ความจริงได้รับการฟื้นฟู
ยามค่ำกับเอ็ลเดอร์ริชาร์ด เจ. เมนส์
การให้ข้อคิดทางวิญญาณทั่วโลกสำหรับคนหนุ่มสาว • 1 พฤษภาคม 2016 • ซอลท์เลคแทเบอร์นาเคิล
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าชอบฟังเรื่องราวการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของแนนซี ภรรยาข้าพเจ้า และเรื่องที่ว่านิมิตแรกของโจเซฟ สมิธและพระคัมภีร์มอรมอนมีอิทธิพลต่อประจักษ์พยานและการเปลี่ยนใจเลื่อมใสแต่แรกเริ่มของเธอมากเพียงใด ข้าพเจ้าสำนึกคุณเสมอสำหรับโอกาสที่ได้แสดงบทบาทเผยแผ่ศาสนาในการแนะนำพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์กับเธอเมื่อหลายปีที่ผ่านมา หลังข้าพเจ้ากลับจากเป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลา ท่านอาจจะนึกภาพออก ข้าพเจ้าตื่นเต้นมากกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเราสองคน ศาสนจักรและชีวิตครอบครัวเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเรา
ข้าพเจ้าขอขอบคุณจากใจจริงสำหรับงานมอบหมายจากฝ่ายประธานสูงสุดที่ให้พูดกับท่านค่ำนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ท่านจะทราบว่าข้าพเจ้าสัมผัสถึงอิทธิพลและการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในระหว่างการเตรียมข่าวสารนี้และหวังว่าสิ่งที่แบ่งปันจะเป็นประโยชน์ต่อท่านทางวิญญาณ
ศาสดาพยากรณ์ตลอดประวัติศาสตร์ล่วงรู้และทำนายเรื่องการฟื้นฟูความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้าย ด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าว การฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์จึงไม่ควรเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนที่ศึกษาพระคัมภีร์ มีคำพยากรณ์หลายสิบข้อทั่วพันธสัญญาเดิม พันธสัญญาใหม่ และพระคัมภีร์มอรมอนที่ทำนายไว้อย่างชัดเจนและบ่งชี้ถึงการฟื้นฟูพระกิตติคุณ ตัวอย่างจากพันธสัญญาเดิมอยู่ในเฉลยธรรมบัญญัติ1 อิสยาห์2 เยเรมีย์3 เอเสเคียล4 ดาเนียล5 อาโมส6 และมาลาคี7 ตัวอย่างจากพันธสัญญาใหม่อยู่ในหนังสือมัทธิว8 มาระโก9 กิจการของอัครทูต10 โรม11 เอเฟซัส12 2 เธสะโลนิกา13 และวิวรณ์14 คำพยากรณ์อีกหลายข้อที่บ่งชี้ถึงการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์มีอยู่ทั่วพระคัมภีร์มอรมอน ตัวอย่างอยู่ใน 1 นีไฟ15 2 นีไฟ16 เจคอบ17และ 3 นีไฟ18
ตัวอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชอบคำพยากรณ์เกี่ยวกับการฟื้นฟูมาจากหนังสือของดาเนียลในพันธสัญญาเดิม กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนโอบล้อมและยึดครองเยรูซาเล็มประมาณ 586 ปีก่อนคริสตกาล หลังจากยึดครองยูดาห์ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สั่งให้หัวหน้าขันทีนำลูกหลานอิสราเอลบางคนมารับใช้เป็นที่ปรึกษาในวัง กษัตริย์บอกว่าคนกลุ่มนี้ควร “เชี่ยวชาญในสรรพปัญญา มีความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถที่จะรับใช้ในวังกษัตริย์”19
ในบรรดาคนเหล่านั้นมีดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์รวมอยู่ด้วย ท่านคงจำได้ว่าขณะอยู่ในการเป็นเชลยคนหนุ่มเหล่านี้ได้รับชื่อใหม่ในภาษาบาบิโลนว่าเบลเทชัสซาร์ ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกตามวัฒนธรรมชาวบาบิโลนที่ปลูกฝังกันมา
กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ถึงกำหนดสัมภาษณ์หนุ่มยูเดียทั้งสี่คนนี้ พระคัมภีร์บอกเราว่า “ในบรรดาเรื่องราวอันเกี่ยวกับปัญญาและความรอบรู้ซึ่งกษัตริย์ตรัสถามพวกเขา ทรงเห็นว่าพวกเขาดีกว่าพวกโหรและพวกหมอดูทั้งหมดซึ่งอยู่ในอาณาจักรของพระองค์สิบเท่า”20
คืนหนึ่งขณะที่กษัตริย์บรรทมหลับ พระองค์ทรงสุบิน ทำให้ทุกข์พระทัยและอยากรู้คำแก้ฝัน พระองค์จึงตัดสินใจทดสอบที่ปรึกษาโดยออกฎีกาที่แปลกมาก พระองค์ทรงบัญชาให้เรียกพวกโหร หมอดู และนักวิทยาคมมาบอกว่าพระองค์ทรงสุบินเรื่องอะไรก่อนแล้วค่อยแก้ฝัน พระองค์จริงจังมากกับฎีกานี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์บอกพวกเขาว่า “ถ้าเจ้าไม่บอกให้เรารู้ความฝันพร้อมทั้งคำแก้ฝัน เจ้าจะถูกทึ้งแขนขาออก”21
เมื่อพวกนักปราชญ์ของพระองค์ไม่อาจเปิดเผยความฝันให้พระองค์ทราบ พวกเขาจึงไม่อาจแก้ฝันได้ พระองค์กริ้วมากและบัญชาให้ประหารนักปราชญ์ทั้งหมดของบาบิโลน รวมทั้งดาเนียลกับเพื่อนๆ แต่ดาเนียลขอเข้าเฝ้ากษัตริย์ได้ เขาโน้มน้าวกษัตริย์เพื่อขอเวลาอีกสักหน่อยและเขาจะแก้ฝันให้
ดาเนียลกลับบ้านและแจ้งข่าวนี้กับเพื่อนๆ ของตน พวกเขาทูลขอให้พระเจ้าทรงเปิดเผยความลึกลับในนิมิตของกษัตริย์เพื่อพวกเขากับนักปราชญ์ที่เหลือของบาบิโลนจะไม่ถูกสังหาร พระคัมภีร์บอกผลของคำทูลขอดังนี้ “พระองค์ทรงเปิดเผยความลึกลับนั้นแก่ดาเนียล แล้วดาเนียลก็ถวายสาธุการแด่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์”22
หลังจากกล่าวสรรเสริญและขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้า ดาเนียลไปหาอารีโอคหัวหน้าองครักษ์ของกษัตริย์ และกล่าวว่า “ขออย่าประหารนักปราชญ์ของบาบิโลน โปรดนำข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระราชาและข้าพเจ้าจะถวายคำแก้ฝันแก่พระราชา”23
อารีโอครีบพาดาเนียลไปเข้าเฝ้าและทูลว่า “ข้าพระบาทพบชายคนหนึ่งในพวกที่ถูกกวาดเป็นเชลยจากยูดาห์ ผู้จะทูลให้พระราชาทราบคำแก้พระสุบินได้”24
เมื่อเขาพาดาเนียลมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ กษัตริย์ถามดาเนียลว่า “เจ้าสามารถให้เรารู้ถึงความฝันที่เราได้ฝันและคำแก้ฝันนั้นได้หรือ?”25
ดาเนียลทูลตอบว่า
“ไม่มีนักปราชญ์ หรือหมอดู หรือโหร หรือหมอดูฤกษ์ยามคนใดเปิดเผยความลึกลับซึ่งพระราชาไต่ถามแก่พระองค์ได้
“แต่มีพระเจ้าองค์หนึ่งในฟ้าสวรรค์ผู้ทรงเปิดเผยความลึกลับทั้งหลาย และพระองค์ทรงให้พระราชาเนบูคัดเนสซาร์รู้ถึงสิ่งซึ่งจะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย และนิมิตที่ผุดขึ้นในพระเศียรของพระองค์บนพระแท่นบรรทม”26
จากนั้นดาเนียลจึงเปิดเผยความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า
“ข้าแต่พระราชา ฝ่าพระบาททอดพระเนตรและดูเถิด มีปฏิมากรขนาดใหญ่ ปฏิมากรนี้มหึมาจริงๆ และสุกใสยิ่งนัก ตั้งอยู่เฉพาะพระพักตร์ฝ่าพระบาทและรูปร่างน่ากลัว
“หัวของปฏิมากรนี้เป็นทองนพคุณ อกและแขนเป็นเงิน ท้องและโคนขาเป็นทองสัมฤทธิ์
“ขาเป็นเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดิน
“ขณะพระองค์ทอดพระเนตร มีหินก้อนหนึ่งถูกตัดออกมาไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินนั้นกระทบปฏิมากรที่เท้าอันเป็นเหล็กปนดิน ทำให้มันแตกเป็นชิ้นๆ
“แล้วส่วนเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แตกเป็นชิ้นๆ พร้อมกัน กลายเป็นเหมือนแกลบจากลานนวดข้าวในฤดูร้อน ลมก็พัดพาเอาไปทั่ว จึงหาร่องรอยไม่พบอีกเลย แต่ก้อนหินที่กระทบปฏิมากรนั้นกลายเป็นภูเขาใหญ่จนเต็มพิภพ”27
หลังจากเล่าความฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฟัง ดาเนียลก็บอกคำแก้ฝันกับกษัตริย์ ดาเนียลทูลว่า
“ข้าแต่พระราชา พระราชาเหนือพระราชาทั้งหลาย ผู้ซึ่งพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานราชอาณาจักร อานุภาพ ฤทธิ์เดช และศักดิ์ศรี
“และได้ทรงมอบบรรดามนุษย์ สัตว์ในท้องทุ่งและนกบนฟ้า ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ที่ใด ไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท ให้ฝ่าพระบาทปกครองทุกอย่าง เศียรทองคำนั้นคือฝ่าพระบาทเอง”28
ดาเนียลอธิบายต่อไปว่าอกและแขนเป็นเงิน ท้องและโคนขาเป็นทองสัมฤทธิ์ ขาเป็นเหล็ก และเท้าเป็นเหล็กปนดินคืออาณาจักรต่างๆ ที่ด้อยกว่าอาณาจักรของพระองค์
ต่อไปนี้เป็นคำพยากรณ์เกี่ยวกับการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และการสถาปนาอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าในยุคสุดท้าย ดาเนียลกล่าวว่า
“และในสมัยของพระราชาเหล่านั้น [หมายถึงวันเวลาสุดท้าย] พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงสถาปนาราชอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีวันถูกทำลาย หรือถูกมอบให้ชนชาติอื่น ราชอาณาจักรนั้นจะทำให้ราชอาณาจักรเหล่านี้ทั้งหมดแตกเป็นชิ้นๆ จนพินาศไป และราชอาณาจักรนั้นจะตั้งมั่นอยู่เป็นนิตย์
“ดังที่ฝ่าพระบาททอดพระเนตรก้อนหินถูกตัดออกจากภูเขา ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ และก้อนหินนั้นได้ทำให้เหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำแตกเป็นชิ้นๆ พระเจ้ายิ่งใหญ่ได้ทรงให้พระราชารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ พระสุบินนั้นเป็นจริง และคำแก้พระสุบินก็แน่นอน”29
พี่น้องทั้งหลาย การฟื้นฟูและการเติบโตต่อมาของศาสนจักรและพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้ายนี้เป็นการเริ่มต้นสัมฤทธิผลของคำพยากรณ์ในรายละเอียดของศาสดาพยากรณ์ดาเนียล
เราจะผ่านตรงนี้ไปถึงประมาณ 2,400 ปีหลังจากการปกครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ในช่วงก่อนการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าขอแบ่งปันบริบททางประวัติศาสตร์กับท่านสักเล็กน้อยก่อนเกิดนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ
อาซาเอล สมิธปู่ของโจเซฟ สมิธสมัครเป็นทหารในกองทัพอเมริกันช่วงสงครามปฏิวัติและเห็นการเกิดประชาชาติใหม่ตั้งแต่แรก
โจเซฟ ซีเนียร์และลูซี แม็คบิดามารดาของโจเซฟ สมิธยังเป็นเด็กเมื่อมีการให้สัตยาบันรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาในปี 1788 รวมทั้งการแก้ไขครั้งแรกในปี 1791 ซึ่งรับรองว่ารัฐบาลจะไม่ควบคุมศาสนาและศาสนาจะไม่ควบคุมรัฐบาล
ด้วยเหตุนี้ศาสนาในสหรัฐจึงไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล และโดยไม่มีศาสนาประจำรัฐ ชายหญิงชาวอเมริกันจึงมีอิสระที่จะเลือกนับถือศาสนาใดก็ได้หรือไม่นับถือเลยก็ได้
ต่อมาอาซาเอล สมิธยินดีกับการนับถือศาสนาได้อย่างอิสระในประชาชาติใหม่ เขากล่าวว่า “[พระผู้เป็นเจ้า] ทรงนำเราผ่านการปฏิวัติอันน่ายินดีเข้าสู่แผ่นดินแห่งเสรีภาพและความสงบสุขที่สัญญาไว้”30
หลังการปฏิวัติอเมริกา การเปลี่ยนแปลงด้านการคมนาคม การสื่อสาร และอุตสาหกรรมช่วยสร้างวัฒนธรรมของสาธารณรัฐในประชาชาติใหม่ ธนาคารจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดหาเงินทุนให้ธุรกิจใหม่ในเศรษฐกิจตลาดเสรี
ควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงในสังคมและวัฒนธรรมอเมริกา การฟื้นฟูศาสนาอย่างต่อเนื่องนานหลายทศวรรษเริ่มต้นในปลายทศวรรษ 1790 นักประวัติศาสตร์เรียกว่าการตื่นตัวทางศาสนาครั้งที่สอง การฟื้นฟูเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับการประชุมค่ายกลางแจ้ง การสั่งสอนด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้น ตลอดจนการทำให้คนกลุ่มใหญ่เปลี่ยนใจเลื่อมใส ผู้รับประโยชน์มากที่สุดจากการตื่นตัวทางศาสนาครั้งนี้คือนิกายแบปทิสต์และเมโธดิสต์ผู้ปฏิเสธหลักคำสอนยอดนิยมของนิกายคัลวินเรื่องพรหมลิขิตตามที่สอนในนิกายคองกรีเกชั่นสมัยนั้น นิกายคัลวินจินตนาการว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ปกครองสูงสุดที่ทำตามพระทัยของพระองค์เองและทรงลิขิตความรอดให้ชายหญิงอย่างลึกลับ ส่วนนิกายคัลวินถือว่าการตกทำให้ชายหญิงเป็นคนบาปโดยสิ้นเชิงและไม่สามารถเลือกความรอดผ่านพระคริสต์ได้
แต่ในช่วงการตื่นตัวทางศาสนาครั้งที่สอง นิกายแบปทิสต์และเมโธดิสต์สั่งสอนว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระเมตตามากกว่าและเน้นว่าความรอดเป็นการเลือกของแต่ละบุคคล ทัศนะเรื่องความรอดส่วนตัวนี้ส่วนใหญ่มาจากคำสอนของนิกายอาร์มิเนียน หรือหลักคำสอนของจาโกบัส อาร์มิเนียสนักศาสนศาสตร์ชาวดัทช์ อาร์มิเนียสและผู้นำศาสนารุ่นต่อมาในอเมริกาเชื่อเรื่องพระคุณของพระผู้เป็นเจ้าที่ประสาทให้แต่ละคนสามารถเลือกพระคริสต์ได้และพระองค์ทรงสามารถช่วยทุกคนที่เลือกรับความรอด31
แนวคิดเรื่องความรอดที่ขัดกันเหล่านี้ทำให้ครอบครัวของโจเซฟ สมิธสำรวจความเชื่อทางศาสนาของตน อาซาเอลและโจเซฟ ซีเนียร์ ปู่และบิดาของโจเซฟ สมิธเห็นด้วยกับทัศนะของอาร์มิเนียนที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักและเมตตา อาซาเอล สมิธเขียนในเวลาต่อมาว่า “พระเยซูคริสต์ทรงช่วยให้ทุกคนหรือใครก็ตามรอดได้”32 อาซาเอลและโจเซฟ ซีเนียร์นับถือนิกายยูนิเวอร์ซะลิสต์ (Universalists) และเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงไถ่มนุษย์ทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น—ตรงข้ามกับทัศนะเรื่องความรอดของนิกายคัลวิน
เราไม่ทราบพื้นเพทางศาสนาของลูซี แม็คจนถึงปี 1802 เมื่อเธอป่วยหนักและสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าว่าจะทำสุดความสามารถเพื่อรับใช้พระองค์ถ้าเธอรอดชีวิต หลังจากหายป่วย ลูซี แม็คเขียนว่า “ดิฉันไม่ได้พูอะไรมากเรื่องของศาสนาแต่ว่าในความคิดดิฉันมีแต่เรื่องนั้น”33 โจเซฟ ซีเนียร์กับลูซี แม็คจะย้ายเมืองไปเรื่อยๆ เพื่อมองหาความรอดทั้งทางโลกและทางวิญญาณ
ในช่วงของการย้ายเมืองไปเรื่อยๆ นี้โจเซฟ สมิธ จูเนียร์เกิดในเมืองชารอน รัฐเวอร์มอนต์วันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1805 ในที่สุดครอบครัวสมิธตั้งรกรากในเมืองพอลไมรา รัฐนิวยอร์ก สมัยนั้นอยู่ใกล้เมืองแมนเชสเตอร์ ครอบครัวสมิธพบความวุ่นวายทางศาสนาใกล้บ้านใหม่ของพวกเขา กลุ่มแบปทิสต์ เพรสไบทีเรียน และเมโธดิสต์ต่างเติบโตมากในเขตนั้นระหว่างปี 1816 ถึง 1821 ส่งผลให้เกิดการก่อตั้งที่ชุมนุมใหม่ของเพรสไบทีเรียน การก่อสร้างอาคารประชุมหลังใหม่ของเมโธดิสต์ และการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของชายหญิงหลายร้อยคน
ลูซี แม็คลองนิกายเพรสไบทีเรียน แต่เธอกล่าวว่า “ทั้งหมดคือความว่างเปล่า” จากนั้นเธอลองนิกายเมโธดิสต์ แต่โจเซฟ ซีเนียร์ห้ามเธอไปที่นั่นอีกขณะที่เขากับอาซาเอลบิดามีศรัทธาเล็กน้อยในหลักคำสอนที่คนเหล่านั้นสอน ถึงแม้ครอบครัวสมิธยังไม่มีศาสนา แต่พวกเขาพยายามสอนหลักธรรมของชาวคริสต์ให้ลูกๆ ในบ้าน รวมทั้งการอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลและการสวดอ้อนวอนส่วนตัว34
โจเซฟ สมิธ จูเนียร์เข้าร่วมการประชุมฟื้นฟูทางศาสนาหลายครั้งกับครอบครัวของท่านเมื่อยังเด็ก ท่านได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการสอนและการสนทนาของบิดาผู้ค้นหาและไม่อาจพบได้ในบรรดานิกายต่างๆ ที่จัดตั้งเหมือนระเบียบสมัยโบราณของพระเยซูคริสต์และอัครสาวกของพระองค์ โจเซฟจะฟังและไตร่ตรองขณะครอบครัวศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิล เมื่ออายุ 12 ขวบท่านเริ่มกังวลกับบาปของท่านและความผาสุกของจิตวิญญาณอมตะของท่าน ซึ่งนำท่านให้ค้นคว้าพระคัมภีร์ด้วยตนเอง
เมื่อโจเซฟ จูเนียร์อายุ 14 ปี ท่านบันทึกว่า
“วันหนึ่งข้าพเจ้าอ่านสาส์นของยากอบ, บทที่หนึ่งและข้อที่ห้า, ซึ่งอ่านว่า: ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา, ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า, ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณา, และมิได้ทรงตำหนิ; แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ.
“ไม่เคยมีข้อความใดในพระคัมภีร์มาสู่จิตใจมนุษย์ด้วยพลังได้มากไปกว่าข้อความนี้ที่ขณะนั้นมาสู่จิตใจข้าพเจ้า. ดูเหมือนจะเข้าถึงความรู้สึกทุกอย่างของจิตใจข้าพเจ้าด้วยพลังอันแรงกล้า. ข้าพเจ้าครุ่นคิดถึงข้อความนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า, โดยรู้ว่าหากมีผู้ใดต้องการปัญญาจากพระผู้เป็นเจ้า, ผู้นั้นคือข้าพเจ้า”35
ในที่สุดโจเซฟตัดสินใจทูลถามพระผู้เป็นเจ้า
โจเซฟเขียนหรือบอกให้จดเรื่องราวสี่เรื่องเกี่ยวกับนิมิตแรกของท่าน เพื่อนร่วมรุ่นของท่านบันทึกความทรงจำของพวกเขาเพิ่มจากสิ่งที่ได้ยินโจเซฟพูดเกี่ยวกับนิมิตนั้น เช่นเรื่องราวห้าเรื่องที่เรารู้จัก การมีบันทึกเหล่านี้เป็นพร เพราะทำให้นิมิตแรกของโจเซฟมีเอกสารยืนยันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้าขอให้ท่านเข้าไปดูที่ history.lds.org เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวและดูว่าเรื่องเหล่านั้นช่วยกันวาดภาพให้สมบูรณ์ขึ้นอย่างไร
บทความของ Gospel Topics “เรื่องนิมิตแรก” กล่าวว่า “เรื่องราวต่างๆ ของนิมิตแรกเล่าเรื่องได้สอดคล้องต้องกัน แม้จะเน้นและลงรายละเอียดต่างกันบ้าง แต่นักประวัติศาสตร์คาดว่าเมื่อแต่ละคนเล่าประสบการณ์ในสภาวะแวดล้อมหลากหลายกับผู้ฟังต่างกลุ่มกันตลอดหลายปี แต่ละเรื่องจะเน้นแง่มุมต่างๆ ของประสบการณ์นั้นและมีรายละเอียดเฉพาะอย่าง โดยแท้แล้วความต่างที่คล้ายกับความต่างในเรื่องนิมิตแรกมีอยู่ในเรื่องราวพระคัมภีร์หลายตอนเกี่ยวกับนิมิตของเปาโลบนถนนไปดามัสกัสและประสบการณ์ของอัครสาวกบนภูเขาแห่งการแปรสภาพ ทว่าแม้จะมีความต่าง แต่ความสอดคล้องพื้นฐานยังคงมีอยู่ในนิมิตแรกทุกเรื่อง บ้างก็โต้เถียงกันผิดๆ ว่าการเล่าเรื่องต่างกันแสดงให้เห็นว่าเป็นการเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา ในทางตรงกันข้าม บันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ล้ำค่าเปิดทางให้เราได้เรียนรู้เหตุการณ์อันน่าทึ่งนี้มากกว่าที่เราจะเรียนรู้ได้ถ้ามีเอกสารน้อยกว่านี้”36
ข้าพเจ้าประสงค์จะทบทวนกับท่านพอสังเขปในเรื่องราวสี่เรื่องที่โจเซฟ สมิธเขียนหรือบอกให้เขียน
หนึ่ง เรื่องราวในปี 1832 เป็นเรื่องที่เขียนไว้อันดับแรกสุดเกี่ยวกับนิมิตแรก เป็นส่วนหนึ่งของอัตชีวประวัติหกหน้าซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมือโจเซฟ เอกสารดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของศาสนจักรตั้งแต่เขียนไว้ หลังจากการเดินทางไปตะวันตก เอกสารนี้ยังคงห่อเก็บไว้ในหีบนานหลายปีและไม่เป็นที่รู้กันทั่วไปจนกระทั่งได้รับการตีพิมพ์ในวิทยานิพนธ์ปริญญาโทปี 1965 และตีพิมพ์ซ้ำหลายครั้งนับแต่นั้น รวมทั้งบน LDS.org และใน Joseph Smith Papers ในเอกสารนี้โจเซฟกล่าวถึงความทุกข์ใจเพราะไม่ทราบจะพบการให้อภัยของพระผู้ช่วยให้รอดจากที่ใด ท่านเป็นพยานว่า “พระเจ้าทรงเปิดฟ้าสวรรค์ให้ข้าพเจ้าและข้าพเจ้าเห็นพระเจ้า”37 ซึ่งบางคนตีความให้หมายความว่าท่านกล่าวถึงการปรากฏเพียงพระองค์เดียวแม้เมื่ออ่านบริบทในเอกสารอื่น แต่ประโยคนี้เข้าใจได้ว่าหมายถึงพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาทรงเปิดฟ้าสวรรค์และทรงเปิดเผยพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ ต่อโจเซฟ
เรื่องนี้เน้นการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดและการไถ่ที่พระองค์ทรงมอบให้โจเซฟเป็นส่วนตัว ส่วนหนึ่งกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเปิดฟ้าสวรรค์ให้ข้าพเจ้าและข้าพเจ้าเห็นพระเจ้า พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘โจเซฟบุตรของเรา บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว … เราถูกตรึงกางเขนแทนชาวโลกเพื่อทุกคนที่เชื่อในนามของเราจะมีชีวิตนิรันดร์’” โจเซฟเป็นพยานว่าท่านประสบปีติและความรักแต่พบว่าไม่มีใครเชื่อ “จิตวิญญาณข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความรักและหลายวันที่ข้าพเจ้าปลื้มปีติยิ่ง พระเจ้าทรงอยู่กับข้าพเจ้า แต่ไม่มีใครเชื่อนิมิตจากสวรรค์ดังกล่าว กระนั้นก็ตาม ข้าพเจ้าไตร่ตรองเรื่องเหล่านี้ในใจ”38
ต่อมา เรื่องราวในปี 1835 เป็นการบรรยายนิมิตแรกของท่านต่อโรเบิร์ต แมทธิวส์ผู้มาเยือนเคิร์ทแลนด์ในปี 1835 ซึ่งผู้จดได้เขียนไว้ในบันทึกส่วนตัวของโจเซฟ แต่ไม่รวมอยู่ในประวัติของโจเซฟฉบับแรกๆ และตีพิมพ์ครั้งแรกใน BYU Studies เมื่อทศวรรษ 1960 ในเรื่องนี้โจเซฟเป็นพยานว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏต่อท่านก่อน จากนั้นท่านเห็นพระผู้ช่วยให้รอดเช่นกัน “ข้าพเจ้าเรียกหาพระเจ้าในการสวดอ้อนวอนสุดกำลัง เสาเพลิงปรากฏเหนือศีรษะข้าพเจ้า ลำแสงส่องมายังข้าพเจ้าพอดีและทำให้ข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยปีติสุดพรรณนา พระอติรูปองค์หนึ่งปรากฏท่ามกลางเสาเพลิงนี้ ซึ่งล้อมรอบด้วยเปลวเพลิงแต่ไม่เผาผลาญสิ่งใด ไม่นานพระอติรูปอีกองค์หนึ่งทรงปรากฏเหมือนกับองค์แรก พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว’” ในเรื่องนี้โจเซฟเขียนด้วยว่า “ข้าพเจ้าเห็นเทพหลายองค์ในนิมิตนี้”39
ต่อมา เรื่องราวในปี 1838 เป็นเรื่องที่รู้จักกันดีและมาจากประวัติต้นฉบับของโจเซฟ ต้นร่างฉบับแรกเขียนหลังจากโจเซฟหนีจากเคิร์ทแลนด์เมื่อต้นปี 1838 ต้นร่างฉบับที่สองเขียนหลังจากท่านหนีจากมิสซูรีในปี 1839 ได้ไม่นาน ด้วยเหตุนี้จึงเขียนในบริบทของการต่อต้านครั้งใหญ่ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1842 ใน Times and Seasons และรวมไว้ในพระคัมภีร์ไข่มุกอันล้ำค่าในปี 1851 ซึ่งเดิมทีเป็นจุลสารสำหรับวิสุทธิชนบริติช ต่อมาประกาศเป็นพระคัมภีร์สำหรับวิสุทธิชนทั้งหมดในปี 1880
ต้นร่างหลายฉบับของเรื่องนี้ตีพิมพ์ไว้ใน Joseph Smith Papers คำถามหลักของเรื่องนี้เหมือนเรื่องราวในปี 1835 คือนิกายใดถูกต้อง ตามประวัติของศาสนจักร และไม่เฉพาะประวัติของโจเซฟเท่านั้น เรื่องราวนี้ “เน้นนิมิตอันเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูและความเจริญก้าวหน้าของศาสนจักร”40 ด้วยเหตุนี้จึงไม่รวมข้อมูลเกี่ยวกับการให้อภัยส่วนตัวไว้ในนั้นตามที่กล่าวไว้ในสองเรื่องก่อน
สุดท้าย เรื่องราวในปี 1842 เป็นการตอบคำขอข้อมูลจากจอห์น เวนท์เวิร์ธบรรณาธิการของ Chicago Democrat โจเซฟเขียนจดหมายถึงเขาซึ่งไม่เพียงระบุหลักแห่งความเชื่อเท่านั้นแต่บรรยายเกี่ยวกับนิมิตแรกของท่านด้วย จดหมายตีพิมพ์ใน Time and Seasons เมื่อปี 1842 โจเซฟอนุญาตให้อิสราเอล ดาเนียล รัพพ์นักประวัติศาสตร์ตีพิมพ์อีกครั้งเมื่อปี 1843 ในหนังสือของเขาเกี่ยวกับศาสนาคริสต์นิกายต่างๆ ในสหรัฐ เรื่องราวนี้มีไว้สำหรับผู้อ่านที่ไม่รู้จักความเชื่อของมอรมอน และเขียนในช่วงที่การต่อต้านท่านศาสดาพยากรณ์อยู่ในภาวะสงบนิ่ง
ส่วนเรื่องราวอื่นๆ โจเซฟกล่าวถึงความสับสนที่ท่านประสบและการปรากฏของพระอติรูปสองพระองค์เพื่อตอบคำสวดอ้อนวอนของท่าน “ข้าพเจ้าถูกโอบล้อมไว้ด้วยนิมิตจากสวรรค์และเห็นพระอติรูปสองพระองค์อันทรงรัศมีภาพผู้มีลักษณะเหมือนกันไม่มีผิด รายล้อมด้วยแสงเจิดจ้าซึ่งบดบังดวงอาทิตย์เที่ยงวัน พระองค์รับสั่งกับข้าพเจ้าว่านิกายทั้งหมดกำลังเชื่อหลักคำสอนที่ไม่ถูกต้อง พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงยอมรับนิกายใดเป็นศาสนจักรและอาณาจักรของพระองค์ ข้าพเจ้าได้รับบัญชาอย่างชัดเจน ‘ไม่ให้ตามพวกเขาไป’ ขณะเดียวกันก็ได้รับสัญญาว่าความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณจะเป็นที่รู้แก่ข้าพเจ้าในอนาคตอันใกล้นี้”41
การมีเรื่องราวเกี่ยวกับนิมิตแรกของโจเซฟคือพร เฉกเช่นกิตติคุณแต่ละเล่มของพันธสัญญาใหม่ที่ร่วมกันพรรณนาพระชนม์ชีพและการปฏิบัติศาสนกิจของพระคริสต์ให้สมบูรณ์มากขึ้น แต่ละเรื่องที่พรรณนานิมิตแรกของโจเซฟ สมิธได้เพิ่มรายละเอียดและทัศนะบางอย่างเข้ากับประสบการณ์ทั้งหมด ทุกเรื่องล้วนเล่าเรื่องราวที่สอดคล้องกันของโจเซฟ โดยเน้นว่ามีความสับสนและการวิวาทในหมู่นิกายต่างๆ ของชาวคริสต์ โจเซฟปรารถนาจะรู้ว่านิกายใดถูกต้อง (หากมี) ท่านค้นคว้าพระคัมภีร์และสวดอ้อนวอน แสงนั้นเลื่อนลงมาจากสวรรค์พระสัตภาวะสองพระองค์ทรงปรากฏและทรงตอบคำสวดอ้อนวอนของท่าน
ตอนนี้ขอย้อนไปทบทวนรายละเอียดที่ทำให้เรื่องราวนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธฉบับปี 1838 กลายเป็นพระคัมภีร์ นี่เป็นประสบการณ์การเรียนรู้อันทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีบนแผ่นดินโลก ประสบการณ์นี้เปลี่ยนชีวิตของโจเซฟ เปลี่ยนชีวิตข้าพเจ้า และข้าพเจ้ารู้ว่าได้เปลี่ยนหรือจะเปลี่ยนชีวิตท่านเมื่อท่านทูลขอการยืนยันความจริงนี้จากพระเจ้า
“ในที่สุดข้าพเจ้าตัดสินใจว่าข้าพเจ้าต้องคงอยู่ในความมืดมนและความสับสน, หรือมิฉะนั้นก็ต้องทำดังที่ยากอบชี้แนะ, นั่นคือ, ทูลขอจากพระผู้เป็นเจ้า. ในที่สุดข้าพเจ้าตกลงใจที่จะทูลขอจากพระผู้เป็นเจ้า, โดยสรุปว่าหากพระองค์ประทานปัญญาแก่ผู้ที่ขาดปัญญา, และจะประทานด้วยพระกรุณา, และมิได้ทรงตำหนิแล้ว, ข้าพเจ้าจะได้ลองดู.
“ดังนั้น, เพื่อให้เป็นไปตามนี้, ความตั้งใจของข้าพเจ้าที่จะทูลขอจากพระผู้เป็นเจ้า, ข้าพเจ้าจึงเข้าไปในป่าเพื่อลองดู, วันนั้นเป็นเวลาเช้าของวันที่สวยงามแจ่มใส, ต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหนึ่งพันแปดร้อยยี่สิบ. เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าพเจ้าพยายามทำอะไรเช่นนี้. เพราะท่ามกลางความกังวลทั้งหมดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่เคยพยายามสวดอ้อนวอนโดยออกเสียงเลย.
“หลังจากไปถึงสถานที่ซึ่งข้าพเจ้าหมายไว้ก่อนแล้วว่าจะไป, โดยมองไปรอบๆ, และพบว่าตนเองอยู่ตามลำพัง, ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าลงและเริ่มตั้งจิตปรารถนาต่อพระผู้เป็นเจ้า. เมื่อข้าพเจ้าเพิ่งเริ่มทำเช่นนั้น, ในทันทีทันใด ข้าพเจ้าก็ถูกอำนาจบางอย่างมาตรึงไว้ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสิ้นเรี่ยวแรง, และมีอิทธิพลที่น่าประหลาดเช่นนั้นเหนือข้าพเจ้าเพื่อจะผูกลิ้นข้าพเจ้าไว้จนพูดไม่ได้. ความมืดมิดเข้ามารายล้อมข้าพเจ้า, และเพียงอึดใจเดียวสำหรับข้าพเจ้าดูราวกับว่าชะตาข้าพเจ้าจะถึงฆาตโดยพลัน
“แต่, โดยใช้หลังทั้งหมดของข้าพเจ้าเรียกหาพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงปลดปล่อยข้าพเจ้าหลุดพ้นจากอำนาจของศัตรูนี้ซึ่งตรึงข้าพเจ้าไว้, และชั่วขณะนั้นเองที่ข้าพเจ้ากำลังจะจมลงสู่ความสิ้นหวังและยอมตนต่อความพินาศ—มิใช่ต่อหายนะที่เป็นมโนภาพ, แต่ต่ออำนาจของสัตภาวะหนึ่งที่มีอยู่จริงจากโลกซึ่งมองไม่เห็น, ผู้ที่มีอำนาจอันน่าอัศจรรย์เช่นนั้นดังที่ข้าพเจ้าไม่เคยพบในสัตภาวะใดมาก่อน—ชั่วขณะของความตื่นตระหนกใหญ่หลวงนี้, ข้าพเจ้าเห็นลำแสงอยู่เหนือศีรษะข้าพเจ้าพอดี, เหนือความเจิดจ้าของดวงอาทิตย์, ซึ่งค่อยๆ เลื่อนลงมาจนตกต้องข้าพเจ้า.
“ทันทีที่ลำแสงปรากฏ ข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าหลุดพ้นจากศัตรูซึ่งยึดข้าพเจ้าไว้แน่น. เมื่อแสงนั้นส่องมายังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นพระอติรูปสองพระองค์, ซึ่งความเจิดจ้าและรัศมีภาพของทั้งสองพระองค์เกินกว่าจะพรรณนาได้, พระองค์ทรงยืนอยู่เหนือข้าพเจ้าในอากาศ. องค์หนึ่งรับสั่งกับข้าพเจ้า, โดยทรงเรียกชื่อข้าพเจ้าและตรัส, พลางชี้พระหัตถ์ไปที่อีกองค์หนึ่ง—นี่คือบุตรที่รักของเรา. จงฟังท่าน!
“จุดประสงค์ของข้าพเจ้าในการไปทูลถามพระเจ้าคือเพื่อรู้ว่านิกายใดจากนิกายทั้งหมดถูกต้อง, เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ว่าจะนับถือนิกายใด. ฉะนั้น, ทันทีที่ข้าพเจ้าควบคุมตนเองได้, จนสามารถพูดได้แล้ว, ข้าพเจ้าจึงทูลถามพระอติรูปสองพระองค์ที่ทรงยืนอยู่เหนือข้าพเจ้าในความสว่าง, ว่านิกายใดจากนิกายทั้งหมดถูกต้อง (เพราะในเวลานั้นข้าพเจ้านึกไม่ถึงว่าทั้งหมดจะผิด)—และข้าพเจ้าจะนับถือนิกายใด
“ข้าพเจ้าได้รับคำตอบว่าข้าพเจ้าต้องไม่นับถือนิกายใดเลย, เพราะนิกายเหล่านั้นผิดทั้งหมด.”42
ตามที่กล่าวไว้ในเอกสาร “เรื่องราวนิมิตแรก” ซึ่งมีอยู่ที่ LDS.org “โจเซฟเป็นพยานซ้ำๆ ว่าท่านประสบนิมิตอันน่าทึ่งของพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ ความจริงของนิมิตแรกหรือข้อโต้แย้งไม่สามารถพิสูจน์ได้โดยการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว การรู้ความจริงเกี่ยวกับประจักษ์พยานของโจเซฟ สมิธเรียกร้องให้ผู้แสวงหาความจริงแต่ละคนศึกษาบันทึกและใช้ศรัทธามากพอในพระคริสต์เพื่อทูลถามพระผู้เป็นเจ้าในการสวดอ้อนวอนที่นอบน้อมจริงใจว่าบันทึกจริงหรือไม่ หากผู้แสวงหาทูลถามด้วยเจตนาแท้จริงเพื่อทำตามคำตอบที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผย ความจริงเรื่องนิมิตของโจเซฟจะประจักษ์ชัด ในวิธีนี้ทุกคนสามารถรู้ได้ว่าโจเซฟ สมิธพูดจริงเมื่อท่านประกาศว่า ‘ข้าพเจ้าเห็นนิมิต; ข้าพเจ้ารู้เรื่องนี้, และข้าพเจ้ารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงทราบเรื่องนี้, และข้าพเจ้าไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้’ [โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:25]].”43
ตามคำกล่าวของประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธ “เหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในโลกนับแต่การฟื้นคืนพระชนม์ของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าจากอุโมงค์และการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระองค์คือการที่พระบิดาและพระบุตรเสด็จมาปรากฏต่อหน้าเด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธ”44
พี่น้องทั้งหลาย นับเป็นประสบการณ์อันน่าทึ่งและจุดประกายความคิดเมื่อวิเคราะห์สิ่งที่เราเรียนรู้จริงจากประสบการณ์ศักดิ์สิทธิ์และน่าประทับใจนี้ของโจเซฟ สมิธ ข้าพเจ้าต้องการแบ่งปันความจริงบางอย่างที่เราเรียนรู้จากนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธเกี่ยวกับพระลักษณะนิรันดร์ของพระบิดาบนสวรรค์ พระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ การมีอยู่จริงของซาตาน การต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว และแง่มุมสำคัญอื่นๆ ของแผนแห่งความรอดอันสำคัญยิ่ง
เราเรียนรู้ว่าพระคัมภีร์เป็นความจริง เราสามารถเข้าใจและประยุกต์ใช้กับชีวิตเราได้
เราเรียนรู้ว่าการไตร่ตรองพระคัมภีร์ทำให้เกิดพลังและความเข้าใจ
เราเรียนรู้ว่าความรู้แต่อย่างเดียวไม่พอ การทำตามสิ่งที่เรารู้ส่งผลให้เกิดพรของพระผู้เป็นเจ้า
เราเรียนรู้ว่าต้องวางใจพระผู้เป็นเจ้าและพึ่งพาพระองค์ให้ทรงตอบคำถามสำคัญที่สุดของชีวิตและไม่วางใจมนุษย์
เราเรียนรู้ว่าการสวดอ้อนวอนได้รับคำตอบตามศรัทธาอันไม่สั่นคลอนของเราและตามพระประสงค์ของพระบิดาบนสวรรค์
เราเรียนรู้การมีอยู่จริงของซาตานและพลังความสามารถของเขาจะเป็นอิทธิพลต่อโลกทางกายภาพรวมทั้งตัวเรา
เราเรียนรู้ว่าพลังของซาตานมีจำกัดและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าเข้ามาแทนที่พลังนั้น
เราเรียนรู้ว่าซาตานจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายงานของพระผู้เป็นเจ้าและซาตานต้องได้รู้ความสำคัญของโจเซฟ สมิธในบทบาทการเป็นศาสดาพยากรณ์ของการฟื้นฟู
เราเรียนรู้ว่าเราเอาชนะซาตานได้โดยเรียกหาพระผู้เป็นเจ้า มีศรัทธาและวางใจในพระเจ้าอย่างสมบูรณ์
เราเรียนรู้ว่าที่ใดมีความสว่าง ความมืดต้องสิ้นไป
เราเรียนรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ เป็นสองพระองค์แยกจากกันชัดเจน โดยทรงมีพระลักษณะเหมือนกัน
เราเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงสร้างเราตามรูปลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า
เราเรียนรู้ว่าพระคริสต์ทรงฟื้นแล้ว
เราเรียนรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักเราเป็นส่วนตัว พระองค์ทรงทราบความต้องการและความกังวลของเรา พระองค์ทรงเรียกชื่อโจเซฟ
เราเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ที่ดำรงอยู่ระหว่างพระผู้เป็นเจ้าพระบิดากับพระบุตรของพระองค์พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเยซูทรงยอมทำตามพระบิดา และพระบิดาทรงสื่อสารกับมนุษย์บนแผ่นดินโลกผ่านพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์
เราเรียนรู้ว่าพระบิดาทรงรักพระเยซูคริสต์โดยทรงกำหนดให้พระเยซูเป็นพระบุตรที่รักของพระองค์
เราเรียนรู้ว่าศาสนจักรที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ตามที่ทรงจัดตั้งแต่เดิมไม่อยู่บนแผ่นโลกในสมัยของโจเซฟ สมิธ อันเป็นการยืนยันความจริงของการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่ที่อัครสาวกเปาโลบอกไว้ล่วงหน้า
เราเรียนรู้ว่าเมื่อเราใส่ใจมากพอจะปรารถนาการนำทางจากพระผู้เป็นเจ้าในชีวิตเรา พระองค์จะทรงเปิดเผยเส้นทางที่ดีสำหรับเรา ในสมัยของโจเซฟทุกนิกายผิดหมด
เราเรียนรู้ว่าทุกสมัยการประทานแห่งเวลาได้รับนิมิต พร และรัศมีภาพของพระผู้เป็นเจ้า
เราเรียนรู้จนเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกศาสดาพยากรณ์ของพระองค์อย่างไร
เราเรียนรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกผู้มีใจบริสุทธิ์ที่ชอบธรรมและปรารถนาอย่างชอบธรรมที่จะทำงานของพระองค์ อันเป็นการยืนยันคำสอนจากพระคัมภีร์ไบเบิลที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรจิตใจและไม่เลือกตามรูปลักษณ์ภายนอกหรือสถานะหรือตำแหน่งทางสังคม
พี่น้องทั้งหลาย นิมิตแรกเป็นกุญแจไขความจริงมากมายที่ซ่อนไว้หลายศตวรรษ ขอเราอย่าลืมหรือไม่เห็นค่าความจริงมากมายที่เราได้เรียนรู้จากนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ
การปรากฏของพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์ พระเจ้าพระเยซูคริสต์ ต่อโจเซฟ สมิธนำเข้าสู่สมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา เราควรแบ่งปันเหตุการณ์ศักดิ์สิทธิ์นี้และสิ่งที่เรียนรู้จากเหตุการณ์นั้นกับทุกคนที่เรารักและห่วงใย
ท่านอาจพิจารณา ตอบ และแบ่งปันคำถามสองข้อต่อไปนี้ในสื่อสังคมออนไลน์โดยใช้ #LDSdevo
-
ท่านเรียนรู้ความจริงอะไรบ้างจากนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ
-
พระเจ้าทรงตอบท่านอย่างไรเมื่อท่านแสวงหาความจริงและคำตอบของคำถามที่ท่านมี
ข้าพเจ้าตื่นเต้นที่จะได้อ่านสิ่งที่ท่านแบ่งปันเกี่ยวกับหัวข้อสำคัญนี้และคำถามสำคัญเหล่านี้
ข้าพเจ้าจะสรุปโดยแบ่งปันความจริงอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าเรียนรู้อันเป็นผลจากการมุ่งเน้นนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธขณะสอนผู้สอนศาสนาเต็มเวลา
หลายปีก่อนข้าพเจ้ามีโอกาสรับใช้ในฝ่ายประธานภาคฟิลิปปินส์ สมาชิกในฝ่ายประธานภาคผลัดกันพูดที่การให้ข้อคิดทางวิญญาณซึ่งจัดที่ศูนย์ฝีกอบรมผู้สอนศาสนาในมะนิลา ผู้สอนศาสนาเต็มเวลาที่ได้รับเรียกใหม่มาจากประเทศต่างๆ ประมาณ 14 ประเทศทั่วเอเชียและประเทศแถบแปซิฟิก
เมื่องานมอบหมายของเราในฟิลิปปินส์กำลังจะสิ้นสุด เราจึงยินดีที่มีโอกาสพูดกับผู้สอนศาสนาที่การให้ข้อคิดทางวิญญาณเอ็มทีซีเป็นครั้งสุดท้าย ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมขณะนั่งบนยกพื้นมองดูผู้สอนศาสนาเต็มเวลาที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้เข้าร่วมการประชุม ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอการดลใจให้สามารถแบ่งปันบางอย่างที่จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจความสำคัญอย่างยิ่งของงานที่พวกเขาจะมีส่วนร่วม ขณะตรึกตรองสิ่งที่จะพูด ข้าพเจ้าสังเกตเห็นภาพวาดบนผนังหอประชุม เป็นภาพวาดที่ท่านอาจจะเคยเห็นแขวนอยู่ในอาคารประชุมของท่าน ภาพนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธที่วาดโดยเดล พาร์สัน ซึ่งเรารู้จักกันดี ภาพที่โจเซฟ สมิธวัย 14 ปีกำลังคุกเข่าในป่าศักดิ์สิทธิ์ขณะรับคำแนะนำจากพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ของเรา
ข้าพเจ้าเริ่มข่าวสารกับผู้สอนศาสนาโดยชี้ให้ดูภาพวาดนิมิตแรกของเดล พาร์สัน และอธิบายว่าโจเซฟ สมิธซึ่ง ขณะนั้นกำลังคุกเข่าในป่าศักดิ์สิทธิ์และสวดอ้อนวอนขอการนำทางในชีวิตเป็นตัวแทนของผู้สนใจที่แสวงหาความจริงทุกคน ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทำไมหรือ เพราะท่านมีคำถามเดียวกันกับผู้สนใจเหล่านั้นที่ซื่อสัตย์และจริงใจ เมื่อกำลังทูลถามพระเจ้าว่านิกายใดถูกต้องในบรรดานิกายทั้งหมดนั้น ท่านกำลังค้นหาความจริง ท่านกำลังค้นหาจุดประสงค์ในชีวิต ท่านกำลังค้นหาแผนแห่งความรอดอันสำคัญยิ่งของพระบิดาบนสวรรค์
มีผู้สอนศาสนาเต็มเวลาบนแผ่นดินโลกตอบคำถามของโจเซฟในเวลาที่โจเซฟสวดอ้อนวอนด้วยใจจริงหรือไม่ ไม่มีเลย ด้วยเหตุนี้ในช่วงเวลาศักดิ์สิทธิ์นั้น พระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรที่รักของพระองค์พระเยซูคริสต์จึงทรงปรากฏและทรงตอบคำทูลถามของเด็กหนุ่มโจเซฟ การฟื้นฟูความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์จึงเริ่มขึ้น
เฉกเช่นโจเซฟ สมิธ บรรดาผู้สนใจที่จะทำและรักษาคำมั่นสัญญาของพวกเขาจนเจริญก้าวหน้าและรับบัพติศมาส่วนใหญ่คือคนที่ขวนขวายแสวงหาความจริงและจุดประสงค์ของพวกเขาบนแผ่นดินโลก นี่ไม่เพียงเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้สอนศาสนาเต็มเวลาเท่านั้นแต่สำหรับเราด้วยเมื่อเราแบ่งปันพระกิตติคุณ อีกทั้งสำคัญที่ต้องสังเกตว่าคนมากมายที่กำลังค้นหาทิศทางและจุดประสงค์ของชีวิตคือกลุ่มอายุที่เข้าร่วมการให้ข้อคิดทางวิญญาณครั้งนี้ พวกเขาเป็นเพื่อนและมิตรสหายของท่าน แนนซีภรรยาข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในกลุ่มอายุเท่าท่านที่กำลังค้นหาความจริงและจุดประสงค์ของเธอในชีวิต
เพื่อนหนุ่มสาวทั้งหลาย นับเป็นพรอย่างเหลือเชื่อที่เราทุกคนได้เกิดมาในเวลาที่พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ได้รับการฟื้นฟูมายังแผ่นดินโลกโดยสมบูรณ์ ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานและประจักษ์พยานต่อท่านว่าโจเซฟ สมิธได้รับการเยือนจากพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์พระเจ้าพระเยซูคริสต์ในวันที่สวยงามนั้นของฤดูใบไม้ผลิปี 1820 ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าข้อมูลศักดิ์สิทธิ์ที่พระองค์ทรงแบ่งปันและโจเซฟรับไว้ด้วยใจนอบน้อมล้วนเป็นไปตามสัมฤทธิผลของคำพยากรณ์ที่ศาสดาพยากรณ์ผู้บริสุทธิ์กล่าวไว้ตลอดประวัติศาสตร์ของแผ่นดินโลก ข้าพเจ้าเป็นพยานด้วยว่าเสรีภาพทางศาสนาอันเกิดจากการก่อตั้งสหรัฐอเมริกาได้ช่วยเตรียมทางสำหรับการฟื้นฟู ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานเพิ่มเติมถึงความจริงจากถ้อยคำของประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์เกี่ยวกับนิมิตแรกเมื่อท่านกล่าวว่า “โจเซฟ สมิธเรียนรู้ในนาทีเหล่านั้น ไม่ว่าจะนานหรือเพียงชั่วครู่ เกี่ยวกับพระลักษณะของพระผู้เป็นเจ้ามากกว่านักวิชาการที่รอบรู้ทั้งหมดเคยเรียนรู้”45 นับเป็นโอกาสอันเหลือเชื่อสำหรับเราทุกคนที่ได้แบ่งปันประจักษ์พยานของเราเกี่ยวกับการฟื้นฟูความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้ายนี้
พี่น้องทั้งหลาย ความจริงได้รับการฟื้นฟู ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน
© 2016 by Intellectual Reserve, Inc. All rights reserved. อนุมัติภาษาอังกฤษ: 3/16 อนุมัติการแปล: 3/16 แปลจาก “The Truth Restored.” Thai. PD60001510 425