ดิจิทัลเท่านั้น: คนหนุ่มสาว
เอาชนะภาวะหมดไฟทางวิญญาณ
ผู้เขียนอาศัยอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เมื่อกลับจากงานเผยแผ่ ฉันรู้สึกกดดันมากว่าต้องทําอะไรต่อไป
ฉันรักงานเผยแผ่ แต่เมื่อกลับบ้านที่ฟิลิปปินส์ ฉันเผชิญความวิตกกังวลมากมายเพราะสิ่งที่ฉันเรียกว่า “ภาวะหมดไฟทางวิญญาณ”
สําหรับฉัน ภาวะหมดไฟทางวิญญาณหมายถึงรู้สึกหมดแรงโดยสิ้นเชิงหลังจากทุ่มสุดความสามารถ สิ่งนี้ส่งผลต่อชีวิตของฉันจนถึงจุดที่ฉันต้องอยู่ในห้องทั้งวันเพราะฉันเหนื่อยล้ามาก
ในฐานะอดีตผู้สอนศาสนา ฉันรู้สึกกดดันจากครอบครัว เพื่อนๆ และชุมชนเกี่ยวกับการตัดสินใจในชีวิต รู้สึกเหมือนคนรอบข้างมีความคิดมากมายเกี่ยวกับการเลือกของฉันและสิ่งที่ฉันควรทํา—ซึ่งน่าหนักใจมาก ฉันซ่อนสิ่งที่ฉันรู้สึกจากทุกคนเพราะไม่อยากทําให้พวกเขาผิดหวัง
เมื่อเวลาผ่านไป ความกดดันนั้นมากเกินกว่าที่จะทนได้
ฉันรู้สึกถึงวิธีที่เอ็ลเดอร์ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองบรรยายไว้:
“บางครั้งความล้มเหลวทางวิญญาณค่อยๆ เกิดขึ้นจนเราแทบบอกไม่ได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เช่นเดียวกับชั้นต่างๆ ของหินตะกอน ความเจ็บปวดและความเศร้าโศกทางวิญญาณก่อตัวขึ้นผ่านกาลเวลา กดทับอยู่บนวิญญาณของเราจนหนักอึ้งเกินจะแบกรับไหว ตัวอย่างเช่น สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อความรับผิดชอบของเราในที่ทํางาน บ้าน และโบสถ์นั้นท่วมท้นจนกระทั่งเรามองไม่เห็นปีติอันเกิดจากพระกิตติคุณ เราอาจรู้สึกว่าเราไม่มีอะไรจะให้ได้ หรือการดําเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นเรื่องเกินกําลัง”
ถึงแม้จะรู้สึกเช่นนี้ แต่ฉันสามารถพบสันติสุขเมื่อหันไปขอการนําทางจากพระบิดาบนสวรรค์ นี่คือสามวิธีที่ฉันทํา:
1. ปล่อยวางความคาดหวังของผู้อื่น
ความคาดหวังของผู้อื่นทําให้ยากที่ฉันจะพบสันติสุขที่จําเป็นต่อการเปลี่ยนกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านในฐานะอดีตผู้สอนศาสนา
ฉันจึงสวดอ้อนวอนว่าควรไปทิศทางใดสําหรับอนาคตของฉันและทูลพระบิดาบนสวรรค์เกี่ยวกับความกดดันที่ฉันรู้สึกอยู่ ขณะที่ฉันพยายามอัญเชิญพระวิญญาณเข้ามาในชีวิต ฉันรู้สึกได้รับการกระตุ้นเตือนให้ก้าวออกไปด้วยศรัทธาและย้ายไปทํางานที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ การดลใจนี้คาดไม่ถึงอย่างยิ่ง และผู้คนจํานวนมากในชุมชนของฉันตกใจเมื่อฉันทําตามการกระตุ้นเตือนนี้
ฉันรู้สึกมีความหวังอย่างมากในทันใด! รู้สึกว่าโดยผ่านพระวิญญาณ พระผู้เป็นเจ้าทรงนําฉันไปในทิศทางที่จะนําการเยียวยาที่ฉันต้องการมาให้
การเรียนรู้ที่จะปล่อยวางความคาดหวังที่ผู้อื่นมีต่อฉันและการจดจ่อกับการนําทางของพระบิดาบนสวรรค์ทําให้ฉันก้าวไปข้างหน้าด้วยความหวังและศรัทธา
เอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟสอนด้วยว่า “เราจะพบการเยียวยาทางวิญญาณเมื่อเราก้าวพ้นเงาของโลกและเข้าไปสู่แสงสว่างอันเป็นนิจของพระคริสต์”
2. การทําให้ตัวฉันหลุดพ้นจากการเปรียบเทียบ
เมื่อฉันกลับบ้านจากงานเผยแผ่ ฉันมีปัญหากับการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นด้วย
เอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟกล่าวถึงอันตรายของการเปรียบเทียบว่า “เราใช้เวลาและพลังงานมากมายเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น … สิ่งนี้ทำให้เราตั้งความหวังของตนเองซึ่งไม่อาจทำให้เกิดขึ้นได้ … ผลก็คือ เราไม่เคยฉลองความสำเร็จเพราะสิ่งเหล่านั้นดูเหมือนจะด้อยกว่าสิ่งที่ผู้อื่นทํา”
ฉันจดจ่อกับสิ่งที่อดีตผู้สอนศาสนาคนอื่นกําลังทํามากเกินไป ซึ่งทําให้รู้สึกเหมือนฉันไม่ก้าวหน้ามากนัก แต่การขอให้พระบิดาบนสวรรค์ทรงช่วยฉันเปลี่ยนจุดสนใจและพยายามทําเช่นนั้นอย่างแข็งขันทําให้ฉันกังวลน้อยลงกับสิ่งที่ผู้อื่นทํา ฉันหันมาจดจ่อกับเส้นทางเฉพาะของฉันและการก้าวเดินที่ทําได้ในแต่ละวันเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายทางวิญญาณและทางโลกของตนแทน
3. เป็นคนกระตือรือร้นทางวิญญาณ
การย้ายไปดูไบสอนฉันถึงความสําคัญของการเป็นคนกระตือรือร้น ไม่ว่าสภาวการณ์ของเราจะเป็นเช่นไร เราสามารถเป็นคนกระตือรือร้นเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการแสวงหาพระคริสต์ได้ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม
ถึงแม้พระกิตติคุณจะดูน่าเบื่อเมื่อฉันกลับบ้านจากงานเผยแผ่ แต่การทุ่มเทตนเองให้กับพระกิตติคุณ จริงๆ แล้วเป็นคําตอบให้ความรู้สึกหมดไฟของฉัน ฉันพบสันติสุขและการเยียวยามากขึ้นเมื่อพยายามเป็นส่วนหนึ่งของวอร์ดและจัดสรรเวลาให้พระเจ้าในแต่ละวัน
ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันเป็นพยานถึงแนวคิดนี้ว่า: “เราต้องมีประสบการณ์ทุกวันในการนมัสการพระเจ้าและการศึกษาพระกิตติคุณ ข้าพเจ้าวิงวอนว่าจงให้พระผู้เป็นเจ้าทรงมีชัยในชีวิตท่าน แบ่งเวลาของท่านให้พระองค์อย่างเหมาะสม ขณะทำเช่นนั้น ให้สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นกับแรงขับเคลื่อนทางวิญญาณด้านบวกของท่าน”
เมื่อฉันเผชิญกับภาวะหมดไฟทางวิญญาณ ขณะนี้ฉันรู้แล้วว่าวิธีพบสันติสุขคือการบำรุงรักษาแรงขับเคลื่อนทางวิญญาณ วิธีหนึ่งที่เราจะทําเช่นนี้ได้คือเปลี่ยนจุดสนใจของเราไปที่พระผู้ช่วยให้รอดและปล่อยวางจากความคาดหวังของผู้อื่น
เมื่อทําเช่นนี้ ฉันพบสันติสุขที่ต้องการเพื่อการก้าวไปข้างหน้าบนเส้นทางพันธสัญญา—ทีละก้าว