2017
เอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์: ชีวิตที่น่ายกย่อง
ด้วยความรำลึกถึง: เอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์


เอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์: ชีวิตที่น่ายกย่อง

“โอ ถ้าข้าพเจ้ามีเสียงและแตรของเทพข้าพเจ้าคงจะพูดกับมวลมนุษยชาติได้ว่า [พระเยซูคริสต์] ทรงเป็นขึ้นมาแล้วและพระองค์ทรงพระชนม์ และพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระบิดา พระเมสสิยาห์ที่สัญญาไว้ พระผู้ไถ่และพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์เสด็จมาในโลกนี้เพื่อสอนพระกิตติคุณโดยแบบอย่าง พระพันธกิจของพระองค์มุ่งหมายให้ท่านและข้าพเจ้ามาหาพระองค์และพระองค์จะทรงนำเราสู่นิรันดรแห่งชีวิต”1

ภาพ
Robert D. Hales and his wife, Mary

ภาพปก: ภาพถ่ายโดย สจ๊วต จอห์นสัน, Deseret News

เมื่อเอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์เป็นนักบินประจำเครื่องบินขับไล่ไอพ่นในกองทัพอากาศสหรัฐระหว่างทศวรรษที่ 1950 สมาชิกในฝูงบินของท่านมีคติประจำใจไว้เตือนตนเองขณะปฏิบัติหน้าที่

“คติประจำหน่วยของเรา—ติดอยู่ข้างเครื่องบินของเรา—คือ ‘กลับไปอย่างสมเกียรติ’” เอ็ลเดอร์เฮลส์บอกผู้ดำรงฐานะปุโรหิตในปี 1990 ขณะรับใช้เป็นอธิการควบคุม “คตินี้เตือนใจเราตลอดเวลาให้นึกถึงความตั้งใจมั่นว่าจะกลับไปฐานทัพของเราอย่างสมเกียรติหลังจากพยายามปฏิบัติภารกิจทุกด้านของเราให้สำเร็จจนสุดความสามารถแล้วเท่านั้น”2

ภาพ
Robert D. Hales as pilot with plane; as businessman

เอ็ลเดอร์เฮลส์ผู้พูดบ่อยครั้งเรื่องการกลับไปอย่างสมเกียรติเชื่อว่าบุตรธิดาทุกคนของพระบิดาบนสวรรค์จะได้รับความช่วยเหลือตลอดเส้นทางนิรันดร์ของพวกเขาโดยประยุกต์ใช้คตินี้ในชีวิต เพราะชีวิตแต่ละวันเป็นพันธกิจ ท่านสอน “เราจึงจำเป็นต้องรู้ว่าเราเป็นใครและเป้าหมายนิรันดร์ของเราคือ ‘กลับไปอย่างสมเกียรติ’ พร้อมกับครอบครัวเราเข้าไปในที่ประทับของพระบิดาบนสวรรค์ของเรา”3

ในหน้าที่สามีและบิดา ผู้บริหารธุรกิจ และเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายมานานกว่า 40 ปี เอ็ลเดอร์เฮลส์จดจำว่าท่านเป็นใครและปฏิบัติตามนั้น ท่านเป็นแบบอย่างของคติประจำฝูงบินตลอดชีวิตมรรตัยของท่านผ่านความซื่อสัตย์ การเชื่อฟัง ความขยันหมั่นเพียร และการรับใช้ของท่าน

ครอบครัวที่สนิทกัน

ภาพ
Robert D. Hales with his parents and siblings; as a child

โรเบิร์ต ดีน เฮลส์เกิดในนิวยอร์กซิตี สหรัฐอเมริกาวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1932 เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนบุตรสามคนของเจ. รูลอน เฮลส์กับวีรา มารี ฮอลบรูค เฮลส์ โรเบิร์ตเติบใหญ่บนเกาะลองไอแลนด์ในบ้านที่มีพระกิตติคุณเป็นศูนย์กลาง บิดามารดาของท่านรับใช้ในการเรียกต่างๆ ของศาสนจักรรวมทั้งเป็นผู้สอนศาสนาสเตคด้วย และทุกวันอาทิตย์ครอบครัวจะเดินทาง 20 ไมล์ (32 กม.) ไปเข้าร่วมการประชุมที่วอร์ดควีนส์

“เราเป็นครอบครัวที่สนิทกัน” เอ็ลเดอร์เฮลส์เล่า ท่านเรียกบ้านวัยเด็กของท่านว่า “สถานเจริญวัยที่สวยงาม” และเรียกครอบครัวท่านว่า “ขุมพลัง”4

แบบอย่างที่ดีของบิดามารดาท่านกลายเป็นความทรงจำที่ชี้นำชีวิตท่าน5 “พวกท่านดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ ศึกษาพระคัมภีร์ และแสดงประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์” เอ็ลเดอร์เฮลส์กล่าว “พวกท่านแสดงประจักษ์พยานเกี่ยวกับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธเช่นกัน”6

ในวัยเยาว์ท่านเรียนรู้ว่า “เคล็ดลับการทำให้ครอบครัวเราเข้มแข็งคือการให้พระวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาในบ้านเรา”7

มารดาของท่านผู้รับใช้ในสมาคมสงเคราะห์นานกว่า 30 ปีสอนโรเบิร์ตเรื่องความรักและการรับใช้เมื่อเธอพาท่านไปรับใช้ผู้ยากไร้และคนขัดสนด้วยกัน8 บิดาท่านเป็นศิลปินอาชีพในนิวยอร์กซิตี เขาสอนบทเรียนอันยั่งยืนให้โรเบิร์ตเกี่ยวกับฐานะปุโรหิตและการฟื้นฟู ครั้งหนึ่งเขาพาโรเบิร์ตไปที่แม่น้ำซัสเควฮันนาซึ่งที่นั่นโจเซฟ สมิธและออลิเวอร์ คาวเดอรีได้รับฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนจากยอห์นผู้ถวายบัพติศมา อีกครั้งหนึ่งเขาพาโรเบิร์ตไปป่าศักดิ์สิทธิ์

“เราสวดอ้อนวอนด้วยกันในป่าและแสดงความปรารถนาว่าเราจะแน่วแน่และซื่อสัตย์ต่อฐานะปุโรหิตที่เราดำรงอยู่” ท่านเล่า “ต่อมาคุณพ่อวาดภาพสถานที่ซึ่งเราสวดอ้อนวอนและมอบเป็นเครื่องเตือนใจให้ข้าพเจ้านึกถึงสัญญาที่เราทำด้วยกันในวันนั้น ภาพนั้นแขวนอยู่ในห้องทำงานข้าพเจ้าจวบจนทุกวันนี้ เป็นเครื่องเตือนใจทุกวันให้นึกถึงประสบการณ์ศักดิ์สิทธิ์ของข้าพเจ้าและสัญญาที่ทำไว้กับบิดาทางโลกและกับพระบิดาบนสวรรค์ของข้าพเจ้า”9

ภาพ
Robert D. Hales as young baseball player; in Dodgers uniform

โรเบิร์ตเล่นเบสบอลเมื่ออายุยังน้อย ต่อมาท่านเล่นในโรงเรียนมัธยมปลายและวิทยาลัย ในปี 2007 ท่านขว้างลูกแรกเปิดงานที่การแข่งระดับอาชีพ

ภาพถ่ายโดย ซอนยา เอดดิงส์ บราวน์

สมัยเป็นเยาวชนชาย โรเบิร์ตชอบเล่นเบสบอล จนได้เล่นให้มหาวิทยาลัยแห่งยูทาห์ ขณะนั่งรถโดยสารกลับบ้านหลังการแข่งนอกเมืองครั้งแรกกับทีมตัวแทนมัธยมปลาย ท่านซึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมสามตกใจกับพฤติกรรมและภาษาบางอย่างของเพื่อนร่วมทีม เพื่อให้กำลังใจโรเบิร์ต บิดาจึงวาดภาพอัศวินให้ท่าน

“ขณะคุณพ่อวาดภาพและอ่านจากพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าเรียนรู้การเป็นผู้ดำรงฐานะปุโรหิตที่ซื่อสัตย์—นั่นคือคุ้มครองและปกป้องอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ถ้อยคำของอัครสาวกเปาโลเป็นเครื่องนำทางข้าพเจ้า” (ดู เอเฟซัส 6:13–17)

ขณะใคร่ครวญบทเรียนนั้นในอีกหลายปีต่อมา เอ็ลเดอร์เฮลส์สอนว่า “ถ้าเราซื่อสัตย์ในฐานะปุโรหิต เราจะได้รับยุทธภัณฑ์นี้เป็นของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า เราจำต้องมียุทธภัณฑ์นี้!”10

เอ็ลเดอร์เฮลส์เรียนรู้คุณลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งจากแบบอย่างของบิดาท่าน

“ข้าพเจ้าเรียนรู้ความเคารพสตรีจากการที่คุณพ่อดูแลคุณแม่ พี่สาวข้าพเจ้า และน้องสาวของท่านด้วยความอ่อนโยน” ท่านกล่าว หลังจากมารดาของเอ็ลเดอร์เฮลส์เป็นโรคสมองขาดเลือด การที่บิดาท่าน “ดูแลคู่ชีวิตที่ท่านหวงแหนด้วยความรัก” ในช่วงสองปีสุดท้ายของชีวิตเธอกลายเป็นแบบอย่างที่ท่านไม่ลืมเลือน “ท่านบอกข้าพเจ้าว่านั่นเป็นการตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ สำหรับความรักความภักดีที่คุณแม่มีต่อท่านตลอดห้าสิบกว่าปี”11

สินทรัพย์มีค่าที่สุดของท่าน

ขณะจากบ้านไปเรียนวิทยาลัยในปี 1952 โรเบิร์ตพบหญิงสาวคนหนึ่งชื่อแมรีย์ แครนดอลล์ ครอบครัวเธอเพิ่งย้ายจากแคลิฟอร์เนียมานิวยอร์ก ทั้งสองชอบพอกันทันที

“หลังจากพบเธอ ข้าพเจ้าไม่ออกไปกับใครอีกเลย” เอ็ลเดอร์เฮลส์เล่า12

เมื่อสิ้นฤดูร้อน ทั้งคู่กลับไปเรียนที่ยูทาห์ โรเบิร์ตเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งยูทาห์ส่วนแมรีย์ไปมหาวิทยาลัยบริคัมยังก์ แต่พวกท่านไม่ปล่อยให้ระยะทางทำให้พวกท่านเหินห่าง หลังจบปีการศึกษาไม่นาน พวกท่านแต่งงานกันในพระวิหารซอลท์เลคเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1953 ตลอดห้าปีต่อมาพวกท่านได้รับพรด้วยการมีบุตรชายสองคนชื่อสตีเฟนกับเดวิด

ภาพ
Robert and Mary Hales on wedding day; Robert and Mary with their sons

หลังจากโรเบิร์ตเรียนจบปริญญาด้านการสื่อสารและธุรกิจในปี 1954 ท่านไปประจำการกองทัพอากาศโดยทำหน้าที่นักบินประจำเครื่องบินขับไล่ไอพ่น เมื่อสิ้นสุดการเป็นทหารราวสี่ปีต่อมา ท่านย้ายครอบครัวจากรัฐฟลอริดาไปรัฐแมสซาชูเซตส์เพื่อเรียนปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจ ขณะทุ่มเทสุดความสามารถให้การเรียนที่โรงเรียนธุรกิจฮาร์วาร์ด ท่านได้รับเรียกเป็นประธานโควรัมเอ็ลเดอร์ นั่นเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ท่านสงสัยว่าท่านควรยอมรับการเรียกของศาสนจักรหรือไม่

“มีโอกาสล้มเหลวเรื่องการเรียนถ้าผมเป็นประธานโควรัมเอ็ลเดอร์” ท่านบอกแมรีย์

แมรีย์ตอบด้วยคำพูดที่ช่วยท่านตลอดชีวิตที่เหลือ “บ็อบคะ ฉันอยากมีผู้ดำรงฐานะปุโรหิตที่แข็งขันมากกว่าชายจบปริญญาโทจากฮาร์วาร์ด” จากนั้นเธอโอบกอดท่านและพูดเสริมว่า “เราจะทำทั้งสองอย่าง”13

และพวกท่านทำ

วันรุ่งขึ้นแมรีย์กั้นส่วนหนึ่งของห้องใต้ดินที่ยังไม่ได้ตกแต่งของอพาร์ตเมนต์ให้โรเบิร์ตได้มีที่ศึกษาโดยไม่ถูกรบกวน

“ข้าพเจ้าวางตนเองไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเมื่อข้าพเจ้าตัดสินใจ” ยอมรับการเรียก เอ็ลเดอร์เฮลส์กล่าวอีก 30 ปีให้หลัง “การตัดสินใจครั้งนั้นยากยิ่งกว่าเมื่อข้าพเจ้ายอมรับการเรียกให้รับใช้เป็นผู้ช่วยอัครสาวกสิบสองในอีกหลายปีต่อมาและต้องทิ้งอาชีพธุรกิจไว้เบื้องหลัง”14

หลายปีต่อมา หลังจากครอบครัวมีฐานะมั่นคงแล้ว เอ็ลเดอร์เฮลส์มีแผนจะซื้อเสื้อคลุมราคาแพงให้แมรีย์ เมื่อท่านถามว่าเธอคิดอย่างไรเรื่องแผนการซื้อของท่าน เธอถามว่า “คุณจะซื้อให้ฉันหรือให้คุณคะ”

เอ็ลเดอร์เฮลส์เรียกคำถามของเธอว่าเป็น “บทเรียนที่ลืมไม่ลง” ท่านตั้งข้อสังเกตว่า “กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เธอกำลังถามว่า ‘จุดประสงค์ของการซื้อของขวัญชิ้นนี้คือเพื่อแสดงความรักต่อฉันหรือเพื่อแสดงให้ฉันเห็นว่าคุณเป็นผู้หาเลี้ยงที่ดีหรือพิสูจน์ให้โลกเห็นบางอย่าง’ ข้าพเจ้าไตร่ตรองคำถามของเธอและรู้ตัวว่าข้าพเจ้าคิดถึงเธอและครอบครัวเราน้อยไปและคิดถึงตัวเองมากไป”15

เอ็ลเดอร์เฮลส์ยอมรับว่าภรรยาท่านเป็นสินทรัพย์มีค่าที่สุดของท่าน16 “ข้าพเจ้าคงจะไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่หากไม่มีเธอ” ท่านกล่าว “ข้าพเจ้ารักเธอมาก เธอมีของประทานแห่งพระวิญญาณ เราศึกษาพระคัมภีร์ด้วยกัน และแนวคิดมากมายที่ข้าพเจ้าสอนเกิดขึ้นเพราะเราศึกษาและสวดอ้อนวอนด้วยกัน นั่นคือสาเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นอย่างที่เป็นอยู่”17

เอ็ลเดอร์เฮลส์ถือว่าสิ่งที่ท่านกับแมรีย์ทำสำเร็จในชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากความสัมพันธ์เป็นทีมของท่าน “เราเป็นทีมตลอดมาและจะเป็นทีมตลอดไป ข้าพเจ้าคิดว่าการฟังภรรยาข้าพเจ้า ต่อจากการฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นอิทธิพลสำคัญที่สุดในชีวิตข้าพเจ้า”18

ภาพ
Robert D. Hales with Mary in front of temple; with Mary and President and Sister Kimball

“คุณจะได้ทำงานเผยแผ่หลายครั้ง”

หลังจากโรเบิร์ตเรียนจบปริญญาโทบริหารธุรกิจในปี 1960 โอกาสด้านงานอาชีพมาถึงท่านอย่างรวดเร็ว ในช่วง 15 ปีติดต่อกันท่านเป็นผู้บริหารอาวุโสให้บริษัทมีชื่อหลายแห่งในสหรัฐ อาชีพธุรกิจที่โดดเด่นของท่านพาท่านและครอบครัวไปหลายเมืองในอเมริกา รวมทั้งอังกฤษ เยอรมนี และสเปน การย้ายไปตามที่ต่างๆ ทำให้โรเบิร์ตได้รับการเรียกเป็นผู้นำในศาสนจักรซึ่งท่านยอมรับด้วยความเต็มใจ

ท่านรับใช้ในฝ่ายประธานสาขาที่สเปน เยอรมนี และสหรัฐในรัฐจอร์เจียและรัฐแมสซาชูเซตส์ ท่านรับใช้เป็นอธิการในแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี ในรัฐแมสซาชูเซตส์และรัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา ท่านรับใช้เป็นสมาชิกสภาสูงในลอนดอน อังกฤษ และเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ที่ท่านรับใช้ในฝ่ายประธานสเตคด้วย ในรัฐมินนิโซตาและรัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกาท่านรับใช้เป็นตัวแทนเขต

คริสต์ศักราช 1975 ขณะเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการธุรกิจ โรเบิร์ตได้รับข้อความแจ้งว่าประธานมาเรียน จี. รอมนีย์ (1897–1988) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานสูงสุดเวลานั้นกำลังถือสายรออยู่ เมื่อโรเบิร์ตรับสาย ประธานรอมนีย์เรียกท่านให้รับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ โรเบิร์ตยอมรับการเรียก แต่ก่อนจะรับหน้าที่ปลายปีนั้นในฐานะประธานคณะเผยแผ่ลอนดอน อังกฤษ ท่านได้รับโทรศัพท์อีกสายหนึ่งจากซอลท์เลคซิตี้ คราวนี้จากประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ (1895–1985)

“คุณคัดค้านไหมถ้าเราขอให้คุณรับใช้นานกว่าสามปี” ประธานคิมบัลล์ถาม หลังจากโรเบิร์ตตอบว่าไม่คัดค้าน ประธานคิมบัลล์จึงเรียกท่านเป็นผู้ช่วยโควรัมอัครสาวกสิบสอง

“ประธานคิมบัลล์บอกข้าพเจ้าว่าท่านรู้ว่าข้าพเจ้าผิดหวังเพราะข้าพเจ้าต้องการไปเป็นประธานคณะเผยแผ่” เอ็ลเดอร์เฮลส์กล่าว แต่ประธานคิมบัลล์รับรองกับท่านว่า “อย่าห่วงเรื่องนั้นเลย คุณจะได้ทำงานเผยแผ่หลายครั้ง”19

หนึ่งปีต่อมา เอ็ลเดอร์เฮลส์ได้รับเรียกสู่โควรัมที่หนึ่งแห่งสาวกเจ็ดสิบ ในตำแหน่งนั้นอีกสามปีต่อมา ท่านได้รับเรียกอีกครั้งให้รับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ลอนดอน อังกฤษและจากนั้นเป็นผู้ตรวจการระดับภาคในยุโรป โดยทำงานกับเอ็ลเดอร์โธมัส เอส. มอนสันเพื่อสถาปนาพระกิตติคุณในประเทศที่เคยปิดรับศาสนจักรและดำเนินการก่อสร้างพระวิหารในเยอรมันนีตะวันออก20

“ปีติใหญ่หลวงอย่างหนึ่งของการรับใช้ศาสนจักรของข้าพเจ้าเกิดขึ้นในช่วงสามปีแรกของการเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เมื่อข้าพเจ้าช่วยวางแผนการประชุมใหญ่ภาคยี่สิบเจ็ดครั้ง” เอ็ลเดอร์เฮลส์กล่าว “ข้าพเจ้าชอบเดินทางไปกับสมาชิกในฝ่ายประธานสูงสุด อัครสาวก เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ และผู้นำท่านอื่นๆ และได้ทำความรู้จักพวกท่านกับภรรยา การได้เห็นศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผยกล่าวคำพยานถึงความจริงของพระกิตติคุณต่อวิสุทธิชนในประเทศแล้วประเทศเล่านับว่าอัศจรรย์นัก”21

คริสต์ศักราช 1985 เอ็ลเดอร์เฮลส์ได้รับเรียกเป็นอธิการควบคุมของศาสนจักร ประสบการณ์ระดับมืออาชีพของท่าน รูปแบบการบริหารจัดการและการเจรจาต่อรองที่น่าเชื่อถือของท่าน ตลอดจนความรักที่ท่านมีต่อผู้คนทำให้ท่านเหมาะสมอย่างยิ่งกับการเรียกนี้

ภาพ
Robert D. Hales with Mary and others at Freiberg temple dedication

อธิการควบคุมเฮลส์ช่วยเตรียมพระวิหารในเยอรมนีตะวันออก ท่านกับแมรีย์ เฮลส์ (กลาง) พร้อมด้วย (ซ้ายไปขวา) สถาปนิกเอมิล เฟตเซอร์, เอลิซา เวิร์ธลิน, เอ็ลเดอร์โจเซฟ บี. เวิร์ธลิน, ฟรานซิส มอนสัน, และเอ็ลเดอร์โธมัส เอส. มอนสันที่การอุทิศพระวิหาร ค.ศ. 1985

ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ ที่ปรึกษาที่หนึ่งในฝ่ายประธานสูงสุด เคยรับใช้ในฝ่ายอธิการควบคุมกับเอ็ลเดอร์เฮลส์ ท่านเรียกเอ็ลเดอร์เฮลส์ว่านักธุรกิจที่ภักดี สุภาพ และรอบรู้ผู้ใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่นและรู้วิธีทำงานให้ลุล่วง “ท่านนำคุณสมบัติเดียวกันนั้นมาสู่การเป็นผู้นำในฝ่ายอธิการควบคุม” ประธานอายริงก์กล่าว22

“ท่านไม่มีมารยาโดยสิ้นเชิง” แมรีย์ภรรยาของท่านกล่าว “ท่านมีใจบริสุทธิ์และแค่ต้องการทำสิ่งที่ถูกต้อง”23

หนึ่งในหลักคำสอนที่เอ็ลเดอร์เฮลส์เน้นสมัยเป็นอธิการควบคุมคือหลักธรรมด้านสวัสดิการ “เจ้ายกเรา และเราจะยกเจ้า และเราจะขึ้นไปด้วยกัน” ท่านกล่าวข้อความนี้บ่อยครั้งโดยอ้างสุภาษิตข้อหนึ่งซึ่งท่านชื่นชอบเป็นพิเศษ24

ท่านสวดอ้อนวอนขอให้วิสุทธิชน “ตระหนักว่าเรามีพลังความสามารถและความรับผิดชอบในการช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก ในฐานะเทพที่ปฏิบัติแทนพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ขอให้เราเป็นที่รักเพราะเรารัก ได้รับการปลอบประโลมเพราะเราเมตตาสงสาร ได้รับการให้อภัยเพราะเราแสดงให้เห็นว่าเราสามารถให้อภัย”25

คำสอนและประจักษ์พยาน

เมื่อเอ็ลเดอร์เฮลส์ได้รับการสนับสนุนสู่โควรัมอัครสาวกสิบสองในอีกเก้าปีต่อมาเมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1994 การเรียกใหม่ของท่านทำให้ท่านหนักใจ

“เวลานี้ข้าพเจ้าอายุหกสิบเอ็ดและเป็นเด็กอีกครั้ง” ท่านกล่าวระหว่างพูดที่การประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกในฐานะอัครสาวก “มีหลายท่านที่นั่งบนยกพื้นนี้เป็นอัครสาวกและอยู่ในฝ่ายประธานสูงสุดมานานเท่าครึ่งอายุของข้าพเจ้า”

ท่านกล่าวว่าการเป็นอัครสาวกของพระเยซูคริสต์เป็นกระบวนการ—“กระบวนการของการกลับใจและความอ่อนน้อมถ่อมตน เพื่อสำรวจใจตนเองเมื่อได้รับคำแนะนำสั่งสอนและทูลขอการให้อภัยและพลังเพื่อจะเป็นอย่างที่ข้าพเจ้าควรเป็น” ท่านขอการสวดอ้อนวอนของวิสุทธิชนทั้งนี้เพื่อท่านจะ “หลอมพลังทางวิญญาณจนเสียงและประจักษ์พยานของท่านในพระเจ้าพระเยซูคริสต์เสียดแทงใจคนที่จะฟัง”26

พยานในฐานะอัครสาวกของเอ็ลเดอร์เฮลส์นานกว่า 20 ปีถึงพระผู้ช่วยให้รอดและประจักษ์พยานของท่านเกี่่ยวกับพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูเสียดแทงใจวิสุทธิชนยุคสุดท้ายทั่วโลก โอวาทของท่านมีหลายหัวข้ออาทิ ครอบครัวและศรัทธา การทดลองและประจักษ์พยาน ความรักและความอดกลั้น การรับใช้และการเชื่อฟัง ความสุจริตและสิทธิ์เสรี

ในการสอนเรื่่องการใช้สิทธิ์เสรีอย่างฉลาด เอ็ลเดอร์เฮลส์เล่าเรื่องเพื่อนคนหนึ่งที่รับใช้กับท่านในกองทัพอากาศ

“ขณะฝึกขับเครื่องบินขับไล่ไอพ่น … ข้าพเจ้าฝึกตัดสินใจว่าจะกระโดดออกจากเครื่องบินเมื่อใดถ้าไฟสัญญาณเตือนว่าเกิดเพลิงไหม้และเครื่องบินเริ่มหมุนคว้างจนควบคุมไม่อยู่” ท่านเล่า “ข้าพเจ้านึกถึงเพื่อนรักคนหนึ่งที่ไม่ได้เตรียมการเหล่านี้ เขาจะหาทางหลีกเลี่ยงการฝึกในห้องฝึกบิน แล้วไปตีกอล์ฟหรือไม่ก็ว่ายน้ำ เขาไม่เคยเรียนรู้วิธีรับมือกับเหตุฉุกเฉิน! สองสามเดือนต่อมาเกิดไฟลุกไหม้ในเครื่องบินของเขาและเครื่องบินหมุนคว้างพุ่งลงสู่พื้นดิน โดยที่สังเกตเห็นสัญญาณเตือนไฟ คู่รุ่นน้องของเขาซึ่งฝึกรับมือกับสถานการณ์นี้มาแล้วจึงรู้ว่าจะกระโดดร่มชูชีพออกจากเครื่องบินเมื่อใด แต่เพื่อนข้าพเจ้าผู้ไม่เคยเตรียมการตัดสินใจเช่นนั้นยังอยู่ในเครื่องบินและเสียชีวิตเมื่อเครื่องบินตก”

การรู้ว่าจะทำอย่างไรและจะทำเมื่อใดในเวลาที่การเลือกสำคัญอยู่ตรงหน้าย่อมมีผลนิรันดร์ เอ็ลเดอร์เฮลส์เสริม27

“สมัยเด็กข้าพเจ้าโตที่นิวยอร์กและเป็นหนึ่งในสมาชิกศาสนจักรเพียงสองหรือสามคนในโรงเรียนมัธยมปลายที่มีนักเรียนสองสามพันคน ที่งานคืนสู่เหย้า 50 ปีเมื่อเร็วๆ นี้ อดีตเพื่อนร่วมชั้นจำได้ว่าข้าพเจ้าดำเนินชีวิตตามค่านิยมและความเชื่อของข้าพเจ้าอย่างไร เวลานั้นข้าพเจ้าตระหนักว่าการฝ่าฝืนพระคำแห่งปัญญาหรือการล่วงละเมิดคุณค่าทางศีลธรรมหนึ่งครั้งหมายความว่าข้าพเจ้าจะพูดไม่ได้อีกเลยว่า ‘นั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อ’ และจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนอีกเลย

“เราจะแบ่งปันพระกิตติคุณได้ก็ต่อเมื่อเราดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ”28

ในช่วงปีท้ายๆ ของการปฏิบัติศาสนกิจของเอ็ลเดอร์เฮลส์ ท่านกระตุ้นให้วิสุทธิชนดำเนินชีวิตคู่ควรกับ “ของประทานอันล้ำเลิศแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์”29 ท่านกระตุ้นให้สมาชิกศาสนจักรปรับปรุงการเป็นสานุศิษย์ของพวกเขาเช่นกันโดยเป็นชาวคริสต์ที่ดีขึ้น มีความกล้าหาญแบบชาวคริสต์ และยืนหยัดมั่นคงในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

“พระคริสต์ทรงขอร้องชาวคริสต์ทุกคนในปัจจุบันว่า ‘จงเลี้ยงดูลูกแกะของเราเถิด … จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด’—จงแบ่งปันพระกิตติคุณของเราใหัแก่คนเยาว์วัยหรือสูงวัย โดยหนุนใจ ให้พร ปลอบโยน กระตุ้น และเสริมสร้างพวกเขา โดยเฉพาะคนเหล่านั้นที่คิดและเชื่อต่างจากเรา” ท่านสอน30

ภาพ
Robert D. Hales visiting with Boy Scouts

ภาพถ่าย โดย เจฟฟรีย์ ดี. ออลเรด, Deseret News

เกี่ยวกับคนที่ “ต้องการให้เราลงมาจากที่มั่นบนเขาสูง ลงมาคลุกโคลนสกรัมกันเรื่องศาสนศาสตร์” เอ็ลเดอร์เฮลส์แนะนำให้วิสุทธิชนยุคสุดท้ายตอบด้วยประจักษ์พยานของพวกเขาและยืนอยู่กับพระผู้ช่วยให้รอด

“เราแสดงความรักของพระองค์ ซึ่งเป็นพลังเพียงอย่างเดียวที่สามารถสยบปฏิปักษ์และโต้ตอบผู้กล่าวร้ายเราโดยไม่กล่าวร้ายพวกเขากลับไป นั่นไม่ใช่ความอ่อนแอ นั่น คือความกล้าหาญแบบชาวคริสต์”31

เฉกเช่นพระผู้ช่วยให้รอดทรง “ถูกดูหมิ่นและถูกทอดทิ้ง” (อิสยาห์ 53:3; โมไซยาห์ 14:3) วิสุทธิชนยุคสุดท้ายอาจประสบความเข้าใจผิด คำวิพากษ์วิจารณ์ และคำกล่าวหาเท็จได้เช่นกัน “สิทธิพิเศษอันศักดิ์สิทธิ์คือยืนอยู่กับพระองค์!” เอ็ลเดอร์เฮลส์กล่าว32

การรอคอยพระเจ้า

เมื่อเอ็ลเดอร์เฮลส์กล่าวถึงการรอคอยพระเจ้า ท่านทราบเรื่องนี้ดี ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ การผ่าตัดใหญ่หลายครั้ง และความท้าทายด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ซึ่งทำให้ท่านไม่สามารถพูดในช่วงการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน ปี 2011 นับเป็นความลำบากทางร่างกายแต่นำความเข้าใจอันลึกซึ้งทางวิญญาณมาให้ท่าน

หลังฟื้นตัวจากการผ่าตัดใหญ่สามครั้งในปี 2000 ท่านบอกวิสุทธิชนยุคสุดท้ายว่า “สองปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้ารอคอยให้พระเจ้าทรงสอนบทเรียนในชีวิตมรรตัยแก่ข้าพเจ้าผ่านช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดทางกาย ความทุกข์ทรมานทางใจ และการไตร่ตรอง ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าความเจ็บปวดที่รุนแรงต่อเนื่องคือสิ่งหล่อหลอมความบริสุทธิ์ที่ทำให้เรานอบน้อมถ่อมตนและใกล้ชิดพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น”33

เราไม่ต้องเผชิญความท้าทายเพียงลำพังเพราะเราสามารถทูลต่อ “ผู้ให้การดูแลสูงสุด” ได้ เอ็ลเดอร์เฮลส์สอน34 “บางครั้ง เมื่อพระเจ้าทรงประสงค์เช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จะได้รับการปลอบประโลมจากการเยือนของไพร่พลสวรรค์ที่นำการปลอบโยนและความอุ่นใจนิรันดร์มาให้ในยามที่ข้าพเจ้าต้องการ”35

แม้เราไม่รู้ว่าคำสวดอ้อนวอนของเราจะได้รับคำตอบเมื่อใดหรืออย่างไร แต่เอ็ลเดอร์เฮลส์เป็นพยานว่าคำตอบจะมาในวิธีของพระเจ้าและตามตารางเวลาของพระองค์ “คำตอบบางข้อเราอาจต้องรอจนหลังจากชีวิตนี้ … ขอให้เราอย่าได้หมดหวังในพระเจ้า พรของพระองค์เป็นนิรันดร์ ไม่ใช่เฉพาะกาล”36

ภาพ
Robert D. Hales and various Church leaders

“ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำงานท่ามกลางพี่น้องชายที่ดีที่สุดเท่าที่โลกนี้จะมีได้” ถ้อยคำที่ท่านพูดเมื่อได้รับการปลดสมัยเป็นอธิการควบคุมพิสูจน์ว่าเป็นความจริงสมัยเป็นอัครสาวก

ภาพถ่ายเอื้อเฟื้อโดยหอจดหมายเหตุ Deseret News

ภาพถ่ายโดย สจ๊วต จอห์นสัน, Deseret News

สานุศิษย์ที่ซื่อสัตย์

สมัยเป็นอธิการควบคุม เอ็ลเดอร์เฮลส์แสดงประจักษ์พยานซึ่งทำให้รำลึกถึงแอลมาผู้บุตร ท่านประกาศว่า “โอ ถ้าข้าพเจ้ามีเสียงและแตรของเทพข้าพเจ้าคงจะพูดกับมวลมนุษยชาติได้ว่า [พระเยซูคริสต์] ทรงเป็นขึ้นมาแล้วและพระองค์ทรงพระชนม์ และพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระบิดา พระเมสสิยาห์ที่สัญญาไว้ พระผู้ไถ่และพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์เสด็จมาในโลกนี้เพื่อสอนพระกิตติคุณโดยแบบอย่าง พระพันธกิจของพระองค์มุ่งหมายให้ท่านและข้าพเจ้ามาหาพระองค์และพระองค์จะทรงนำเราสู่นิรันดรแห่งชีวิต”37

ในคำพูดการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกของท่านหลังจากได้รับเรียกสู่โควรัมอัครสาวกสิบสอง ท่านอ้างอิงคำพูดของมอรมอน โดยทำให้ประจักษ์พยานของศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณท่านนี้เป็นประจักษ์พยานของท่าน “ดูเถิด, ข้าพเจ้าเป็นสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์, พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า. ข้าพเจ้าได้รับการเรียกจากพระองค์ให้ประกาศพระวจนะในบรรดาผู้คนของพระองค์, เพื่อพวกเขาจะมีชีวิตอันเป็นนิจ” (3 นีไฟ 5:13)38

สี่สิบปีในฐานะเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ เอ็ล-เดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์ประกาศพระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอดอย่างองอาจและเปี่ยมด้วยพลังผ่านคำพูดและชีวิตที่เป็นแบบอย่างของท่าน ท่านจารึกคำแนะนำของท่านเองไว้ในชีวิตส่วนตัว งานอาชีพ และศาสนาของท่าน “โดยผ่านการเชื่อฟังอันเปี่ยมด้วยศรัทธาและการอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่ สักวันหนึ่งเราจะได้กลับไปอย่างสมเกียรติเข้าไปในที่ประทับของพระบิดาบนสวรรค์ของเราและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์”39

สำหรับวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้มีศรัทธาในพระผู้ช่วยให้รอดเช่นเดียวกันกับท่าน เอ็ลเดอร์เฮลส์ไม่ได้หายไปไหน ท่านกลับบ้าน—และท่านกลับไปอย่างสมเกียรติ

อ้างอิง

  1. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “‘What Think Ye of Christ?’ ‘Whom Say Ye That I Am?’” Ensign, May 1979, 79.

  2. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “The Aaronic Priesthood: Return with Honor,” Ensign, May 1990, 39.

  3. ใน “Fireside Commemorates Aaronic Priesthood Restoration,” Ensign, July 1985, 75.

  4. ใน “Elder Robert D. Hales of the Quorum of the Twelve,” Ensign, May 1994, 105.

  5. ดู โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “How Will Our Children Remember Us?” Ensign, Dec. 1993, 8.

  6. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “Gratitude for the Goodness of God,” Ensign, May 1992, 64.

  7. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “การเสริมสร้างครอบครัว: หน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเรา,” เลียโฮนา, ก.ค. 1999, 45.

  8. ดู โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “Gratitude for the Goodness of God,” 63.

  9. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “How Will Our Children Remember Us?” 8–9.

  10. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “จงยืนอย่างมั่นคงในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์,” เลียโฮนา, พ.ค. 2013, 48.

  11. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “How Will Our Children Remember Us?” 9.

  12. ใน LaRene Gaunt, “Elder Robert D. Hales: ‘Return with Honor,’” Ensign, July 1994, 50.

  13. ดู โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “Celestial Marriage—A Little Heaven on Earth” (Brigham Young University devotional, Nov. 9, 1976), speeches.byu.edu.

  14. ใน LaRene Gaunt, “Elder Robert D. Hales: ‘Return with Honor,’” 48.

  15. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “จงเป็นผู้เลี้ยงชีพที่มองการณ์ไกลทั้งทางโลกและทางวิญญาณ,” เลียโฮนา, พ.ค. 2009, 8–11.

  16. ดู โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “Gratitude for the Goodness of God,” 65.

  17. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “Gifts of the Spirit,” Ensign, Feb. 2002, 19.

  18. ใน LaRene Gaunt, “Elder Robert D. Hales: ‘Return with Honor,’” 51.

  19. สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์, ใน LaRene Gaunt, “Elder Robert D. Hales, ‘Return with Honor,’” 52.

  20. ดู LaRene Gaunt, “Elder Robert D. Hales, ‘Return with Honor,’” 52.

  21. ใน “Elder Robert D. Hales of the Quorum of the Twelve,” 105–06.

  22. การสัมภาษณ์ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์, 11 มิถุนายน 2015.

  23. ใน LaRene Gaunt, “Elder Robert D. Hales, ‘Return with Honor,’” 53.

  24. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “Making Righteous Choices at the Crossroads of Life,” Ensign, Nov. 1988, 11.

  25. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “Welfare Principles to Guide Our Lives: An Eternal Plan for the Welfare of Men’s Souls,” Ensign, May 1986, 30.

  26. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “The Unique Message of Jesus Christ,” Ensign, May 1994, 78–79.

  27. ดู โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “ถึงฐานะปุโรหิตแห่งอาโรน: เตรียมรับทศวรรษของการตัดสินใจ,” เลียโฮนา, พ.ค. 2007, 61.

  28. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “สัจธรรมนำชีวิตสิบประการ,” เลียโฮนา, ก.พ. 2007, 38–39.

  29. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “พระวิญญาณบริสุทธิ์,”  เลียโฮนา, พ.ค. 2016, 105.

  30. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “การเป็นชาวคริสต์เหมือนพระคริสต์มากขึ้น,” เลียโฮนา, พ.ย. 2012, 91.

  31. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “ความกล้าหาญแบบชาวคริสต์: คุณค่าแห่งความเป็นสานุศิษย์,” เลียโฮนา, พ.ย. 2008, 92.

  32. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “จงยืนอย่างมั่นคงในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์,” เลียโฮนา, พ.ค. 2013, 50.

  33. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “พันธสัญญาแห่งบัพติศมา: อยู่ในอาณาจักรและเป็นของอาณาจักร,” เลียโฮนา, ม.ค. 2001, 6.

  34. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “การบำบัดรักษาจิตวิญญาณและร่างกาย,” เลียโฮนา, ม.ค. 1999, 18.

  35. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “พระวิญญาณบริสุทธิ์,”  เลียโฮนา, พ.ค. 2001, 6.

  36. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “การรอคอยพระเจ้า: ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์,” เลียโฮนา, พ.ย. 2011, 93.

  37. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “What Think Ye of Christ?” New Era, Nov. 1987, 7.

  38. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “The Unique Message of Jesus Christ,” 80; see also Robert D. Hales, “Christian Courage,” 75.

  39. ใน LaRene Gaunt, “Elder Robert D. Hales: ‘Return with Honor,’” 53.

พิมพ์