วิสัยทัศน์และความสมดุล
การให้ข้อคิดทางวิญญาณทั่วโลกสำหรับคนหนุ่มสาว • 2 พฤษภาคม 2021 • ศูนย์ผู้บุกเบิก
เอ็ลเดอร์แกรีย์ อี. สตีเวนสัน: พี่น้องหนุ่มสาวที่รัก ลีซากับผมยินดีต้อนรับคุณเข้าสู่การให้ข้อคิดทางวิญญาณสำหรับคนหนุ่มสาวทั่วโลกครั้งนี้ ขณะที่เราเริ่ม เราขอนำคำทักทายที่จริงใจและอบอุ่นของประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันและฝ่ายประธานสูงสุดมาให้คุณ พวกท่านรักคุณ เรารักคุณ พวกเราให้เกียรติและสนับสนุนพวกท่าน
ซิสเตอร์ลีซา สตีเวนสัน: เราอยู่กับคุณจากสถานที่พิเศษสุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์วิสุทธิยุคสุดท้ายของเรา ดิฉันหมายถึง “สถานที่” จริงๆ
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: เราอยู่ที่ศูนย์ผู้บุกเบิกอุทิศใหม่ติดกับอนุสาวรีย์ที่ This Is the Place Heritage Park ตรงเนินเขาเหนือซอลท์เลคซิตี้ ยูทาห์—สถานที่นี้เชิดชูคำประกาศสุดลึกล้ำของประธานบริคัม ยังก์ว่า “ที่ตรงนี้แหละ”1 หลังจากผู้บุกเบิกกลุ่มแรกเดินทางตรากตรำมาถึงเมื่อ 175 ปีที่แล้ว
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: วิสุทธิชนยุคแรกเหล่านี้หนีการข่มเหงอันโหดร้ายจนหมดแรงหมดสภาพมาตั้งรกรากในหุบเขากันดารแห่งนี้ นึกภาพหุบเขาซอลท์เลคที่รอพวกเขาอยู่ ทะเลทรายโล่งกว้างที่มีโกฐจุฬาลัมพาเต็มพื้นที่พิสูจน์ว่าการตั้งรกรากที่นี่ไม่ง่ายเลย
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: แต่พวกเขามีวิสัยทัศน์เกินความเข้าใจที่สนับสนุนโดยคำพยากรณ์ของอิสยาห์ในพันธสัญญาเดิมว่าพระเจ้าจะทรง “ให้สัญญาณแก่ประชาชาติ”2 วิสุทธิชนที่ซื่อสัตย์เหล่านี้จะได้รู้สันติสุขและจุดประสงค์อีกครั้งโดยมีวิสัยทัศน์พระกิตติคุณสูงยิ่งกว่ายอดเขาที่ปีนป่ายมาจนถึงหุบเขาซอลท์เลค
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: ผู้บุกเบิกเหล่านี้และคนที่มาหลังจากนั้นจะจารึกประวัติศาสตร์ไว้ในทะเลทรายแห่งนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรพวกเขาขณะที่การรวมอิสราเอลเริ่มขึ้น
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังเห็นเจตนารมณ์และวิสัยทัศน์เดียวกันนั้นในวิสุทธิชนยุคสุดท้ายทุกแห่งในโลก
ไม่กี่สัปดาห์ก่อน เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด รักษาการประธานโควรัมอัครสาวกสิบสองอุทิศศูนย์ผู้บุกเบิกแห่งใหม่นี้
ที่นี่บุคคลและครอบครัวสามารถมาซึมซับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของวิสุทธิชนยุคแรกในการเผชิญความยากลำบากแสนสาหัส โอกาสประสบความสำเร็จมีน้อยมาก ผู้บุกเบิกร้องทูลพระเจ้าทั้งวันคืนขณะเร่งมือปลูกอาหาร นำน้ำออกจากหุบเขาลึก สร้างบ้าน ที่พัก โรงเรียน อาคารประชุม และแม้กระทั่งพระวิหาร
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: พวกเขาทำมากจนเราแทบนึกไม่ถึง วิสัยทัศน์ที่พระเจ้าค่อยๆ สอนสั่งศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่เป็นพรแก่ชีวิตลูกๆ ที่ทรงเลือกมาทำให้จุดประสงค์ของพระองค์บรรลุผล
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: ตามที่คุณเห็น ไม่กี่ฟุตจากศูนย์ผู้บุกเบิกตรงที่ผมยืนอยู่เป็นกระจกโค้งที่มองลงไปเห็นอนุสาวรีย์ของ This Is the Place ด้านล่างเราเห็นแสงวิบวับของเมืองที่พวกเขาเริ่มสร้างเมื่อนานมาแล้ว เลยไปคุณจะเห็นวิวกว้าง—ทัศนวิสัย—ทางตะวันตกและเส้นขอบฟ้าตอนพระอาทิตย์ตกดิน วิวมุมสูงนี้ คู่กับความเข้าใจในอดีตของเรา ขยายมุมมองให้เรารู้เรื่องวิสัยทัศน์ของผู้บุกเบิก ทั้งสามารถเป็นภาพพจน์เปรียบเทียบที่จะช่วยให้วิสัยทัศน์พระกิตติคุณของเราลึกซึ้งขึ้นและนำทางเราขณะเผชิญการตัดสินใจและความท้าทายในชีวิต ภายในไม่กี่วันที่ศาสดาพยากรณ์ประกาศว่า “ที่ตรงนี้แหละ”3 วิสัยทัศน์สำหรับพระวิหาร สำนักงานใหญ่ของศาสนจักร และสถานที่เพื่อเป็นธงสัญญาณแก่ประชาชาติได้เริ่มก้าวแรกๆ ไปสู่ความเป็นจริง
ค่ำนี้เราจะใช้อดีต วิสัยทัศน์ของบรรพชนผู้บุกเบิก ช่วยให้เรามีวิสัยทัศน์ชัดเจนสำหรับอนาคตของเรา คำพูดบันดาลใจของวินสตัน เชอร์ชิลล์ดูเหมือนจะตรงกับการสนทนาของเราคืนนี้อย่างยิ่ง: “ยิ่งมองย้อนกลับไปไกลเพียงใด ยิ่งเห็นข้างหน้าไกลเพียงนั้น”4
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: เราเผชิญความไม่แน่นอนในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากเกิดโรคระบาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเกือบปีครึ่ง อะไรอยู่ข้างหน้า? เราแต่ละคนต้องการวิสัยทัศน์และการนำทางจากสวรรค์แบบเดียวกับวิสุทธิชนยุคแรกเหล่านั้นขณะหันมามองอนาคต
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: คุณอาจไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหน คุณอาจจะยึดมั่นความฝันเรื่องการรับใช้งานเผยแผ่ การศึกษา หรือการเริ่มงานอาชีพ หรืออาจจะคิดเรื่องตกหลุมรัก แต่งงานมีครอบครัว และเห็นพรของพระวิหารมาถึงคุณและคนที่คุณรัก หรือคุณอาจจะเริ่มครอบครัวนิรันดร์ไปแล้วและกำลังประสบความท้าทายเรื่องการเลี้ยงลูกเล็กๆ
เป้าหมายสูงสุดของเราเหมือนกันคือก้าวหน้าตามเส้นทางพันธสัญญา ขณะเตรียมรับความสูงส่งอย่างมีศรัทธา มุมมองพระกิตติคุณทำให้คุณและผมมีวิสัยทัศน์มองเห็นเส้นทางนั้นชัดเจน
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: เมื่อพูดถึงการอยู่บนเส้นทางพันธสัญญา ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกล่าวว่า “กุญแจนั้นคือการทำและรักษาพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ เรา เลือก ที่จะดำเนินชีวิตและก้าวหน้าตามทางแห่งพันธสัญญาของพระเจ้าและคงอยู่บนทางนั้น ไม่ใช่ทางที่ซับซ้อน เป็นทาง เดียว สู่ปีติที่แท้จริงในชีวิตนี้และชีวิตนิรันดร์ข้างหน้า”5
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: เราจึงหวังว่าจะได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัวสักสองสามเรื่องที่อาจให้แนวทางคุณขณะหาทางจัดการกับข้อเรียกร้องทั้งหมดในชีวิตที่จะช่วยให้คุณเดินหน้าด้วยวิสัยทัศน์และความสมดุล
“สิทธิชนมา”—แสดงโดยครอบครัวบอนเนอร์:
สิทธิชนมา อย่ากลัวงานหนักแบบใด
ดำเนินต่อโดยสุขใจ
แม้การเดินทางลำบากแก่ท่านทั้งหลาย
พระการุณจะอยู่ใกล้
ให้พยายามกำจัดกังวล
เป็นประโยชน์กว่าวิตกทุกข์ทน
หัวใจจะเบิกบานเพราะคำนี้—
ทุกอย่างดี! ทุกอย่างดี!
ทำไมจะโศกคิดว่าภาระเราหนัก?
ไม่ใช่เลย ทุกอย่างดี
ทำไมคาดว่าจะมีรางวัลประเสริฐ
ถ้าเดี๋ยวนี้หลีกต่อสู้?
เตรียมตัวของท่าน จงกล้าหาญยิ่ง
พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทอดทิ้ง
ไม่ช้าพวกเราจะเล่าคำนี้—
ทุกอย่างดี! ทุกอย่างดี!
เราจะพบแหล่งที่พระเป็นเจ้าเตรียมไว้
ไกลไปทางตะวันตก
ที่ไม่มีใครทำให้กลัวหรือทำร้าย
เราจะรับพรสุขศรี
เสียงเราจะก้องไปในท้องฟ้า
แซ่ซ้องสรรเสริญแด่พระบิดา
นอกเหนือจากนั้นกล่าวถ้อยคำนี้—
ทุกอย่างดี! ทุกอย่างดี!
หากว่าเราตายก่อนการเดินทางจะเสร็จ
วันสุขยิ่ง! ทุกอย่างดี!
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: ”วันสุขยิ่ง! ทุกอย่างดี!”6 เป็นคำบอกวิสัยทัศน์อันน่าทึ่งจากผู้บุกเบิกยุคแรก วิสัยทัศน์ของพวกเขาคือการที่ “ทุกอย่างดี” ท่ามกลางความท้าทายและความทุกข์เป็นไปได้เพราะมุมมองพระกิตติคุณที่มี
เราใช้เวลาได้เป็นชั่วโมงเพื่อพูดเรื่อง วิสัยทัศน์ ซึ่งบางคนเรียกว่า “ศิลปะของการเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น”7 นั่นนำไปสู่คำถามที่คุณทุกคนจะถามตัวเองบางครั้งว่า: “ปัจจุบันฉันเห็นตัวเองเป็นอะไรในหลายปีข้างหน้า? ฉันเคย อยู่ จุดไหน? และจะ ไป จุดไหน?”
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: บางครั้งเราเพียงต้องตระหนักว่าด้วยมุมมองพระกิตติคุณและของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรามีวิสัยทัศน์กว้างไกลกว่าถึงสิ่งซึ่งอยู่ในวิสัยจะทำได้ กรณีเช่นคุณทุ่มเทความพยายามในการศึกษาและงานอาชีพปัจจุบันมาตลอด แม้ว่าคุณยังคิดไม่ตกว่าจะทำอะไรต่อ
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: ผมเคยรู้สึกแบบนี้ตอนประกอบอาชีพใหม่ๆ ผมเริ่มทำงานกับเพื่อนวัยเด็กโดยเริ่มธุรกิจสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยนำเข้าของชำร่วยจากเอเชีย กิจการของเราเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงและเติบโตมากตลอด 30 ปีต่อมา คำถามที่มีคนถามเราบ่อยๆ คือ “ตอนคุณเริ่มธุรกิจ นี่อยู่ในวิสัยทัศน์ของคุณหรือเปล่า?” คำตอบสั้นๆ คือ “ไม่เลย”
เราต้องปรับวิสัยทัศน์เป็นประจำสม่ำเสมอ การเริ่มเป็นคนนำเข้าของชำร่วยทองเหลืองรายเล็กแล้วเติบโตเป็นผู้จัดหาสินค้าฟิตเนสรายใหญ่อาศัยโชคและการปรับวิสัยทัศน์อย่างมากในระหว่างนั้น การทิ้งและสร้างแผนใหม่ การคิดค้นสิ่งใหม่ และการปรับตัว จริงๆ แล้วเป็นจุดแข็งไม่ใช่จุดอ่อน
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: แต่นี่คือจุดที่เราชี้ให้เห็นข้อได้เปรียบอย่างมากในการค้นหาวิสัยทัศน์ของเรา เพราะคุณมีความรู้เรื่องพระกิตติคุณเหมือนผู้บุกเบิก คุณจึงมีมุมมองพระกิตติคุณ ข้อได้เปรียบของคุณคือมองการเดินทางมรรตัยของคุณด้วยทัศนะที่ เลิศล้ำ อย่างยิ่ง
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: มุมมองนิรันดร์หรือมุมมองพระกิตติคุณให้ความชัดเจนที่คนอื่นไม่มี—แม้แต่ในเรื่องทางโลกเช่นการศึกษาและอาชีพ เราจะพยายามสาธิตเรื่องนี้ด้วยภาพแทนคำพูด
เราขอให้คุณดูรูปนี้ คุณเห็นอะไร? คุณรู้หรือเปล่าว่าเป็นภาพอะไร?
มุมมองใหม่นี้ช่วยให้คุณเห็นชัดเจนหรือเปล่า? นี่คือทั้งหมดที่มีให้เห็นหรือ? คุณคิดยังไง? เรามาดูตามลำดับที่ปรากฏดีกว่า ขอให้ตั้งใจดูดีๆ
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: แบบฝึกหัดง่ายๆ นี้ทำให้คุณเห็นนอกเหนือจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคุณขณะนี้ ยิ่งมองห่างก็จะเห็นชัดขึ้น
คติพจน์คุ้นหูในสุภาษิตกล่าวว่า “ที่ใดไม่มีวิสัยทัศน์ ผู้คนย่อมพินาศ”8
ประธานเอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ดอธิบายหลักธรรมแท้จริงนี้เพิ่มเติมเมื่อท่านกล่าวว่า “คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกคือผู้มีวิสัยทัศน์ในชีวิต”9 เป็นความจริงอย่างยิ่ง!
วิสัยทัศน์ทางวิญญาณซึ่งมาจากมุมมองพระกิตติคุณให้ความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับลำดับความสำคัญทั้งหมดของชีวิต อีกทั้งช่วยเราจัดลำดับความสำคัญและรักษาสมดุลได้อย่างดี นี่คือสาเหตุที่เราเห็นความเชื่อมโยงกันมากระหว่างวิสัยทัศน์กับความสมดุล
ผมอยากแบ่งปันหลักธรรมเรื่องความสมดุลโดยเล่าประสบการณ์ส่วนตัว
เพื่อนผมมีชื่อเสียงในงานอาชีพและเคยเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ที่เชี่ยวชาญและมากด้วยประสบการณ์ ในวันที่อากาศอบอุ่น เขาโทรมาบอกว่าจะบินไปซอลท์เลคซิตี้และถามผมกับหุ้นส่วนธุรกิจว่าอยากให้เขาไปส่งที่บ้านบนเขาหรือเปล่า
ถ้านั่งรถขึ้นไปจะใช้เวลาสองชั่วโมงกว่า เฮลิคอปเตอร์ใช้เวลาแค่ 15 นาที เราจึงตัดสินใจไป
วันนั้นอากาศดีน่าบิน เราได้เห็นสีสันของใบไม้ร่วงขณะเครื่องเริ่มลงจอด อีกไม่ถึงหนึ่งนาทีจะแตะพื้นใบพัดหางก็ขัดข้อง ส่งผลให้เฮลิคอปเตอร์หมุนจนควบคุมไม่อยู่ สถานการณ์นี้น่ากลัวมาก
เราโชคดีที่การฝึกจอดฉุกเฉินของนักบินแทบจะเป็นสัญชาตญาณของเขา เขารู้ว่าถ้าเอาหัวเฮลิคอปเตอร์ลงก่อน หรือลงกลางลำ เราจะไม่รอด
ระหว่างเครื่องหมุนติ้ว เขาเลี้ยวเฮลิคอปเตอร์ให้ตะแคงตกลงมาบนพื้นอย่างเชี่ยวชาญ
น้ำมันรั่วและไฟกำลังปะทุจากเครื่องยนต์ เขาดับเครื่องทัน และเราออกจากเครื่องโดยไม่ระเบิด โดยฝีมือของนักบินและพระหัตถ์ของพระเจ้า เรารอดชีวิตจากเฮลิคอปเตอร์ตกครั้งนั้น
ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเฮลิคอปเตอร์เยอะมากตั้งแต่วันนั้น ประสบการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกครั้งนั้นเป็นผลจากการทำงานผิดปกติของใบพัดหางซึ่งก่อให้เกิดความไม่สมดุลกันระหว่างองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เฮลิคอปเตอร์อยู่ในอากาศ เมื่อมีสมดุลระหว่างความเร็วของใบพัดหลัก ใบพัดหาง และมุม การบินด้วยเฮลิคอปเตอร์จะสนุกมาก ไม่เช่นนั้นแล้ว มันน่าสยองขวัญ! ผมเป็นพยานเรื่องนี้ได้
เรามาดูรายละเอียดลึกลงไปขององค์ประกอบสำคัญเหล่านี้สักครู่
หนึ่งคือใบพัดหลัก การหมุนและความยาวใบพัดสร้างแรงยกและแรงบิด แต่แรงบิดที่เกิดจากใบพัดหลักต้องพอดี ไม่อย่างนั้นเฮลิคอปเตอร์จะหมุนจนควบคุมไม่อยู่
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: นั่นคือสาเหตุที่เฮลิคอปเตอร์มีใบพัดหาง เพื่อต้านแรงบิดที่เกิดจากใบพัดหลักด้านบน ความเร็วของใบพัดหลักควบคุมโดยนักบินผ่านตัวควบคุมที่มือ ความเร็วของใบพัดหางควบคุมโดยเท้านักบิน นักบินจำเป็นต้องปรับความเร็วของใบพัดทั้งสองตลอดเวลา
ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ออกมาไม่ดีแน่นอน
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: ต่อไปคือคันบังคับ คันบังคับจะควบคุมมุมของเฮลิคอปเตอร์ แล้วควบคุมทิศของเฮลิคอปเตอร์ ความสามารถในการเลี้ยว และการทรงตัวตามลำดับ โดยทำงานประสานกับใบพัดหลักและใบพัดหาง นักบินใช้มือขวาคุมคันบังคับ
สุดท้าย น้ำหนักบรรทุกและมุมของเฮลิคอปเตอร์เป็นตัวกำหนดความเร็วและอัตรากำลังที่ใบพัดหลักและใบพัดหางต้องใช้
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: เมื่อองค์ประกอบทั้งหมดนี้ประสานกัน เครื่องก็สมดุลพอดี ใบพัดหลัก ใบพัดหาง คันบังคับ น้ำหนัก และมุม—ต้านแรงโน้มถ่วงได้
คุณจะโยงเรื่องการบินที่ซับซ้อนแต่สวยงามของเฮลิคอปเตอร์กับการมีสมดุลในชีวิตเราได้อย่างไรคะ?
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: ผมขอเสนอความคิดบางอย่างจากข่าวสารของประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ในการประชุมผู้นำที่ผมเคยเข้าร่วมหลายปีก่อน ซึ่งอาจจะสร้างความเชื่อมโยงนี้ให้คุณได้
ท่านอธิบายว่า “เราแต่ละคนมีความรับผิดชอบสี่ด้าน หนึ่ง เรามีความรับผิดชอบต่อครอบครัวของเรา สอง เรามีความรับผิดชอบต่อนายจ้างของเรา สาม เรามีความรับผิดชอบต่องานของพระเจ้า สี่ เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเราเอง”10
เรามาดูความรับผิดชอบทั้งสี่อย่างเหล่านี้โดยใช้แนวเทียบเดิมเรื่องความสมดุลผ่านการพึ่งพาอาศัยกันขององค์ประกอบสำคัญของเฮลิคอปเตอร์
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: เริ่มกับบ้านและครอบครัว ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวิตเราแต่ละคน สำคัญที่คุณไม่ละเลยครอบครัวที่คุณเป็นส่วนหนึ่ง “ไม่มีอะไรสูงค่ากว่านี้อีกแล้ว … คุณจะนำความสัมพันธ์ในครอบครัวไป … ในชีวิตหน้าด้วย”11 ไม่กี่ปีที่ผ่านมาผู้นำศาสนจักรทำเยอะมากเพื่อเน้นความสำญของบ้านและครอบครัว
แนวทางล่าสุดเกี่ยวกับความสมดุลใหม่ระหว่างการสอนพระกิตติคุณในบ้านและศาสนจักรกับตารางการประชุมที่ปรับเปลี่ยนเป็นตัวบ่งชี้สำคัญว่าครอบครัวควรเป็นใบพัดหลักในชีวิตเรา
ประธานเนลสันท้าทายเราให้ “ทำงานอย่างขยันหมั่นเพียรเพื่อปรับเปลี่ยนบ้าน [ของเรา] ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้พระกิตติคุณ” เมื่อเราทำเช่นนั้น ท่านสัญญาว่า “เมื่อเวลาผ่านไป วันสะบาโตของท่านจะเป็นวันปีติยินดีอย่างแท้จริง ลูกๆ ของท่านจะตื่นเต้นที่ได้เรียนรู้และดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอด อิทธิพลของปฏิปักษ์ในชีวิตของท่านและในบ้านของท่านจะลดลง ครอบครัวท่านจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดและต่อเนื่อง”12
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: ข้อต่อไป เรามาพิจารณาเรื่องการทำงานและชีวิตการงานของคุณ—ซึ่งคืองานอาชีพ หรือถ้าคุณเป็นนักศึกษา ก็คือการศึกษาที่คุณกำลังแสวงหา ซึ่งจะนำไปสู่อาชีพเต็มเวลา การศึกษายกระดับความสามารถในการทำงานแน่นอน การทำงานช่วยให้คุณดูแลตัวเอง ครอบครัว และคนอื่นได้ งานอาชีพนำไปสู่การพึ่งพาตนเองทั้งทางโลกและทางวิญญาณ ในสภาพแวดล้อมการทำงานคุณมีข้อผูกมัดกับนายจ้างที่จะซื่อสัตย์และภักดี ให้ผลงานตามค่าตอบแทนที่คุณได้รับ พยายามสุดความสามารถในงานหรืออาชีพของคุณ
เพื่อให้เห็นภาพ ให้ถือว่างานอาชีพคือใบพัดหางของเฮลิคอปเตอร์
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: การทำสุดความสามารถเพื่อตัวคุณเองและครอบครัวจะช่วยให้คุณทำงานสุดความสามารถ ทั้งสองอย่างเชื่อมโยงกันมาก และความสมดุลระหว่างสองอย่างนี้สำคัญยิ่ง นายจ้าง นักสังคมวิทยา และที่ปรึกษาธุรกิจนักต่อนักกำลังเห็นถึงประโยชน์ของความสมดุลระหว่างงานกับชีวิต
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: องค์ประกอบสำคัญยิ่งอย่างที่สามของสมดุลชีวิตคือพระเจ้าและงานของพระองค์ นี่เป็นจุดประสงค์หลักที่เราแต่ละคนมายังโลกนี้ เราอยู่ที่นี่เพื่อรัก ให้เกียรติ เชื่อฟัง และรับใช้พระองค์และลูกๆของพระบิดาบนสวรรค์ พี่น้องชายหญิงของเราทั่วโลก พระเจ้าทรงต้องการความพยายามและพรสวรรค์ของเราเพื่อสร้างอาณาจักรของพระองค์
“จงจัดสรรเวลาดูแลความรับผิดชอบในศาสนจักรของท่าน”13 ผมพบว่า จัดสรร เป็นคำที่มีประโยชน์ เราต้องเลือกอย่างมีสติเพื่อ “จัดเวลา” รับใช้พระเจ้าและศาสนจักรของพระองค์และจัดระเบียบเวลานั้นด้วย
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: การเป็นผู้นำและการรับใช้ที่ไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นองค์ประกอบที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์ ศาสนจักรขอให้คุณแต่ละคนอุทิศเพื่ออาณาจักรในหลายวิธี การเรียกที่มาถึงคุณและคนอื่นๆ ในครอบครัวบางครั้งอาจมาในเวลาที่ดูเหมือนไม่สะดวก แต่ “หากเจ้ามีความปรารถนาจะรับใช้พระผู้เป็นเจ้า เจ้าก็ได้รับเรียกมายังงาน”14
นอกจากนี้ศาสดาพยากรณ์ที่รักของเรา ประธานเนลสันสอนว่าโลกเราเปลี่ยนทุกวัน การรับใช้ของเราในศาสนจักรของพระเจ้าก็เช่นกัน ท่านกระตุ้นเราให้น้อมรับ “ชีวิตวิถีใหม่” ท้าทายเราให้ “ปฏิบัติศาสนกิจต่อผู้อื่น มีมุมมองนิรันดร์เสมอ [และ] ขยายการเรียก [ของเรา]”15
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: การกระตุ้นนี้ให้ วิสัยทัศน์ เราแต่ละคนที่จะทำสิ่งที่ได้รับเรียกให้ทำ แต่แนะนำเราเช่นกันให้มีมุมมองนิรันดร์เสมอ หรืออีกนัยหนึ่งคือให้ รักษาสมดุล กับความรับผิดชอบเร่งด่วนอื่นๆ ของเรา ผมคิดว่าการรับใช้ในศาสนจักรคือคันบังคับของเฮลิคอปเตอร์ซึ่งทำให้เรามั่นคงและไปถูกทาง
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: องค์ประกอบสุดท้ายเพื่อรักษาสมดุลคือข้อผูกมัดกับตัวเราเอง
ชีวิตอาจยุ่ง มาก สำคัญที่เราต้องชะลอบ้างเพื่อเติมพลังและใส่ใจความต้องการของตัวเรามากขึ้น เช่น การพักผ่อน การออกกำลังกาย สันทนาการ และการพัฒนาตนเองทางวิญญาณ ไม่นานมานี้ผู้นำศาสนจักรให้ข้อเสนอที่มีค่าและปฏิบัติได้เพื่อช่วยเราทำสิ่งนี้
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: ใช่ครับ ลีซา เมื่อเร็วๆ นี้ประธานบัลลาร์ดบอกว่าสำคัญมากที่ต้องหาเวลาเงียบๆ ท่านกล่าวว่า:
“แม้เทคโนโลยีเป็นพรในชีวิตข้าพเจ้าเสมอ แต่เป็นสิ่งรบกวนที่วางสิ่งกีดขวางระหว่างเรากับความสามารถในการได้ยินสุรเสียงของพระเจ้าได้เช่นกัน ข้าพเจ้าบอกหลานๆ ว่าแต่ละวันพวกเขาควรกันเวลาเงียบๆ ไว้ตรึกตรองชีวิตตนและไตร่ตรองสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้พวกเขาทำ …
“… ข้าพเจ้าติดต่อกับสวรรค์ไม่ได้ในความยุ่งเหยิง … เมื่อข้าพเจ้า … [เงียบสงบ] และพยายามอยู่นิ่งๆ นั่นคือเวลาที่ข้าพเจ้าได้รับการดลใจ”16
เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์พูดถึงการตั้งใจสวดอ้อนวอน ท่านกล่าวว่า “มีบทเรียนสำคัญยิ่งใน … การตั้งใจสวดอ้อนวอนอย่างเร่งด่วนเพื่อขับเคี่ยวสู้กับ … การต่อต้านของปฏิปักษ์ ความห่วงกังวลของวัน และสิ่งที่รบกวนความคิดของเรา”17
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: ซิสเตอร์จีน บี. บิงแฮม ประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญพูดถึงองค์ประกอบสามอย่างที่มีค่ามากซึ่งจะช่วยตัวเรา
หนึ่ง ท่านอัญเชิญพระวิญญาณผ่านพระคัมภีร์ ท่านกล่าวว่า “หนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่เราทำตอนเช้าเพื่อให้มีพระวิญญาณคืออ่านพระคัมภีร์ นั่นช่วยให้ดิฉันมีกรอบความคิดที่ถูกต้องเพื่อจะรับการเปิดเผยได้”
องค์ประกอบที่สองคือการนมัสการในพระวิหาร “วิธีที่ดีมากอีกวิธีหนึ่งที่จะสามารถได้ยินสุรเสียงของพระเจ้าชัดขึ้นคือการเข้าพระวิหาร บางครั้งเมื่อดิฉันนั่งในพระวิหาร ดิฉันจะได้รับคำตอบให้กับการสวดอ้อนวอนหรือมีบางอย่างเข้ามาในความคิดขณะนิ่งพอจะฟังพระวิญญาณ”
สาม “ดนตรี … ช่วยให้ดิฉันได้ยินสุรเสียงของพระผู้ช่วยให้รอด ดิฉันชอบฟังเพลงสวด แม้จะฟังแค่ทำนองโดยไม่มีเนื้อร้องก็ตาม ดิฉันรู้เนื้อร้องเพราะเคยร้องมานาน เนื้อร้องจึงเข้ามาในความคิดดิฉัน”18
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: ดูเหมือนว่าการให้เวลาตัวเองเป็นเรื่องยากที่สุดเสมอ แต่สำคัญมาก ผมเคยได้ยินว่ามันเหมือนกับการหยุดให้นานพอจะลับใบเลื่อยให้คม
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: การจดจำว่าเรามีความรับผิดชอบต่อตนเองและรวมสิ่งนั้นไว้ในชีวิตเราทีละขั้นจะเป็นพร ดิฉันพบว่าเมื่อดิฉันพัฒนาตนเองทางร่างกาย อารมณ์ และวิญญาณ ไม่เพียงก่อเกิดประโยชน์ใหญ่หลวงต่อตนเองเท่านั้น แต่ช่วยดิฉันบำรุงเลี้ยงครอบครัวและเพื่อนๆ ด้วย
ดูซิว่าทั้งสี่ด้านนี้ของชีวิตเราราบรื่นขนาดไหนถ้ามีวิสัยทัศน์และความสมดุล! มันไปด้วยกันได้ดีใช่ไหมคะ?
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: ดีจริงๆ ครับ แต่ตอนที่เราพูดถึงความสมดุลในด้านต่างๆ เหล่านี้ของชีวิต เราต้องพูดในมุมมองที่ถูกต้องด้วย
เอ็ลเดอร์เบดนาร์สรุปไว้ในทางปฏิบัติในโพสต์โซเชียลมีเดียล่าสุด ท่านกล่าวว่า: “บางครั้งเราใคร่ครวญความรับผิดชอบทั้งหมดของเราที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่ทำงาน และที่โบสถ์และสงสัยว่าเราจะมีสมดุลได้อย่างไรในเมื่อมีหลายอย่างแข่งกันเรียกร้องเวลาของเรา แทนที่จะพยายามทำทุกอย่างในคราวเดียวกันจนประสาทเสีย เราควรระบุสิ่งพื้นฐานสำคัญบางอย่างที่เป็นลำดับความสำคัญสูงสุดของเรา จากนั้นค่อยพยายามให้ความเอาใจใส่—ทีละอย่าง”19
ลีซา นี่ทำผมให้นึกถึงประสบการณ์ที่น่าจดจำมากกับคุณพ่อเลย ผมเคยเป็นพ่อวัยหนุ่ม เป็นอธิการใหม่ที่มีธุรกิจที่กำลังเติบโตและมีข้อเรียกร้องมาก คืนหนึ่งผมไปงานเลี้ยงวันเกิดครอบครัวสาย ลูกๆ ของเรากับลูกพี่ลูกน้องอยู่เต็มไปหมด แต่ผมเดินเข้าไปในบ้าน แยกตัวไปนั่งมุมห้อง มัวแต่ห่วงเรื่องกิจธุระของวันนั้นและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวอร์ด
คุณพ่อเดินมาหาและพูดเสียงแข็งผิดปกติว่า “แกรีย์ ลูกทำอะไรอยู่?” เมื่อผมบอกท่านว่ากังวลกับความรับผิดชอบที่โบสถ์และที่ทำงาน ผมมั่นใจว่าท่านจะเห็นใจผมมาก แต่ไม่ใช่ ท่านนั่งลงข้างๆ และบอกว่าท่านเป็นห่วงผมและผมต้องปรับเปลี่ยนบางอย่างเพื่อจะได้ไม่แยกตัวกับครอบครัวแบบนี้เมื่ออยู่กับพวกเขา คุณจำสิ่งนี้ได้ไหมครับ ลีซา?
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: ฉันจำได้ดีมากค่ะ
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: ท่านพูดว่า “เมื่อลูกอยู่บ้าน ต้องทำให้บ้านสำคัญอันดับแรก ไม่ใช่โบสถ์และงาน เมื่อลูกอยู่ที่ทำงาน ต้องเลือกทำให้งานสำคัญอันดับแรก ไม่ใช่บ้านและโบสถ์ เมื่อลูกอยู่ที่โบสถ์ ต้องเลือกทำให้โบสถ์สำคัญอันดับแรก ไม่ใช่งานและบ้าน”
คำแนะนำนี้เป็นเรื่องท้าทายที่จะนำไปใช้ แม้กระทั่งตอนนี้ผมก็ห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ แต่มันช่วยผมจริงๆ ช่วยปลดภาระผม และให้พรมากมายในชีวิต ดังนั้นผมจะเชิญชวนให้ทุกคนคิดถึงเรื่องนี้และลองดูด้วยตัวเอง
ที่น่าสนใจคือ นี่แทบจะตรงกับที่เอ็ลเดอร์เบดนาร์แนะนำในโพสต์โซเชียลมีเดียที่เราอ้างอิงไป ท่านบอกว่า “อาจฟังดูเรียบง่าย แต่เราไม่ควรหงุดหงิดและเสียแรงเสียเวลาไปกับการพยายามทำสิ่งสำคัญทุกอย่างที่เราต้องทำให้สมดุลครบถ้วน ขณะที่เราสวดอ้อนวอนอย่างจริงใจขอให้พระผู้เป็นเจ้าช่วยให้เราทราบว่าอะไรสำคัญที่สุด พระองค์จะทรงนำทางและช่วยเราโฟกัสความพยายามของเราวันต่อวัน”20
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: ตอนนี้ดิฉันมีข่าวไม่ค่อยดีจะบอก ถ้าคุณทำตามคำแนะนำนี้และเดินหน้าด้วยความสมดุลและวิสัยทัศน์ คุณจะยังล้มเหลวอยู่บ้าง คุณจะมีรอยข่วนและรอยฟกช้ำบ้าง
หลายครั้งเส้นทางอาจมีหมอกบดบังวิสัยทัศน์ หรือคุณอาจเสียสมดุล แต่นี่คือข่าวดี คุณเป็นบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเรา
พระคัมภีร์สอนเราว่า “เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ประทานใจที่ขลาดกลัวแก่เรา แต่ประทานใจที่ประกอบด้วยฤทธานุภาพ … และการบังคับตนเองแก่เรา”21 อย่าลืมคำแนะนำสำคัญนี้จากพระเจ้าพระองค์เอง “ดังนั้น, จงรื่นเริงเถิด, และอย่ากลัวเลย, เพราะเราพระเจ้าอยู่กับเจ้า, และจะยืนเคียงข้างเจ้า”22 ด้วยเหตุนี้ คุณจึงมีแหล่งพลังจากสวรรค์อยู่ด้วยเสมอในพระผู้ช่วยให้รอดที่รักของเรา—แม้พระเยซูคริสต์
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: ลองฟังกำลังใจสำหรับคุณทุกคนที่นี่วันนี้จากประธานเนลสัน ท่านกล่าวว่า: “พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบ … ว่าการจะพบหรืออยู่บนเส้นทางพันธสัญญาไม่ง่าย พระองค์จึงทรงส่งพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์มาชดใช้ให้เราและแสดงให้เราเห็นทาง พลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าที่มีให้ทุกคนที่รักและติดตามพระเยซูคริสต์จะเยียวยาเรา ทำให้เราเข้มแข็ง ชำระเราให้สะอาดจากบาป และขยายเราให้ทำสิ่งที่เราจะทำด้วยตนเองไม่ได้”23
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: เปิดโอกาสให้ความรู้ที่ว่าคุณเป็นใคร และใครอยู่ฝ่ายคุณ ช่วยให้คุณดำเนินชีวิตด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและด้วยความสมดุลเสมอ พระเจ้า “จะทรงเพิ่มโอกาสให้ [คุณ] ขยายวิสัยทัศน์ของ [คุณ] และทำให้ [คุณ] เข้มแข็ง”24
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: ช่างพิเศษมากที่ได้อยู่กับคุณค่ำวันนี้ และเราอยากจะจบด้วยการแสดงความสำนึกคุณและเชื้อเชิญทุกคนและแบ่งปันประจักษ์พยานของเรา สิ่งแรกเลย ผมเชื้อเชิญให้คุณพิจารณาว่าวิสัยทัศน์พระกิตติคุณของคุณรับรองและยืนยันอัตลักษณ์ของคุณในฐานะธิดาหรือบุตรของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร
สอง พิจารณาว่าคุณรับมือกับความรับผิดชอบสี่ด้านต่อบ้านและครอบครัว ต่อการศึกษาและการจ้างงาน ต่อศาสนจักร และต่อตนเองอย่างไร
สาม ผมเชื้อเชิญให้คุณหาสถานที่สงบและเขียนความรู้สึกประทับใจที่คุณได้รับระหว่างการให้ข้อคิดทางวิญญาณครั้งนี้ จงจำไว้ว่า ในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย คุณแต่ละคนได้รับของประทานที่จะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เป็นเพื่อน
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: เมื่อคุณทำตามคำเชื้อเชิญจากเอ็ลเดอร์สตีเวนสัน อย่าลืมผู้บุกเบิกที่มาก่อนหน้าเรา—คนที่เราพูดถึงผู้ตั้งรกรากที่หุบเขานี้ตลอดจนคนเหล่านั้นในครอบครัวและประเทศบ้านเกิดของคุณทุกคน เจตนารมณ์แห่งความเป็นผู้บุกเบิกและแบบอย่างของการทำสิ่งยากๆ ของพวกเขาสามารถช่วยสร้างความมั่นใจให้คุณทำสิ่งยากๆ ได้เช่นกัน
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: เช่นเดียวกับวิสุทธิชนยุคแรก เรามองออกไป มองขึ้นไป แล้วมองเข้าไปเพื่อหาวิสัยทัศน์พระกิตติคุณและความสมดุล
ซิสเตอร์สตีเวนสัน: ดิฉันขอแสดงประจักษ์พยานว่าคุณสามารถได้รับ “ความเจิดจ้าอันบริบูรณ์แห่งความหวัง”25 ว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรู้จักคุณแต่ละคนด้วยชื่อและทรงรักคุณ ดิฉันเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และกล่าวในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน
เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน: เอเมน ขอบคุณมากครับ ลีซา ผมขอแสดงประจักษ์พยานและเป็นพยานต่อคุณเช่นกัน พี่น้องหนุ่มสาวที่งดงามของเรา ผมแสดงประจักษ์พยานว่าเราเป็นบุตรธิดาของพระบิดามารดาบนสวรรค์ผู้เปี่ยมด้วยรัก ว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรักคุณ และหลักคำสอนของพระบิดาคือพระองค์ทรงปรารถนาให้บุตรธิดาทุกคนกลับไปหาพระองค์
หลักคำสอนนี้เกิดขึ้นได้โดยพระบุตรของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดที่รักของเรา พระเยซูคริสต์ คือโดยทางการชดใช้ของพระองค์ที่เราสามารถกลับไปสู่ที่ประทับของพระบิดาบนสวรรค์ผู้เปี่ยมด้วยรัก ผมเป็นพยานต่อคุณถึงเรื่องนั้น ผมแสดงประจักษ์พยานในพระเยซูคริสต์และบทบาทศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของเรา และทำดังนั้นในพระนามของพระองค์ พระเยซูคริสต์ เอเมน