พระวิญญาณทรงนำ ก่อนดิฉันจะรู้ด้วยซ้ำ
พระวิญญาณทรงนำดิฉันหลายครั้งก่อนจะรู้ว่าจริงๆ แล้วการเปิดเผยคืออะไร
เมื่ออายุ 17 ปี ดิฉันเข้าโบสถ์โปรเตสแตนท์ที่ดิฉันพบเมื่อสองปีก่อนหน้านั้น นั่นเป็นแห่งแรกที่ดิฉันเรียนรู้อย่างเป็นกิจลักษณะเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าและพระเยซูคริสต์ ราวๆ ช่วงนั้น วันหนึ่งดิฉันอยู่บนรถโดยสารเมื่อมีคนหนึ่งนั่งลงข้างๆ ดิฉัน เขาบอกดิฉันว่าเขาเพิ่งได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำและบอกว่าเขารู้สึกเหมือนไม่สามารถเข้าโบสถ์ใดได้อีก ขณะนั้นดิฉันรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงส่งดิฉันมาที่นั่นเพื่อพบชายดังกล่าว ดิฉันให้กำลังใจเขา บอกเขาว่าเขาควรหาโบสถ์สักแห่ง
ขณะที่เราคุยกัน ดิฉันบอกเขาว่าดิฉันกำลังศึกษาเพื่อไปเรียนจิตวิทยา แต่ดิฉันพูดโพล่งออกไปว่าดิฉันอาจจะเรียนวารสารศาสตร์ เขาบอกว่า “คุณเหมือนนักข่าวมาก—คุณควรเป็นนักข่าว!” ดิฉันพบว่าแปลกเพราะดิฉันไม่เคยคิดจะเป็นนักข่าวมาก่อน จู่ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมา
สองเดือนต่อมา เมื่อใกล้ถึงวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อเรียนจิตวิทยา คืนหนึ่งดิฉันรู้ตัวว่าดิฉันไม่มั่นใจกับการตัดสินใจนั้นอีกต่อไป ดิฉันตกใจเพราะดิฉันไม่สนใจจะเรียนสาขาอื่นเลย จากนั้นดิฉันก็นึกถึงการสนทนากับชายคนนั้นบนรถโดยสาร ดิฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคณะวารสารศาสตร์ แต่พบเว็บไซต์ของที่เรียนแห่งหนึ่งในรัฐของดิฉัน วันนั้นบังเอิญเป็นวันลงทะเบียนวันสุดท้ายพอดี ดิฉันไปลงทะเบียนโดยไม่ต้องคิดอีกครั้ง และสรุปก็คือ ดิฉันเรียนจบวารสารศาสตร์
ค้นพบความจริง
ตอนนั้นดิฉันไม่รู้ แต่ตอนนี้ดิฉันรู้แล้วว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงนำดิฉันผ่านการเปิดเผยส่วนตัวในการตัดสินใจว่าจะเรียนอะไร ดิฉันรู้สึกเหมือนได้รับพรให้รู้เสมอว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้ดิฉันทำอะไร—พระองค์ทรงวางสถานการณ์และโอกาสแบบใดไว้ในชีวิตดิฉันเพื่อให้ดิฉันเห็นทางที่ทรงต้องการให้ดิฉันเตินตาม
สี่ปีต่อมา ดิฉันพบศาสนจักรและรับบัพติศมาผ่านการนำทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นกัน ดิฉันเรียนรู้ในที่สุดว่าการเปิดเผยส่วนตัวคืออะไรจากการอ่านพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญา วันหนึ่งก่อนรับบัพติศมา ดิฉันกำลังอ่านพระคัมภีร์มอรมอนเพราะผู้สอนศาสนาขอให้อ่าน จู่ๆ ดิฉันก็ตัดสินใจอ่านเลยไปจนถึง 2 นีไฟ 31 ที่นีไฟอธิบายเรื่องบัพติศมาของพระเยซูคริสต์ ถึงแม้ดิฉันยังไม่เคยสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน แต่ดิฉันรู้สึกเหมือนพระบิดาบนสวรรค์ทรงกำลังพยายามบอกดิฉันเรื่องบัพติศมา บทต่อไปดึงดูดความสนใจของดิฉันเช่นกัน บทนั้นดิฉันอ่านว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสามารถแสดงให้เราเห็นทุกอย่างที่เราต้องทำ (ดู 2 นีไฟ 32) ถ้อยคำเหล่านั้นมีความหมายต่อชีวิตดิฉันมาก
สิ่งหนึ่งที่ดิฉันตระหนักเสมอคือถ้าดิฉันรู้ตัวว่าอยู่ในความมืด พระผู้เป็นเจ้าทรงคาดหวังให้ดิฉันนำแสงสว่างบางอย่างออกมาจากความมืดนั้น เมื่อดิฉันเรียนเรื่องโจเซฟ สมิธ ดิฉันเห็นความคล้ายคลึงระหว่างเรา ดิฉันเรียนรู้ที่จะมองหาคำตอบจากพระผู้เป็นเจ้า ในวัยเด็ก แม้ไม่ได้เข้าโบสถ์ แต่ดิฉันสวดอ้อนวอนเสมอ นั่นกระตุ้นดิฉันให้กลับใจ อดทน พยายามมีเมตตาและรักทุกคน
อย่างไรก็ตามดิฉันรู้เสมอว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงฟังดิฉัน ในที่สุดเมื่อดิฉันไปโบสถ์เมื่ออายุ 15 ปี และเรียนเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิล ดิฉันหวนนึกถึงประสบการณ์มากมายและรู้ว่าความรู้ที่ดิฉันได้รับจากการสวดอ้อนวอนมาจากพระผู้เป็นเจ้า
เข้าใจการเปิดเผย
ใน 2 นีไฟ 32:5 นีไฟสอนว่า “หากท่านจะเข้าไปโดยทางนั้น, และรับพระวิญญาณบริสุทธิ์, พระองค์จะทรงแสดงแก่ท่านถึงสิ่งทั้งปวงที่ท่านควรทำ.” ดิฉันคิดว่าดิฉันเข้าใจสิ่งนั้นจนกระทั่งหลังจากรับบัพติศมา ผู้สอนศาสนาถามว่าดิฉันรู้หรือไม่ว่าการเปิดเผยคืออะไร ถ้าใช้ชื่อนั้นดิฉันไม่ทราบ แต่ดิฉันตอบว่าดิฉันคิดว่าการเปิดเผยคือความรู้สึกที่ดิฉันเคยรู้สึกหลายครั้ง เหมือนพระผู้เป็นเจ้ากำลังตรัสกับดิฉันในความคิด ตอบคำถามและความคิดของดิฉัน พวกเขาบอกว่าดิฉันพูดถูก
เมื่อรู้เรื่องการเปิดเผยและของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ดิฉันพบว่าดิฉันปรารถนาจะอ่านพระคัมภีร์ไบเบิล ดิฉันเริ่มหาสิ่งที่มีความหมายมากมายในนั้น—ดิฉันตระหนักว่านั่นเป็นเพราะพระวิญญาณทรงนำดิฉัน ดิฉันชอบอ่านจดหมายของเปาโลและดูตัวอย่างที่เขารับการสอนจากพระวิญญาณในการกระทำของเขาและความเชื่อมั่นแรงกล้าของเขาในพระผู้ช่วยให้รอด นั่นคือสิ่งที่ดิฉันรับรู้จากการพบกับศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟู
สุดท้ายแล้ว ไม่สำคัญว่าคุณอายุเท่าใด อยู่ที่ไหน หรือคุณมีความรู้มากเพียงใดเกี่ยวกับเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือปฏิบัติตามเพลงสวดเพลงนี้ “พระเจ้าข้าจะไปที่พระองค์บัญชา … ข้าจะเป็นดังพระองค์บัญชา” (เพลงสวด, บทเพลงที่ 136) จงดำเนินชีวิตและแบ่งปันสิ่งสวยงามที่พระวิญญาณทรงใส่ไว้ในใจท่าน เพราะพระวิญญาณจะทรงแสดงให้ท่านเห็นทางนั้นเพื่อเป็นพรแก่ผู้อื่นและได้รับพรด้วยตัวท่านเองในชีวิตนี้