การถ่ายทอดประจำปี
เห็นแต่ละคน


เห็นแต่ละคน

การถ่ายทอดการอบรมประจำปีของเซมินารีและสถาบันศาสนา • 13 มิถุนายน 2017

ดิฉันตื้นตันใจกับโอกาสที่ได้อยู่ที่นี่ในวันนี้และแสดงความรักของดิฉันต่อพระผู้ช่วยให้รอด ต่อท่าน ต่อเยาวชนและคนหนุ่มสาวที่ดิฉันได้รับเกียรติให้รับใช้

ดิฉันจำพยานแรงกล้าที่ได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อดิฉันอ่านข้อความ ต่อไปนี้ของประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์เป็นครั้งแรก “ข้าพเจ้าเชื่อว่า ตามคำท้าทายและความรับผิดชอบที่ท่านได้รับ ท่านได้ทำให้รูปลักษณ์ของพระคริสต์จารึกในสีหน้าของท่าน และในความหมายที่แท้จริง ในห้องเรียนนั้น ณ เวลานั้น ในคำพูดนั้น และด้วยการดลใจนั้น ท่านเป็นพระองค์และพระองค์ทรงเป็นท่าน1 ความคิดที่ว่าดิฉันมีสิทธิพิเศษของการเป็นตัวแทนพระผู้ช่วยให้รอดในความรับผิดชอบของดิฉันเป็นความปรารถนาที่สร้างแรงจูงใจและเป็นความจริงที่ชี้นำดิฉันตลอดอาชีพในเอสแอนด์ไอ

เอ็ลเดอร์กองสอนเราในยามค่ำกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ครั้งล่าสุดว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นครูที่สมบูรณ์แบบคือพระองค์ทรงสามารถสอนคน 5,000 คน และทรงสอนแต่ละคนพร้อมกัน ท่านกล่าวว่า “นี่เป็นปาฏิหาริย์ที่เราในฐานะครูแสวงหา—คือสอนทั้งชั้นเรียนและสอนแต่ละคนในชั้นเรียน เรียกร้องให้สนใจคน 5,000 คนและแต่ละคน เชื้อเชิญให้ไขข้อกังวลทั่วไปและความต้องการของแต่ละคน2 ท่านเคยสงสัยไหมว่าพระผู้ช่วยให้รอด ทรงทำเช่นนั้นได้อย่างไร

ดิฉันต้องการแบ่งปันประสบการณ์ที่เคยมีในการสอนปีที่สองเมื่อพระเจ้าทรงสอนดิฉันโดยทรงช่วยให้ดิฉันเห็นว่าการเป็นตัวแทนพระองค์ในห้องเรียนหมายความว่าอย่างไร ดิฉันมีเยาวชนชายอายุประมาณ 15 ปีคนหนึ่งในชั้นเรียน ดิฉันรู้ภายในไม่กี่วันแรกว่าดิฉันไม่มีความอดทนต่อบุคลิกภาพที่ไม่น่ารักของเขาและรู้สึกว่าจะต้องพยายามใช้ของประทานที่ดิฉันไม่มีไปตลอดเทอม ดิฉันสวดอ้อนวอนขอให้สามารถรักเขาและรักนักเรียนทุกคนของดิฉันได้

ระหว่างชั้นเรียนสัปดาห์ที่สอง เมื่อเยาวชนชายคนนี้ยืนให้ข้อคิดทางวิญญาณและแบ่งปันข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อยเกี่ยวกับชีวิตเขา ดิฉันได้รับของประทานให้เห็นเขาดังที่พระเจ้าทรงเห็นและรู้สึกรักเขามากขึ้นทันที เขาเล่าว่าพ่อแม่กำลังดำเนินเรื่องหย่าร้างและคุณแม่ไม่เพียงออกจากศาสนจักรเท่านั้นแต่ต่อต้านด้วย ดิฉันเห็นสีหน้าแสดงความเจ็บปวดและความสับสนที่เขารู้สึกขณะเล่าเรื่องนี้ ดิฉันจำข้อคิดทางวิญญาณที่เขาแบ่งปันไม่ได้แต่จำสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสอนดิฉันได้ มีความคิดเข้ามาในใจดิฉันว่า “ถอดรองเท้าออกเพราะเราจะให้เจ้าเข้าไปในใจ เราวางใจเจ้าให้เป็นอิทธิพลหญิงที่ซื่อสัตย์ในชีวิตเยาวชนชายคนนี้ และเราต้องการให้เจ้ารักเขาดังที่เรารักเขา” นับจากวินาทีนั้นดิฉันเปลี่ยน ใจดิฉันเปลี่ยน ดิฉันเห็นเขา—เห็นจริงๆ ว่าเขา—เป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า มีศักยภาพล้ำเลิศ พร้อมด้วยของประทานฝ่ายวิญญาณ และมีมากมายให้ชั้นเรียนของเรา พฤติกรรมของเขาเปลี่ยนเทอมนั้น แต่มากกว่านั้นคือดิฉันเปลี่ยน และในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเรามีประสบการณ์แสนวิเศษบางอย่างด้วยกัน ดิฉันจะสำนึกคุณตลอดไปต่อเยาวชนชายคนนี้และโอกาสที่พระเจ้าประทานให้ดิฉันเกิดการเปลี่ยนแปลงในใจและทัศนคติที่เปลี่ยนไปของดิฉัน

ดิฉันอัศจรรย์ใจเสมอกับพระปรีชาสามารถของพระบิดาในสวรรค์ซึ่งไม่เพียงทรงทราบเท่านั้นแต่ทรงสนองความต้องการของแต่ละคนได้ด้วย ดิฉันรู้ว่าพระองค์ทรงเห็น เข้าพระทัย และรู้จักดิฉันอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ พระองค์ทรงรักดิฉันอย่างแท้จริง ดิฉันรู้เช่นกันว่าพระองค์ทรงเห็นดิฉันเป็นผู้มีศักยภาพและรู้ว่าด้วยความช่วยเหลือจากพระองค์ ดิฉันจะเป็นเหมือนพระองค์ ดิฉันรู้ว่าพระองค์ทรงมีความเชื่อเดียวกันนั้นต่อท่านทั้งหลายแต่ละคนและเยาวชนชายหญิงทุกคนที่เดินผ่านประตูของเรา พระองค์ทรงเห็นพวกเขา ทรงต้องการช่วยให้พวกเขาแต่ละคนรอด ทรงมองข้ามรูปลักษณ์ภายนอกและพฤติกรรมของพวกเขา ทรงเลือกสนพระทัยเฉพาะคุณสมบัติและข้อดีของพวกเขา ในฐานะครู พระองค์ทรงคาดหวังให้เราทำเช่นเดียวกัน

ปีนี้ เราจะใช้เรื่องสำคัญเรื่องใหม่ที่เรียกว่า “เห็นแต่ละคน” เรื่องนี้เน้นให้เราแต่ละคนพัฒนาความสามารถเหมือนพระคริสต์ในการเห็นความต้องการ ข้อดี และศักยภาพล้ำเลิศของนักเรียนแต่ละคน ความหวังของเราคือให้แต่ละคนพัฒนาความสามารถเหมือนพระคริสต์ให้ลึกซึ้งขึ้นในการมองข้ามฉายาและรูปลักษณ์ภายนอก ฝึกเห็นนักเรียนแต่ละคนเป็นบุคคลพิเศษผู้มีศักยภาพล้ำเลิศและปฏิบัติต่อเขา ตามนั้น

นักเรียนแต่ละคนเดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับสภาวการณ์ ความต้องการ และความท้าทายที่ส่งผลต่อประสบการณ์การเรียนรู้ของพวกเขา สำคัญที่ต้องจำไว้ว่าเซมินารีหรือสถาบันเป็นเพียงชีวิตส่วนหนึ่งของนักเรียนแต่ละคน—ส่วนสำคัญ แต่ยังคงเป็นส่วนหนึ่ง รูปแบบการเรียนรู้ ความต่างทางวัฒนธรรม ความพิการ การเสพติด ความสูญเสียและความโศกเศร้าเป็นเพียงปัจจัยบางอย่างที่อาจส่งผลต่อประสบการณ์การเรียนรู้ของนักเรียน สภาวการณ์และฉายาไม่ใช่นิยามตัวตนของนักเรียนแต่เปิดโอกาสให้เราเห็นและรักพวกเขาดังที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเห็นและทรงรัก สิทธิพิเศษและความรับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์ของเราคือทำมากขึ้นเพื่อช่วยคนมีภาระหนักและคนสิ้นหวังที่มาแสวงหาความหวังจากพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงมีให้มนุษยชาติทั้งปวง

ขณะไตร่ตรองความรับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์นี้ในการมองเห็นแต่ละคน ดิฉันเรียนรู้ได้มากจากคำสอนของอัครสาวกเปาโลใน 1 โครินธ์ 12 ดิฉันจะแบ่งปันบทเรียนสามบทที่ได้เรียนรู้จากการศึกษาบทนั้น 

บทที่ 1: เปาโลเริ่มสอนเกี่ยวกับพระกายของพระคริสต์และคุณค่าของอวัยวะแต่ละส่วนโดยสอนเรื่องของประทานฝ่ายวิญญาณ ขณะศึกษา ข้อ 1–11 ดิฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้ากุญแจดอกหนึ่งที่ใช้เห็นแต่ละคนดังที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเห็นคือรับรู้ก่อนว่าพวกเขามีของประทานและข้อดีที่เราต้องมองเห็นและใช้ประโยชน์ เมื่อเราเห็นนักเรียนแบบนี้เราจะรู้และดึงข้อดีของพวกเขามาใช้แทนที่จะสนใจแต่ข้อบกพร่องหรือพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ บางครั้งพฤติกรรมของนักเรียนไม่ได้สะท้อนคุณค่าของนักเรียนตามที่เราเห็น ทักษะอย่างหนึ่งที่ครูพัฒนาได้คือหยุดคิดก่อนโต้ตอบความเห็นหรือพฤติกรรมของนักเรียนทันที จากนั้นให้พิจารณาเหตุผลสองสามข้อที่เป็นไปได้ว่า “ทำไม” นักเรียนตอบอย่างนั้นหรือทำอย่างนี้ ซึ่งจะช่วยไม่ให้ครูทำโดยไม่ยั้งคิดและรับรู้ของประทานฝ่ายวิญญาณของนักเรียนได้ดีขึ้น

ขณะพยายามจดจำศักยภาพล้ำเลิศของนักเรียนแต่ละคน เราต้องรับรู้สภาวการณ์หรือความพิการที่อาจทำให้พวกเขาไม่ปรารถนาหรือไม่สามารถเรียนรู้ ทั้งหมดนี้เรียกร้องให้เราสร้างประสบการณ์นั้นอย่างระมัดระวังเพื่อเชิญชวนและสร้างแรงบันดาลใจให้แต่ละคนฝึกใช้สิทธิ์เสรีกับการใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณในกระบวนการเรียนรู้ กระบวนการนี้ไม่ง่าย แต่เมื่อเราขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระองค์จะทรงช่วยให้เรารู้ว่าจะช่วยบุตรธิดาของพระองค์อย่างไร

ประสบการณ์หนึ่งที่เคยมีสอนให้ดิฉันรู้คุณค่าของการรับรู้ของประทานฝ่ายวิญญาณในนักเรียนของดิฉันผ่านนักเรียนคนหนึ่งที่ไม่ตื่นเต้นกับการอ่านในชั้นเรียนหรือนอกชั้นเรียน เธอมีพรสวรรค์มากด้านดนตรี และเมื่อดิฉันสวดอ้อนวอนขอให้รู้วิธีช่วยเธอ พระเจ้าทรงตอบโดยให้ทำบางอย่างที่ดิฉันไม่เคยลองทำมาก่อน ดิฉันนำตารางบทเรียนมาให้เธอและขอให้เธอหาเพลงที่สามารถเล่นในชั้นเรียนได้ให้บทเรียนแต่ละบทซึ่ง จะ ช่วยสอนความจริงหนึ่งเรื่องในพระคัมภีร์ช่วงนั้น เธอจึงต้องอ่านนอกชั้นเรียนเพื่อค้นหาความจริงและหาเพลงได้ ดิฉันยังให้โอกาสเธอแสดงประจักษ์พยานในชั้นเรียนถึงสิ่งที่เรียนรู้จากการเตรียมของเธอด้วย ภายในไม่กี่สัปดาห์ดิฉันเห็นนักเรียนคนนี้รักพระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้นและมีส่วนร่วมในชั้นเรียนดีขึ้น ปัจจุบันเธอรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลา เธอไม่เพียงอ่านเท่านั้นแต่สอนพระคัมภีร์และแบ่งปันของประทานแห่งประจักษ์พยานผ่านดนตรีด้วย

บทที่ 2: เปาโลเน้นว่าอวัยวะแต่ละส่วนของร่างกายมีค่า ใน ข้อ 14–18 ท่านสอนเราว่า

“เพราะว่าร่างกายไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะเดียว แต่ด้วยหลายอวัยวะ

“ถ้าเท้าจะพูดว่า เพราะฉันไม่ได้เป็นมือ ฉันจึงไม่เป็นอวัยวะของร่างกาย เท้าก็ไม่เป็นอวัยวะของร่างกายเพราะเหตุนี้ย่อมไม่ได้

“ถ้าหูจะพูดว่าเพราะฉันไม่ได้เป็นตา ฉันจึงไม่เป็นอวัยวะของร่างกาย หูก็ไม่เป็นอวัยวะของร่างกายเพราะเหตุนี้ย่อมไม่ได้

“ถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นตา การได้ยินจะอยู่ที่ไหน? ถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นหู การดมกลิ่นจะอยู่ที่ไหน?

“แต่พระเจ้าทรงตั้งอวัยวะแต่ละอวัยวะไว้ในร่างกายตามชอบพระทัยของพระองค์”

ดิฉันชอบมโนภาพเรื่องอวัยวะที่มีบทบาทต่างกันแต่จำเป็น มือแทนเท้าไม่ได้ หูแทนตาไม่ได้ แต่ละส่วนมีบทบาทเฉพาะและสำคัญ และเอื้อประโยชน์ต่างกัน แต่ละส่วนจำเป็นต่อการช่วยให้ร่างกายทำงานได้เต็มสมรรถภาพ

เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์ใช้อุปมานิทัศน์สอนความจริงเดียวกันนี้ว่า “ตามแบบแผนของพระเจ้าเสียงทุกเสียงในคณะนักร้องของพระผู้เป็นเจ้าไม่เหมือนกัน ต้องใช้หลายเสียงเพื่อให้เพลงไพเราะ—โซปราโนกับอัลโต บาริโทนกับเบส— … เมื่อเราดูแคลนเอกลักษณ์หรือพยายามทำตามสามัญทัศนะลวง … เราสูญเสียความไพเราะของท่วงทำนองที่พระผู้เป็นเจ้าตั้งพระทัยไว้เมื่อทรงสร้างโลกแห่งความหลากหลาย”3

เพื่อช่วยให้นักเรียนแต่ละคนมีประสิทธิภาพในการ “เปลี่ยนใจเลื่อมใสขณะพวกเขาอยู่กับเรา”4 เราต้องเชื่อว่านักเรียนแต่ละคนมีค่าและทำเช่นนั้น ตามความจริงเหล่านี้ดิฉันเชื้อเชิญให้แต่ละท่านถามตนเองสองข้อว่า หนึ่ง “ฉันเชื่อจริงไหมว่านักเรียนทุกคนของฉันมีค่าและเป็นสมาชิกที่เอื้อประโยชน์ได้” สอง “การกระทำของฉันสะท้อนความเชื่อนั้นหรือไม่”

ดิฉันสวดอ้อนวอนทูลขอพระเจ้าทรงช่วยให้ความเชื่อนี้ชี้นำเรามากขึ้น

บทที่ 3: เปาโลสอนว่าเราควรห่วงใยอวัยวะแต่ละส่วนเหมือนกัน เขากล่าวว่า “เพื่อไม่ให้มีการแตกแยกกันในร่างกาย แต่ให้อวัยวะต่างๆ มีความห่วงใยแบบเดียวกันต่อกันและกัน”5

ข้อนี้ส่งผลให้ดิฉันใคร่ครวญการกระทำของตนเอง ดิฉันมี “ความห่วงใยแบบเดียวกัน” ต่อนักเรียนแต่ละคนหรือไม่ ดิฉันสนใจนักเรียนที่ดูเหมือนจะเอื้อประโยชน์ชัดเจนมากกว่าหรือไม่ คนที่ดิฉันรักได้ง่ายกว่าคือคนที่ยกมือและมีพระคัมภีร์เตรียมไว้พร้อมแบ่งปันประจักษ์พยาน และความคิดเห็นที่มีความหมายหรือไม่ คนที่ดิฉันรักและเอาใจใส่ได้ง่ายกว่าคือคนที่รักดิฉัน รักชั้นเรียน มาตรงเวลาและขาดเรียนเฉพาะเวลาที่เจ็บป่วยหรือไม่ นักเรียนคนอื่นสังเกตเห็นหรือไม่เมื่อดิฉันไม่ให้ “ความห่วงใยแบบเดียวกัน” ต่อนักเรียนแต่ละคน และนั่นส่งผลต่อสภาพแวดล้อมของความรัก ความเคารพ และจุดประสงค์ในห้องเรียนของดิฉันอย่างไร นักเรียนมีแนวโน้มที่จะเห็นและปฏิบัติต่อกันเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดเมื่อเราแต่ละคนเป็นต้นแบบในเรื่องนี้

ขณะพยายามเป็นตัวแทนของพระผู้ช่วยให้รอดในการสอนของเราและพัฒนาความสามารถในการเห็นดังที่พระองค์ทรงเห็น เราต้องจำไว้ว่า (1) ทุกคนมีของประทานฝ่ายวิญญาณให้เอื้อประโยชน์ (2) สมาชิกทุกคนมีค่า และ (3) เราต้องแสดง “ความห่วงใยแบบเดียวกัน” ต่อสมาชิกแต่ละคน

ดิฉันขอแบ่งปันบทเรียนอีกหนึ่งบทที่ได้เรียนรู้ขณะไตร่ตรองความจำเป็นของเรื่องสำคัญเรื่องนี้ ในยุคของเราปฏิปักษ์ “ดุจสิงโตคำรามเดินวนเวียนเที่ยวเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้”6 เขาเหมือนขโมยตัวฉกาจคอยหาทางช่วงชิงอัตลักษณ์และความเชื่อมโยงกับสวรรค์ของแต่ละคน เราต้องพัฒนาความสามารถในการเห็นดังที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเห็นเพื่อเราจะช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจศักยภาพล้ำเลิศของพวกเขาและซื่อตรงต่อพระเจ้าในโลกที่สับสนซึ่งเรียก “ความชั่วว่าความดี และเรียกความดีว่าความชั่ว พวกที่ถือว่าความมืดคือความสว่าง และความสว่างคือความมืด”7

วีรสตรีคนหนึ่งของดิฉันในพระคัมภีร์ผู้เป็นต้นแบบของความสามารถนี้คืออาบีกายิล ในพันธสัญญาเดิมบรรยายว่าเธอเป็นสตรีที่ “ฉลาดและสวยงามด้วย”8 เธอแต่งงานกับนาบาล ชายที่ “ชั่วร้ายในการกระทำ” 9 หลังจากนาบาลดูถูกและปฏิเสธจะช่วยดาวิด ดาวิดรวบรวมคนหมายจะสังหารนาบาลกับครัวเรือนของเขา เมื่อคนรับใช้ของนาบาลบอกอาบีกายิลถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น เธอรวบรวมของกำนัลทันทีแล้วออกไปพบดาวิด

เมื่อพบกับดาวิด อาบีกายิลน้อมกายลงต่อหน้าเขา และตามแบบอย่างของพระคริสต์ เธอรับผิดชอบสิ่งที่เธอไม่ได้ทำผิดและเธอขออภัยเขา10 อาบีกายิลเห็นอะไรในนาบาลที่ผลักดันให้เธอแก้ต่างแทนเขา

เธอเห็นอะไรในดาวิดที่ทำให้เธอต้องพูดว่า “โปรดอภัยความผิดของสาวใช้ของท่านเถิด เพราะพระยาห์เวห์จะทรงทำให้เจ้านายของดิฉันเป็นพงศ์พันธุ์ที่มั่นคงแน่เพราะว่าเจ้านายของดิฉันทำสงครามอยู่ฝ่ายพระยาห์เวห์ และจะไม่พบความชั่วในตัวท่านตลอดชีวิตของท่าน”11

เหตุใดในช่วงวิกฤติเช่นนั้นเธอจึงเลือกเตือนดาวิดให้รู้ว่าเขาเป็นใครและให้นึกถึงสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้ การกระทำด้วยศรัทธาของเธอมีผลอย่างไร

ดิฉันรักคำตอบของดาวิดเมื่อเขาประกาศว่า

“สาธุการแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงใช้เจ้าให้มาพบเราในวันนี้

“ขอให้ความฉลาดของเจ้ารับพระพร และขอให้ตัวเจ้ารับพระพร เพราะเจ้าได้ป้องกันเราในวันนี้ให้พ้นจากการฆ่า และจากการแก้แค้นด้วยมือของเราเอง”12

ดิฉันเชื่อว่าในขณะนั้น เมื่อนึกถึงสัญญาของประธานแพคเกอร์ อาบีกายิลมี “รูปลักษณ์ของพระคริสต์จารึกในสีหน้า [ของเธอ] … และในความหมายที่แท้จริง ในห้องเรียนนั้น ณ เวลานั้น ในคำพูดนั้น และด้วยการดลใจนั้น [เธอเป็นพระองค์และพระองค์ทรงเป็นเธอ]”13

ดิฉันเป็นพยานว่าเรามีโอกาสคล้ายกันในการเห็นผู้อื่นดังที่พระองค์ทรงเห็น และช่วยให้พวกเขาเห็นความล้ำเลิศในตนเอง

คำพูดไม่สามารถแสดงความรักและความสำนึกคุณที่ดิฉันมีต่อคนเหล่านั้นผู้เป็นต้นแบบของคุณลักษณะเหมือนพระคริสต์ในชีวิตดิฉัน คนแรกสุดคือคุณแม่ผู้เป็นเสมือนเทพธิดาของดิฉัน ท่านเห็นเสมอว่าดิฉันมีศักยภาพล้ำเลิศและมีของประทานฝ่ายวิญญาณ ท่านเห็นดิฉันเป็นผู้เอื้อประโยชน์—แม้เมื่อดิฉันไม่ได้ทำอย่างนั้น—และท่านทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยเพื่อช่วยดิฉันพัฒนาศักยภาพดังกล่าว ดิฉันมีผู้นำฐานะปุโรหิตที่นำความหวังมาสู่ชีวิตดิฉันโดยถ่ายทอดความรักของพระบิดาบนสวรรค์ให้ดิฉันและเตือนให้ดิฉันนึกถึงคุณค่าของตนเอง ครูเซมินารีและครูสถาบันของดิฉันเอง—หลายคนชมการถ่ายทอดในวันนี้—เห็นบางสิ่งในตัวดิฉันที่ดิฉันไม่เห็นในตนเอง อาชีพของดิฉันดีขึ้นมากเพราะชายหญิงผู้ช่วยพยุงดิฉันและนำดิฉันไปหาพระผู้ช่วยให้รอด ผ่านแบบอย่างการมองเห็นแต่ละคนของพวกเขา

ดิฉันสำนึกคุณชั่วนิรันดร์ต่อวิธีที่พระเจ้าทรงแสดงให้ดิฉันเห็นเสมอว่าพระองค์ทรงมองเห็นดิฉันมีคุณค่า พระองค์ทรงอวยพรดิฉันด้วยของประทานและทรงให้โอกาสดิฉันได้ใช้ของประทานเหล่านั้นช่วยให้ผู้อื่นเป็นเหมือนพระองค์ ดิฉันทราบว่าพระองค์ทรงทำเช่นนั้นกับแต่ละท่านและนักเรียนแต่ละคนของเรา

สองสามเดือนที่ผ่านมา ดิฉันมีประสบการณ์ที่งดงามขณะศึกษาพระคัมภีร์โดยเน้นวิธีที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเห็นแต่ละคนและทรงสอนตามการมองเห็นนั้น การเรียนรู้จากพระองค์โดยตรงเปลี่ยนดิฉัน ดิฉันเชื้อเชิญให้ท่านใช้โอกาสเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นต้นแบบที่สมบูรณ์พร้อม มีตัวอย่างนับไม่ถ้วนที่พระองค์ทรงสร้างประสบการณ์การเรียนรู้และบทเรียนเพื่อสนองความต้องการของแต่ละคนและช่วยคนที่พระองค์ทรงสอนให้เข้าใจศักยภาพล้ำเลิศของพวกเขา

เพื่อนรักทั้งหลาย ดิฉันสวดอ้อนวอนขอพระบิดาในสวรรค์ทรงเพิ่มความสามารถให้เราแต่ละคนเห็นดังที่พระองค์ทรงเห็น รักดังที่พระองค์ทรงรัก และทำดังที่พระองค์จะทรงทำ ดิฉันสวดอ้อนวอนว่าเราจะแสวงหาของประทานนี้และหาวิธีได้มาหรือทำให้ลึกซึ้งขึ้น ขอให้เราพยายามมีรูปลักษณ์ของพระผู้ช่วยให้รอดในสีหน้าของเราขณะที่เรายืนอยู่ต่อหน้านักเรียนทุกวัน ดิฉันทราบว่าเราพัฒนาของประทานนี้ได้เมื่อเราทูลขอให้พระองค์ทรงช่วยเรา ดิฉันเป็นพยานในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

พิมพ์