใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นและได้ยินสุรเสียงของพระองค์ตรัสกับเรา เราเริ่มกับสิ่งพื้นฐาน เราทำเรื่องเล็กและเรียบง่ายที่แสดงว่าพระองค์ทรงเป็นอันดับแรกในชีวิตเราและเราต้องการได้รับการเปิดเผยจากพระองค์ เมื่อดิฉันไปเยือนแอฟริกาตะวันตก ดิฉันเรียนรู้วลีหนึ่งที่ดิฉันชอบซึ่งดูเหมือนจะใช้ได้กับกระบวนการเปิดเผยส่วนตัว นั่นคือ “ช้าๆ ทีละน้อย” อะไรคือสิ่ง “ช้าๆ ทีละน้อย” ที่เราทำได้
ข้อ 1: สวดอ้อนวอนอย่างนอบน้อมจริงใจ
หัวอกแม่อย่างดิฉันตื้นตันตลอดหลายปีขณะเฝ้าดูลูกของดิฉันเองและหลานๆ ใช้ศรัทธาโดยทูลขอพระเจ้าในการสวดอ้อนวอนที่นอบน้อมจริงใจให้ทรงช่วยแก้ไขปัญหาตามปกติของพวกเขา ความทรงจำที่อ่อนโยนในครอบครัวเราอธิบายเรื่องนี้
ลูกชายของเราเป็นลูกคนโตในครอบครัว เขามีน้องสาวห้าคนและไม่มีน้องชาย ก่อนเกิดลูกสาวคนที่สาม สามีดิฉันสัญญากับลูกชายว่าจะให้สุนัขตัวหนึ่งถ้าลูกคนนี้เป็นผู้หญิง เมื่อลูกสาวของเราเกิด สามีที่ดีก็รักษาสัญญา สุนัขกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของลูกชายเรา เขารักสุนัขตัวนั้น แต่วันหนึ่ง สุนัขหายไป เราตามหาจนทั่วแต่ไม่พบ เราโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ควบคุมสัตว์ แต่เขาให้ความหวังแก่เราไม่มากนักเนื่องจากเราอาศัยอยู่ใกล้ทางด่วนพอควร เจ้าหน้าที่รู้สึกว่าเวลาล่วงเลยมานานจนมีความเป็นไปได้ว่าสุนัขเดินไปถึงทางด่วนและถูกรถชน
เราทำสุดความสามารถเพื่อปลอบลูกชายเมื่อเราบอกสิ่งที่เราได้ยินมา แต่เขาเสียขวัญ ดิฉันจำได้ว่าเราเชิญชวนเขาให้สวดอ้อนวอนขอการปลอบโยนจากพระบิดาบนสวรรค์ ลูกชายที่น่ารักของเรามองตาเราและพูดว่า “ผมสวดอ้อนวอนหลายครั้งแล้วนะครับคุณแม่”
สองวันผ่านไป เช้าตรู่วันหนึ่งมีเสียงเคาะประตูบ้าน ลูกคนหนึ่งของเราเปิดประตูและวิ่งมาเรียกดิฉัน ดิฉันกังวลเมื่อเห็นรถคันหนึ่งจอดตรงทางเข้าบ้าน มีคำเขียนติดข้างรถคนนั้นว่า “ควบคุมสัตว์” ชายที่ประตูมองดิฉันและพูดว่า “คุณเบอร์ตันครับ ผมคิดว่ามีบางอย่างในรถที่เป็นของลูกชายคุณ”
ดิฉันใจหายวาบ ดิฉันกังวลว่าเขาจะเอาสุนัขของเราที่อาจจะตายแล้วหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสมาส่งให้เรา ยังความยินดียิ่งแก่ดิฉัน สุนัขของเราอยู่หลังรถ—ร่าเริง แข็งแรง และพร้อมจะกระโดดลงจากรถเข้ามาในอ้อมแขนของลูกชายตัวน้อยของเรา
ดิฉันถามเจ้าหน้าที่ควบคุมสัตว์ว่าเขาเจอสุนัขที่ไหน เขาตอบว่า “เรื่องแปลกที่สุดเกิดขึ้นเช้านี้ตอนผมออกจากบ้าน ตรงหน้าบ้านผมมีสุนัขตัวหนึ่งลักษณะตรงกับที่คุณบอกผมทางโทรศัพท์ สุนัขตอบสนองเมื่อผมเรียกชื่อ ผมจึงคิดว่าผมน่าจะพามาบ้านคุณและทำให้ลูกชายตัวน้อยของคุณสบายใจก่อนเขาไปโรงเรียน”
ดิฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงตอบคำสวดอ้อนวอนที่จริงใจและอ่อนโยนเหมือนเด็ก พระบิดาบนสวรรค์ทรง ต้องการ ให้เด็กรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ที่นั่นในชีวิตช่วงแรกของพวกเขาเพื่อพวกเขาจะวางใจพระองค์ต่อไปเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะโดยปกติเด็กเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน พวกเขาจึงคู่ควรได้รับตามสัญญาที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงให้ไว้ในหลักคำสอนและพันธสัญญา “เจ้าจง อ่อนน้อมถ่อมตน; และพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าจะทรงจูงมือนำเจ้าไป, และให้คำตอบคำสวดอ้อนวอนของเจ้าแก่เจ้า”8
ขณะดิฉันแบ่งปันคำถามต่อไปนี้ที่ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ถามคนกลุ่มหนึ่งที่คล้ายกันนี้ ขอให้พิจารณาความอ่อนน้อมถ่อมตนและความจริงใจในการสวดอ้อนวอนของท่านเอง ท่านถามว่า “ท่านต้องการการนำทางหรือไม่ ท่านสวดอ้อนวอนพระเจ้าสำหรับการดลใจหรือไม่ ท่านต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องหรือท่านต้องการทำตามใจชอบไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม ท่านต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับท่านในระยะยาวหรือสิ่งซึ่งดูเหมือนจะถูกใจในขณะนั้นมากกว่า ท่านสวดอ้อนวอนหรือไม่ ท่านสวดอ้อนวอนมากเพียงใด ท่านสวดอ้อนวอนอย่างไร ท่านสวดอ้อนวอนดังเช่นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกทรงทำ … หรือท่านทูลขอสิ่งที่ท่านต้องการโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม”
ประธานคิมบัลล์กล่าวต่อจากนั้นว่า “ท่านกล่าวในคำสวดอ้อนวอนของท่านหรือไม่ว่า ‘ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์’ ท่านกล่าวหรือไม่ว่า ‘พระบิดาบนสวรรค์ หากพระองค์จะทรงดลใจและทำให้ข้าพระองค์รู้สึกว่าถูกต้อง ข้าพระองค์จะทำตามนั้น’ หรือท่านสวดอ้อนวอนว่า ‘พระบิดาในสวรรค์ ข้าพระองค์รักพระองค์ ข้าพระองค์เชื่อในพระองค์ ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพระองค์ซื่อสัตย์ ข้าพระองค์ปรารถนาจะทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยความจริงใจ ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงเห็นที่สุดจากจุดเริ่มต้น พระองค์ทรงเห็นอนาคต พระองค์ทรงมองออกว่าถ้าข้าพระองค์อยู่ในสถานการณ์นี้ ข้าพระองค์จะมีสันติสุขหรือความวุ่นวาย ความสุขหรือความเศร้า ความสำเร็จหรือความล้มเหลว โปรดบอกข้าพระองค์ด้วยเถิด พระบิดาบนสวรรค์ผู้เป็นที่รักของข้าพระองค์ และข้าพระองค์สัญญาว่าจะทำตามที่พระองค์รับสั่ง’ ท่านสวดอ้อนวอนแบบนั้นหรือไม่ ท่านไม่คิดหรือว่านั่นคือการสวดอ้อนวอนที่ฉลาด ท่านกล้าพอจะสวดอ้อนวอนแบบนั้นหรือไม่”9
การสวดอ้อนวอนอย่างจริงใจวิธีหนึ่งคือฝึกตั้งคำถามที่จริงใจไม่เสแสร้างและนำขึ้นทูลพระเจ้าอย่างนอบน้อม ลองพิจารณาคำถามของโจเซฟ สมิธดังนี้ “จะให้ทำอย่างไรเล่า? จากกลุ่มทั้งหมดนี้ใครถูกต้อง; หรือ, ผิดด้วยกันทั้งหมด? หากมีกลุ่มหนึ่งในนั้นถูกต้อง, แล้วจะเป็นกลุ่มใดเล่า, และข้าพเจ้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า?”10 ท่านหันไปพึ่งพระคัมภีร์ แหล่งความจริงจากสวรรค์ ซึ่งทำให้ท่าน “ครุ่นคิดหนัก” และนำท่านให้ “ตัดสินใจ ‘ทูลขอจากพระผู้เป็นเจ้า’”11 โดยเชื่อว่าจะได้รับคำตอบการสวดอ้อนวอน
การสวดอ้อนวอนอย่างจริงใจหมายความว่าเราตั้งใจจะทำตามคำตอบที่ได้รับ โจเซฟบรรยายการสวดอ้อนวอนด้วยศรัทธาแรงกล้าในป่าศักดิ์สิทธิ์ว่า “จุดประสงค์ของข้าพเจ้าในการไปทูลถามพระเจ้าคือเพื่อรู้ว่านิกายใดจากนิกายทั้งหมดถูกต้อง, เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ว่าจะนับถือนิกายใด”12 ชัดเจนว่าโจเซฟมีเจตนาจะทำตามสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงเลือกเปิดเผยต่อท่าน อย่างไรก็ดี ก่อนท่านทูลถามคำถามที่เรียบง่ายนั้น ท่านได้รับมากยิ่งกว่าสิ่งที่ท่านหวังไว้ ท่านได้รับสิทธิพิเศษให้เห็นพระบิดาในสวรรค์ของเราและพระบุตรที่รักของพระองค์ พระเยซูคริสต์! ดิฉันปลาบปลื้มในคำตอบอันน่ายินดีนี้ตามความปรารถนาอันจริงใจทว่าเรียบง่ายของศาสดาพยากรณ์เด็กหนุ่ม โจเซฟ สมิธ!
ข้อ 2: ทำตามการกระตุ้นเตือนทางวิญญาณทันที
เหตุการณ์รันทดใจจากชีวิตของศาสดาพยากรณ์ที่รักของเรา ประธานโธมัส เอส. มอนสัน แสดงให้เห็นความสำคัญยิ่งของการตอบรับการกระตุ้นเตือนจากพระวิญญาณทันที
“[ผู้บรรยาย:] ขณะอธิการมอนสันเติบโตเต็มที่ในความรับผิดชอบของท่าน ท่านเรียนรู้บทเรียนมากมาย หนึ่งในนั้นคือความสำคัญของการทำตามพระวิญญาณและวางใจพระเจ้า
“คืนหนึ่งระหว่างการประชุมผู้นำฐานะปุโรหิตสเตค ท่านมีความรู้สึกชัดเจนว่าควรออกจากการประชุมทันทีและขับรถไปโรงพยาบาลทหารผ่านศึกด้านตะวันออกเฉียงเหนือของซอลท์เลคซิตี้ ก่อนออกจากบ้านคืนนั้น ท่านได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าสมาชิกสูงอายุคนหนึ่งในวอร์ดป่วยและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล คนโทรถามว่าอธิการคะ ท่านจะหาเวลาไปโรงพยาบาลและให้พรสักหน่อยได้ไหมคะ อธิการหนุ่มที่มีงานยุ่งอธิบายว่าเขากำลังจะไปการประชุมแต่จะไปโรงพยาบาลแน่นอนหลังจากนั้น ตอนนี้การกระตุ้นแรงกล้ากว่าเดิม ‘ออกจากการประชุมและไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้’
“อธิการมอนสันมองดูแท่นพูด ประธานสเตคกำลังพูด! ท่านเห็นว่าท่านไม่น่าจะยืนขณะกำลังมีคนพูดและแหวกแถวออกมา ท่านอดใจรอจนประธานสเตคพูดช่วงสุดท้ายจบแล้วรีบไปที่ประตูก่อนการสวดอ้อนวอนปิด ขณะวิ่งตลอดระเบียงยาวบนชั้นสี่ของโรงพยาบาล อธิการวัยหนุ่มเห็นความชุลมุนนอกห้องที่ระบุ
“พยาบาลกันท่านไว้และถามว่า ‘คุณคืออธิการมอนสันหรือคะ’
“‘ครับ’ ท่านตอบ
“‘ดิฉันเสียใจค่ะ’ เธอบอก ‘ผู้ป่วยเรียกชื่อคุณก่อนเขาเสียชีวิตเมื่อครู่นี้เอง’
“อธิการมอนสันพยายามกลั้นน้ำตา เดินกลับไปในความมืด ท่านสาบานในขณะนั้นว่าท่านจะไม่มีวันพลาดอีกเมื่อต้องทำตามการกระตุ้นเตือนจากพระเจ้า ท่านจะทำตามความรู้สึกจากพระวิญญาณทันทีไม่ว่าจะนำท่านไปที่ใด”
“[เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์:] ไม่มีใครสามารถเข้าใจประธานโธมัส เอส. มอนสันถ้าเขาไม่เข้าใจความถี่ ของการกระตุ้นเตือนทางวิญญาณแบบนั้นซ้ำหลายๆ ครั้งในชีวิตท่านและความภักดีของท่านในการตอบรับการกระตุ้นเตือนดังกล่าว”13
ข้อ 3: ค้นคว้าพระคัมภีร์ทุกวัน
เอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์สอนว่า “เมื่อเราต้องการพูดกับพระผู้เป็นเจ้า เราสวดอ้อนวอน และเมื่อเราต้องการให้พระองค์ตรัสกับเรา เราค้นคว้าพระคัมภีร์ เพราะพระคำของพระองค์ตรัสผ่านศาสดาพยากรณ์ของพระองค์”14
เมื่อดิฉันอายุ 20 ปี ดิฉันกำลังมีเรื่องที่ตัดสินใจลำบากและดูเหมือนไม่ได้รับคำตอบจากการสวดอ้อนวอน คืนหนึ่งคุณพ่อกลับบ้านดึกจากการประชุมของศาสนจักรและสังเกตเห็นไฟห้องนอนของดิฉันเปิดอยู่ ท่านนั่งที่ขอบเตียงของดิฉันและถามว่าท่านช่วยได้ไหมเพราะรู้สึกว่าดิฉันมีเรื่องทุกข์ใจ ดิฉันระบายความในใจกับท่าน ท่านแนะนำให้หันไปพึ่งพระคัมภีร์เพื่อช่วยชี้นำการตัดสินใจของดิฉัน โดยเสนอบางข้อให้ดิฉันไตร่ตรองและสวดอ้อนวอน ดิฉันทำตามคำแนะนำและค้นคว้าพระคัมภีร์ หลังจากนั้นพักใหญ่และความพยายามอย่างจริงจังเรื่อยมา ดิฉันก็ได้รับคำตอบที่ไม่ผิดพลาดของการสวดอ้อนวอน ดิฉันเสนอความคิดและการตัดสินใจที่ดีที่สุดต่อพระเจ้าและขอให้ทรงยืนยันการตัดสินใจนั้น และรู้สึกเชื่อมั่นอย่างเงียบสงบลึกๆ ในใจ
เราเรียนรู้ในพระคัมภีร์ว่าลีไฮและนีไฟบุตรชายที่ชอบธรรมของฮีลามันได้รับ “การเปิดเผยอยู่ทุกวัน”15 เมื่อเราดื่มด่ำพระวจนะของพระคริสต์ทุกวันในพระคัมภีร์และไตร่ตรองสิ่งที่อ่าน เราสามารถประสบการเปิดเผยทุกวันผ่านของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราบันทึกความคิดและความรู้สึกที่ได้รับอย่างละเอียด
ข้อ 4: ดำเนินชีวิตตามกฎแห่งการอดอาหาร
เพื่อเพิ่มความสามารถในการได้ยินสุรเสียงของพระวิญญาณ เราจะอดอาหาร 24 ชั่วโมงทุกวันอาทิตย์อดอาหารและบริจาคเงินอดอาหารของเราเพื่อช่วยคนขัดสน ประธานฮาโรลด์ บี. ลีแนะนำว่า “พระเจ้าตรัสกับอิสยาห์ว่า ผู้ที่อดอาหารและแบ่งอาหารให้แก่คนหิวโหย จะเรียกหาพระเจ้าและพระองค์จะทรงตอบ จะร้องทูลพระเจ้าและพระเจ้าจะตรัสว่า ‘เราอยู่นี่’ [ดู อิสยาห์ 58:6–9] นั่นเป็นวิธีหนึ่งที่จะมีความสัมพันธ์อันดีกับพระเจ้า จงพยายามทำในปีนี้ จงดำเนินชีวิตโดยครบถ้วนตามกฎแห่งการอดอาหาร”16
ในหนังสือของแอลมา เราเรียนรู้ว่าพวกบุตรของโมไซยาห์ “ยอมตนในการสวดอ้อนวอน, และการอดอาหารอย่างมาก; ฉะนั้นพวกท่านจึงมีวิญญาณแห่งการพยากรณ์, และ วิญญาณแห่งการเปิดเผย, และเมื่อพวกท่านสอน, พวกท่านก็สอนด้วยพลังอำนาจและสิทธิอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า.”17 วลี “ยอมตน” คือการคิดไตร่ตรองขณะที่เราประเมินความพยายามในการอดอาหารอย่างถูกต้อง
ข้อ 5: จงมีค่าควรและนมัสการในพระวิหาร
ตามคำกล่าวของประธานจอร์จ อัลเบิร์ต สมิธ “เราแต่ละคนมีสิทธิ์ได้รับการดลใจจากพระเจ้าตามสัดส่วนการดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมของเรา”18 โปรดสังเกตว่าท่านไม่ได้กล่าวว่าเราต้องดีพร้อมจึงจะได้รับการเปิดเผย แต่เราต้องพยายามดำเนินชีวิตอย่างมีค่าควรจนสุดความสามารถ
จงจำและเรียนรู้จากตัวอย่างไม่ดีของผู้คนของกษัตริย์ลิมไฮในพระคัมภีร์มอรมอน “พระเจ้าทรงเชื่องช้าที่จะฟังเสียงร้องของพวกเขาเพราะความชั่วช้าสามานย์ของพวกเขา”19
ความมีค่าควรดูเหมือนต้องจ่ายราคาเล็กน้อยจึงจะเปิดหน้าต่างแห่งสวรรค์ เมื่อเรารักษาพันธสัญญาและรับส่วนศีลระลึกอย่างมีค่าควร เราได้รับสัญญาว่าจะมีพระวิญญาณอยู่กับเราตลอดเวลา20 แต่นั่นเกิดขึ้น หลังจาก เราสัญญาและรักษาพันธสัญญาว่าเราจะระลึกถึงพระผู้ช่วยให้รอด ตลอดเวลา! นอกจากนี้ การมุ่งเน้นและดำเนินชีวิตให้มีค่าควรเข้าพระวิหาร และเข้าไปบ่อยๆ เท่าที่สภาวการณ์เอื้ออำนวย ทำให้เราสามารถ “เติบโตขึ้นในพระองค์, และได้รับ ความสมบูรณ์ แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์”21
ข้อ 6: “อย่าล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์”22
จงตระหนักว่าการเปิดเผยจากพระเจ้าคือความไว้วางใจอันศักดิ์สิทธิ์ เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์สอนว่า “การตั้งใจบันทึกการดลใจแสดงให้พระผู้เป็นเจ้าเห็นว่าการสื่อสารของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ต่อเรา … พึงป้องกันบันทึก … เช่นนั้นไม่ให้สูญหายหรือถูกล่วงล้ำจากผู้อื่น”23
พยานคนที่สองผู้ยืนยันคำสอนนั้นมาจากประสบการณ์ของประธานฮาโรลด์ บี. ลี ท่านกล่าวว่า “บางครั้งข้าพเจ้าจะตื่นขึ้นมากลางดึกและไม่สามารถหลับต่อได้จนต้องลุกจากเตียงและบันทึกสิ่งที่ข้าพเจ้าครุ่นคิดตลอดมาลงในกระดาษ แต่ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากที่จะทำตามคำตอบของการสวดอ้อนวอน”24
ข้อ 7: จงพร้อมดำเนินต่อไปในศรัทธา
เมื่อดิฉันกับสามีหมั้นหมายเพื่อแต่งงาน เราสนทนากันยืดยาวเกี่ยวกับอนาคตของเราสองคน เราควรทำอะไรกับการเรียน เราควรมีลูกเมื่อไร อาชีพอะไรจะจัดหาให้ตามความต้องการของครอบครัวและให้เราได้รับใช้ในศาสนจักร เพราะเราเชื่อในคำแนะนำที่ศาสดาพยากรณ์ให้ไว้ซึ่งท่านสอนว่าเรามีบุตรได้ขณะยังเรียนหนังสือและทำงานไปด้วย เราดำเนินต่อไปในศรัทธา
นั่นไม่ง่ายเลย สามีดิฉันต้องทำงานนอกเวลาถึงสามงานระหว่างเรียนหนังสือเพื่อให้ดิฉันเริ่มอาชีพใหม่ในฐานะมารดาและคนเลี้ยงดูบุตร เส้นทางนั้นสวนทางกับเหตุผลของโลกแม้แต่ในเวลานั้น เมื่อนึกย้อนกลับไป ตอนนี้เราเห็นว่าการก้าวเดินด้วยศรัทธาเช่นนั้นส่งผลให้เกิดพรนิรันดร์อย่างไร พรที่เราอาจสูญเสียหากเราไม่เอาใจใส่สุรเสียงของพระวิญญาณผ่านศาสดาพยากรณ์ที่พระเจ้าทรงเลือก
เพื่ออธิบายเพิ่มเติม ขอให้พิจารณาประสบการณ์ของเอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์ ท่านได้รับมอบหมายให้เป็นคู่รุ่นน้องของประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสันที่การประชุมใหญ่สเตคซึ่งจะต้องเรียกประธานสเตคคนใหม่ ท่านเล่าว่า “หลังจากสวดอ้อนวอน สัมภาษณ์ ศึกษา และสวดอ้อนวอนอีกครั้ง เอ็ลเดอร์เบ็นสันถามว่าข้าพเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครจะเป็นประธานคนใหม่ ข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้ายังไม่ได้รับการดลใจในเรื่องนั้น ท่านตอบว่าท่านก็ยังไม่ได้รับ แต่เรา ได้รับ การดลใจว่าต้องขอให้ผู้นำฐานะปุโรหิตที่มีค่าควรสามคนพูดในการประชุมใหญ่ภาคเย็นวันเสาร์ ไม่กี่อึดใจหลังจากผู้พูดคนที่สามเริ่มพูด พระวิญญาณกระตุ้นเตือนข้าพเจ้าว่าเขาควรเป็นประธานสเตคคนใหม่ ข้าพเจ้ามองไปที่ประธานเบ็นสันและเห็นน้ำตากำลังไหลอาบแก้มท่าน เราทั้งสองได้รับการเปิดเผย—ซึ่งมาจากการแสวงหาพระประสงค์ของพระบิดาบนสวรรค์อย่างต่อเนื่องขณะดำเนินต่อไปในศรัทธาของเราเท่านั้น”25
ข้อ 8: ให้พระเจ้าทรงตัดสินใจในรายละเอียดว่าพระองค์จะทรงเลือกเปิดเผยอะไรและทรงเลือกเปิดเผยเมื่อใด
ข้อสังเกตของนักประพันธ์ชื่อโคร์รี เทน บูมดูเหมือนใช้กับตรงนี้ได้ “ประสบการณ์ทุกอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เรา ทุกคนที่พระองค์ทรงวางไว้ในชีวิตเรา ล้วนเป็นการเตรียมอย่างดีสำหรับอนาคตที่พระองค์เท่านั้นทรงสามารถมองเห็น”26
บางท่านอาจมีประสบการณ์คล้ายกับลูกหกคนของเราเมื่อพวกเขามองหาคู่นิรันดร์ที่มีค่าควร เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปพวกเขาเห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาแต่ละคนต้องมีประสบการณ์บางอย่างจึงจะสามารถรับรู้ว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าทรงกำลังนำพวกเขาไปพบคู่นิรันดร์ ประสบการณ์บางอย่างเหล่านั้นใช้เวลารอและดำเนินไปในศรัทธาหลายปี หลายครั้งก็ดูเหมือนสวรรค์ปิดเมื่อพวกเขาสวดอ้อนวอน เมื่อจังหวะเวลาของพระเจ้าขัดกับความปรารถนาของเรา จงวางใจว่าอาจมีประสบการณ์บางอย่างที่พระเจ้าทรงต้องการให้เรามีก่อนตอบคำสวดอ้อนวอนของเรา
เอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์สอนว่า
“เราควรรับรู้ว่าพระเจ้าจะตรัสกับเราผ่านพระวิญญาณในเวลาของพระองค์เองและในวิธีของพระองค์เอง คนมากมายไม่เข้าใจหลักธรรมนี้ พวกเขาเชื่อว่าเมื่อตนพร้อมและสะดวกก็สามารถร้องทูลพระเจ้าและพระองค์จะทรงตอบทันที แม้ตรงตามวิธีที่พวกเขากำหนด แต่การเปิดเผยมิได้เกิดขึ้นแบบนั้น …
“… เราจะบังคับเรื่องทางวิญญาณไม่ได้”27
ประมาณ 15 ปีก่อน คุณแม่ของดิฉันสูญเสียการมองเห็น ท่านต่อสู้กับการทดลองที่ยากนี้นานหลายเดือน ท่านพบการปลอบโยนเมื่อท่านสวดอ้อนวอนขอความเข้าใจในบทประพันธ์อันเรียบง่ายซึ่งกลายเป็นบทโปรด และประธานมอนสันอ้างไว้เมื่อเร็วๆ นี้
ฉันไม่รู้ว่าโดยวิธีใด
แต่รู้ว่าใช่คือทรงตอบคำสวดอ้อนวอน
ฉันรู้ว่าพระองค์ทรงลั่นวาจาไว้
ว่าจะฟังคำสวดอ้อนวอนทุกครั้งไป
และจะทรงตอบให้ ไม่เร็วก็ช้า
ฉันจึงสวดอ้อนวอนและคอยท่า
ไม่รู้ว่าพรที่ทูลขอไว้
จะมาในวิธีที่คิดไหม
ฉันจะสวดอ้อนวอนพระองค์แต่ผู้เดียว
ผู้ทรงฉลาดเฉลียวยิ่งกว่าใคร
ฉันมั่นใจว่าจะประทานให้ตามที่ขอ
หรือไม่ก็ส่งพรยิ่งกว่าที่ขอมาให้ฉัน28
เหมือนพวกเราส่วนใหญ่ คุณแม่ยังคงพยายามวางใจในพระประสงค์และจังหวะเวลาของพระองค์ ขณะทำเช่นนั้นเราควรจดจำคำสอนนี้จากเอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์ “ท่านจะทำอะไรเมื่อท่านเตรียมมาอย่างรอบคอบ สวดอ้อนวอนมาแล้วอย่างกระตือรือร้น รอเป็นเวลาพอสมควรสำหรับการตอบรับ และยังไม่รู้สึกถึงคำตอบ ท่านต้องขอบพระทัยพระองค์เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น เพราะนี่คือหลักฐานว่า [พระบิดาบนสวรรค์] ทรงวางพระทัย เมื่อท่านดำเนินชีวิตอย่างมีค่าควรและการเลือกของท่านตรงกับคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดและท่านรู้สึกว่าต้องปฏิบัติ ต้องดำเนินการด้วยความวางใจ ขณะที่ท่านไวต่อการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณ สิ่งหนึ่งจากสองสิ่งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในเวลาที่เหมาะสม หรือไม่ก็ความคิดงงจะเกิดขึ้นซึ่งบอกให้รู้ว่าเป็นการเลือกที่ไม่เหมาะสม หรือจะรู้สึกได้ถึงสันติสุขหรือการเผาไหม้ในอก ซึ่งยืนยันว่าการเลือกของท่านนั้นถูกต้อง เมื่อท่านดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมและปฏิบัติด้วยความวางใจ พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้ท่านทำไปไกลโดยไม่รู้สึกถึงการเตือนถ้าท่านตัดสินใจผิด”29
เสียงเตือนของพระวิญญาณมักผ่านมาทางเสียงของผู้รับใช้ที่พระองค์ทรงเลือกไว้ ซึ่งนำเรามาถึงประเด็นถัดไป
ข้อ 9: เอาใจใส่คำเตือนของศาสดาพยากรณ์
ลองพิจารณาคำเตือนสองสามเรื่องที่ศาสดาพยากรณ์ให้ไว้ในสมัยของเรา อย่างแรก สองสามคำเตือนจากประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์
“ต่อไปนี้คือคำเตือน! เพลงบางเพลงบ่อนทำลายทางวิญญาณ … จังหวะ เสียง และวิถีชีวิตของคนแสดงเพลงนั้น ขับไล่พระวิญญาณ เป็นอันตรายยิ่งกว่าที่ท่านคิด เพราะสามารถกลบการรับรู้ทางวิญญาณของท่านได้”
อีกคำเตือนหนึ่ง
“อาจมีการเปิดเผยปลอม การกระตุ้นเตือนจากมาร นั่นคือการล่อลวง! …
“หากท่านเคยได้รับการกระตุ้นเตือนให้ทำบางอย่างที่ทำให้ท่าน รู้สึก ไม่สบายใจ บางอย่างที่ท่านรู้ใน ความคิด ว่าผิดและขัดกับหลักธรรมแห่งความชอบธรรม อย่าตอบรับ!”
และอีกอันหนึ่งหากคนๆ หนึ่งชอบวิพากษ์วิจารณ์และเก็บงำความรู้สึกในแง่ลบ พระวิญญาณจะถอนตัว”30
และศาสดาพยากรณ์ที่รักของเรา ประธานมอนสัน เปล่งเสียงเตือนเมื่อท่านกล่าวว่า “จงระวังอย่าให้ สิ่งใด ช่วงชิงพรของนิรันดรไปจากท่าน”31
เหตุใดจึงต้องปรับใจเรารับสุรเสียงของพระวิญญาณ พรใดเกิดขึ้นบ้างเมื่อเราทำเช่นนั้น
ดิฉันเพิ่งกลับจากฟิลิปปินส์ที่ซึ่งดิฉันได้เห็นผลพวงของไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน ดิฉันได้ฟังประสบการณ์ของพี่น้องชายหญิงที่รักของเราในตาโกลบันและฝ่ายประธานภาคกับภรรยาขณะพวกเขาเป็นพยานถึงการนำทางของพระวิญญาณในขณะนั้นว่าต้องทำอะไร ไปที่ไหน และการดำเนินต่อไปในศรัทธาแม้เมื่อเส้นทางไม่ชัดเจน ดิฉันได้ฟังเรื่องราวของผู้สอนศาสนาวัยหนุ่มสาว ซิสเตอร์และเอ็ลเดอร์ ขณะทำตามการกระตุ้นเตือนที่นำพวกเขาไปสู่ความปลอดภัยทางกายท่ามกลางการพังทลายของโลกรอบตัว ดิฉันซาบซึ้งยิ่งสำหรับ “ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งไม่อาจพูดถึงได้”32 ที่เตือน ชี้นำ ปลอบโยน และนำทางคนที่หมายมั่นดำเนินชีวิตอย่างมีค่าควร
ในบรรดาของประทานทั้งหมดที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงเลือกจะมอบให้บุตรธิดาของพระองค์เมื่อเราออกจากน้ำแห่งบัพติศมาคือพระองค์ทรงเลือกมอบของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เรา
“พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานเป็นหนึ่งเดียวโดยสมบูรณ์กับพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ …
“พระองค์ ‘ทรงเป็นพยานถึงพระบิดาและพระบุตร’ (2 นีไฟ 31:18) และทรงเปิดเผยและสอน ‘ความจริงของทุกเรื่อง’ (โมโรไน 10:5) เราสามารถได้รับประจักษ์พยานอันมั่นคงถึงพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น การสื่อสารของพระองค์กับวิญญาณเรามีความแน่นอนยิ่งกว่าการสื่อสารอื่นใดที่เราได้รับผ่านประสาทสัมผัสตามธรรมชาติของเรา”33
พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย เท่าที่ท่านทราบ อาคารใหญ่และกว้างซึ่งเต็มไปด้วยคนล้อเลียน หัวเราะเยาะ และชี้นิ้วดูถูกล้วนอยู่รอบตัวเรา เสียงของโลกดังไม่หยุดและโน้มน้าวใจตลอดเวลา หากเราไม่ฝึกปรับใจเรารับสุรเสียงของพระวิญญาณและขัดเกลาความสามารถในการแสวงหา รับ และทำตามการเปิดเผยส่วนตัว อย่างดีที่สุดเราก็อยู่บนพื้นโยก เราต้องให้สุรเสียงของพระวิญญาณนำเราออกห่างจากทั้งหมดที่สกปรก โง่เขลา หยาบคาย รุนแรง เห็นแก่ตัว และเป็นบาป เราต้องให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เพียงนำเราไปสู่ทุกอย่างที่เป็น “คุณธรรม งดงาม กล่าวขวัญกันว่าดีหรือควรค่าแก่การสรรเสริญ”34 เท่านั้นแต่ให้ทรงช่วยบ่มเพาะ ความปรารถนา ในสิ่งเหล่านั้นด้วยเพื่อต่อต้านแรงดึงของโลก
พรดีที่สุดประการหนึ่งที่เราสามารถได้รับขณะฝึกฟังสุรเสียงของพระวิญญาณคือการสามารถเห็นตัวเราในแบบที่พระบิดาในสวรรค์ทรงเห็นและเป็นตัวเราให้ดีที่สุด “ช้าๆ ทีละน้อย”
ลองพิจารณาคำพูดอันไพเราะนี้จากอัครสาวกยุคสุดท้าย ท่านบอกว่า “ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ … ปลุกความสามารถทางสติปัญญาทั้งปวง เพิ่ม เสริม ขยาย และทำให้ความรักใคร่หลงใหลตามธรรมชาติทั้งหมดบริสุทธิ์ ตลอดจนปรับใช้ได้อย่างถูกต้องตามกฎระเบียบโดยของประทานแห่งปัญญา ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจ พัฒนา ปลูกฝัง และทำให้ความเห็นอกเห็นใจ ปีติ ความพอใจ ความรู้สึกฉันญาติมิตร และความรักใคร่ตามธรรมชาติของเราเติบโต ของประทานดังกล่าวเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดคุณธรรม ความกรุณา ความดี ความอ่อนโยน ความสุภาพอ่อนน้อม และจิตกุศล พัฒนาความงามของบุคคล รูปร่างหน้าตา มีส่วนเสริมสุขภาพ กำลังวังชา ความมีชีวิตชีวา และความรู้สึกทางสังคม พัฒนาและเพิ่มพลังความสามารถทางกายและสติปัญญาทั้งหมดของมนุษย์ ทำให้เส้นประสาทแข็งแรง เพิ่มพลังและกระชับ สรุปคือ ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ไขแก่กระดูก ให้ปีติแก่ใจ ให้แสงสว่างแก่ดวงตา ให้เสียงเพลงแก่หู และให้ชีวิตแก่สัตภาวะทั้งมวล”35
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสามารถทำเพื่อเราทางร่างกาย วิญญาณ อารมณ์ จิตใจ และปัญญา ในสิ่งซึ่งไม่มียารักษาใดเลยที่มนุษย์สร้างขึ้นจะสามารถเริ่มจำลองได้
ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่าการดำเนินชีวิตให้คู่ควรแก่พรเช่นนั้นคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป แม้จะเรียกร้องการเสียสละอย่างมาก นั่นคือ “ขนมปังก้อน” ที่เราได้รับเมื่อเทียบกับ “เศษขนมปัง” ของความพยายาม ดิฉันเชื้อเชิญเราทุกคนให้ปรับใจรับสุรเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่คืนนี้
ไม่ใช่เหตุบังเอิญที่พระเจ้าทรงยกประธานโธมัส เอส. มอนสันเป็นศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตเพื่อนำทางเราในยุคสุดท้ายนี้ ประธานมอนสันคือผู้ที่เรียนรู้อย่างดีในการฟังและตอบรับการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณมาอย่างดี เราทำตามแบบอย่างของท่านได้เช่นกัน
ดิฉันเป็นพยานว่าท่านเป็นกระบอกเสียงของพระเจ้าในสมัยของเรา อีกทั้งเป็นพยานด้วยว่าพระบิดาในสวรรค์ทรงต้องการให้เรากลับไปที่ประทับของพระองค์และทรงจัดหาวิธีให้เราทำเช่นนั้นโดยประทานพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระองค์และของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดิฉันเป็นพยานว่าการได้รับและรักษาของประทานซึ่งไม่อาจพูดถึงได้ดังกล่าวนั้นคุ้มค่าความพยายามในส่วนของเรา ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน
© 2014 โดย Intellectual Reserve, Inc. สงวนสิทธิ์ทุกประการ อนุมัติภาษาอังกฤษ: 1/14 อนุมัติการแปล: 1/14 แปลจาก Tuning Our Hearts to the Voice of the Spirit Thai PD10050686 425