วางใจในพระผู้เป็นเจ้า
การถ่ายทอด S&I ประจำปีเดือนมกราคม ปี 2024
วันศุกร์ที่ 26 มกราคม ค.ศ. 2024
นับเป็นพรที่ได้พูดกับท่าน—ผู้ทำหลายสิ่งเพื่อนำคนรุ่นเยาว์มาหาพระคริสต์ ท่านสอนและทำให้ผู้คนเปลี่ยนใจเลื่อมใส ท่านมีพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นเพื่อน รางวัลของท่านเหนือคำบรรยาย พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “ปีติของเจ้า … จะใหญ่หลวงเพียงใดในอาณาจักรแห่งพระบิดาของเรา”1
ข้าพเจ้าซาบซึ้งในสิ่งที่เราได้ยินจากเอ็ลเดอร์คลาร์ก จี. กิลเบิร์ต กรรมาธิการด้านการศึกษาของศาสนจักร และบราเดอร์แชด เอช. เว็บบ์ ผู้บริหารเซมินารีและสถาบันศาสนา ข้าพเจ้าชื่นชมและมีความสุขที่รับใช้กับทั้งสองท่าน ข้าพเจ้าขอรับรองแนวทางและคำแนะนำอันชาญฉลาดที่เราเพิ่งได้รับจากแต่ละท่าน ทั้งสองท่านรู้ในเรื่องที่ตนพูด ข้าพเจ้าตื่นเต้นกับรายงานของบราเดอร์เว็บบ์เกี่ยวกับการเติบโตของเซมินารีและสถาบัน ขอบคุณและยินดีกับทุกท่านที่มีบทบาทในงานนี้
ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะจดจำถ้อยคำของเอ็ลเดอร์กิลเบิร์ตเกี่ยวกับการศึกษาและขยายผลการมุ่งเน้นคำพยากรณ์ของประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน รวมทั้งอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์ท่านอื่นๆ แบบอย่างที่ท่านยกมาเกี่ยวกับวิธีทำ และทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ มีประโยชน์มากเป็นพิเศษ ท่านอาจทำตามแบบอย่างเหล่านั้นได้หลากหลาย และพบการดลใจสำหรับการนำไปใช้แบบอื่นๆ ในสภาวการณ์ของท่าน นี่เป็นโครงการสำคัญด้านการศึกษาของศาสนจักรซึ่งจะเกิดผลอันสำคัญยิ่ง
ข้าพเจ้าตื่นเต้นมาก—ถึงกับประหลาดใจด้วย—กับสิ่งที่บราเดอร์เว็บบ์ประกาศเรื่องบทเรียนตามสาระสำคัญในเซมินารี เขาเน้นว่าเราจะใช้วิธีเรียงตามบทในพระคัมภีร์ต่อไปเพื่อเป็นรากฐานของหลักสูตรเซมินารีแต่จะเพิ่มบทเรียนหลากหลายในสัปดาห์ส่วนใหญ่ที่สอนตามสาระสำคัญ เช่น งานเผยแผ่ พระวิหาร การเตรียมพร้อมด้านการศึกษา ทักษะการศึกษาพระคัมภีร์ การปรับตัวด้านอารมณ์ ทักษะชีวิต คำสอนของศาสดาพยากรณ์ยุคสุดท้าย และอื่นๆ ข้าพเจ้าคิดว่านี่เหมือนการเพิ่มผลไม้พิเศษกับเครื่องปรุงรสสดใหม่ลงไปในพาย มันต้องอร่อยแน่นอน ข้าพเจ้าตั้งตารอกับท่านที่จะเรียนรู้จากวิธีนี้ และยินดีที่ได้จัดเตรียมสิ่งพิเศษบางอย่างให้คนที่พยายามและเสียสละเข้ามาในเซมินารี กินพายให้อร่อยนะครับ
ข้าพเจ้าขอพูดถึงข้อกังวลที่รบกวนเราอย่างไม่เคยมีมาก่อนในคนรุ่นเยาว์ของเรา ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงความรู้สึกวิตกกังวลและซึมเศร้า กับผลอันขมขื่นที่ความรู้สึกเหล่านี้จะก่อขึ้นได้—ที่ร้ายแรงที่สุดคือการใช้สารเสพติด การทำร้ายตนเอง แม้จนถึงฆ่าตัวตาย สถิติบางอย่าง
สถิติทั่วโลกระหว่างปี 2004 และ 2021 รายงานเรื่องอาการซึมเศร้าที่ต้องพบแพทย์ในวัยรุ่นเพิ่มจาก 13.1% เป็น 29.2% สำหรับผู้หญิง และจาก 5% เป็น 11.5% สำหรับผู้ชาย2 ในหมู่วัยรุ่นอายุ 12 ถึง 17 ปี 21% ประสบอาการซึมเศร้าหนักอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต และ 15% ประสบเมื่อปีที่แล้ว3 ตัวเลขเหล่านี้ไม่รวมเรื่องท้าทายของอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลที่ไม่ได้ไปพบแพทย์ ซึ่งแม้อาการเบากว่าแต่ก็สำคัญจนส่งผลต่อเยาวชนอีกมากมาย4 จากข้อมูลใน WebMD เกือบ 60% ของผู้ป่วยที่มีอาการวิตกกังวลจะมีอาการซึมเศร้า และในทางกล้บกันด้วย5
จากการศึกษาที่ยาวนานของศาสนจักรพบว่าในปี 2018 สมาชิกเยาวชนทั่วโลก 29% มีปัญหาวิตกกังวลในระดับที่ต้องพบแพทย์ แน่นอนว่าเรื่องนี้แตกต่างไปตามประเทศและอาจไม่ได้หมายถึงเยาวชนทุกคนในแต่ละประเทศ แต่ตัวเลขของความวิตกกังวลที่ต้องพบแพทย์คือ ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐ 28%, ชิลี 32%, ฝรั่งเศสและเบลเยียม 16%, แอฟริกาใต้ 46%, ไต้หวัน 18%, นิวซีแลนด์ 32%6
แน่นอนว่าปัจจัยหลายอย่างอาจส่งผลหรือเกี่ยวข้องกับการก่อตัวของอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล ในบางกรณีอาจเป็นปัจจัยทางพันธุกรรม นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกอีกหลายอย่างที่อาจมีบทบาทได้ เช่น ความทุกข์ยาก (รวมถึงการบาดเจ็บและถูกทอดทิ้ง) ความเครียด การเลี้ยงดู แนวคิดเรื่องเพศ อิทธิพลจากเพื่อนและกลุ่มสังคม โรงเรียน และอารมณ์
ปัจจัยค่อนข้างใหม่อย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของอาการวิตกกังวลและซึมเศร้าที่เห็นอยู่ดาษดื่นคือการใช้โซเชียลมีเดีย เรื่องนี้ทำให้แพทย์ใหญ่กระทรวงสาธารณสุขสหรัฐสนใจจนออกต้องคำเตือน ในสหรัฐ คาดกันว่าวัยรุ่น 95% มีลิงก์โซเชียลมีเดีย โดยเกือบสองในสามใช้โซเชียลมีเดียทุกวัน การศึกษาพบว่าวัยรุ่นเหล่านี้ใช้เวลาเฉลี่ย 3.5 ชั่วโมงต่อวันกับโซเชียลมีเดียและรายงานว่านั่นมีผลกระทบต่อการรับรู้ตนเอง มีรูปแบบการมีส่วนร่วมทางออนไลน์บางอย่างที่ทำนายผลลัพธ์เชิงลบได้ เช่น การกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ต การส่งข้อความพูดคุยกันเรื่องเพศ และการเสพติดข่าวร้าย (สำหรับท่านที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหมือนข้าพเจ้า “การเสพติดข่าวร้าย” หมายถึงการใช้เวลานานๆ กับโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ของตัวเองค้นดูเฉพาะข่าวเชิงลบ เห็นได้ชัดว่าสำหรับบางคน นิสัยนี้ควบคุมไม่ได้และเป็นความอุ่นใจแบบหม่นๆ) การใช้โซเชียลมีเดียเชิงรับ—เป็นการใช้เวลาดูเนื้อหาในโซเชียลมีเดียอย่างไร้เป้าหมาย—จะเพิ่มความรู้สึกด้อยค่าและการเปรียบเทียบเชิงลบ ในขณะที่การใช้โซเชียลมีเดียแบบเชิงรุกหรืออย่างมีจุดประสงค์ (เช่น การโพสต์ การแสดงความคิดเห็น และการติดต่อหากัน) จะไม่ส่งผลด้านลบเช่นนั้น
งานวิจัยแสดงให้เห็นด้วยว่ามีปัจจัยบางอย่างที่สามารถช่วยปกป้องขัดขวางอาการวิตกกังวลและซึมเศร้าได้ สิ่งเหล่านี้ได้แก่กิจกรรมทางกาย การแสดงความรัก ความมุ่งมั่น และการควบคุมตนเอง
โดยส่วนตัวข้าพเจ้าเชื่อว่าส่วนใหญ่ความท้อแท้วิตกกังวลเกิดเพราะเราไม่เข้าใจและไม่ระลึกถึงแผนพระผู้เป็นเจ้าและไม่วางใจในพระเดชานุภาพเมื่อเราเดือดร้อน เยาวชนที่ไม่เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้ามีจริง ไม่เชื่อในความรัก และแผนแห่งความสุขเพื่อบุตรธิดาของพระองค์ย่อมเห็นแต่อนาคตที่มืดมัวและเปราะบาง เราไม่ได้หวังพึ่งครูเซมินารีและสถาบันให้เป็นที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เราเพียงต้องการถ่วงน้ำหนักของปัจจัยต่างๆ ในสังคมที่ส่งผลให้ระดับของโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้าสูงขึ้น เราเป็นผู้จัดหาความหวัง เราเป็นเสียงแห่งความหวัง ความหวังที่หยั่งรากในศรัทธาและความวางใจในพระเจ้า
การเข้าใจแผนแห่งการไถ่ของพระบิดาบนสวรรค์—โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ประกอบสำคัญของแผนนั้น การชดใช้ของพระเยซูคริสต์—ให้ความมั่นใจสูงสุด สิ่งนี้สร้างและรักษาการปรับตัวทางวิญญาณและอารมณ์—การรู้เหตุผลที่เราเป็นอยู่และจุดประสงค์ของชีวิตมรรตัย เราสอนด้วยกฎเกณฑ์และแบบอย่างแก่ผู้ที่มองหาการปลดปล่อยและการช่วยเหลือ ให้พระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอดสถิตในใจพวกเขา: “เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุข ในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่ จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”7 พันธสัญญาผูกมัดเราไว้กับพระองค์ และโดยพระองค์ และเราก็ชนะโลกด้วย
เราช่วยให้ผู้เรียนและคนอื่นๆ สร้างรากฐานส่วนตัวบน “ศิลาของพระผู้ไถ่ของเรา, ผู้ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า” เพื่อ “เมื่อมารจะส่งลมอันมีกำลังแรงของเขามา, แท้จริงแล้ว, ลูกศรของเขาในลมหมุน, แท้จริงแล้ว, เมื่อลูกเห็บของเขาและพายุอันมีกำลังแรงของเขาทั้งหมดจะกระหน่ำมาบน [พวกเขา], มันจะไม่มีพลังเหนือ [พวกเขา] เพื่อลากเอา [พวกเขา] ลงไปสู่ห้วงแห่งความเศร้าหมองและวิบัติอันหาได้สิ้นสุดไม่”8 ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันพูดถึงเรื่องนี้ว่า: “พระเจ้าทรงประกาศว่าแม้ปัจจุบันมีความท้าทายที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่คนที่สร้างรากฐานบนพระเยซูคริสต์ และเรียนรู้วิธีดึงเดชานุภาพของพระองค์มาใช้ จะไม่ต้องยอมจำนนต่อความวิตกกังวลที่เจอเฉพาะในยุคนี้”9
เรามีโอกาสอันหาที่เปรียบมิได้จากวิชาเรียนปีนี้ พระคัมภีร์มอรมอน ไม่มีพระคัมภีร์อื่นที่แสดงแผนแห่งการไถ่ได้ชัดเจนเท่านี้ ไม่มีหนังสืออื่นสอนเพื่อชวนให้เชื่อในความเป็นจริงและความหมายของการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ได้เท่าหนังสือเล่มนี้ ไม่มีส่วนใดในสารบบพระคัมภีร์ที่มีอำนาจการเปลี่ยนใจเลื่อมใสแบบพระคัมภีร์มอรมอนในการเป็นพยานว่าพระเยซูคือพระคริสต์ และว่าพระองค์ทรงเอาชนะความตายทั้งทางร่างกายและทางวิญญาณ พระคัมภีร์มอรมอนอรรถาธิบายความจริงพระกิตติคุณและปีติในการทำตามพระบัญญัติแห่งพระกิตติคุณอย่างเรียบง่าย ถ้อยคำในนั้นเต็มไปด้วยแบบอย่างของการชนะ พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า และ “อานุภาพแห่งพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า”10 คือทำให้เกิดศรัทธาในพระผู้ช่วยให้รอด—ศรัทธาที่ขจัดความสงสัย โรคซึมเศร้า และความวิตกกังวลที่อาจครอบงำเราและเพิ่มความเข้มแข็งและความมั่นใจแทน
ลองพิจารณาแบบอย่างบางข้อ
มีสัญญาอันคุ้นเคยที่กษัตริย์เบ็นจามินกล่าวถึง: “และยิ่งกว่านั้น, ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านพิจารณาถึงสภาพอันเป็นพรและเป็นสุขของคนที่รักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า. เพราะดูเถิด, พวกเขาได้รับพรในทุกสิ่ง, ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายวิญญาณ; และหากพวกเขายืนหยัดอย่างซื่อสัตย์จนกว่าชีวิตจะหาไม่แล้วพวกเขาจะได้รับเข้าสู่สวรรค์, เพื่อโดยการนั้นพวกเขาจะพำนักอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าในสภาพแห่งความสุขอันไม่รู้จบ. โอ้จงจำ, จงจำไว้ว่าเรื่องเหล่านี้จริง; เพราะพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้ารับสั่งไว้.”11
จงจำคำประกาศอย่างมั่นใจของนีไฟเมื่อท่านเผชิญการข่มเหงและความซึมเศร้าในช่วงเวลาที่บิดาของท่านตาย
“กระนั้นก็ตาม, ทั้งที่มีพระคุณความดีอันใหญ่หลวงของพระเจ้า, ในการแสดงงานสำคัญยิ่งและน่าอัศจรรย์ของพระองค์กับข้าพเจ้า, ใจข้าพเจ้ายังร้อง: โอ้ข้าพเจ้าช่างเป็นคนที่น่าเวทนา! แท้จริงแล้ว, ใจข้าพเจ้าสลด … เพราะความชั่วช้าสามานย์ของข้าพเจ้า.
“ข้าพเจ้าถูกห้อมล้อม, เนื่องจากการล่อลวงและบาปซึ่งได้รุกรานข้าพเจ้าโดยง่าย.
“และเมื่อข้าพเจ้าปรารถนาจะชื่นชมยินดี, ใจข้าพเจ้าครวญครางเพราะบาปของข้าพเจ้า; กระนั้นก็ตาม, ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าได้วางใจผู้ใด. …
“โอ้แล้ว, หากข้าพเจ้าเห็นสิ่งที่อัศจรรย์ยิ่งเช่นนั้น, หากพระเจ้าในพระจริยวัตรอันอ่อนน้อมของพระองค์ต่อลูกหลานมนุษย์เสด็จเยือนมนุษย์ด้วยพระเมตตาอย่างล้นเหลือ, ไฉนใจข้าพเจ้าจะร้องไห้และจิตวิญญาณข้าพเจ้าจะรั้งรออยู่ในหุบเขาแห่งโทมนัส, และเนื้อหนังข้าพเจ้าสูญสิ้นไป, และกำลังข้าพเจ้าถดถอย, เพราะความทุกข์ของข้าพเจ้าเล่า? …
“ข้าแต่พระเจ้า, ข้าพระองค์วางใจในพระองค์, และข้าพระองค์จะวางใจในพระองค์ตลอดกาล”12
แอลมาเล่าถึงปีติของการเกิดใหม่จากนั้นพึ่งพาพระผู้เป็นเจ้า:
“และบัดนี้, พ่อต้องทรมานอยู่สามวันกับสามคืน, แม้ด้วยความเจ็บปวดของจิตวิญญาณที่อัปมงคล.
“และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือเมื่อพ่อต้องทรมานด้วยความทรมานอยู่ดังนั้น, ขณะที่พ่อปวดร้าวอยู่ด้วยความทรงจำถึงบาปอันมากมายของพ่อ, ดูเถิด, พ่อจำได้ด้วยว่าได้ยินบิดาของพ่อพยากรณ์แก่ผู้คนเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์หนึ่ง, พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า, เพื่อทรงชดใช้บาปของโลก.
“บัดนี้, เมื่อจิตของพ่อนึกได้ถึงความคิดนี้, พ่อร้องอยู่ภายในใจพ่อ: ข้าแต่พระเยซู, พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า, ขอพระองค์ทรงเมตตาข้าพระองค์, ผู้อยู่ในดีแห่งความขมขื่น, และถูกล้อมรอบด้วยโซ่อันเป็นนิจแห่งความตาย.
“และบัดนี้, ดูเถิด, เมื่อพ่อคิดดังนี้, พ่อจำความเจ็บปวดของพ่อไม่ได้อีก; แท้จริงแล้ว, พ่อไม่ปวดร้าวด้วยความทรงจำถึงบาปของพ่ออีก.
“และโอ้, พ่อได้เห็นปีติ, และความสว่างอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น; แท้จริงแล้ว, จิตวิญญาณพ่อเปี่ยมด้วยปีติยิ่งเท่ากับความเจ็บปวดของพ่อ! …
“แท้จริงแล้ว, และนับแต่เวลานั้นมาแม้จนถึงบัดนี้, พ่อทำงานโดยไม่หยุด, เพื่อพ่อจะได้นำจิตวิญญาณมาสู่การกลับใจ; เพื่อพ่อจะนำพวกเขามาลิ้มรสของปีติยิ่งซึ่งพ่อลิ้มรสแล้ว; เพื่อพวกเขาจะได้เกิดจากพระผู้เป็นเจ้าด้วย, และเปี่ยมไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์. …
“และพ่อได้รับการค้ำจุนภายใต้ความเดือดร้อนและความยุ่งยากทุกอย่าง, แท้จริงแล้ว, และในความทุกข์ทุกอย่าง; แท้จริงแล้ว, พระผู้เป็นเจ้าทรงปลดปล่อยพ่อจากเรือนจำ, และจากพันธนาการ, และจากความตาย; แท้จริงแล้ว, และพ่อมอบความไว้วางใจในพระองค์, และพระองค์จะยังทรงปลดปล่อยพ่อ”13
ใครเล่ามีเหตุผลที่จะวิตกกังวลและซึมเศร้าอย่างหนักเกินกว่ามอรมอนที่คร่ำครวญว่า “ภาพของความชั่วร้ายและความน่าชิงชังมีอยู่ต่อสายตาข้าพเจ้าตลอดเวลานับแต่ข้าพเจ้าอายุมากพอจะมองเห็นวิถีทางของมนุษย์”14 กระนั้น แม้ในช่วงเวลาแห่งสงครามและความบอบช้ำ ท่านยังกล่าวกับโมโรไนได้ว่า “ลูกพ่อ, จงซื่อสัตย์ในพระคริสต์; และขออย่าให้เรื่องที่พ่อเขียนไว้ทำให้ลูกโศกเศร้า, ที่จะถ่วงลูกลงไปสู่ความตาย; แต่ขอให้พระคริสต์ทรงยกลูกขึ้น, และขอให้ความทุกขเวทนาและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์, และการแสดงพระวรกายต่อบรรพบุรุษของเรา [การฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์] และพระเมตตาและความอดกลั้นของพระองค์, และความหวังในรัศมีภาพของพระองค์และชีวิตนิรันดร์, จงสถิตอยู่ในจิตใจลูกตลอดกาล”15
แอลมาอธิบายแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอดในการจัดการกับความทุกข์ที่เกินความเข้าใจ และวิธีหันหาพระองค์เพื่อการบรรเทาทุกข์และการเยียวยาแทนที่จะสิ้นหวัง
“และพระองค์จะเสด็จออกไป, ทรงทนความเจ็บปวดและความทุกข์และการล่อลวงทุกอย่าง; และนี่ก็เพื่อคำซึ่งกล่าวว่าพระองค์จะทรงรับความเจ็บปวดและความป่วยไข้ของผู้คนของพระองค์จะได้เกิดสัมฤทธิผล.
“และพระองค์จะทรงรับเอาความตาย, เพื่อพระองค์จะทรงทำให้สายรัดแห่งความตายที่ผูกมัดผู้คนของพระองค์หลุดออก; และพระองค์จะทรงรับเอาความทุพพลภาพของพวกเขา, เพื่ออุทรของพระองค์จะเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา, ตามเนื้อหนัง, เพื่อพระองค์จะทรงรู้ตามเนื้อหนังว่าจะทรงช่วยผู้คนของพระองค์ตามความทุพพลภาพของพวกเขาได้อย่างไร.
“… พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้ายังทรงรับทุกขเวทนาตามเนื้อหนังเพื่อพระองค์จะทรงรับเอาบาปของผู้คนของพระองค์, เพื่อพระองค์จะทรงลบการล่วงละเมิดของพวกเขาตามพระพลานุภาพแห่งการปลดปล่อยของพระองค์; และบัดนี้ดูเถิด, นี่คือประจักษ์พยานซึ่งอยู่ในข้าพเจ้า.
“บัดนี้ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่าท่านต้องกลับใจ, และเกิดใหม่; เพราะพระวิญญาณตรัสว่าหากท่านไม่เกิดใหม่ท่านจะสืบทอดอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นมรดกไม่ได้; ฉะนั้นจงมาเถิดและรับบัพติศมาสู่การกลับใจ, เพื่อท่านจะรับการล้างจากบาปของท่าน, เพื่อท่านจะมีศรัทธาในพระเมษโปดกของพระผู้เป็นเจ้า, ผู้ทรงเอาบาปของโลกไป, ผู้ทรงอานุภาพจะช่วยให้รอดได้และจะชำระจากความไม่ชอบธรรมทั้งมวล”16
ในพระคัมภีร์มอรมอน เราเรียนรู้ความหมายที่แท้จริงและขั้นตอนของการเกิดใหม่และ “กลับเป็นวิสุทธิชนโดยผ่านการชดใช้ของพระคริสต์พระเจ้า”17 ถ้าเราสามารถนำเยาวชนและคนหนุ่มสาวของเราเกิดใหม่ทางวิญญาณ โรคซึมเศร้าจะหายไปและความวิตกกังวลในชีวิตพวกเขา (อย่างเช่นการมาเป็นผู้พูดในการถ่ายทอดทั่วโลก) จะจัดการได้เป็นอย่างดี แม้ความตายก็คุกคามสันติสุขของพวกเขาไม่ได้เมื่อพวกเขาเกิดในพระวิญญาณและเรียนรู้ที่จะวางใจในพระผู้เป็นเจ้า
เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์เคยกล่าวถึง “สภาพสิ้นหวังของมนุษย์” ข้อเท็จจริงที่ว่าทุกสิ่งสิ้นสุดที่ความตาย ความสำเร็จของเรา การครอบครอง การพบปะสังสรรค์ล้วนมีจุดสิ้นสุด ถ้าไม่มีอะไรมากกว่านี้ ดังที่ “ผู้สั่งสอน” เคยกล่าวไว้ในปัญญาจารย์ “สารพัดก็อนิจจังคือกินลมกินแล้ง”18 ความตายเป็นข้อเท็จจริง และเราถูกบีบให้ยอมรับว่าหากปราศจากอำนาจที่ชนะความตายแล้ว ชีวิตเราย่อมมีจุดประสงค์ที่ยั่งยืนได้ไม่นาน ดีที่เรารู้ว่ามีผู้ชนะความตายแล้ว ชีวิตมีจุดประสงค์และความหมาย และทุกสิ่งไม่อนิจจัง โดยการชดใช้ของพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงเอาชนะสภาพสิ้นหวังของมนุษย์ด้านความตายและบัดนี้ดังที่เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์กล่าวว่า “ชัยชนะของพระคริสต์เหนือความตายยุติสภาพความเป็นมนุษย์ บัดนี้เหลือเพียงสภาพส่วนตัวเท่านั้น [บาป ความผิดพลาด และความล้มเหลว] และเราจะได้รับการช่วยชีวิตจากสภาพเหล่านี้เช่นกันโดยทำตามคำสอนของพระองค์ผู้ทรงช่วยชีวิตเรามาแล้วจากการดับสูญโดยรวม”19
ในสิ่งทั้งหมดนี้ เรากำลังส่งเสริมทัศนะที่ยาวไกลกว่าดังวลีล่าสุดของประธานเนลสัน “คิดแบบซีเลสเชียล” เราต้องช่วยให้อนุชนรุ่นหลังปฏิเสธเจตคติ “จงกิน, จงดื่ม, และจงรื่นเริงเถิด, เพราะพรุ่งนี้เราก็ตาย” ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในหลายวัฒนธรรม การปฏิบัติต่อชีวิตแบบผู้ล้มเหลวเช่นนี้ละเลยแผนแห่งการไถ่และความสุข แล้วมุ่งเน้นแต่ความพอใจชั่วขณะเท่านั้น นำไปสู่รูปแบบและวิถีชีวิตที่ไม่ยั่งยืน ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลที่ท้อถอยและอาการซึมเศร้าที่เสียหายโดยตรง ประธานเนลสันกล่าวเรื่องนี้ในคำปราศรัยประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ท่านแนะนำดังนี้:
“ความเป็นมรรตัยเป็นหลักสูตรขั้นสูงในการฝึกเลือกสิ่งสำคัญที่สุดในนิรันดร คนมากมายเหลือเกินดำเนินชีวิตประหนึ่งว่าชีวิตนี้คือทั้งหมดที่มี แต่การเลือกของท่านวันนี้จะกำหนดสามสิ่ง: ท่านจะอยู่ที่ไหนตลอดชั่วนิรันดร ร่างกายแบบไหนที่ท่านจะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา และคนแบบไหนที่ท่านจะอยู่ด้วยตลอดไป ดังนั้นจงคิดแบบซีเลสเชียล”20
ในหนังสือที่ท่านเพิ่งพิมพ์เผยแพร่ล่าสุดชื่อ หัวใจของสิ่งสำคัญ ประธานเนลสันอธิบายโดยละเอียดในเรื่องนี้โดยอ้างอิงประสบการณ์ส่วนตัวที่น่าตกใจ ท่านกล่าวว่า:
“หลายครั้งในชีวิต ข้าพเจ้าเผชิญหน้ากับความตาย ครั้งหนึ่งเกิดที่มาปูโต โมซัมบิก เมื่อปลายพฤษภาคมปี 2009 ขณะรับประทานอาหารที่บ้านประธานคณะเผยแผ่กับเอ็ลเดอร์วิลเลียม ดับเบิลยู. พาร์มลีย์ ประธานภาคแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้และชันนาภรรยาของท่าน พร้อมด้วยประธานแบลร์ เจ. แพคการ์ด ประธานคณะเผยแผ่โมซัมบิกมาปูโตและซินดีย์ภรรยา มีชายสามคนพร้อมปืนกลมือบุกเข้ามาในห้อง
“ในการต่อสู้หลังจากนั้น คนร้ายคนหนึ่งจ่อปืนที่ศีรษะข้าพเจ้า ประกาศว่าพวกเขามาเพื่อสังหารข้าพเจ้าและลักพาตัวภรรยา จากนั้นก็เหนี่ยวไกปืน ปืนลั่นดังกริ๊กแต่ยิงไม่ออก พอปืนยิงไม่ออก คนร้ายก็โกรธจัด ถีบหน้าข้าพเจ้าจนลงไปกองกับพื้น ข้าพเจ้าแน่ใจว่านี่เป็นจุดจบของตนเองแน่นอน ข้าพเจ้าจำความคิดได้ว่า ‘ข้าพเจ้ากำลังจะจากชีวิตนี้ไปสู่ชีวิตหน้า นี่จะเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจมาก’
“ในเวลาเดียวกัน คนร้ายอีกคนจ่อปืนพกเข้าไปที่หลังของเวนดี้ และเริ่มเขย่าเก้าอี้เธอ พยายามดึงเธอออกมาพลางพูดว่า ‘มานี่เลย! มานี่เลย!’
“เรารอดชีวิตมาด้วยปาฏิหาริย์อย่างต่อเนื่อง และขอบคุณไม่น้อยสำหรับการกระทำเยี่ยงวีรสตรีของซิสเตอร์ซินดี้ แพคการ์ด อย่างไรก็ตาม เพราะข้าพเจ้ามีเวลาที่ต้องตระหนกตกใจมาก่อนหลายครั้ง ข้าพเจ้าจึงตระหนักถึงความเปราะบางของชีวิตและตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ที่มีความสำคัญนิรันดรนั้นมีน้อยนัก ขณะคนร้ายเหล่านั้นคุกคามชีวิตเรา ข้าพเจ้าไม่ได้นึกถึงรางวัลหรือระดับการศึกษาหรือคำสรรเสริญใดๆ ขณะนั้นข้าพเจ้านึกถึงครอบครัวและพันธสัญญาที่ทำกับพระเจ้า
“ข้าพเจ้าเกรงว่ามีพวกเรามากเกินไปที่กำลังดำเนินชีวิตราวกับว่าชีวิตนี้คือทุกสิ่งที่มีและจะไม่มีชีวิตต่อไปหลังความตาย และสิ่งที่เราทำที่นี่ไม่ส่งผลต่ออนาคต นั่นไม่จริงเลย
“เราจำเป็นต้องไม่รวนเรและไม่ถูกดึงออกจากเส้นทางพันธสัญญาเพราะ ‘สิ่งล่อตาลวงใจ’ ของโลก ซึ่งหมายถึงเกียรติยศและความประสงค์ของมนุษย์ เหตุการณ์เหล่านั้นไม่สำคัญอะไรเลยในโลกหน้า จะ มีอะไรสำคัญถ้าเราได้ทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าแล้วและได้รักษาพันธสัญญาเหล่านั้น”21
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนให้เราสามารถช่วยทุกคนที่เรามีอิทธิพลต่อพวกเขาให้ได้ทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าและรักษาพันธสัญญาเหล่านั้น ช่วยให้พวกเขาปลูกฝังศรัทธาและความวางใจในพระผู้เป็นเจ้าและพบความหวัง ช่วยพวกเขาให้กลับใจและแนบสนิทในพระคุณแห่งการไถ่ของพระผู้ช่วยให้รอดและพบสันติสุข ช่วยพวกเขาให้เกิดใหม่ในฐานะ “ลูกๆ ของพระคริสต์ บุตรและธิดาของพระองค์”22 และพบปีติ และขอให้ท่านได้รับคำชมเชยจากพระผู้เป็นเจ้า “ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์”23
ข้าพเจ้าขอให้คำพยานที่มั่นคงและแน่นอนถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ข้อเท็จจริงแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์พิสูจน์ความจริงของสิ่งที่เราสอนในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และยืนยันว่าพระองค์ทรงมีเดชานุภาพทั้งมวลในสวรรค์และแผ่นดินโลก—ทรงทำให้พระสัญญาของพระองค์เกิดสัมฤทธิผลได้และจะทรงทำ พระองค์ทรงพระชนม์! ท่านคือผู้เลี้ยงแกะในสังกัดของพระองค์ และข้าพเจ้าอวยพรท่านให้ได้รับความรักจากพระองค์และสามารถยิ่งขึ้นในการสอนและใส่ใจต่อลูกแกะของพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน