สถาบัน
5 หายไปหมดแล้ว


“หายไปหมดแล้ว” บทที่ 5 ของ วิสุทธิชน: เรื่องราวของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้าย เล่ม 1 มาตรฐานแห่งความจริง 1815–181846 (2018)

บทที่ 5: “หายไปหมดแล้ว”

บทที่ 5

หายไปหมดแล้ว

หน้าที่แปลแล้ว

หลังจากโจเซฟนำแผ่นจารึกทองคำมาบ้าน พวกแสวงหาสมบัติพยายามขโมยแผ่นจารึกอยู่หลายสัปดาห์ เพื่อรักษาบันทึกให้ปลอดภัย เขาต้องย้ายแผ่นจารึกไปมา โดยซ่อนแผ่นจารึกไว้ใต้เตาไฟ ใต้พื้นร้านของพ่อเขาและในกองธัญพืช เขาต้องระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา

เพื่อนบ้านที่สนใจใคร่รู้แวะมาที่บ้านเพื่อขอดูบันทึก โจเซฟปฏิเสธตลอดเวลา แม้เมื่อบางคนเสนอว่าจะจ่ายเงินให้เขา เขาตั้งใจจะดูแลแผ่นจารึกโดยวางใจในคำสัญญาของพระเจ้าว่าหากเขาทำทุกสิ่งที่ทำได้ พระองค์จะทรงคุ้มครองแผ่นจารึกเหล่านั้น1

บ่อยครั้ง การรบกวนเหล่านี้ทำให้เขาไม่สามารถตรวจสอบแผ่นจารึกและเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับอูริมและทูมมิม เขารู้ว่าเครื่องแปลมีไว้เพื่อช่วยเขาแปลแผ่นจารึกแต่เขาไม่เคยใช้ศิลาผู้หยั่งรู้อ่านภาษาโบราณมาก่อน เขาตื่นเต้นที่จะเริ่มงาน แต่เขาไม่รู้แน่ชัดว่าจะทำอย่างไร2

ขณะโจเซฟศึกษาแผ่นจารึก เจ้าของที่ดินซึ่งเป็นที่เคารพนับถือในพอลไมราชื่อมาร์ติน แฮร์ริสเริ่มสนใจงานของเขา มาร์ตินมีอายุพอที่จะเป็นพ่อของโจเซฟและบางครั้งเขาจ้างโจเซฟไปช่วยงานในที่ดินของเขา มาร์ตินได้ยินเกี่ยวกับแผ่นจารึกทองคำแต่ไม่ได้คิดอะไรมากจนกระทั่งมารดาของโจเซฟเชื้อเชิญให้เขาไปเยี่ยมลูกชายของเธอ3

โจเซฟออกไปทำงานเมื่อมาร์ตินแวะมาหา เขาจึงถามเอ็มมาและสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ เกี่ยวกับแผ่นจารึก เมื่อโจเซฟกลับมาบ้าน มาร์ตินคว้าแขนเขาและถามรายละเอียดเพิ่มเติม โจเซฟบอกเขาเกี่ยวกับแผ่นจารึกทองคำและคำแนะนำของโมโรไนให้แปลและพิมพ์งานเขียนที่อยู่บนแผ่นจารึก

“หากนี่เป็นงานของมาร” มาร์ตินกล่าว “ผมไม่อยากจะยุ่งด้วย” แต่หากนี่คืองานของพระเจ้า เขาต้องการช่วยโจเซฟประกาศให้โลกรู้

โจเซฟให้มาร์ตินยกแผ่นจารึกในหีบใส่กุญแจ มาร์ตินบอกได้ว่ามีของหนัก แต่เขาไม่เชื่อว่านั่นเป็นแผ่นจารึกทองคำ “คุณอย่าว่าผมที่ไม่เชื่อคำพูดของคุณนะครับ” เขาบอกโจเซฟ

เมื่อมาร์ตินกลับถึงบ้านหลังจากเที่ยงคืน เขาค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องนอนและสวดอ้อนวอนโดยสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าว่าจะให้ทุกสิ่งที่เขามีหากเขาได้รู้ว่าโจเซฟกำลังทำงานจากสวรรค์

เมื่อเขาสวดอ้อนวอน มาร์ตินรู้สึกถึงเสียงสงบแผ่วเบาตรัสกับจิตวิญญาณของเขา เรารู้ทันทีว่าแผ่นจารึกมาจากพระผู้เป็นเจ้า—และเขารู้ว่าเขาต้องช่วยโจเซฟแบ่งปันข่าวสารจากแผ่นจารึก4


ปลายปี 1827 เอ็มมารู้ว่าเธอตั้งครรภ์ เธอเขียนไปหาบิดามารดาของเธอ เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วที่เธอกับโจเซฟแต่งงานกัน และบิดามารดาของเธอยังคงไม่พอใจ แต่ครอบครัวเฮลยอมให้คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวกลับไปฮาร์โมนีย์เพื่อเอ็มมาจะได้คลอดบุตรใกล้กับครอบครัวของเธอ

ถึงแม้เรื่องนี้จะทำให้โจเซฟต้องจากพ่อแม่และพี่น้องของเขาไป แต่เขากระตือรือร้นที่จะไป ผู้คนที่นิวยอร์กยังคงพยายามขโมยแผ่นจารึก การย้ายไปที่ใหม่อาจทำให้เขาสงบและมีความเป็นส่วนตัวที่จำเป็นต่อการทำงานของพระเจ้า แต่โชคร้าย เขาเป็นหนี้และไม่มีเงินย้าย5

โดยหวังว่าจะจัดการเรื่องการเงินของเขา โจเซฟเข้าไปในเมืองเพื่อจ่ายหนี้บางส่วน ขณะที่เขากำลังจ่ายเงินอยู่ในร้าน มาร์ติน แฮร์ริสเดินมาหาเขา “นี่ห้าสิบดอลลาห์ครับ คุณสมิธ” เขากล่าว “ผมให้คุณเพื่อทำงานของพระเจ้า”

โจเซฟรู้สึกประหม่าที่จะรับเงินและสัญญาว่าจะจ่ายคืน แต่มาร์ตินบอกไม่ให้กังวลเรื่องนั้น เงินนั้นเป็นของขวัญ เขาเรียกให้ทุกคนที่อยู่ในห้องเป็นพยานว่าเขาเต็มใจให้6

ไม่นานหลังจากนั้น โจเซฟจ่ายหนี้ของเขาและขนสัมภาระขึ้นเกวียน จากนั้นเขาและเอ็มมาออกเดินทางไปฮาร์โมนีย์พร้อมกับแผ่นจารึกทองคำซ่อนไว้ในถังถั่ว7


ทั้งคู่เดินทางไปถึงบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวเฮลประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น8 ไม่นาน พ่อของเอ็มมาขอดูแผ่นจารึกทองคำ แต่โจเซฟบอกว่าเขาจะดูได้เฉพาะหีบที่เขาเก็บแผ่นจารึกเท่านั้น ด้วยความรำคาญ ไอแซคยกหีบลั่นกุญแจและรู้สึกถึงน้ำหนักของหีบใบนั้น แต่เขายังคงสงสัย เขาบอกว่าโจเซฟเก็บมันไว้ที่บ้านไม่ได้เว้นแต่จะให้เขาดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน9

โดยมีพ่อของเอ็มมาอยู่ด้วย การแปลจะไม่ง่าย แต่โจเซฟก็พยายามสุดความสามารถ เอ็มมาช่วยเขาคัดลอกอักขระแปลกๆ จากแผ่นจารึกลงบนกระดาษเป็นจำนวนมาก10 จากนั้น เขาพยายามแปลอักขระเหล่านั้นด้วยอูริมและทูมมิมเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ขั้นตอนดังกล่าวทำให้เขาต้องทำมากกว่ามองเข้าไปในเครื่องแปล เขาต้องอ่อนน้อมถ่อมตนและใช้ศรัทธาเมื่อเขาศึกษาอักขระ11

ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น มาร์ตินมาที่ฮาร์โมนีย์ เขาบอกว่าเขารู้สึกว่าพระเจ้าทรงเรียกให้เขาเดินทางมาไกลถึงนิวยอร์กซิตี้เพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณ เขาหวังว่าคนเหล่านั้นจะแปลอักขระได้12

โจเซฟคัดลอกอักขระอีกหลายตัวจากแผ่นจารึก เขียนการแปลของเขาและยื่นกระดาษให้มาร์ติน จากนั้นเขาและเอ็มมามองดูขณะเพื่อนของพวกเขามุ่งไปทางตะวันออกเพื่อปรึกษากับนักวิชาการผู้มีชื่อเสียง13


เมื่อมาร์ตินมาถึงนิวยอร์กซิตี้ เขาไปพบกับชาร์ลส์ แอนธัน ศาสตราจารย์ภาษาละตินและกรีกที่วิทยาลัยโคลัมเบีย ศาสตราจารย์แอนธันเป็นชายหนุ่ม—อายุน้อยกว่ามาร์ตินประมาณสิบห้าปี—เขามีชื่อเสียงในเรื่องการตีพิมพ์สารานุกรมฉบับประชานิยมเกี่ยวกับวัฒนธรรมกรีกและโรมัน เขาเริ่มรวบรวมเรื่องราวของชาวอเมริกันอินเดียนด้วย14

แอนธันเป็นนักวิชาการที่เคร่งครัดซึ่งไม่ชอบให้ใครมารบกวน แต่เขาต้อนรับมาร์ตินและศึกษาอักขระพร้อมกับงานแปลที่โจเซฟให้มา15 แม้ว่าศาสตราจารย์ท่านนี้ไม่รู้ภาษาอียิปต์ แต่เขาเคยอ่านการศึกษาเกี่ยวกับภาษานี้และรู้ว่าอักขระมีลักษณะอย่างไร โดยการดูอักขระเหล่านี้ เขามองเห็นความคล้ายคลึงกับภาษาอียิปต์และบอกมาร์ตินว่าการแปลนั้นถูกต้อง

มาร์ตินให้เขาดูอักขระมากขึ้น และแอนธันตรวจสอบอักขระเหล่านั้น เขากล่าวว่ามันมีอักขระจากภาษาโบราณหลายภาษาและมอบใบรับรองให้มาร์ตินเพื่อยืนยันว่าเป็นอักขระแท้ เขาแนะนำให้มาร์ตินนำอักขระไปให้นักวิชาการอีกท่านหนึ่งชื่อซามูเอล มิทเชลล์ดูด้วย นักวิชาการท่านนี้เคยสอนที่โคลัมเบีย16

“เขามีความรู้เยอะมากเกี่ยวกับภาษาโบราณเหล่านี้” แอนธันกล่าว “และผมไม่สงสัยเลยว่าเขาจะสามาถทำให้คุณพอใจได้”17

มาร์ตินเก็บใบรับรองไว้ในกระเป๋าของเขา แต่ทันทีที่เขากำลังจะออกไป แอนธันเรียกเขากลับมา เขาอยากรู้ว่าโจเซฟพบแผ่นจารึกทองคำได้อย่างไร

“เทพองค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า” มาร์ตินกล่าว“เปิดเผยแก่เขา” เขาเป็นพยานว่าการแปลแผ่นจารึกจะเปลี่ยนโลกและปกป้องโลกจากความพินาศ เวลานี้เขามีหลักฐานยืนยันความเป็นจริงของมัน เขาตั้งใจขายที่นาของเขาและบริจาคเงินเพื่อพิมพ์งานแปล

“ผมขอดูใบรับรองฉบับนั้น” แอนธันกล่าว

มาร์ตินล้วงเข้าไปในกระเป๋าและยื่นให้เขา แอนธันฉีกมันเป็นชิ้นๆ และกล่าวว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการปฏิบัติของเหล่าเทพ หากโจเซฟต้องการแปลแผ่นจารึก เขาควรนำแผ่นจารึกมาที่โคลัมเบียและให้นักวิชาการแปลแผ่นจารึกเหล่านั้น

มาร์ตินอธิบายว่าส่วนหนึ่งของแผ่นจารึกได้รับการผนึกไว้และโจเซฟไม่ได้รับอนุญาตให้นำออกมาให้ใครดู

‘ผมก็อ่านหนังสือที่ผนึกไว้ไม่ได้’ แอนธันกล่าว เขาเตือนมาร์ตินว่าโจเซฟน่าจะกำลังฉ้อโกงเขา “ระวังคนโกง” เขากล่าว18

มาร์ตินละจากศาสตราจารย์แอนธันและไปหาซามูเอล มิทเชลล์ เขาต้อนรับมาร์ตินอย่างสุภาพ ฟังเรื่องของเขา พลางดูอักขระและงานแปล เขาไม่สามารถแปลความหมายของอักขระได้ แต่เขาพูดว่าอักขระเหล่านี้ทำให้เขานึกถึงอักษรภาพอียิปต์โบราณและเป็นงานเขียนของชนชาติที่สูญหายไปแล้ว19

มาร์ตินออกจากเมืองไปไม่นานหลังจากนั้นและกลับไปฮาร์โมนีย์โดยมั่นใจมากกว่าเดิมว่าโจเซฟมีแผ่นจารึกทองคำโบราณและอำนาจแปลแผ่นจารึก เขาบอกโจเซฟเกี่ยวกับการพูดคุยของเขากับศาสตราจารย์ทั้งสองท่านและบอกเหตุผลว่าหากชายที่มีการศึกษาที่สุดในอเมริกาแปลหนังสือนี้ไม่ได้ โจเซฟต้องแปล

“ผมทำไม่ได้” โจเซฟกล่าว “เพราะผมไม่ใช่คนมีความรู้” แต่เขารู้ว่าพระเจ้าทรงเตรียมเครื่องแปลเพื่อว่าเขาจะแปลแผ่นจารึกได้20

มาร์ตินเห็นด้วย เขาวางแผนกลับไปพอลไมรา จัดการธุรกิจของเขาให้เรียบร้อยและกลับมาเร็วที่สุดเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้จดคำแปลให้โจเซฟ21


ในเดือนเมษายน ปี 1828 เอ็มมาและโจเซฟอาศัยอยู่ในบ้านเลียบชายฝั่งแม่น้ำซัสเควฮันนาไม่ไกลจากบ้านพ่อแม่ของเธอ22 ตอนนี้ครรภ์เธอแก่ใกล้คลอด เอ็มมามักทำหน้าที่เป็นผู้จดคำแปลให้โจเซฟหลังจากเขาเริ่มแปลบันทึก วันหนึ่ง ขณะที่เขาแปล ทันใดนั้นโจเซฟก็หน้าซีด “เอ็มมา เยรูซาเล็มมีกำแพงล้อมรอบไหม” เขาถาม

“มี” เธอตอบ โดยทวนคำบรรยายถึงกำแพงในพระคัมภีร์ไบเบิล

“โอ้” โจเซฟพูดด้วยความโล่งใจ “ผมกลัวว่าผมจะถูกหลอก”23

เอ็มมาประหลาดใจว่าการที่สามีเธอขาดความรู้ด้านประวัติศาสตร์และพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการแปล จดหมายสักฉบับก็ยังยากที่โจเซฟจะเขียนให้อ่านรู้เรื่องได้ กระนั้นชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าที่เธอนั่งใกล้กับเขาขณะที่เขาบอกคำในบันทึกให้เธอจดโดยไม่มีความช่วยเหลือจากหนังสือหรือต้นฉบับใดๆ ทั้งสิ้น เธอรู้ว่ามีแต่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ดลใจให้เขาแปลอย่างที่เขาทำ24

ไม่นาน มาร์ตินกลับมาจากพอลไมราและทำหน้าที่เป็นผู้จดคำแปลเพื่อให้เอ็มมามีโอกาสพักผ่อนก่อนคลอดบุตร25 แต่การพักผ่อนก็ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ลูซี ภรรยาของมาร์ตินยืนยันจะมาที่ฮาร์โมนีย์กับเขา ทั้งนายและนางแฮร์ริสมีบุคลิกที่แข็งกร้าว26 ลูซีสงสัยความปรารถนาของมาร์ตินที่จะสนับสนุนโจเซฟทางการเงินและโกรธที่เขาไปนิวยอร์กซิตี้โดยไม่พาเธอไปด้วย เมื่อเขาบอกเธอว่าเขากำลังจะไปฮาร์โมนีย์เพื่อช่วยงานแปล เธอขอไปด้วยโดยตั้งใจที่จะเห็นแผ่นจารึก

ลูซีกำลังสูญเสียการได้ยิน และเมื่อเธอไม่เข้าใจสิ่งที่คนกำลังพูด บางครั้งเธอนึกว่าพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์เธอ เธอไม่ค่อยเคารพความเป็นส่วนตัวของคนอื่นเช่นกัน หลังจากโจเซฟปฏิเสธที่จะให้เธอดูแผ่นจารึก เธอเริ่มค้นหาทั่วบ้าน รื้อชั้น ตู้ และหีบเก็บเครื่องใช้ของครอบครัว โจเซฟแทบไม่มีทางเลือกจึงต้องนำแผ่นจารึกไปซ่อนในป่า27

ไม่นานลูซีก็ออกจากบ้านไปพักอยู่กับเพื่อนบ้าน เอ็มมาได้ชั้นและตู้กลับมาใช้อีกครั้ง แต่ตอนนี้ลูซีบอกเพื่อนบ้านว่าโจเซฟกำลังพยายามหลอกเอาเงินของมาร์ติน หลังจากสร้างปัญหาหลายสัปดาห์ ลูซีกลับไปบ้านที่พอลไมรา

เมื่อความสงบสุขกลับคืนมา โจเซฟและมาร์ตินแปลได้เร็ว โจเซฟกำลังเติบโตในบทบาทอันสูงส่งของท่านในฐานะผู้หยั่งรู้และผู้เปิดเผย โดยมองเข้าไปในเครื่องแปลหรือศิลาผู้หยั่งรู้อีกก้อนหนึ่ง เขาสามารถแปลได้ไม่ว่าแผ่นจารึกจะอยู่ตรงหน้าเขาหรือห่ออยู่ในผ้าลินินของเอ็มมาบนโต๊ะ28

ตลอดเดือนเมษายน พฤษภาคม และต้นมิถุนายน เอ็มมาฟังจังหวะเสียงของโจเซฟที่กำลังบอกให้จดบันทึก29 เขาพูดช้าๆ แต่ชัด หยุดเป็นครั้งคราวเพื่อรอให้มาร์ตินพูดว่า “จดแล้ว” หลังจากที่เขาเขียนสิ่งที่โจเซฟพูดจบ30 เอ็มมาผลัดกันทำหน้าที่ผู้จดคำแปลด้วย เธอแปลกใจว่าหลังจากขัดจังหวะและหยุด โจเซฟสามารถเริ่มแปลต่อจากเดิมโดยไม่ต้องมีการเตือนความจำ31

ไม่นานก็ถึงเวลาที่ลูกของเอ็มมาจะคลอด หน้าต้นฉบับกองหนาขึ้นทุกที และมาร์ตินเชื่อว่าหากเขาให้ภรรยาของเขาอ่านงานแปล เธอจะเห็นคุณค่าของงานนี้และหยุดก้าวก่ายงานของพวกเขา32 เขาหวังด้วยว่าลูซีจะพอใจกับวิธีที่เขาใช้เวลาและเงินของเขาเพื่อช่วยนำพระคำของพระผู้เป็นเจ้าออกมา

วันหนึ่ง มาร์ตินขออนุญาตโจเซฟนำต้นฉบับไปพอลไมราสองสามสัปดาห์33 โดยที่จำได้ว่าลูซี แฮร์ริสทำตัวอย่างไรเมื่อเธอมาเยี่ยมบ้าน โจเซฟกังวลเกี่ยวกับความคิดนี้ แต่เขาก็ต้องการสร้างความพอใจให้มาร์ติน ผู้ที่เชื่อเขาเมื่อคนมากมายสงสัยคำพูดของเขา34

โดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร โจเซฟสวดอ้อนวอนเพื่อขอการนำทางและพระเจ้าตรัสบอกเขาไม่ให้มาร์ตินนำหน้าหนังสือเหล่านั้นไป35 แต่มาร์ตินมั่นใจว่าการให้ภรรยาเขาดูต้นฉบับเหล่านั้นจะเปลี่ยนทุกสิ่งและเขาอ้อนวอนโจเซฟให้ทูลขออีกครั้ง โจเซฟทำเช่นนั้นแต่คำตอบยังคงเป็นเช่นเดิม มาร์ตินกดดันให้เขาถามครั้งที่สาม แต่ในครั้งนี้พระผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาตให้พวกเขาทำอย่างที่พวกเขาพอใจ

โจเซฟบอกมาร์ตินว่าเขานำต้นฉบับไปได้สองสัปดาห์หากเขาสัญญาว่าจะเก็บใส่กุญแจไว้และให้สมาชิกครอบครัวบางคนดูเท่านั้น มาร์ตินสัญญาและกลับไปพอลไมราพร้อมกับต้นฉบับในมือ36

หลังจากมาร์ตินจากไป โมโรไนปรากฏต่อโจเซฟและนำเครื่องแปลไปจากเขา37


วันต่อมาหลังจากมาร์ตินจากไป เอ็มมาเจ็บปวดทรมานจากการคลอดและให้กำเนิดบุตรชาย เด็กทารกไม่แข็งแรง ป่วยและมีชีวิตอยู่ไม่นาน ประสบการณ์อันแสนสาหัสนี้ทำให้เอ็มมาหมดแรงกายและทุกข์ใจอย่างมาก ในช่วงนั้นดูเหมือนว่าเธออาจจะสิ้นชีวิตด้วย โจเซฟดูแลเธอตลอดเวลาโดยอยู่เคียงข้างเธอไม่ห่าง38

สองสัปดาห์หลังจากนั้น สุขภาพของเอ็มมาดีขึ้น เธอจึงนึกถึงมาร์ตินและต้นฉบับ “ดิฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย” เธอบอกโจเซฟ “ดิฉันพักผ่อนไม่ได้และคงไม่สบายใจจนกว่าดิฉันจะรู้ว่าคุณแฮร์ริสทำอะไรกับต้นฉบับบ้าง”

เธอกระตุ้นให้โจเซฟไปหามาร์ตินแต่โจเซฟไม่ต้องการทิ้งเธอไป “ไปเรียกแม่ดิฉันมา” เธอบอก “และเธอจะอยู่กับดิฉันตอนที่คุณไม่อยู่”39

โจเซฟขึ้นรถม้าโดยสารไปทางเหนือ เขาไม่ค่อยได้กินและนอนระหว่างเดินทาง เกรงว่าเขาได้ทำให้พระเจ้าขุ่นเคืองพระทัยเพราะเขาไม่ฟังเมื่อพระองค์ตรัสว่าไม่ให้มาร์ตินนำต้นฉบับไป40

ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นเมื่อเขามาถึงบ้านพ่อแม่ของเขาในแมนเชสเตอร์ ครอบครัวสมิธกำลังเตรียมอาหารเช้าและส่งคนไปเชิญมาร์ตินมาร่วมรับประทานกับพวกเขา ก่อนแปดโมงเช้า อาหารอยู่บนโต๊ะแต่มาร์ตินยังไม่มา โจเซฟและครอบครัวเริ่มกังวลเมื่อพวกเขารอมาร์ติน

ในที่สุด หลังจากผ่านไปนานกว่าสี่ชั่วโมง มองเห็นมาร์ตินในระยะไกลค่อยๆ เดินตรงมาที่บ้าน ตาของเขาจับจ้องอยู่ที่พื้นตรงหน้าของเขา41 เขาหยุดที่หน้าประตู นั่งบนรั้ว และดึงหมวกมาบังสายตาเขา แล้วเขาก็เข้ามาข้างใน นั่งลงเตรียมจะรับประทานอาหารโดยไม่พูดอะไร

ครอบครัวเฝ้าดูขณะที่มาร์ตินยกช้อนส้อมขึ้น เหมือนว่าพร้อมจะรับประทาน แต่แล้วก็ทิ้งช้อนส้อมลง “ผมสูญเสียจิตวิญญาณแล้ว!” เขาร้อง มือกุมขมับ “ผมสูญเสียจิตวิญญาณแล้ว”

โจเซฟผุดลุกขึ้น “มาร์ติน คุณทำต้นฉบับหายหรือ”

“ครับ” มาร์ตินพูด “ครับ หายไปแล้ว และผมไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน”

“โอ้ พระผู้เป็นเจ้าของผม พระผู้เป็นเจ้าของผม” โจเซฟคร่ำครวญ กำหมัดแน่น “หายไปหมดแล้ว!”

เขาเริ่มเดินไปมา เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร “กลับไป” เขาสั่งมาร์ติน “ค้นหาอีกครั้ง”

“ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว” มาร์ตินร้อง “ผมค้นหาทุกซอกทุกมุมในบ้าน แม้กระทั่งฉีกที่นอนและหมอนออกดู และผมรู้ว่ามันไม่อยู่ที่นั่น”

“ผมต้องกลับไปบอกภรรยาผมเรื่องนี้หรือนี่” โจเซฟเกรงว่าข่าวนี้จะทำให้เธอเสียชีวิต “และผมจะอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างไร”

มารดาพยายามปลอบใจเขา เธอบอกว่าบางทีพระเจ้าจะทรงให้อภัยเขาหากเขากลับใจอย่างนอบน้อมถ่อมตน แต่เวลานี้โจเซฟกำลังสะอื้น โกรธตนเองที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าตั้งแต่แรก ตลอดวันนั้นทั้งวันเขาแทบไม่กินอะไรเลย เขาพักอยู่หนึ่งคืนและออกเดินทางไปฮาร์โมนีย์เช้าวันรุ่งขึ้น42

เมื่อลูซีมองดูเขาจากไป เธอหนักใจ ดูเหมือนว่าทุกสิ่งที่พวกเขาหวังไว้ในครอบครัว—ทุกสิ่งที่นำปีติมาสู่พวกเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา—หายวับไปในพริบตา43

อ้างอิง

  1. Joseph Smith—History 1:59; Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 8, ใน JSP, H1:236–38 (draft 2); Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 6, [1]–[2]; Knight, Reminiscences, 3.

  2. Knight, Reminiscences, 3–4; Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 6, [1]–[3]; Joseph Smith History, circa Summer 1832, 1, ใน JSP, H1:11.

  3. “Mormonism—No. II,” Tiffany’s Monthly, Aug. 1859, 167–68; Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 6, [3]–[4]; Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 8, ใน JSP, H1:238 (draft 2). หัวข้อ: Witnesses of the Book of Mormon (พยานของพระคัมภีร์มอรมอน)

  4. “Mormonism—No. II,” Tiffany’s Monthly, Aug. 1859, 168–70.

  5. Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 8–9, ใน JSP, H1:238 (draft 2); Knight, Reminiscences, 3; “Mormonism—No. II,” Tiffany’s Monthly, Aug. 1859, 170.

  6. Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 6, [6]; Lucy Mack Smith, History, 1845, 121.

  7. “Mormonism—No. II,” Tiffany’s Monthly, Aug. 1859, 170.

  8. “Mormonism—No. II,” Tiffany’s Monthly, Aug. 1859, 170; Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 9, ใน JSP, H1:240 (draft 2).

  9. Isaac Hale, Affidavit, Mar. 20, 1834, ใน “Mormonism,” Susquehanna Register, and Northern Pennsylvanian, May 1, 1834, [1].

  10. Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 9, ใน JSP, H1:240 (draft 2); Knight, Reminiscences, 3.

  11. Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 6, [3]; Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 9, ใน JSP, H1:240 (draft 2); “Letter from Elder W. H. Kelley,” Saints’ Herald, Mar. 1, 1882, 68; ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 9:7–8 (Revelation, Apr. 1829–D, ที่ josephsmithpapers.org) ด้วย

  12. Joseph Smith History, circa Summer 1832, 5, ใน JSP, H1:15; Knight, Reminiscences, 3. หัวข้อ: Book of Mormon Translation (การแปลพระคัมภีร์มอรมอน)

  13. Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 9, ใน JSP, H1:238–40 (draft 2); Joseph Smith History, circa Summer 1832, 5, ใน JSP, H1:15.

  14. MacKay, “Git Them Translated,” 98–100.

  15. Bennett, “Read This I Pray Thee,” 192.

  16. Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 9, ใน JSP, H1:240 (draft 2); Bennett, Journal, Aug. 8, 1831, in Arrington, “James Gordon Bennett’s 1831 Report on ‘The Mormonites,’” 355.

  17. [James Gordon Bennett], “Mormon Religion—Clerical Ambition—Western New York—the Mormonites Gone to Ohio,” Morning Courier and New-York Enquirer, Sept. 1, 1831, [2].

  18. Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 9, ใน JSP, H1:240–42 (draft 2); Jennings, “Charles Anthon,” 171–87; Bennett, “Read This I Pray Thee,” 178–216.

  19. Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 9, ใน JSP, H1:244 (draft 2); Bennett, Journal, Aug. 8, 1831, in Arrington, “James Gordon Bennett’s 1831 Report on ‘The Mormonites,’” 355; Knight, Reminiscences, 4. หัวข้อ: Martin Harris’s Consultations with Scholars (การปรึกษากับนักวิชาการของมาร์ติน แฮร์ริส)

  20. Joseph Smith History, circa Summer 1832, 5, ใน JSP, H1:15; อิสยาห์ 29:11–12; 2 นีไฟ 27:15–19.

  21. Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 6, [8]; Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 9, ใน JSP, H1:244; Joseph Smith III, “Last Testimony of Sister Emma,” Saints’ Herald, Oct. 1, 1879, 289–90.

  22. Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 9, ใน JSP, H1:244 (draft 2); Isaac Hale, Affidavit, Mar. 20, 1834, in “Mormonism,” Susquehanna Register, and Northern Pennsylvanian, May 1, 1834, [1]; Agreement with Isaac Hale, Apr. 6, 1829, ใน JSP, D1:28–34.

  23. Briggs, “A Visit to Nauvoo in 1856,” 454; ดู Edmund C. Briggs to Joseph Smith, June 4, 1884, Saints’ Herald, June 21, 1884, 396. ด้วย

  24. Joseph Smith III, “Last Testimony of Sister Emma,” Saints’ Herald, Oct. 1, 1879, 289–90; Briggs, “A Visit to Nauvoo in 1856,” 454.

  25. Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 9, ใน JSP, H1:244 (draft 2); Isaac Hale, Affidavit, Mar. 20, 1834, in “Mormonism,” Susquehanna Register, and Northern Pennsylvanian, May 1, 1834, [1].

  26. Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 6, [8].

  27. Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 6, [3]–[5], [8]–[9].

  28. Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 6, [9]–[10]; Joseph Smith III, “Last Testimony of Sister Emma,” Saints’ Herald, Oct. 1, 1879, 289–90.

  29. ในการเล่าเรื่องราวในอดีต เอ็มมา สมิธบอกว่าเธอทำงานในห้องเดียวกันกับโจเซฟและออลิเวอร์ คาวเดอรีขณะที่พวกเขาทำงานแปลให้เสร็จในปี 1829 และเธอน่าจะอยู่ด้วยเมื่อโจเซฟและมาร์ตินแปลในปี 1828 (Joseph Smith III, “Last Testimony of Sister Emma,” Saints’ Herald, Oct. 1, 1879, 290.)

  30. William Pilkington, Affidavit, Cache County, UT, Apr. 3, 1934, ใน William Pilkington, Autobiography and Statements, Church History Library; “One of the Three Witnesses,” Deseret News, Dec. 28, 1881, 10.

  31. Briggs, “A Visit to Nauvoo in 1856,” 454; Joseph Smith III, “Last Testimony of Sister Emma,” Saints’ Herald, Oct. 1, 1879, 289–90.

  32. ดู Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 6, [10]; Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 9, ใน JSP, H1:244; Joseph Smith History, circa Summer 1832, 5, ใน JSP, H1:15; Knight, Reminiscences, 5; และ Historical Introduction to Preface to the Book of Mormon, circa Aug. 1829, ใน JSP, D1:92–93.

  33. Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 9, ใน JSP, H1:244 (draft 2); Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 6, [10].

  34. Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 6, [10]–[11]; book 7, [1].

  35. Joseph Smith History, circa Summer 1832, 5, ใน JSP, H1:15.

  36. Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 9–10, ใน JSP, H1:244–46 (draft 2); Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 7, [1]; Knight, Reminiscences, 5.

  37. Joseph Smith History, 1838–56, volume A-1, 9–10, ใน JSP, H1:244–46 (draft 2).

  38. Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 7, [1]–[2]. หัวข้อ: Joseph and Emma Hale Smith Family (ครอบครัวโจเซฟ และ เอ็มมา เฮล สมิธ)

  39. Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 7, [1]–[2].

  40. Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 7, [2]–[4].

  41. Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 7, [5].

  42. Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 7, [5]–[7]. หัวข้อ: Lost Manuscript of the Book of Mormon (ต้นฉบับที่หายไปของพระคัมภีร์มอรมอน)

  43. Lucy Mack Smith, History, 1844–45, book 7, [7]. หัวข้อ: Lucy Mack Smith (ลูซี แมค สมิธ)