เลือกความปรารถนาอันชอบธรรม
การให้ข้อคิดทางวิญญาณสำหรับคนหนุ่มสาวทั่วโลก
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 2020
พี่น้องชายหญิงที่รัก ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอขอบคุณภรรยาที่แสนดีสำหรับคำปรึกษาและคำแนะนำที่ยอดเยี่ยม ขอบคุณครับลิเนตต์
นับเป็นพรและโอกาสอันดียิ่งที่ได้อยู่กับท่านค่ำวันนี้ เรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาไม่ปกติอย่างแท้จริง และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าท่านได้รับการเลี้ยงดูมาเพื่อช่วงเวลาเหล่านี้ ไม่นานมานี้ ประธานเอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ดกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่านี่คืออนุชนคนหนุ่มสาวรุ่นสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ศาสนจักร ข้าพเจ้ารู้สึกด้วยความจริงใจว่านี่เป็นความจริง”1 ท่านคือคนรุ่นพิเศษที่ได้รับการเลี้ยงดูมาเพื่อนำร่องช่วงเวลาโกลาหลและเพื่อช่วยเตรียมโลกให้พร้อมรับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงรู้จักท่านดีและทรงรักท่าน
สมัยของเรา
คืนนี้ขณะมาการถ่ายทอดที่นี่ เราทราบมาว่ามีทวีตหลายหมื่นคำถามเกี่ยวกับพระวิญญาณและการเปิดเผยส่วนตัว ข้าพเจ้าหวังว่าขณะท่านฟังข้าพเจ้ากับภรรยาในคืนนี้ เราจะสามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงเป็นครูสามารถตอบคำถามให้กับคนหนึ่งและอีกหลายคน
ในช่วงเวลาไม่นานมานี้ ชุมชนโลกของเราประสบกับความทุกข์ยาก ความไม่แน่นอน ความสับสนวุ่นวาย และเรื่องท้าทายต่างจากปกติ นี่คือช่วงเวลาที่มีคำทำนายไว้นานแล้ว ซึ่งจะนำไปสู่การเสด็จมาครั้งที่สองอันรุ่งโรจน์ของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูทรงพยากรณ์ถึงช่วงเวลาเหล่านี้ด้วยพระองค์เอง พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะได้ยินเรื่องสงครามด้วย, และข่าวลือเรื่องสงคราม; จงดูว่าเจ้าจะไม่กังวลใจ, เพราะทั้งหมดที่เราบอกเจ้าจะต้องบังเกิดขึ้น. … เราพูดเพื่อเห็นแก่ผู้ที่เราเลือกไว้; เพราะประชาชาติจะลุกขึ้นต่อสู้ประชาชาติ … ; จะมีความอดอยาก, และโรคระบาด, และแผ่นดินไหว, ในสถานที่ต่างๆ. … ความรักของคนเป็นอันมากจะเย็นชาลง. … [ทั้ง] หมดจะเกิดสัมฤทธิผล”2 ข้าพเจ้าขอแบ่งปันแค่มุมมองหนึ่งเกี่ยวกับทั้งหมดนี้ นั่นคือบทเรียนจากประวัติศาสนจักรของเรา
อะแมนดา บาร์นส์ สมิธ, สามีของเธอ วอร์เรน, และลูกๆ ห้าคนเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ในศาสนจักรเมื่อเดินทางไปมิสซูรี พวกเขาเข้าร่วมกับวิสุทธิชนที่ฮอนส์มิลล์เพียงไม่กี่วันก่อนกลุ่มคนร้ายเข้ามาสังหารหลายคนที่นั่น สามีและลูกชายวัย 10 ขวบของอะแมนดาอยู่ในกลุ่มคนที่ถูกฆ่า ลูกชายวัยเยาว์ของเธออีกคนบาดเจ็บสาหัส อะแมนดาได้รับการเปิดเผยอันทรงพลังถึงวิธีช่วยชีวิตลูกชายที่ได้รับบาดเจ็บ ในช่วงเวลาทุกข์ใจแสนสาหัส เธอเขียนข้อความต่อไปนี้:
“ในความอ้างว้างสุดแสน จะมีอะไรเล่าที่ผู้หญิงอย่างเราทำได้นอกจากสวดอ้อนวอน? การสวดอ้อนวอนเป็นการปลอบโยนเพียงแหล่งเดียวที่มี พระบิดาบนสวรรค์ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือเพียงหนึ่งเดียวของเรา ไม่มีใครนอกจากพระองค์ที่จะช่วยให้เรารอดและปลดปล่อยเราได้
“วันหนึ่งคนร้ายคนหนึ่งมาจากโรงโม่พร้อมคำสั่งหัวหน้า [เขาตวาดด้วยคำสบถ]: ‘หัวหน้าบอกว่าถ้าพวกผู้หญิงอย่างเจ้ายังไม่หยุด … สวดอ้อนวอน เขาจะส่งกองกำลังติดอาวุธมาฆ่าพวกเจ้า … ทุกคน!’
“แต่นั่นก็เท่ากับเขาฆ่าพวกเราไปแล้ว เพราะเขาห้ามผู้หญิงน่าสงสารอย่างเราไม่ให้สวดอ้อนวอนในเวลาที่เราเผชิญกับหายนะอย่างรุนแรง
“การสวดอ้อนวอนของเราเงียบลงด้วยความหวาดหวั่น เราไม่กล้าให้ใครได้ยินเสียงเราวิงวอนในบ้าน ดิฉันสามารถสวดอ้อนวอนตอนนอนหรือในความเงียบได้ แต่ดิฉันไม่อาจมีชีวิตแบบนั้นได้นาน ความเงียบที่ไร้พระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้เหลือทนยิ่งกว่าคืนสังหารหมู่เสียอีก
“ดิฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ดิฉันใคร่จะได้ยินเสียงตนเองในการวิงวอนต่อพระบิดาบนสวรรค์อีกครั้ง
“ดิฉันแอบเข้าไปในไร่ข้าวโพดแล้วมุดเข้าไปใน [กอง] ข้าวโพด ขณะนั้นกองข้าวโพดเปรียบเสมือนพระวิหารของพระเจ้าสำหรับดิฉัน ดิฉันสวดอ้อนวอนเสียงดังอย่างสุดกำลังแรงกล้า
“เมื่อดิฉันออกมาจากกองข้าวโพดมีเสียงหนึ่งพูดกับดิฉัน เป็นเสียงที่แจ้งชัดที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ไม่ใช่ความประทับใจแรงกล้าแบบเงียบๆ ของพระวิญญาณ แต่เป็นเสียงกล่าวเพลงสวดข้อหนึ่ง [ของเรา] ซ้ำๆ:
จิตวิญญาณที่พักพิงพึ่งพระเยซูมา,
เราไม่สามารถจะทิ้งเขาให้เหล่าศัตรู
แม้หมู่มวลนรกจะเขย่าโยกสั่นไหว
เราจะไม่มีวันทอดทิ้งจิตวิญญาณใด!’3
“นับจากเวลานั้นดิฉันก็ไม่กลัวอีกเลย ดิฉันรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดทำให้ดิฉันเจ็บปวดได้”4
ช่วงเวลาเหล่านี้อาจรู้สึกไม่มั่นคง แต่จงรู้ว่าสิ่งที่เป็นจริงต่ออะแมนดา บาร์นส์ สมิธนั้นเป็นจริงต่อท่านด้วย ไม่ว่าเหตุการณ์รอบตัวท่านจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าท่านจะต้องทนกับการทดลองอะไร พระผู้เป็นเจ้าทรงควบคุมหางเสือ พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งท่าน และท่านไม่ต้องกลัวหากท่านซื่อสัตย์และเปล่งเสียงถึงพระองค์ นี่คือเรื่องที่ข้าพเจ้าอยากพูดกับท่านในคืนนี้
แว่นตาของภรรยา
ดังที่กล่าวมาแล้ว ข้าพเจ้าซาบซึ้งใจที่ภรรยาข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ด้วยคืนนี้ เธอคือทุกสิ่งทุกอย่างของข้าพเจ้า เราพบกันหลายปีแล้วตอนมัธยมปลาย หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย เธอไปที่ริกส์คอลเลจในเร็กซ์เบิร์ก ไอดาโฮ และข้าพเจ้าไปที่บีวายยูในโพรโว ยูทาห์ ในปีแรกที่มหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าตัดสินใจขับรถไปเยี่ยมเธอที่เร็กซ์เบิร์ก ที่นั่นเธอสอนบทเรียนล้ำค่าแก่ข้าพเจ้า
เธอไม่มีรถ และไม่ได้ขับรถมาพักหนึ่งแล้ว ขณะออกจากอะพาร์ตเมนต์ของเธอ เธอขอข้าพเจ้าขับรถ ข้าพเจ้าบอกว่า “ได้เลย” ไม่ช้าเราก็เริ่มลงจากเนินใกล้ที่พักของเธอ ลงมาได้ประมาณครึ่งทาง เธอถามข้าพเจ้าว่า “ตรงสุดถนนมีป้ายหยุดไหมคะ?” ป้ายหยุดนั้นเห็นชัดเจนมาก ข้าพเจ้าจึงตอบไปทันทีว่า “มีป้ายหยุดครับ” เธอพูดว่า “นึกอยู่แล้วว่าต้องมี ฉันแค่มองไม่เห็น” ข้าพเจ้าถามว่า “ทำไมมองไม่เห็นล่ะ?” เธอตอบว่า “เพราะฉันไม่ได้ใส่แว่น ถ้าไม่ได้ใส่แว่นก็จะมองอะไรไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่” ข้าพเจ้าจึงพูดไปทำนองว่า “แล้วทำไมคุณไม่ใส่แว่นล่ะ?” “เพราะฉันไม่ชอบหน้าตัวเองตอนใส่แว่น แต่ลืมไปว่าถ้าไม่ใส่จะมองอะไรไม่ค่อยเห็น” ข้าพเจ้าจึงบอกไปว่า “ถ้าอย่างนั้นให้ผมขับดีกว่า” บทเรียนนั้นเรียบง่าย: ถ้าท่านมองเห็นไม่ชัด ท่านย่อมตกอยู่ในอันตรายเสมอ
ทีนี้ข้าพเจ้าอยากถามท่านว่า “ท่านขับเคลื่อนชีวิตของท่านไปข้างหน้าอย่างไร?” ท่านดำเนินชีวิตโดยใส่แว่นตาที่จำเป็นต่อการมองเห็นความจริงของชีวิตอย่างชัดเจนหรือไม่? ในเมืองโบราณเลาดีเซีย วิสุทธิชนไม่มีบาปที่โจ่งแจ้งหรือเห็นได้ชัด แต่พระเจ้าทรงตำหนิพวกเขาเรื่องการเป็นคนอุ่นๆ ในความเป็นสานุศิษย์ ด้วยความจองหองในความสำเร็จทางโลกและความรู้ความชำนาญที่มี พวกเขากลายเป็นคนพอใจในตนเองและไม่พึ่งพาพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ แม้เมืองนั้นจะเป็นที่รู้จักว่ามีความเชี่ยวชาญเรื่องการดูแลรักษาดวงตา แต่พระเจ้าตรัสกับพวกเขาว่า “ซื้อยาหยอดตาของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้เห็น”5 ดูเหมือนว่าคำถามสำคัญสำหรับเราแต่ละคนคือ: “ฉันกำลังเห็นชีวิตตนเองผ่านดวงตาแห่งความจริง พระบัญญัติ และพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า หรือผ่านดวงตาของฉันเอง? แต่ละวันฉันสดับฟังสุรเสียงของพระองค์ที่ได้รับผ่านการสวดอ้อนวอนและการเปิดเผยส่วนตัวของพระวิญญาณ หรือสดับฟังเสียงตนเองหรือเสียงของผู้มีปัญญาของโลกนี้ที่ตะโกนว่าทางของพระผู้เป็นเจ้าและแม้แต่ศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ผิดที่ผิดทาง น่าเบื่อ ไม่จำเป็น ไม่ใส่ใจ หรือแม้แต่หลอกลวงและน่าชังดังสำนวนของโลก?”
ครั้งหนึ่งโจเซฟ สมิธกล่าวว่า “มารจะใช้ความพยายามสูงสุดในการวางกับดักวิสุทธิชน … เขาจะเปลี่ยนรูปแบบสิ่งต่างๆ จนคนอ้าปากค้างต่อผู้ที่กำลังทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า” หากปราศจากความช่วยเหลือและการเปิดเผยของพระผู้เป็นเจ้าท่านจะไม่เห็น “เรื่องดังที่มันเป็นจริง, และ … ดังที่มันจะเป็นจริง”6 ปฏิปักษ์เจตนาจะทำให้ท่านอ้าปากค้างต่อผู้ที่กำลังทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เขาเจตนาที่จะกีดกันท่านไม่ให้เห็นและเข้าใจความเป็นจริง กีดกันท่านไม่ให้เห็นว่าท่านคือบุตรธิดาที่รักยิ่งของพระผู้เป็นเจ้า ความปรารถนาของเขาคือทำให้โลกชอบธรรม ทำให้ท่านปฏิเสธหรือหันหาพระผู้เป็นเจ้าเพียงครึ่งใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำให้ท่านนิยามตนเองและหนทางชีวิตของท่านด้วยการแสวงหาทางการเมืองบางอย่าง ทางวัฒนธรรม หรือทางโลกด้านอื่นๆ หรือเพียงแค่ไม่แยแสกับอะไร
ข้าพเจ้ามักจะถามตนเองว่า: “อะไรทำให้นีไฟเป็นผู้เชื่อแต่ไม่ใช่เลมันหรือเลมิวเอล?” ทั้งสามคนล้วนเกิดจากบิดามารดาผู้ประเสริฐคนเดียวกัน คืนหนึ่งข้าพเจ้าได้ยินคำตอบของคำถามนั้น ข้าพเจ้าอยู่ในกรุงเทพ ประเทศไทย เพื่อทำงานมอบหมายกับประธานเอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด ที่นั่นท่านแบ่งปันพระคัมภีร์ข้อนี้:
“และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือข้าพเจ้า, นีไฟ … มีความปรารถนามากด้วยที่จะรู้ความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้า, ดังนั้น, ข้าพเจ้าร้องทูลพระเจ้า; และดูเถิดพระองค์เสด็จเยือนข้าพเจ้า, และทรงทำให้ใจข้าพเจ้าอ่อนลงจนข้าพเจ้าเชื่อคำทั้งปวงซึ่งพูดโดยบิดาข้าพเจ้า; ดังนั้น, ข้าพเจ้ามิได้กบฏต่อต้านท่านเหมือนดังพี่ๆ ข้าพเจ้า”7
ในนั้นมีคำตอบของข้าพเจ้า พระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงพระองค์ต่อเราตามความปรารถนาของเรา เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด นีไฟปรารถนาที่จะรู้ความจริงและความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้าและได้รับพรด้วยการประทับอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ปีติสุข พลัง และความจริง เลมันและเลมิวเอลปรารถนาสิ่งของนอกกายทางโลกและได้รับรางวัลจากมัน ถ้าท่านต้องการอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็ต้องให้ความปรารถนาของท่านเป็นหนึ่งเดียวกับของพระองค์
การที่ท่านวางความปรารถนาของใจไว้ที่ใดหรือบนสิ่งใดจะเป็นตัวกำหนดว่าท่านจะได้รับพลังฝ่าฟันและเอาชนะในชีวิตท่านอย่างไร ดังนั้น คืนนี้้ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านเลือกวางกรอบชีวิตโดยความปรารถนาอันครอบคลุมที่จะเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ผู้อื่น ท่านอาจหวนนึกได้ว่านี่คือสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงขอให้เปโตรหัวหน้าอัครสาวกของพระองค์ทำเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ซีโมน ซีโมนเอ๋ย … ซาตานขอพวกท่านไว้ เพื่อจะฝัดร่อนเหมือนฝัดข้าวสาลี แต่เราอธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด และเมื่อท่านหันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน”8
ความปรารถนาที่จะเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ผู้อื่น
ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมเวลาที่สมาชิกอาวุโสในโควรัมอัครสาวกสิบสองท่านหนึ่งสัมภาษณ์ข้าพเจ้ากับภรรยาเรื่องความเต็มใจจะรับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ ข้าพเจ้ากับภรรยามีเรื่องมากมายกำลังเกิดขึ้นในชีวิต ช่วงที่รับสัมภาษณ์เป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวบางเรื่องกำลังท้าทายมาก เรามีส่วนในงานด้านมนุษยธรรมขนาดใหญ่ทั่วโลกที่ต้องการความเอาใจใส่และทรัพยากรอย่างมาก และข้าพเจ้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการอาวุโสของธุรกิจการลงทุนระดับโลก นี่ยังไม่พูดถึงการเรียกศาสนจักรทั้งหมดที่เรากำลังทำอยู่ ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดว่าเราทำมากสุดความสามารถแล้ว วันนั้นขณะนั่งอยู่กับอัครสาวกที่รักท่านนี้และเล่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง เราสองคนพูดอย่างสุภาพว่านี่อาจไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดที่เราจะรับใช้ในคณะเผยแผ่ สมาชิกอัครสาวกสิบสองท่านนี้หันไปหาภรรยาข้าพเจ้าและกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “ลิเนตต์ คุณจะเป็นผู้สอนศาสนาและคู่ที่ยอดเยี่ยมให้สามีคุณ” จากนั้นท่านหันมาหาข้าพเจ้าและกล่าวว่า “รู้ไหมว่าคุณช่างไม่เข้าใจเลยจริงๆ พระเจ้าทรงกำลังเรียกคุณเพื่อช่วยชีวิตคุณให้รอด คุณจะดำเนินชีวิตของคุณตาม พันธสัญญา หรือตาม ความสะดวก ไม่เคยมีเวลาใดสะดวกสำหรับการรับใช้ นี่เป็นเรื่องของศรัทธา ว่าคุณเชื่อหรือไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรชีวิตคุณด้วยพรที่จำเป็นต่อคุณเมื่อคุณทำงานตามลำดับความสำคัญของพระองค์”
ข้าพเจ้านั่งเงียบอยู่ตรงนั้น พูดไม่ออก ท่านเพิ่งบอกว่าพระเจ้าทรงกำลังพยายามช่วยชีวิตข้าพเจ้าให้รอด ตอนนั้นข้าพเจ้าก็มีชีวิตที่ดีอยู่ แต่ออกจะขาดความสมดุลเอามากๆ บ่ายวันนั้นเมื่อลิเนตต์กับข้าพเจ้าออกจากสำนักงานของอัครสาวก เรากลับบ้านเพื่อสวดอ้อนวอนพิจารณาว่าเราจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร เราเลือกอย่างรวดเร็วที่จะรับใช้และดำเนินชีวิตตามพันธสัญญา โดยทำทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้เราทำ ชีวิตตามพันธสัญญาเป็นชีวิตที่สมดุลกว่า เป็นชีวิตที่ดำเนินตามลำดับความสำคัญของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ตามวาระของเราเอง ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเราก็ไม่เหมือนเดิม เราได้รับพรทุกๆ ด้านจากความรักและการสอนของพระองค์ ถ้ามีสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้ารู้ว่าพรเดียวกันนี้จะเป็นของท่านถ้าท่านอยู่บนเส้นทางพันธสัญญาของพระองค์อย่างซื่อสัตย์ พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการช่วยชีวิตท่านให้รอด
การเปลี่ยนใจเลื่อมใส การดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาไม่ใช่ตามความสะดวกหมายความว่าอย่างไร? พระเยซูตรัสว่า “จงดูที่เราในความนึกคิดทุกอย่าง”9 ครูผู้ชาญฉลาดท่านหนึ่งเคยบอกว่า “พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า ‘นึกถึงเรานานๆ ครั้งแล้วเจ้าจะมีพระวิญญาณของเราอยู่กับเจ้า’ พระองค์ตรัสว่า ‘หากเจ้าระลึกถึงเราตลอดเวลาเจ้าจะมีพระวิญญาณของเราอยู่กับเจ้า’”10 นี่หมายความว่าเมื่อท่านระลึกถึงพระองค์ท่านจะมีอำนาจสวรรค์อยู่กับท่านตลอดเวลาเพื่อช่วยท่านทุกวันในการท้าทายทุกเรื่องที่ท่านเผชิญไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือหนักหนาเพียงใด—ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเกาะกุมท่านแค่ไหน นี่รวมถึงความกลัว การเสพติด ความไม่มั่นใจ หรือกำแพงใดๆ เบื้องหน้าท่านที่ดูเหมือนยากจะเอาชนะ ดังนั้นจงไตร่ตรองตอนนี้ว่าอะไรสำคัญที่สุดที่จำเป็นต้องทำเพื่อให้ท่านระลึกถึงพระองค์อย่างเต็มที่ แล้วลงมือทำทันที
เพื่อนรักที่โตมาด้วยกันเป็นคนแนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักกับภรรยา ในช่วงมัธยมปลาย ข้าพเจ้าให้บัพติศมาเขาเป็นสมาชิกศาสนจักร แต่เขามักจะพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะผูกมัดเต็มที่ในการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ—โดยแก้ตัวเสมอว่าเขาไม่เคยทำอะไรที่เลวร้ายจริงๆ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทำ แต่แล้วคืนหนึ่งในงานเลี้ยง เขาดื่มมากเกินไปและประสบอุบัติเหตุตกหน้าผาตาย เขาอายุเท่าพวกท่านหลายคนขณะนี้ โศกนาฏกรรมนี้ไม่ควรเกิดขึ้นและจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าพันธสัญญาเป็นสิ่งนำทางชีวิตเพื่อนข้าพเจ้า ไม่ใช่ความสะดวก
ท่านขีดเส้นตรงไหนในชีวิตเกี่ยวกับพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า? ท่านบางคนอาจมองชีวิตเหมือนที่เราส่วนใหญ่มองการเชื่อฟังขีดจำกัดความเร็วบนทางหลวง มีใครคิดจะขับรถตามขีดจำกัดความเร็วที่ติดไว้ไหม? ไม่มี แต่เรากลับอยากรู้ว่าจะขับรถเกินความเร็วที่กำหนดไปได้กี่ไมล์โดยไม่โดนใบสั่ง นั่นคือวิธีที่เพื่อนรักข้าพเจ้าดำเนินชีวิต ในพระกิตติคุณ เราไม่ควรคิดว่าจะเปิดรับเรื่องทางโลกเข้ามาในชีวิตได้มากเพียงใดโดยไม่ล้ำเส้น เราแค่ต้องละทิ้งโลกไปเลย
ท่านจะมีดวงตาที่ช่วยให้ท่านเห็นชัดแจ้งผ่านความสับสนวุ่นวายของโลกนี้ได้เมื่อท่านรับพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าไว้เท่านั้น พระคัมภีร์ไบเบิลสอนว่า “เพราะว่าความรักต่อพระเจ้าเป็นอย่างนี้ คือเมื่อเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์”11 ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาไม่ได้ดำเนินชีวิตดีพร้อมแต่อย่างใด แต่พวกเขาขัดเกลาชีวิตทุกวันผ่านการกลับใจ การขัดเกลาเช่นนั้นเปิดพวกเขาสู่พรอุดมสมบูรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าและพลังสวรรค์ที่แท้จริง ในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายนี้ มีใครบ้างที่ฟังอยู่ในคืนนี้ไม่จำเป็นต้องรับการนำทางและพลังจากพระผู้เป็นเจ้า?
หลายปีก่อน หุ้นส่วนธุรกิจของข้าพเจ้าซึ่งป่วยอยู่บอกข้าพเจ้าว่าประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์มาหาและให้พรเขาที่บ้าน เขากล่าวว่า “ขณะเดินไปส่งท่านที่รถ ประธานแพคเกอร์บอกว่า ‘อย่าเพิ่งรีบกลับจากส่วนเกทเสมนีเร็วเกินไป เรียนรู้บทเรียนที่นั่นก่อน’” แล้วเพื่อนก็ถามข้าพเจ้าว่า “คุณคิดว่าท่านหมายความว่าอย่างไร?” ก่อนข้าพเจ้าจะตอบ เขาเสริมขึ้นมาว่า “ผมเชื่อว่าท่านหมายความว่าเราต้องทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมอยากทำ”
เมื่อเพื่อนกล่าวคำพูดเช่นนั้น ข้าพเจ้ารู้ว่าเขาพูดถูก การทดสอบขั้นสูงสุดในชีวิตคือเราจะยอมตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าหรือจะทำตามความประสงค์ของเราเอง เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์สอนนานมาแล้วว่า “การยอมมอบความประสงค์ของตน จริงๆ แล้วเป็นของส่วนตัวที่เรามีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะวางบนแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า”12
แต่การเต็มใจทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าหมายความว่าอย่างไร? จากประสบการณ์ของพระผู้ช่วยให้รอดในสวนเกทเสมนี ข้าพเจ้าเชื่อว่าเราต้องเข้าใจบางส่วนว่าการยอมตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าหมายความว่าท่านและข้าพเจ้าต้องเต็มใจที่จะทนทุกข์และอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่กับทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงขอจากเรา แม้สิ่งที่ทรงขอให้เราอดทนจะไม่ได้มาจากความผิดของเราเลยก็ตาม นี่อาจรวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น ความบกพร่องหรือความโน้มเอียงทางกายภาพ, การถูกกล่าวหาผิดๆ, การตัดสิน, หรือการรุมกระหน่ำจากเพื่อน ผู้นำ หรือแม้แต่สมาชิกครอบครัวที่หลงผิด
ในสวนเกทเสมนี พระบิดาบนสวรรค์ทรงขอให้พระผู้ช่วยให้รอดทรงดื่มถ้วยอันขมขื่นแห่งบาปและความทุกข์ที่ไม่ใช่ของพระองค์ ในกระบวนการนั้นพระเยซูทรง “เป็นทุกข์” กับสิ่งที่วางอยู่เบื้องหน้า ทรงรู้สึก “เป็นทุกข์แทบจะตาย” และทรงสวดอ้อนวอนว่า “ถ้าเป็นได้” ขอให้ “ชั่วโมงนี้ผ่านพ้นไปจากพระองค์” โดยทูลพระบิดาว่า “ทุกสิ่งเป็นได้สำหรับพระองค์ ขอโปรดให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด” แต่แล้วพระองค์ทรงเสริมว่า: “แต่อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”13 ในยุคของเรา ในการเปิดเผยที่ประทานแก่โจเซฟ สมิธ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “ปรารถนาที่เราจะไม่ต้องดื่มถ้วยอันขมขื่น, และชะงักอยู่—กระนั้นก็ตาม, รัศมีภาพจงมีแด่พระบิดา, และเรารับส่วนและทำให้การเตรียมของเราเสร็จสิ้นเพื่อลูกหลานมนุษย์”14
ไม่ว่าจะขมขื่นเพียงใด การรับส่วนและทำให้การเตรียมที่พระบิดาทรงออกแบบไว้เพื่อเราสำเร็จ เป็นส่วนหนึ่งในแผนของพระบิดาที่จะนำปีติสุขตลอดกาลมาสู่เรา ท่านคิดหรือเชื่อหรือไม่ว่าพระบิดาบนสวรรค์จะทรงปกป้องท่านจากช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่จำเป็นต่อการช่วยให้ท่านเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น? ประธานจอห์น เทย์เลอร์กล่าวว่าศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธบอกท่านว่า “ท่านจะต้องผ่านการทดลองทุกรูปแบบ … พระผู้เป็นเจ้าจะทรงคลำหาท่าน พระองค์จะทรงจับท่านไว้และบิดเส้นเหนี่ยวหัวใจของท่าน” การเป็นสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์หมายความว่าเราต้อง “ว่าง่าย, อ่อนโยน, ถ่อมตน, อดทน, เปี่ยมด้วยความรัก, เต็มใจยอมในสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงเห็นควรจะอุบัติแก่ [เรา]”15
เมื่อไม่นานมานี้ ศาสดาพยากรณ์ที่รักของเรา ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันแนะนำว่า: “มีอุปสรรครออยู่ข้างหน้า การเป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ซื่อสัตย์ในอนาคตไม่ง่ายหรือไม่เป็นที่ชื่นชอบมากนัก เราแต่ละคนจะได้รับการทดสอบ … ผู้พากเพียรทำตามพระเจ้า ‘จะถูกกดขี่ข่มเหง’16 การข่มเหงเช่นนั้นสามารถเบียดท่านเข้าไปในความอ่อนแอแบบเงียบๆ หรือกระตุ้นท่านให้เป็นแบบอย่างและกล้าหาญมากขึ้นในชีวิตประจำวัน วิธี ที่ท่านรับมือกับการทดลองของชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาศรัทธา”17
อัครสาวกเปาโลถามคำถามนี้: “แล้วใครจะให้เราขาดจากความรักของพระคริสต์ได้? จะเป็น ความทุกข์ หรือ ความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ?”18 ในภาษาปัจจุบันเราอาจจะพูดแบบนี้: “ฉันจะยอมให้ความยากลำบากในการหาคู่แต่งงาน, หรือความปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์นอกการอนุมัติ, หรือเหตุการณ์ในประวัติศาสนจักร, หรือการกระทำหลงผิดจากผู้นำหรือครูบางคน, หรือความปรารถนาทางโลก, หรือการตกงาน, หรือความเจ็บป่วยที่ท้าทาย, หรือความคับแค้นใจสุดจะทน กีดกันฉันไม่ให้หมั่นทำตามพระผู้ช่วยให้รอดและมีส่วนร่วมเต็มที่ในศาสนจักรของพระองค์อย่างนั้นหรือ?”
บาป ความเจ็บปวด ความทุกข์ และความทุพพลภาพทั้งหมดของท่านเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เอ็ลเดอร์แม็กซ์เวลล์เรียกว่า “เลขคณิตสยองขวัญของการชดใช้ [ของพระเยซูคริสต์]”19 เลขคณิตที่ท่านบอกว่าคำนวณได้เพียงวิธีเดียวคือ “ความหฤโหด คูณด้วยความไม่สิ้นสุด”20 ความลำบากหรือความท้าทายจากการทดลองของชีวิตท่านจะไม่มีวันน้อยกว่าของพระองค์ ดังนั้น คำถามที่สวรรค์ถามท่านคือท่านจะตามรอยพระบาทของพระผู้ช่วยให้รอดและทูลพระองค์ว่า: “แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”21หรือไม่?
หรืออาจจะถามอีกแบบหนึ่งว่า “ฉันจะวางใจในพระผู้เป็นเจ้าและวางใจในสิ่งที่พระองค์ทรงออกแบบให้ชีวิตฉันด้วยหรือไม่?”
ขณะเผชิญการท้าทายและการทดลอง จงรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีเดชานุภาพทั้งหมดที่จะสนับสนุนท่าน—แม้เมื่อสภาวการณ์รอบตัวท่านไม่เปลี่ยนแปลง แม้ท่ามกลางความทุกข์ที่เผาไหม้จิตวิญญาณ พระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์ “จะ … ให้สัมภาระซึ่งวางอยู่บนบ่าเจ้าเบาลง แม้จนเจ้าหารู้สึกไม่ว่ามันอยู่บนหลังเจ้า, … เพื่อเจ้าจะรู้อย่างแน่นอนว่าเรา, พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้า, มาเยือนผู้คนของเราในความทุกข์ของพวกเขา”22 อย่าสงสัยเลยว่าพระเจ้าทรงสามารถเปิดประตูที่ให้ประสิทธิผลได้ทุกประตู; ย้ำความมั่นใจท่านผ่านคำถามแห่งศรัทธา; และช่วยท่านให้มีงาน การศึกษา และกำลังในการดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม หรือสิ่งอื่นใดที่อาจจำเป็นต่อการบรรลุศักยภาพสูงสุดของท่าน พระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงเตรียมทาง23 มีใครหรือสิ่งอื่นใดหรือไม่ที่สามารถให้สัญญาแบบนี้แก่ท่านได้? จงวางใจให้พระองค์ทรงสอนและค้ำจุนท่านเมื่อท่านยอมต่อพระประสงค์ของพระองค์อย่างนอบน้อม
หลายปีก่อน ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ตั้งข้อสังเกตอันลึกล้ำ: “ถ้าฐานรากของศรัทธาไม่ได้ติดตรึงอยู่ในใจของเรา พลังอำนาจในการอดทนจะล่มสลาย”24 ศรัทธาเป็นหลักธรรมของการลงมือทำ และศรัทธาคือการเลือก ศรัทธาไม่ได้วัดจากจำนวนการประชุมที่เราเข้าหรือพิธีกรรมที่เราทำ ศรัทธาไม่ใช่แม้แต่การยอมรับว่าพระผู้เป็นเจ้าและพระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์ ศรัทธาของท่านคือขอบเขตของความวางใจและการพึ่งพาเต็มที่ในพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน พระเยซูคริสต์ เราทุกคนอดทนหรือล่มสลายตามระดับความวางใจและการพึ่งพาส่วนตัวที่มีต่อทั้งสองพระองค์
เพื่อสร้างศรัทธาในพระองค์ ท่านต้องขจัดพฤติกรรมการแก้ตัวออกไปจากชีวิตให้หมด ท่านต้องเป็นเจ้าของชีวิตท่านเองและไม่ยอมให้คนอื่นบงการการกระทำและการเลือกของท่าน ทัศนคติ, เจตคติ, ปฏิกิริยา, ความรู้สึก, ความคิด, และความเชื่อคือทุกสิ่งที่ท่านควบคุม การขุ่นเคืองและเดินหนีไม่ได้มาจากพระผู้เป็นเจ้า สุรเสียงของพระองค์เชื้อเชิญให้ “ติดตามเรา!” เสมอ พระผู้เป็นเจ้าทรงพร้อมที่จะตอบคำถามทุกข้อ ปลอบโยนทุกการต่อสู้ดิ้นรน และไถ่ทุกคนไม่ว่าใคร ไม่มีความผิดพลาดหรือการต่อสู้ดิ้นรนใดๆ ที่เยียวยาไม่ได้ผ่านพระองค์ การค้นหาทางอินเทอร์เน็ตในโลกนี้กว่าพันล้านครึ่งเว็บไซต์ไม่สามารถบอกท่านได้ว่าศาสนจักรนี้จริงหรือไม่ หรือพระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่หรือไม่ มีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทรงเปิดเผยแก่ท่านได้ และที่สำคัญก็คือ: พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงบอกความจริงแก่ท่านอย่างหนึ่งและบอกข้าพเจ้าอีกอย่าง เราทุกคนจะได้รับคำตอบเดียวกันเมื่อเราถามและแสวงหาพระองค์ด้วยความจริงใจ ด้วยศรัทธา และเจตนาแท้จริง ส่วนหนึ่งของการทำเช่นนั้นคือเมื่อท่านกำจัดพฤติกรรมการแก้ตัวออกไปให้หมด
หลายปีก่อน ขณะทำงานมอบหมายในแอฟริกา ข้าพเจ้าได้ยินข่าวเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่กำลังขนยีราฟสองตัวบนรถบรรทุก ยีราฟตัวหนึ่งสูงกว่าอีกตัวอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดินทางไปตามทางหลวง เขาขับรถลอดสะพานที่ทอดข้ามทางหลวงเส้นนั้น แต่สะพานไม่สูงพอสำหรับยีราฟตัวที่ใหญ่กว่า เมื่อขับรถบรรทุกลอดใต้สะพานหัวของยีราฟตัวนั้นชนกับสะพานและตายทันที ต่อมามีคนถามคนขับรถว่าทำไมไม่ระวังให้ดีกว่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงการตายของยีราฟ เขาพูดว่า “ไม่ใช่ความผิดของผม เขาสร้างสะพานไว้ต่ำเกินไป”
การแก้ตัวของชายคนนี้อาจฟังดูน่าขัน แต่ท่านเคยแก้ตัวอย่างไม่มีเหตุผลให้การเลือกผิดๆ ของตัวเองแบบนี้มาก่อนไหม? อย่าโทษสะพานต่ำสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่จงพยายามขึ้นสู่ศักยภาพเต็มขั้นของท่านโดยมีคุณสมบัติที่จะได้รับพลังอำนาจ พร และปาฏิหาริย์ที่จำเป็นทุกประการที่สัญญาไว้จากสวรรค์ด้วยการเพิ่มพูนศรัทธาหรือความวางใจที่ยืนนานในพระองค์ พระเจ้าตรัสกับโจเซฟ สมิธว่า “บ่อยเพียงไร [ที่เจ้า] … ดำเนินตามการชักนำของมนุษย์ … เพราะ, ดูเถิด, เจ้าไม่ควรกลัวมนุษย์ยิ่งกว่าพระผู้เป็นเจ้า. ถึงแม้มนุษย์จะถือว่าคำแนะนำของพระผู้เป็นเจ้าไร้ค่า, และดูหมิ่นพระวจนะของพระองค์—แต่เจ้าน่าจะซื่อสัตย์; และพระองค์ก็จะทรงยื่นพระพาหุของพระองค์มาค้ำจุนเจ้าให้ต้านทานลูกดอกไฟทั้งปวงของปฏิปักษ์; และพระองค์ก็จะประทับอยู่กับเจ้าในความทุกข์ร้อนทุกครั้ง”25
ต่อไปนี้ข้าพเจ้าขอขยายออกไปเกินกว่าการตรวจสอบตนเองและมอบพยานไว้กับท่านว่าการดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาและการยอมต่อพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าส่วนหนึ่งก็คือความเต็มใจที่จะนึกถึงคนอื่นและทำดังที่พระเจ้าตรัสกับเปโตรให้ “ชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน” ด้วยเช่นกัน ไม่นานมานี้ประธานเนลสันกล่าวว่า “เราต้องเป็นผู้สร้าง … ศรัทธาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ และศรัทธาในศาสนจักรของพระองค์ … เราต้องสร้างศาสนจักรและอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก”26 ท่านเป็นพยานด้วยว่า “ไม่มี สิ่งใดที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินโลกเวลานี้ที่สำคัญไปกว่า [การรวบรวมอิสราเอล] ไม่มีสิ่งใด ที่จะบังเกิดผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ ไม่มีสิ่งใด เลย การรวบรวมนี้ควรมีความหมาย ทุกอย่าง ต่อท่าน นี่ คือ พันธกิจซึ่งท่านถูกส่งมาแผ่นดินโลกเพื่อการนี้”27 ในทำนองเดียวกัน พระผู้ช่วยให้รอดตรัสถามเปโตรว่า “เจ้ารักเราหรือ” แล้วตรัสว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด”28
ในกิตติคุณของยอห์น เราอ่านตรงที่มารีย์กับมาร์ธาถูกส่งไปตามหาพระผู้ช่วยให้รอดเมื่อลาซารัสน้องชายของพวกเธอป่วยหนักจวนตาย สานุศิษย์ของพระองค์ทูลวิงวอนพระองค์ว่าอย่าไปเพราะพวกยิวกำลังมุ่งจะเอาชีวิตพระองค์ แต่พระเยซูก็ยังเสด็จไปอุโมงค์ฝังศพของลาซารัส ที่นั่นพระผู้ช่วยให้รอดทรงกันแสงและเป็นทุกข์กับเพื่อนๆ ของพระองค์ จากนั้นด้วยเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ทรงบัญชาให้ลาซารัสลุกขึ้นจากความตายโดยตรัสว่า: “ลาซารัส ออกมาเถิด” พระคัมภีร์บันทึกต่อไปว่า “คนตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้าด้วยผ้าพันศพ … [และ] พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า จงแกะผ้าที่พันออกแล้วปล่อยเขาเถิด”29
เพื่อนที่รัก ไม่มีสิ่งใดให้ชีวิตมากไปกว่าการแบ่งปันแสงสว่างของพระคริสต์และแสงแห่งพระกิตติคุณของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดนอกจากพระกิตติคุณของพระคริสต์ที่สามารถนำความสงบสุขมาสู่ประชาชาติ ช่วยโลกให้รอดพ้นจากความยากจน หรือยกคนอื่นไปสู่ความสุขที่ยั่งยืนได้ องค์กรที่ดำเนินการตามหลักธรรมอื่นใดจะล้มเหลว มีเพียงพระกิตติคุณเท่านั้นที่สามารถแกะ “ผ้าพันศพ” ออกจากคนรอบตัวท่าน เชื้อเชิญให้ผู้อื่นมาสู่แสงสว่างของพระองค์ เมื่อท่านทำเช่นนั้น พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาว่าท่านจะนำ “ความรอดมาสู่จิตวิญญาณ [ของท่าน]”30 ว่าบาปของท่านจะได้รับการอภัย31 และว่าพระองค์จะทรงส่ง “เหล่าเทพ [ของพระองค์มา] ห้อมล้อม [ท่าน] เพื่อประคอง [ท่าน] ไว้”32
ความหวัง
ขณะนี้ข้าพเจ้าตระหนักดีว่าแม้ท่าน ข้าพเจ้า หรือใครก็ตามจะมีเจตนาดี แต่แรงกดดันให้ทำตามความคิดเห็นของโลกและไม่ทำตามพระบัญญัติของพระเจ้าอาจมีมหาศาล เปโตรทูลพระเยซูด้วยความมุ่งมั่นสูงสุดว่า “แม้ทุกคนจะทิ้งพระองค์ไปข้าพระองค์จะ ไม่มีวันทิ้งพระองค์เลย … ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย”33 แต่จากนั้นไม่นานเปโตรก็หวั่นไหว ปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอดถึงสามครั้ง ท่านต้องเรียนรู้อะไรบ้างจากเรื่องนี้?
ข้าพเจ้าเชื่อส่วนหนึ่งว่าพระเจ้าทรงต้องการให้ท่านรู้ว่าพระองค์เข้าพระทัยว่าการยอมต่อพระประสงค์ของพระองค์—การดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาหรือการเปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างสมบูรณ์นั้น—เป็นกระบวนการไม่ใช่เหตุการณ์เดียว พระเยซูทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อที่เราจะได้ไม่วัดชีวิตตนเองจากความอ่อนแอหรือความไม่ดีพร้อม แต่เพื่อให้เราสามารถกลับใจทุกวันและเข้มแข็งขึ้นผ่านการกลับใจไปสู่ศรัทธาที่ไม่สั่นคลอน ท่านอาจต้องการจดไว้ในใจถึงคำสอนอันชาญฉลาดจากเอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์ในการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายนปี 2016 ที่ว่า:
“เรารู้สึกสบายใจในข้อเท็จจริงที่ว่าหากพระผู้เป็นเจ้าจะประทานรางวัลให้แก่คนที่ซื่อสัตย์อย่างสมบูรณ์เท่านั้น พระองค์คงจะมีรายชื่อให้ทรงแจกรางวัลไม่มากนัก ขอให้จำไว้ว่าวันพรุ่งนี้ และทุกวันหลังจากนั้น พระเจ้าประทานพรแก่ผู้ที่ ต้องการ จะพัฒนา, ผู้ที่ยอมรับความจำเป็นของพระบัญญัติและ พยายาม รักษา, ผู้ที่ยึดมั่นคุณธรรมเหมือนพระคริสต์และ พยายาม สุดความสามารถเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น ถ้าท่านสะดุดล้มเป็นครั้งคราวในความพยายามนั้น เช่นเดียวกับทุกคน พระผู้ช่วยให้รอดทรงอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยให้ท่านดำเนินต่อไป ถ้าท่านล้มลง จงทูลขอพลังของพระองค์”34
ลิเนตต์และข้าพเจ้ากำลังนั่งอยู่กับเอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์ในโจฮันเนสเบิร์กเมื่อซิสเตอร์สาวโสดอดีตผู้สอนศาสนาคนหนึ่งยืนเป็นพยานว่า “ดิฉันไม่ได้มาไกลขนาดนี้เพื่อจะหยุดอยู่เพียงแค่นี้” โปรดจำไว้ว่า “ไม่ว่าขณะนี้ท่านกำลังเผชิญกับการท้าทายใด … [จง] ดำเนินต่อไป พยายามต่อไป วางใจต่อไป เชื่อต่อไป เติบโตต่อไป สวรรค์ให้กำลังใจท่านวันนี้ พรุ่งนี้ และตลอดกาล”35 ท่านอยู่ในฝ่าพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงสามารถปลดปล่อยท่านผ่านเตาไฟลุกโพลงทุกชนิด
เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์พูดถึงพระเมตตาและการรับรองอีกอย่างจากพระเจ้าที่ท่านอาจต้องการเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจด้วย:
“พระวิญญาณไม่ได้ถูกสกัดกั้นไว้ด้วยไวรัสหรือเขตแดนของประชาชาติหรือด้วยการพยากรณ์ทางการแพทย์ [มี] ของประทานจากสวรรค์ที่ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยความเดือดร้อนในแผ่นดินหรือความเจ็บป่วยในอากาศ … พระองค์ผู้ทรงสร้างโลกอันน่าอัศจรรย์ซึ่งเราอาศัยอยู่นี้ ทรงสามารถตรัสกับธาตุใดก็ได้ในโลกว่า: ‘พอแค่นี้’ นั่นคือสิ่งที่พระองค์จะตรัสกับโรคร้ายที่เรากำลังเผชิญ ในที่ประทับแห่งพระบารมีของพระองค์—หากเพียงจะเปรียบเปรย—แม้สิ่งที่ขนาดเล็กกว่าอะตอมยังต้องโค้งคำนับ และแต่ละตนจะ ‘สารภาพ’ ในวิธีของมันเองว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ไถ่ผู้ยิ่งใหญ่ของคนทั้งปวง ภายใต้การกำกับดูแลของพระบิดา พระผู้ช่วยให้รอดทรงมีหน้าที่รับผิดชอบต่อชะตากรรมของโลกนี้ เราอยู่ในพระหัตถ์ที่มั่นคงและเปี่ยมด้วยความรักยิ่ง”36
สรุป
ข้าพเจ้าอยากจบตรงที่ข้าพเจ้าเริ่ม ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านคืออนุชนคนหนุ่มสาวรุ่นสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ศาสนจักรนี้ ท่านอาจเป็นรุ่นที่เผชิญกับการท้าทายยิ่งใหญ่ที่สุดด้วย ขณะใคร่ครวญการท้าทายรอบตัวท่าน พึงระลึกว่าพระผู้เป็นเจ้าตรัส “เพราะเรา, พระเจ้า, จะพิพากษามนุษย์ทั้งปวงตามงานของพวกเขา, ตามความปรารถนาของใจพวกเขา”37 พระวิญญาณจะทรงช่วยท่านบ่มเพาะความปรารถนาของท่านได้ แต่ท่านเท่านั้นเป็นผู้เลือกสิ่งที่ท่านปรารถนา และท่านเท่านั้นที่มีภาระรับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้าสำหรับการเลือกนั้น พระองค์ทรงประกาศด้วยว่า “ตามความปรารถนาของเจ้า … มันจะบังเกิดกับเจ้า”38 นี่หมายความว่า “จะดีกว่าที่ [ท่าน] จะต้องการผลที่ตามมาของสิ่งที่ [ท่าน] ต้องการ!”39
ข้าพเจ้าขอปิดท้ายด้วยประสบการณ์ส่วนตัวและประจักษ์พยานต่อไปนี้จากชีวิตส่วนตัว หลายปีก่อน ขณะเป็นนักศึกษาปีสอง ข้าพเจ้ากำลังอ่านหนังสือสอบในอะพาร์ตเมนต์ตามลำพัง วันนั้นอากาศอบอุ่น ขณะกำลังทบทวนตำราอยู่นั้นแมลงเล็กๆ ตัวหนึ่งเริ่มส่งเสียงหึ่งๆ อยู่ตรงหน้า เสียงที่ดังไม่หยุดของแมลงน้อยเริ่มกวนใจข้าพเจ้าขึ้นมาแล้ว ในที่สุดข้าพเจ้าก็ทนไม่ได้ ข้าพเจ้ายกสองมือตบเข้าหากันและฆ่าแมลงตัวนั้น จนทุกวันนี้ข้าพเจ้ายังอธิบายไม่ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น: ข้าพเจ้ามองดูซากแมลงบนฝ่ามือแล้วรู้สึกสงสารจับใจ และพูดกับตนเองว่า “แมลงตัวนี้ไม่จำเป็นต้องตายเลย มันตายเพราะความหงุดหงิดและความไม่อดทนของข้าพเจ้าแท้ๆ” จากนั้นข้าพเจ้าคุกเข่าสวดอ้อนวอนขอพระผู้เป็นเจ้าประทานอภัยและขอให้แมลงตัวนั้นมีชีวิตอีกครั้ง เมื่อสวดอ้อนวอนจบ แมลงตัวนั้นก็บินไปจากมือข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าถามตนเองมาหลายปีว่าทำไมพระผู้เป็นเจ้าทรงทำเช่นนี้ให้ข้าพเจ้า? มีคำตอบเข้ามามากมาย แต่ไม่มีคำตอบไหนสำคัญกว่าคำตอบนี้: พระองค์ทรงต้องการให้ข้าพเจ้าเข้าใจถึงแก่นแท้ว่าพระองค์ทรงมีเดชานุภาพทุกประการที่จะยกข้าพเจ้าหรือใครก็ตาม แม้สิ่งเล็กน้อยที่สุด พระองค์ทรงต้องการให้ข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์เห็นพระทัยอย่างที่สุดในความอ่อนแอของเราและว่าพระองค์ทรงนับเส้นผมบนศีรษะเราทุกเส้น หากพระองค์ทรงชุบชีวิตแมลงน้อยตัวหนึ่ง พระองค์จะไม่มีวันละทิ้งท่าน—ไม่ว่าท่านจะยืนอยู่ตรงจุดใด
จงอย่าเป็นเหมือนชาวเลาดีเซียและยอมให้ความพึงพอใจปกครองท่าน นี่คือประจักษ์พยานของข้าพเจ้าต่อท่าน เมื่อท่านละวางการแก้ตัวและความจองหอง เมื่อท่านทูลถามและสดับฟังสุรเสียงพระองค์แทนเสียงตนเอง เมื่อท่านลงมือทำในวิธีของพระองค์ ท่านจะเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เป็นจริง เมื่อท่านปรารถนาที่จะพากเพียรอย่างจริงจังเพื่อเปลี่ยนใจเลื่อมใส ดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาไม่ใช่ตามสะดวก และยอมตนต่อพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าขณะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ผู้อื่น ท่านจะค้นพบพรและปาฏิหาริย์ทุกอย่างที่จำเป็นต่อความสำเร็จในชีวิตนี้และสามารถกลับบ้านไปหาพระบิดาในสวรรค์และได้รับปีติสุขนิรันดร์
พระเยซูคริสต์คือพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ทรงพระชนม์ นี่คือศาสนจักรของพระองค์ และนี่จะเป็นศาสนจักรที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงรับไว้ ณ การเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ พระบิดาบนสวรรค์ของเราไม่ใช่พระบิดาที่ละเลย แผนของพระองค์เป็นแผนแห่งความสุขเพียงแผนเดียว โดยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านจะรู้ความจริงของทุกสิ่งและทุกสิ่งที่ท่านต้องทำ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนให้ท่านมีความกล้าหาญที่จะกลับใจจากความปรารถนาไม่ชอบธรรมใดๆ และแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยความปรารถนาอย่างพระผู้เป็นเจ้าที่จะดำเนินชีวิตตามพันธสัญญา ทั้งยอมตนและอดทนต่อพระหัตถ์ของพระองค์ที่ขัดเกลาชีวิตท่าน ข้าพเจ้าเป็นพยานต่อท่านที่อยู่ในวัยเยาว์ ดังที่แอลมาเป็นพยานต่อฮีลามันบุตรชายวัยเยาว์ของท่านว่า: “พ่อรู้ว่าผู้ใดก็ตามที่มอบความไว้วางใจของพวกเขาในพระผู้เป็นเจ้าจะได้รับการค้ำจุนในความเดือดร้อนของพวกเขา, และความยุ่งยากของพวกเขา, และความทุกข์ของพวกเขา, และพระองค์จะทรงยกขึ้นในวันสุดท้าย”40
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรท่านทุกคน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน