สอนฉันให้บิน: บรรลุการพึ่งพาตนเองทางอารมณ์ในวิธีของพระเจ้า
ผู้เขียนอาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
วาเลรี เดอร์เรนท์มาจากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และแต่งงานกับไรอันสามีได้สี่ปี เธอเพิ่งเป็นคุณแม่ของลูกชายแบเบาะ เธอชอบโยคะ วาดภาพ อ่านหนังสือ และเดินป่า
เราต้องพึ่งพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ และทุ่มเทความพยายามของเราขณะมุ่งหมายจะพึ่งพาตนเองทางอารมณ์
เมื่อเรานึกถึงลูกนกกำลังหัดบิน เรามักจะนึกภาพวีรกรรมครั้งสุดท้ายของมัน นั่นคือ ตะเกียกตะกายออกจากรัง กางปีก และบินขึ้นไปในท้องฟ้า แต่ก่อนความสำเร็จครั้งสุดท้ายนั้น น่าจะเกิดความล้มเหลวหลายครั้งที่ลงเอยด้วยการที่นกไม่บินขึ้นไปในท้องฟ้าแต่ดิ่งลงพื้น
เหมือนนกหัดบิน เราเองอาจตกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าขณะที่เราเริ่มพึ่งพาตนเองทางอารมณ์ แต่ถ้าเราหันไปขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าและทุ่มเทความพยายาม เราจะรู้วิธีประสบความสำเร็จอีกครั้งเมื่อชีวิตไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้และพึ่งพาพระองค์ และเมื่อการทดลองมากเกินกว่าเราจะทนไหว
การหัดบิน
ถ้าการหัดบินเป็นขั้นตอนที่เจ็บปวด เหตุใดนกจึงเริ่มออกจากรัง เพราะแม่ของมัน เพราะช่วงแรกของชีวิตลูกนก แม่นกจะนำอาหารมาป้อนให้มันในรัง แต่ต่อมา แม่นกจะเริ่มวางอาหารไว้นอกรังเพื่อให้ลูกนกออกจากพื้นที่ซึ่งมันเคยชินมารับการบำรุงเลี้ยง
นั่นเป็นขั้นตอนเดียวกันกับที่เราอดทนขณะหัดพึ่งพาตนเองทางอารมณ์—แต่ไม่ได้คาดหวังให้เราบินได้ด้วยตนเองทันที
คล้ายกับแม่นกยอมให้ลูกนกตกจากรัง พระบิดาบนสวรรค์ทรงยอมให้เราก้าวผ่านการทดลองและประสบการณ์ที่เจ็บปวด คับข้องใจ และท้อแท้ แผนแห่งความรอดของพระองค์ออกแบบไว้เพื่อช่วยให้เราเป็นเหมือนพระองค์ ด้วยเหตุนี้ทุกความท้าทายที่เราประสบจึงเป็นโอกาสให้เรียนรู้และเติบโต เหมือนแม่นก พระบิดาบนสวรรค์ยังคงจัดเตรียมเครื่องบรรเทาทุกข์และเครื่องนำทางให้เราเพราะด้วยความช่วยเหลือจากพระองค์เท่านั้นเราจึงจะบรรลุและรักษาความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจเอาไว้ได้
การกระพือปีกของเราเอง
ถึงแม้พระบิดาบนสวรรค์ทรงเป็นหุ้นส่วนของเรา แต่เราไม่ควรคาดหวังให้พระองค์ทำทุกอย่างให้เรา พระองค์ทรงต้องการให้เราใช้สิทธิ์เสรีและแหล่งช่วยที่ประทานแก่เราบนเส้นทางสู่การพึ่งพาตนเองทางอารมณ์
ตัวอย่างเช่น เมื่อเราประสบความปวดร้าวใจ ความโกรธ หรือความสูญเสีย พระองค์ทรงต้องการให้เราหารือกับพระองค์ แต่เราไม่ควรหยุดตรงนั้น—เราจำเป็นต้องทำสุดความสามารถตามการกระตุ้นเตือนที่พระองค์ประทานแก่เรา รักษาพระบัญญัติ เข้าพระวิหารเพื่อแสวงหาสันติสุข ความสบายใจ และคำตอบ ใส่ใจคำแนะนำของศาสดาพยากรณ์ และวางใจในแผนของพระองค์สำหรับเรา
พระบิดาบนสวรรค์ประทานเครื่องมือมากมายให้เราบรรลุการพึ่งพาตนเองทางอารมณ์ แต่ถ้าเราทำส่วนของเราหมดแล้วและยังไม่ดีขึ้นหรือสุขภาพจิตยังไม่ดี เราอาจจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือมากกว่านั้น แน่นอนว่ามีหลายครั้งที่ท่านอาจต้องหันไปพึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหรือรับคำปรึกษาและคำแนะนำเพิ่มเติมจากอธิการเพื่อจะได้พัฒนาขึ้น
แต่พึงระลึกไว้เสมอว่าถ้าเราขอคำแนะนำจากคนอื่นทุกครั้งที่เราวิ่งชนสิ่งกีดขวาง เราอาจเสียโอกาสอันประมาณค่ามิได้ให้เรียนรู้และเติบโตด้วยตัวเราเอง อีกประการหนึ่งคือเราต้องทุ่มเทความพยายามมากพอเราจึงจะพัฒนาขึ้น
การทำตามแบบแผนของพระเจ้า
ในหลักคำสอนและพันธสัญญาภาคที่ 9 ออลิเวอร์ คาวเดอรีถูกตีสอนเพราะพยายามแปลแผ่นจารึกพระคัมภีร์มอรมอนโดยไม่ใช้ “ความคิดนอกจากถาม [พระผู้เป็นเจ้า]” (ข้อ 7) จากนั้นเขาได้รับการตักเตือนให้ “ศึกษาไตร่ตรองในความคิด [ของเขา]” จนได้ข้อสรุปแล้วจึง “ถาม [พระผู้เป็นเจ้า] ว่ามันถูกต้องหรือไม่” (ข้อ8)
เมื่อเราทำตามแบบแผนนี้ พระบิดาบนสวรรค์จะไม่ทรงทอดทิ้งเราให้พึ่งความสามารถและความคิดของเราเองฝ่ายเดียวขณะที่เราดูแลสุขภาพจิตของเรา พระองค์ทรงให้โอกาสเราเรียนรู้วิธีใช้สิทธิ์เสรีของเรา การค้นหาคำตอบให้แก่คำถามของเราและการหาวิธีแก้ปัญหาของเราด้วยความช่วยเหลือจากพระองค์คือสิ่งที่จะช่วยให้เราเป็นเหมือนพระองค์ในที่สุด ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถทูลขอให้พระองค์ทรงแสดงให้เราเห็นวิธีที่เราจะมีดุลยภาพทางอารมณ์มากขึ้นแทนที่จะเพียงแค่ทูลขอให้พระองค์ทรงทำให้เราดีขึ้น
เมื่อเราใช้สิทธิ์เสรีแบบนี้ทุกครั้งที่สภาวะทางอารมณ์ของเราถูกทดสอบ เราจะค่อยๆ ดีขึ้นและมั่นใจมากขึ้น ถึงแม้เราจะยังบินไม่คล่อง แต่เรามั่นใจได้ว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราตลอดทางและยินดีในความจริงที่ว่าพระองค์ทรงกำลังช่วยให้เราดีขึ้นทีละนิด แต่ละวันมีโอกาสให้บินสูงขึ้น—เตรียมเราให้พร้อมรับวันที่เราจะบินได้ด้วยตัวเราเอง