การให้ข้อคิดทางวิญญาณ 2018
ตราสัญลักษณ์ของศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่ของพระเจ้า


ตราสัญลักษณ์ของศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่ของพระเจ้า

ยามค่ำกับเอ็ลเดอร์แพทริค เคียรอน

การให้ข้อคิดทางวิญญาณทั่วโลกสำหรับคนหนุ่มสาว • 6 พฤษภาคม 2018 • ศูนย์มหาวิยาลัยบริคัมยังก์–ไอดาโฮ

ข้าพเจ้าสำนึกคุณสำหรับเจน ผู้ดำเนินชีวิตตามสิ่งที่เธอสอนอย่างไม่มีข้อยกเว้น เธอรู้ว่าเธอเป็นใครและเบิกบานใจที่รู้ตัวตนของเธอ เธอกล้าในการแบ่งปันสิ่งนั้นกับผู้อื่นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าสำนึกคุณที่เราพบกันสองปีหลังจากข้าพเจ้าเข้าร่วมกับศาสนจักร เธอเป็นแบบอย่างที่เป็นพรต่อข้าพเจ้าและสำหรับข้าพเจ้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและยังคงเป็นต่อไป

ช่างวิเศษมากที่คิดถึงท่านที่มาชุมนุมกันจากทั่วโลก ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอน ในเจตนารมณ์ของคำสวดอ้อนวอนเปิดที่ไพเราะของแลนดอน ว่าท่านจะได้รับสิ่งที่ต้องการ หากท่านต้องการการดลใจ ท่านก็จะได้รับ หากท่านต้องการบางสิ่งที่พิเศษมาก สิ่งนั้นก็จะมา มีพลังอย่างยิ่งเมื่อเรามาชุมนุมกันเช่นนี้ เมื่อเราเตรียมสำหรับช่วงเวลาเช่นนี้ มีพลังในการชุมนุมกัน หากท่านต้องการการเยียวยา ขอให้ท่านได้รับการเยียวยา หากท่านต้องการการปลอบโยน ขอให้ท่านได้รับการปลอบโยน หากท่านต้องการสันติสุข ขอให้ท่านมีสันติสุข หากท่านต้องการความช่วยเหลือทำข้อสอบ—ข้าพเจ้าคิดว่านั่นยังเร็วไปหน่อยสำหรับภาคเรียนของท่าน แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง ขอให้ท่านได้รับความช่วยเหลือเช่นกัน

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าขณะที่ท่านได้รับการกระตุ้นเตือน ขณะที่ท่านได้รับข่าวสารเพื่อตัวท่าน ท่านจะมีกำลังและความเชื่อมั่นที่จะปฏิบัติตามการกระตุ้นเตือนนั้น และไม่กลับไปสู่นิสัยปัจจุบันของท่าน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม หากท่านต้องการช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลง หากท่านต้องการช่วงเวลาฟื้นฟูพละกำลังและศรัทธา ขอให้ท่านได้รับของประทานนั้น

เมื่อข้าพเจ้าอายุ 15 หรือ 16 ปี ข้าพเจ้าหมกมุ่นกับตัวเองมากและประสบความรู้สึกไม่มั่นคง ไม่แน่ใจ และอ่อนไหวในหลายๆ เรื่องตามประสาวัยรุ่น ความรู้สึกบางอย่างเหล่านั้นยังวนเวียนอยู่ แต่รุนแรงที่สุดในช่วงวัยรุ่น ข้าพเจ้ารู้สึกสับสน ประหม่า และขวยเขิน การอยู่โรงเรียนกินนอนบนชายฝั่งค่อนข้างห่างไกลในอังกฤษไม่ได้ช่วยอะไรเลย บิดามารดาข้าพเจ้าอยู่ไกลในซาอุดีอาระเบีย ในแง่ของโรงเรียน ฮอกวอตส์กับสเนปน่าอยู่กว่าเสียอีก

อากาศทั่วไปตามแนวชายฝั่งไม่สู้ดี แต่ฤดูหนาวปีหนึ่งพายุน่ากลัวมากพัดผ่านทะเลไอริชด้วยลมแรง 63 ถึง 87 กิโลเมตรต่อชั่วโมง น้ำทะลซัดแนวป้องกันพังครืนและทำให้บางส่วนเป็นรอยแตก แล้วบ้านเรือนราว 5,000 หลังและบริเวณพื้นที่โดยรอบถูกน้ำท่วม ประชาชนขาดการติดต่อ ไม่มีไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ให้ความร้อนและแสงสว่างในบ้าน และพวกเขาไม่มีอาหารสำรอง

เมื่อน้ำเริ่มลด โรงเรียนส่งพวกเราไป ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นภัยธรรมชาติรุนแรงขนาดนั้นมาก่อน และประหลาดใจกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นใกล้ตัว ทุกหนทุกแห่งมีแต่น้ำกับโคลน ใบหน้าของคนที่ถูกน้ำท่วมซีดเผือดและอิดโรย พวกเขาอดนอนมาหลายวัน ข้าพเจ้ากับเพื่อนนักเรียนชายพยายามช่วยย้ายข้าวของที่เปียกโชกขึ้นไปตากชั้นบนและดึงพรมที่เสียหายเพราะน้ำท่วมออก ข้าพเจ้าจำได้ว่าพรมที่เปียกชุ่มหนักมากและในบ้านกลิ่นเหม็นเหลือเกิน

ที่น่าทึ่งต่อจากนั้นคือมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างคนช่วยเหลือกับคนได้รับความช่วยเหลือ มีความรู้สึกที่ดีมากๆ ระหว่างผู้ร่วมอุดมการณ์อันทรงคุณค่าภายใต้สภาวการณ์ท้าทาย ข้าพเจ้าใคร่ครวญภายหลังว่าความรู้สึกไม่มั่นคงเหล่านั้นที่ครอบงำความคิดวัยรุ่นส่วนใหญ่ของข้าพเจ้า หายไปสิ้น ขณะพยายามช่วยเหลือเพื่อนบ้านในครั้งนี้

ข้าพเจ้าอยากให้ความตระหนักรู้นั้นคงอยู่ แต่ไม่เป็นเช่นนั้น การค้นพบว่าการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นยาถอนพิษความรู้สึกหมกมุ่นหม่นหมองของตนเองน่าจะเปลี่ยนข้าพเจ้า แต่ไม่เปลี่ยน เพราะการค้นพบไม่ลึกซึ้งพอ และข้าพเจ้าไม่ได้ใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้นให้มากกว่านี้ ความเข้าใจนั้นเกิดขึ้นภายหลัง ท่านคงพบความจริงนี้ในชีวิตท่านเองแล้ว อาจจะเป็นประโยชน์ถ้าท่านทบทวนว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับท่านเมื่อใดและอย่างไร

คำเชื้อเชิญที่การประชุมใหญ่สามัญให้ปฏิบัติศาสนกิจ

ข้าพเจ้าพิจารณาเรื่องนี้ระหว่างการประชุมใหญ่สามัญ ข้าพเจ้ารู้สึกโชคดีที่มีโอกาสพูดกับท่านหลังการประชุมใหญ่ครั้งประวัติการณ์ผ่านไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ ความประทับใจ สันติสุข และความกระตือรือร้นยังอยู่กับข้าพเจ้า

หัวใจของข่าวสารการประชุมใหญ่คือการเรียกซ้ำๆ ให้ปฏิบัติศาสนกิจดังที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงปฏิบัติ—และทำเช่นนั้นด้วยความรัก โดยตระหนักว่าเราและคนที่อยู่รอบข้างเราทุกคนเป็นบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ เราจะรับใช้ไม่ใช่เพราะมีการนับและประเมินการรับใช้ของเรา แต่เพราะเรารักพระบิดาในสวรรค์และมีเป้าหมายที่สูงกว่าและประเสริฐกว่าเป็นแรงจูงใจ การช่วยให้เพื่อนผองของเราพบและเดินอยู่ในทางกลับบ้านไปหาพระองค์ เรารักและรับใช้เพื่อนบ้านดังที่พระเยซูจะทรงรักและรับใช้หากพระองค์ทรงเป็นเรา โดยพยายามทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้นและแบ่งเบาภาระของพวกเขา นี่คือที่มาของปีติและสัมฤทธิผลอันยั่งยืนทั้งสำหรับผู้ให้และผู้รับ ขณะที่เราร่วมรับผลของการรู้และรู้สึกถึงคุณค่าอนันต์ของเราและความรักอนันต์ของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับเราแต่ละคน

ประธานเนลสันสรุปข่าวสารนี้ไว้ในทำนองนี้ “ตราสัญลักษณ์ของศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่ของพระเจ้าคือการพยายามปฏิบัติศาสนกิจอย่างมีระเบียบและถูกทิศทางต่อบุตรธิดาแต่ละคนของพระผู้เป็นเจ้าและครอบครัวของพวกเขา เพราะนี่เป็นศาสนจักรของพระองค์ เราในฐานะผู้รับใช้ของพระองค์จะปฏิบัติต่อคนหนึ่งดังที่พระองค์ทรงปฏิบัติ เราจะปฏิบัติศาสนกิจในพระนามของพระองค์ ด้วยพลังและสิทธิอำนาจของพระองค์ และด้วยความการุณย์รักของพระองค์”1

เมื่อข้าพเจ้าใคร่ครวญสิ่งที่เราได้รับการสอน ข้าพเจ้าทราบว่าถ้าเราเอาใจใส่การเรียกให้ปฏิบัติศาสนกิจ เรามีโอกาสคำนึงถึงผู้อื่นมากกว่าตนเอง เติบโตในศรัทธา ความเชื่อมั่น และความสุข เอาชนะความสนใจแต่ตนเองและความรู้สึกว้าเหว่เศร้าหมองที่ติดมา ข้าพเจ้าอยากให้ตนเองตระหนักในเรื่องดังกล่าวเร็วกว่านี้ในชีวิตข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าสำนึกคุณที่ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา และเราได้รับสิ่งที่เตือนเราให้นึกถึงความจริงอันสำคัญยิ่งนี้

ประโยชน์และพรของการปฏิบัติศาสนกิจในลักษณะนี้

ความสวยงามของการรับใช้ การปฏิบัติศาสนกิจ หรือการเป็นสานุศิษย์ในลักษณะนี้คือเราช่วยผู้อื่นได้หลายวิธีเกินกว่าจะแจกแจง แต่ก็เปลี่ยนแปลงเราเช่นกันโดยทำให้ความวิตก ความกลัว ความกังวล และความสงสัยของเราหายไป ตอนแรกการรับใช้จะทำให้เราหันเหไปจากปัญหาของเราเอง และนั่นเปลี่ยนสถานการณ์ให้สูงขึ้นและสวยงามขึ้นอย่างรวดเร็ว เราเริ่มประสบแสงสว่างและสันติสุข แทบไม่รู้ตัว เราสงบ อบอุ่น และสบายใจ เรารับรู้ปีติที่ไม่เกิดขึ้นในวิธีอื่น ของประทานเหล่านี้ได้มาจากการช่วยเหลือกัน ยิ่งช่วยเหลือกันมากยิ่งได้มาก

ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัล์อธิบายดังนี้ “ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ดังที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์คือผลรวมทางวิญญาณที่ได้จากการรับใช้ผู้อื่นเพิ่มมากขึ้นและอุทิศพรสวรรค์ของเราในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าและมนุษย์”2 “เรามีแก่นสารมากขึ้นเมื่อเรารับใช้ผู้อื่น—โดยแท้แล้ว เราจะ ‘พบ’ ตัวตนของเราง่ายขึ้นเพราะมีให้เราพบมากกว่าเดิมมาก!”3

ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่เราประสบเมื่อเราปฏิบัติศาสนกิจและความตรงกันข้ามเมื่อเราไม่ปฏิบัติศาสนกิจ

การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งที่ผู้สอนศาสนาคนใหม่ค้นพบเมื่อพวกเขาเลิกกังวลกับตนเองแต่ถามว่า “ฉันจะช่วยใครได้บ้างและช่วยอย่างไร” สิ่งที่เกิดขึ้นคือพวกเขาเลิกนึกถึงตนเองและหันมาสนใจจุดประสงค์ของการนำจิตวิญญาณมาหาพระคริสต์ ผู้สอนศาสนาต้องพยายามมากจึงจะค้นพบสิ่งนี้ พวกเขาอาจหนักใจกับการอยู่ในสถานที่ใหม่ กับผู้คน อาหาร และขนมธรรมเนียมที่แตกต่าง บ่อยครั้งภาษาที่ท้าทายทำให้พวกเขามุ่งให้ความสำคัญแก่ผู้อื่นและรับใช้ได้ยากมาก แต่เมื่อพวกเขาทำ ทุกอย่างเปลี่ยน พวกเขาเลิกวิตก ไปทำงาน และทำภารกิจตรงหน้า พวกเขาค้นพบมิติใหม่ของงานเผยแผ่และชีวิตพวกเขา พร้อมด้วยสันติสุขและการรับรู้จุดประสงค์

น่าเสียดายที่การค้นพบนี้มักส่งผลตรงกันข้ามเมื่อผู้สอนศาสนากลับบ้านและเริ่มสนองตอบความต้องการในช่วงชีวิตถัดไปของพวกเขา ทั้งการศึกษา การทำงาน หรือเรื่องส่วนตัวและเรื่องครอบครัว พวกเขาใช้เวลา 18 เดือนถึง 2 ปีเรียนรู้ว่าเรามีความสุขที่สุดเมื่อเราไม่สนใจแต่ตนเอง หรือดังที่ประธานฮิงค์ลีย์กล่าว เมื่อเราลืมตนเองและไปทำงาน บ่อยครั้งเมื่อพวกเขากลับจากงานเผยแผ่มาสู่ชีวิตที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง พวกเขาหันกลับมาสนใจตนเองมากขึ้นด้วยซึ่งนิสัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาหันมาหมกมุ่นกับตนเอง พวกเขาจะทำอย่างไร พวกเขาจะวางตัวและพูดจาอย่างไร และคนอื่นๆ จะคิดอย่างไรกับพวกเขา

การคำนึงถึงผู้อื่นและช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เกิดแสงสว่าง สันติสุข และปีติแน่นอนฉันใด การหมกมุ่นกับตนเองทำให้เกิดความสงสัย ความกังวล และความหม่นหมองฉันนั้น

ข้าพเจ้ามีประสบการณ์เมื่อสองเดือนก่อนเมื่อข้าพเจ้านอนลืมตาอยู่หลายชั่วโมง พยายามหลับแต่ไม่หลับ ในที่สุดก็ลุกขึ้นเดินรอบบ้านนิดหน่อย จากนั้นก็กลับขึ้นเตียงและพยายามหลับอีกครั้ง ขณะพยายามหลับ จู่ๆ ก็เกิดความคิดหนึ่งที่เปลี่ยนข้าพเจ้า นั่นคือ “เลิกนึกถึงตัวเอง” ตามมาด้วยคำถามว่า “ฉันจะช่วยใครได้บ้าง” ข้าพเจ้านอนสวดอ้อนวอนที่นั่นว่า “ตอนนี้ฉันจะช่วยใครได้บ้าง และช่วยอย่างไร” ความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นให้ติดต่อและให้กำลังใจเพื่อนคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เช้าวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าขานรับและทำประโยชน์บางอย่าง สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้คือทันทีที่สวดอ้อนวอนเช่นนั้น โดยทูลขอให้รู้ว่าข้าพเจ้าจะช่วยใครได้บ้าง ข้าพเจ้าพบสันติสุขที่หายาก และข้าพเจ้านอนหลับในที่สุด

ตัวอย่างการปฏิบัติศาสนกิจของพระผู้ช่วยให้รอด

พระผู้ช่วยให้รอด “เสด็จไปทำคุณประโยชน์”4 ทรงมองหาคนที่พระองค์จะทรงช่วยเหลือเสมอและทรง “รักษาคนทั้งหลายที่ถูกมารเบียดเบียน”5 พระองค์ทรงอวยพร ทรงสอน และทรงนำทางคนอื่นๆ อยู่เสมอให้เปลี่ยนมุมมองและด้วยเหตุนี้จึงเปลี่ยนชีวิตพวกเขา เราทราบว่าเมื่อพระองค์ทรงเรียกเปโตร อันดรูว์ ยากอบ และยอห์นให้ติดตามพระองค์ พวกเขาเปลี่ยนทิศทางและจุดหมายทันที “พวกเขาละทิ้งแหตามพระองค์ไปทันที”6

ต่อมา หลังจากถูกตรึงกางเขน เมื่อมีคนนำพระผู้ช่วยให้รอดไปจากพวกเขาอย่างโหดร้ายที่สุด พวกเขากลับไปหาปลา กลับไปทำสิ่งที่รู้สึกว่าตนรู้ ครั้งหนึ่ง พระผู้ช่วยให้รอดผู้ฟื้นคืนพระชนม์เสด็จมาขณะพวกเขาหาปลาไม่ได้ “พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือ แล้วจะได้ปลามาบ้าง เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาจำ‌นวนมาก จนลาก‍อวนขึ้นไม่‍ไหว”7 นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระองค์ไม่ทรงสูญเสียเดชานุภาพ และแสดงให้เห็นชัดมากว่าพวกเขามองผิดที่และมีจุดหมายผิดทาง ขณะกินปลาด้วยกันบนฝั่ง พระผู้ช่วยให้รอดตรัสถามเปโตรสามครั้งว่าเขารักพระองค์หรือไม่ ทุกครั้งเปโตรตอบว่ารักและตอบด้วยความรู้สึกกังวลมากขึ้น หลังจากคำตอบแต่ละครั้ง พระเยซูทรงขอให้เปโตรดูแลแกะของพระองค์

เหตุใดพระผู้ช่วยให้รอดตรัสถามเขาสามครั้งว่ารักพระองค์หรือไม่ พระเยซูเคยเรียกเปโตรให้ติดตามพระองค์มาก่อน และเขาขานรับทันทีโดยเลิกหาปลา แต่เมื่อมีคนนำพระเยซูไปจากพวกเขา เปโตรเศร้าใจ เขาเสียขวัญ เขากลับไปทำสิ่งเดียวที่รู้สึกว่าเขารู้—นั่นคือหาปลา เวลานี้พระเยซูทรงต้องการให้เปโตรฟังพระองค์และเข้าใจความจริงจังของพระดำรัสเชื้อเชิญครั้งนี้ พระองค์ทรงต้องการให้เปโตรเข้าใจความหมายของการเป็นสานุศิษย์และผู้ติดตามพระคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ เข้าใจว่าพระองค์จะไม่อยู่ข้างกายเขาอีก พระเจ้าทรงต้องการอะไรจากเปโตร พระองค์ทรงต้องการให้เปโตรดูแลแกะ ลูกแกะของพระองค์ นี่เป็นงานที่ต้องทำ เปโตรยอมรับการเรียกที่อ่อนโยนและชัดเจนนี้จากพระอาจารย์ หัวหน้าอัครสาวกขานรับอย่างองอาจและไม่หวั่นเกรงโดยสละชีวิตที่เหลือให้แก่การปฏิบัติศาสนกิจที่เขาได้รับเรียก

วิธีประยุกต์ใช้กับท่าน

เวลานี้เรามีหัวหน้าอัครสาวกอีกคนหนึ่งบนแผ่นดินโลกผ่านการฟื้นฟู ประธานเนลสันเชื้อเชิญให้ท่านกับข้าพเจ้าดูแลแกะของพระเยซู เราได้ยินที่การประชุมใหญ่สามัญในคำพูดชัดเจนที่สุดและด้วยความรักที่สุด เราตื้นตันและได้รับแรงบันดาลใจ แต่เราเปลี่ยนแปลงไหม ด้วยสิ่งล่อใจทั้งหลายรอบตัวเราและสิ่งที่เรียกร้องความสนใจของเรา ความท้าทายคือ ขานรับ พระดำรัสเชื้อเชิญนี้และ ลงมือทำ—ตั้งใจทำบางอย่าง เปลี่ยนจริงๆ และดำเนินชีวิตต่างจากเดิม

คำถามของท่านขณะขานรับการเรียกให้ปฏิบัติศาสนกิจอาจเป็นว่า “ฉันจะเริ่มตรงไหน” เริ่มด้วยการสวดอ้อนวอน ประธานเนลสันท้าทายให้เรา “เพิ่มพูนความสามารถทางวิญญาณในปัจจุบัน [ของเรา] ในการรับการเปิดเผยส่วนตัว เพราะพระเจ้าทรงสัญญาว่า ‘หากเจ้าจะถาม, เจ้าจะได้รับการเปิดเผยมาเติมการเปิดเผย, ความรู้มาเติมความรู้, เพื่อเจ้าจะรู้ความลี้ลับและสิ่งที่ส่งเสริมความสงบสุข—สิ่งนั้นที่นำมาซึ่งปีติ, สิ่งนั้นที่นำมาซึ่งนิรันดรแห่งชีวิตl’ [คพ. 42:61]”8

ทูลถามพระบิดาในสวรรค์ว่าท่านจะทำอะไรได้บ้าง และทำให้ใคร การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ทำให้เราคำนึงถึงผู้อื่นและนำพรมาให้ ขานรับความรู้สึกที่ท่านได้รับ แม้ดูเหมือนไม่สำคัญ ทำตามนั้น อาจจะส่งข้อความถึงคนที่ไม่คาดว่าจะได้รับ อาจจะส่งข่าวสารบางอย่าง อาจจะเป็นดอกไม้ คุกกี้ หรือคำพูดให้กำลังใจ อาจจะมากกว่านั้น เช่นทำความสะอาดสวนหรือลานบ้าน ซักรีดเสื้อผ้าให้คนที่ไม่คล่องตัวเหมือนเดิม ล้างรถ ตัดหญ้า กวาดหิมะ หรือแค่ฟังขณะเพื่อนพูดถึงความท้าทายที่เขาประสบอยู่

ดังที่ซิสเตอร์จีน บี. บิงแฮมกล่าว “บางครั้งเราคิดว่าเราต้องทำสิ่งใหญ่โตและเก่งกาจจึงจะ ‘นับ’ เป็นการรับใช้เพื่อนบ้านของเรา ทว่าการกระทำที่เรียบง่ายของการรับใช้สามารถส่งผลอันลึกซึ้งต่อผู้อื่น—และตัวเราเอง”9

ท่านอาจจะฝืนใจทำครั้งแรก เชื่อว่าท่านไม่มีเวลาหรือท่านไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งพิเศษได้ แต่ท่านจะอัศจรรย์ใจกับสิ่งเล็กน้อยบางอย่างที่ท่านทำได้

หากท่านพบตนเองวิตกกังวลเรื่องเพื่อนที่หลงไปจากศาสนจักร สูญเสียศรัทธาและความหวังที่เคยเจิดจ้า จงเชิญเขามาร่วมรับใช้หรือปฏิบัติศาสนกิจบางอย่างกับท่าน ไม่มีวิธีใดทำให้ใจอ่อนกับเรื่องของพระผู้เป็นเจ้าและค้นพบความรักของพระองค์ในชีวิตเราอีกครั้งได้ดีไปกว่าการร่วมรับใช้ที่เกิดประโยชน์ต่อคนขัดสน

เหตุผลที่เราต้องรับใช้และปฏิบัติศาสนกิจ

เราต้องเตือนตนเองเสมอให้นึกถึงเหตุผลที่เรารับใช้และปฏิบัติศาสนกิจ เราเป็นบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ เรียนรู้และเติบโตบนแผ่นดินโลกผ่านประสบการณ์หลากหลาย เพื่อเราจะสมบูรณ์มากขึ้นเมื่อกลับไปหาพระองค์ การฝึกให้เป็นคนคำนึงถึงผู้อื่นมากกว่าตนเอง และรับใช้กันเป็นจุดประสงค์ส่วนหนึ่งของเราที่นี่ เป็นส่วนสำคัญของชีวิตนี้ ปาฏิหาริย์ของการคำนึงถึงผู้อื่นและการปฏิบัติศาสนกิจต่อคนขัดสนคือเราเรียนรู้ระหว่างนั้นว่าเราสามารถลืมตนเองและปัญหาของเราได้

ประธานเนลสันวางรูปแบบการรับใช้ที่สูงกว่าและบริสุทธิ์กว่าให้ท่านและข้าพเจ้า เมื่อเราขานรับ เราจะค้นพบว่านั่นทำให้เราสมหวัง เป็นอิสระ และใจสงบ เราสามารถเป็นผู้กระทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและความสบายใจในชีวิตผู้อื่น

เมื่อท่านได้รับเอ็นดาวเม้นท์ในพระวิหารและรับใช้งานเผยแผ่ มีการล่อลวงให้พูดว่า “เวลานี้เสร็จสิ้นแล้ว ฉันเป็นเครื่องจักรรับใช้เต็มเวลามา 18 เดือนหรือ 2 ปีแล้ว คราวนี้ถึงตาคนอื่นบ้าง” เราพูดแบบเดียวกันหลังจากเราแต่งงาน เราอาจจะคิดว่า “ฉันแต่งงานแล้ว ถึงเวลาพักแล้ว” แต่การปฏิบัติศาสนกิจแบบนี้ไม่หยุด นี่เป็นวิถีชีวิต เราอาจจะหยุดพักจากกิจกรรมประจำวันและวันหยุดเพื่อพักผ่อนและฟื้นกำลัง เพื่อ “หย่อนสายธนู” ดังที่โจเซฟ สมิธกล่าว10 แต่หน้าที่รับผิดชอบแห่งพันธสัญญาของเราที่จะรักกันและกันดังที่พระองค์ทรงรักเราและให้ดูแลแกะของพระองค์ไม่มีการหยุดพัก

ข้าพเจ้าเคยเป็นทั้งผู้รับประโยชน์ของการปฏิบัติศาสนกิจในลักษณะนี้ และค้นพบสันติสุขตลอดจนปีติที่มาจากการเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าแทนอีกคนหนึ่งเช่นกัน

เจนพูดถึงการต่อสู้เพื่อปกป้องชีวิตลูกชายแบเบาะของเรา หลังจากสูญเสียเขา เราสงสัยว่าเราจะเหมือนเดิมหรือไม่ เราได้รับความรัก ความเมตตา และความช่วยเหลือมากเป็นพิเศษตลอดช่วงเวลานั้นจากครอบครัวและมิตรสหาย รวมทั้งคนที่เราแทบไม่รู้จัก สามีภรรยาคู่หนึ่งที่กลายเป็นเพื่อนรักของเราเป็นผู้ปฏิบัติศาสนกิจสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลานั้น พวกเขาอยู่เคียงข้างเรา สวดอ้อนวอนให้เราและกับเรา ให้พร อาหาร คำพูดปลอบโยนและปลอบเราเงียบๆ พวกเขาปรากฏตัวทุกครั้งที่ทราบข้อมูลสำคัญบางอย่างหรือเมื่อเรารู้สึกเหนื่อยล้าและโศกเศร้าหลังจากนั้น พวกเขาแสดงให้เห็นตลอดหลายปีว่านี่คือวิถีชีวิตของพวกเขา พวกเขาปฏิบัติศาสนกิจอย่างเงียบๆ และสม่ำเสมอ

การปฏิบัติศาสนกิจของศาสนจักรทั่วโลก

ขณะรับใช้ในเขตยุโรปของศาสนจักรช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราอาศัยอยู่ในเยอรมนี และข้าพเจ้าเห็นการประยุกต์ใช้หลักธรรมนี้ส่งผลอย่างน่าอัศจรรย์เมื่อสมาชิกของศาสนจักรและเพื่อนต่างศาสนาระดมกำลังเข้ามาช่วยผู้ลี้ภัยหลายพันคนที่สูญเสียทุกอย่างขณะพวกเขาหนีการสู้รบและภัยสงครามซึ่งยังคุกรุ่นในตะวันออกกลาง บางครั้งพวกเขาเดินแบกข้าวของถุงเล็กๆ มาหลายพันไมล์ เมื่อเห็นความเดือดร้อน เห็นพี่น้องชายหญิง เห็นลูกแกะของพระองค์ คนของเราก้าวเข้าไปช่วย ให้เสื้อผ้า อาหาร ที่พัก และปลอบโยนผู้ลี้ภัยเหล่านี้ที่สูญเสียทุกอย่าง ในการทำเช่นนั้น คนที่ช่วยถูกเปลี่ยน พวกเขาได้รับแสงสว่าง พละกำลัง และปีติที่ไม่เคยประสบมาก่อน หรือที่เลือนหายไปขณะพวกเขานึกถึงแต่ตนเองและกิจวัตรทางโลกของชีวิต ผู้คนของเราดำเนินความพยายามบรรเทาทุกข์อันวิเศษนี้ต่อไปทั่วโลก

ผู้ลี้ภัยมีความต้องการเร่งด่วนและชัดเจนมาก แต่มีคนอื่นๆ อีกหลายคนรอบข้างเราที่ความท้าทายของพวกเขาอาจไม่เห็นชัดเจน ผู้ต้องการความช่วยเหลือ และเราจำเป็นต้องช่วยพวกเขาเช่นกัน การปฏิบัติศาสนกิจและการรับใช้ของเราไม่จำเป็นต้องอยู่อีกด้านหนึ่งของโลก ดีกว่าในหลายๆ ด้านหากอยู่ใกล้บ้านเรา

ข้าพเจ้าภูมิใจที่ได้เป็นสมาชิกของศาสนจักรที่ลงมือปฏิบัติ แค่ปีที่ผ่านมา สมาชิกสละเวลากว่า 7 ล้านชั่วโมงเพาะปลูก เก็บเกี่ยว และแจกจ่ายอาหารให้ผู้ยากไร้และคนขัดสน อีกครั้งในปีที่แล้ว ศาสนจักรจัดหาน้ำสะอาดให้ประชาชนครึ่งล้านคนซึ่งจะไม่มีน้ำใช้หากเราไม่ทำเช่นนั้น ผู้คนกว่าสี่หมื่นเก้าพันคนได้รับเก้าอี้เข็นใน 41 ประเทศ อาสาสมัครช่วยฟื้นฟูสายตาและอบรมผู้ให้การดูแล 97,000 คนสำหรับคนที่มีปัญหาทางสายตาใน 40 ประเทศ ผู้ให้การดูแลสามหมื่นสามพันคนได้รับการอบรมในการอนามัยแม่และเด็กใน 38 ประเทศ ซึ่งยังไม่รวมความร่วมมือร่วมใจซึ่งในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ คนของเราหลายแสนคนได้อุทิศเวลาหลายล้านชั่วโมง พวกเขารีบรุดเข้ามาช่วยผู้ประสบภัยน้อยใหญ่และปรับปรุงชุมชนตลอดจนละแวกใกล้เคียง

JustServe โครงการที่กำลังเติบโตของศาสนจักร เป็นที่ที่ดีเยี่ยมที่จะหาโอกาสรับใช้หากท่านมีอยู่ใกล้บ้านท่าน ขณะนี้มีอาสาสมัครลงทะเบียนมากกว่า 350,000 คนแล้ว ผู้อุทิศเวลาหลายล้านชั่วโมงในการช่วยชุมชนของพวกเขา

นี่คือศาสนจักรแห่งการปฏิบัติ นี่คือสิ่งที่เราทำ นี่คือสิ่งที่ท่านทำ ขอให้สิ่งนี้นิยามลักษณะนิสัยของท่าน นี่คือวิธีที่เราพบปีติและสันติสุข เพราะนี่เป็นหนึ่งในวิธีสูงส่งที่สุด ดีที่สุด และเป็นรูปธรรมมากที่สุดในการทำตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอด

ประธานเอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ดกล่าวว่า “สิ่งสำคัญยิ่งเกิดขึ้นผ่านเรื่องเล็กและเรียบง่าย เฉกเช่นทองเกล็ดเล็กๆ ที่สั่งสมตามกาลเวลาจนเป็นสมบัติก้อนโต การกระทำเล็กๆ น้อยๆ และเรียบง่ายจากความเมตตาและการรับใช้จะสั่งสมในชีวิตเราจนเราเปี่ยมด้วยความรักที่มีต่อพระบิดาบนสวรรค์ การอุทิศตนต่องานของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ความรู้สึกสงบและปีติจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เราแสดงน้ำใจต่อกัน”11

การรับใช้สามแบบ

ข้าพเจ้าประสงค์จะเน้นการรับใช้สามแบบที่เราแต่ละคนมีโอกาสเข้าร่วม

แบบแรกคือการรับใช้ที่มอบหมายหรือเชื้อเชิญให้เราทำเป็นความรับผิดชอบที่โบสถ์ ที่การประชุมใหญ่สามัญพูดเรื่องนี้ไว้อย่างไพเราะและสร้างแรงบันดาลใจ เราจะพยายามปฏิบัติศาสนกิจแบบที่ให้คุณค่า ไม่ใช่ให้ตัวเลข แบบที่เราตรึกตรอง สวดอ้อนวอน และช่วยเหลือคนที่เราได้รับมอบหมายให้ดูแล

แบบที่สองคือการรับใช้ที่เราเลือกทำตามความปรารถนาของเราเอง นี่เป็นส่วนขยายของแบบแรก ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราทำเป็นประจำและปฏิสัมพันธ์ทั้งหมดขณะที่เราพยายามลืมตนเองและหันไปหาผู้อื่น ไม่มีงานมอบหมายอย่างเป็นทางการ แต่มีความปรารถนาที่จะทำตามพระคริสต์เป็นแรงจูงใจ โดยเริ่มจากการมีน้ำใจและนึกถึงคนรอบข้างมากขึ้น การแสดงน้ำใจและความเอื้อเฟื้ออย่างเงียบๆ เปลี่ยนแปลงหัวใจและทำให้ความสัมพันธ์อบอุ่นขึ้นและมีความหมายมากขึ้น

แบบที่สามคือการบำเพ็ญประโยชน์ ไม่ว่าท่านอายุเท่าใด ท่านสามารถรับใช้ในคณะกรรมการโรงเรียน องค์กรการกุศล ในฝ่ายปกครองระดับท้องที่ ภูมิภาค และระดับชาติ ข้าพเจ้าต้องการกระตุ้นให้ทั้งชายและหญิงทำแบบเดียวกัน ในกรณีที่เหมาะสม ให้ตัวท่านเข้าไปมีส่วนร่วมกับการเมืองโดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การรับใช้ตลอดจนการสร้างบุคคลและชุมชน หลีกเลี่ยงการแบ่งพวกทางการเมืองซึ่งมีหลายขั้ว รุนแรง และบ่อนทำลายชุมชน ประเทศชาติ และทวีป เข้าร่วมกับนักการเมืองคนอื่นๆ ผู้กำลังหาอุดมการณ์ร่วมกันเพื่อเยียวยาชีวิตที่เดือดร้อนในขอบเขตอำนาจของตนและเกินกว่านั้น ท่านสามารถเป็นเสียงของความเสมอภาคและเหตุผล สนับสนุนความเป็นธรรมในสังคมทุกซอกทุกมุม มีความต้องการที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำหรับท่านที่จะใช้พลังในงานที่คุ้มค่าของพลเรือนนี้

เมื่อเราอ่านข่าว เราอาจรู้สึกว่าโลกเลวร้ายลงทุกขณะ ถ้าเราแต่ละคนลงมือทำมากบ้างน้อยบ้างทุกวัน เราสามารถเปลี่ยนโลกและคนรอบข้างเราได้ ขณะท่านรับใช้เพื่อนบ้านและรับใช้ กับ เพื่อนบ้านในชุมชนของท่าน ท่านจะสร้างมิตรผู้มีความปรารถนาจะช่วยเหลือเช่นเดียวกับท่าน สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้น สร้างสะพานข้ามวัฒนธรรมและความเชื่อ

อ็องตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรีกล่าวว่า “ชีวิตสอนเราว่าความรักไม่ได้อยู่ที่การจ้องหน้ากันแต่อยู่ที่การมองออกไปในทิศทางเดียวกัน ไม่มีความเป็นสหายหากไม่พยายามรวมตัวกันทำดีเหมือนกัน แม้แต่ในยุคของความรุ่งเรืองทางวัตถุก็ต้องเป็นแบบนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะอธิบายความสุขที่เรารู้สึกเมื่อแบ่งขนมปังชิ้นสุดท้ายกับคนในทะเลทรายได้อย่างไร”12

สรุป

ถ้าท่านแต่ละคนจะขานรับคำเชื้อเชิญให้ปฏิบัติศาสนกิจดังที่พระเยซูทรงทำ ท่านจะถูกเปลี่ยน แทนที่จะเห็นแก่ตัวท่านจะกลายเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว ท่านจะค้นพบปีติจากการปฏิบัติศาสนกิจในวิธีของพระผู้ช่วยให้รอด โดยทิ้งความกังวล ความไม่แน่นอน และความหม่นหมองที่มาจากความรู้สึกไม่ดีพอของเรา

บางที ขณะที่ท่านฟังอยู่ ชื่อหรืออุดมการณ์หนึ่งอาจเข้ามาในใจท่าน สิ่งนี้น่าจะเป็นพระดำรัสเชิญจากพระวิญญาณ บางทีท่านอาจเคยได้รับมาก่อนแล้ว เอื้อมออกไป มองออกไป และยกขึ้น เลือกที่จะตอบรับพระดำรัสเชิญนี้และสวดอ้อนวอนวันนี้เพื่อจะรู้ว่าท่านจะทำอะไรได้บ้าง เมื่อท่านเห็นและสัมผัสถึงพรที่สิ่งนี้นำมาให้ท่านและคนที่ท่านปฏิบัติศาสนกิจให้ ท่านจะอยากทำสิ่งนี้ทุกวัน

ความพยายามสูงสุดและดีที่สุดของเราคือแบ่งปันแสงสว่าง ความหวัง ปีติ และจุดประสงค์ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์กับบุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้าและช่วยพวกเขาหาทางกลับบ้าน การช่วยเหลือ รับใช้ และปฏิบัติศาสนกิจต่อพวกเขาเป็นการสำแดงพระกิตติคุณผ่านการกระทำ เมื่อเราทำให้สิ่งนี้เป็นวิถีชีวิต เราจะค้นพบว่าชีวิตสมหวังและนั่นเป็นวิธีที่เราจะพบสันติสุขและปีติซึ่งอาจเป็นเรื่องที่เราไม่เคยเข้าใจ

ข้าพเจ้าขอกล่าวย้ำคำสั่งสอนของประธานเนลสันแก่เราทุกคน “ตราสัญลักษณ์ของศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่ของพระเจ้าคือการพยายามปฏิบัติศาสนกิจอย่างมีระเบียบและถูกทิศทางต่อบุตรธิดาแต่ละคนของพระผู้เป็นเจ้าและครอบครัวของพวกเขา เพราะนี่เป็นศาสนจักรของพระองค์ เราในฐานะผู้รับใช้ของพระองค์จะปฏิบัติต่อคนหนึ่งเฉกเช่นพระองค์ทรงปฏิบัติ เราจะปฏิบัติศาสนกิจในพระนามของพระองค์ ด้วยพลังและสิทธิอำนาจของพระองค์ และด้วยความการุณย์รักของพระองค์”13

นี่คือวิธีที่พระผู้ช่วยให้รอดดำเนินพระชนม์ชีพ และนี่คือเหตุผลที่พระองค์ทรงพระชนม์—คือเพื่อจัดเตรียมพิมเสนแท้และการเยียวยาขั้นสุดท้ายผ่านของประทานแห่งการชดใช้อันสำคัญยิ่งและไม่มีขอบเขตให้ท่านและข้าพเจ้า ขอให้เราติดตามพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์ด้วยความเต็มใจมากขึ้น มีประสิทธิผลมากขึ้น ขณะที่เราพยายามเป็นสานุศิษย์ที่แท้จริงผ่านการปฏิบัติศาสนกิจดังที่พระองค์จะทรงปฏิบัติ

ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน,“การปฏิบัติศาสนกิจด้วยพลังและสิทธิอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า,” เลียโฮนา, พ.ค. 2018, 69.

  2. สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์,“The Abundant Life,” Ensign, July 1978, 4.

  3. สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์,“The Abundant Life,” Ensign, July 1978, 3.

  4. กิจการของอัครทูต 10:38.

  5. กิจการของอัครทูต 10:38..

  6. มัทธิว 4:20 เน้นตัวเอน.

  7. ยอห์น 21:6.

  8. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน,“การเปิดเผยสำหรับศาสนจักร การเปิดเผยสำหรับชีวิตเรา,” เลียโฮนา, พ.ค. 2018, 95.

  9. จีน บี. บิงแฮม,“การปฏิบัติศาสนกิจดังที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำ,” เลียโฮนา, พ.ค. 2018, 104.

  10. ดู William M. Allred, ใน “Recollections of the Prophet Joseph Smith,” Juvenile Instructor, Aug. 1, 1892, 472.

  11. เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด, “พบปีติผ่านการรับใช้ด้วยความรัก,” เลียโฮนา, พ.ค. 2011, 58.

  12. Antoine de Saint-Exupéry, Airman’s Odyssey (1939), 195.

  13. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน,“การปฏิบัติศาสนกิจด้วยพลังและสิทธิอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า,” เลียโฮนา, พ.ค. 2018, 69.

พิมพ์