ความเห็นใจ
การถ่ายทอดการอบรม S&I ประจำปี 2021
26 มกราคม 2021
ผมชื่นชมในสิ่งที่บราเดอร์วิลคินสันพูดเกี่ยวกับผู้ที่สูญเสียคนรักและผู้ที่ทนทุกข์ในด้านอื่นๆ ในช่วงเวลานี้และอยากให้คุณทราบว่าเรานึกถึงพวกคุณจริงๆ
ผมอยากเริ่มด้วยการขอบคุณความพยายามของคุณในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คุณทำงานหนักอย่างน่าทึ่งเพื่อสอนออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ ผมรู้ว่าบางวันคุณท้อ พยายามช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมโดยมีอุปสรรคมากมาย ขอบคุณที่พยายามมาตลอด ขอบคุณที่คุณยินดีปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงสำคัญอื่นๆ เช่น ปฏิทินหลักสูตร และข้อกำหนดการอ่าน ผมซึ้งใจมากที่คุณสามารถและยินดีเผชิญทั้งหมดนี้ด้วยศรัทธายิ่ง
ในช่วงการเปลี่ยนแปลง มีความสามารถหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นของประทานแห่งพระวิญญาณก็ได้ ที่ผมคิดว่าสำคัญที่เราแต่ละคนต้องมี อันเติบโตมาจากศรัทธาในพระเยซูคริสต์ ความสามารถนั้นคือการมั่นใจในความสำเร็จในอดีต ขณะเฝ้ารอความสว่างเพิ่มเติมที่พระเจ้าทรงต้องการประทานให้ เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์พูดดังนี้:
“อดีตมีไว้ให้เรียนรู้ไม่ใช่ให้อยู่กับมัน … เมื่อใดที่เราได้เรียนรู้สิ่งที่เราต้องเรียนรู้และรับเอาส่วนดีที่สุดที่เราเคยประสบมา เมื่อนั้นเราจะมองไปข้างหน้าและจดจำว่า ศรัทธาชี้ไปสู่อนาคตเสมอ…
“ศรัทธาสร้างบนอดีตแต่ไม่เคยปรารถนาจะอยู่ที่นั่น ศรัทธาวางใจว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีสิ่งสำคัญยิ่งเตรียมไว้ให้”1
ขณะที่เรายังคงยึดมั่นอยู่กับสิ่งดีๆ จากอดีต เราควรมองหาทางสร้างต่อบนความพยายามเหล่านั้นโดยพยายามเข้าใจว่าพระเจ้าทรงต้องการให้เราทำสิ่งใดต่อไป เราควรเต็มใจถามตัวเองว่า “ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง?”2 และพยายามปรับปรุงความรู้ เจตคติ อุปนิสัย และการกระทำของเรา นั่นเป็นการแสดงศรัทธาเช่นกัน
คุณคงจำได้ว่ากว่าห้าปีมาแล้ว เอ็ลเดอร์คิม บี. คลาร์กบอกเราว่า:
“ไม่ว่าเราจะมีความเข้มแข็งทางวิญญาณระดับใดในชีวิตตอนนี้ ไม่ว่าเราจะมีศรัทธาระดับใดในพระเยซูคริสต์ตอนนี้ ไม่ว่าเราจะมีความมุ่งมั่นและการอุทิศตนแรงกล้าเพียงใด เชื่อฟังหรือมีความหวังหรือจิตกุศลในระดับใด ไม่ว่าเราจะมีทักษะความสามารถด้านวิชาชีพระดับใด ล้วนแล้วแต่ไม่เพียงพอสำหรับงานภายหน้า …
“ … พระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงมีงานสำคัญให้เราทำกับอนุชนรุ่นหลัง งานนี้สำคัญกว่างานเราเคยทำมา”3
ผมซึ้งใจที่คุณตอบรับคำเชื้อเชิญนี้ ผมเห็นคุณหลายคนทำให้ตนมีความเข้มแข็งทางวิญญาณ ความมุ่งมั่น และ ทักษะความสามารถลึกซึ้งขึ้น เราเห็นหลายเหตุผลว่าทำไมเรื่องนี้สำคัญและทำไมเรายังจำเป็นต้องมีคุณลักษณะเหล่านี้เพิ่มขึ้นในอนาคต
ผมขอยกตัวอย่างได้ไหมครับ? หมู่นี้เราพูดตลอดว่าต้องมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลางและเน้นผู้เรียนมากขึ้น นี่ไม่ใช่แค่วลีติดหูหรือเทคนิคการสอนเท่านั้น การให้พระคริสต์เป็นศูนย์กลางและการเน้นผู้เรียนเป็นวิธีที่เรานำพระบัญญัติสำคัญยิ่งสองข้อมาประยุกต์ใช้4 เป็นการทำให้ความพยายามของเราเป็นรูปร่างในการเชื้อเชิญเยาวชนคนหนุ่มสาวให้มีส่วนร่วมมากขึ้น เป็นการทำให้ความพยายามของเราเป็นรูปร่างในการเพิ่มพลังการสอนของเรา
เมื่อเราพยายามอย่างจริงใจในการประยุกต์ใช้พระบัญญัติสำคัญยิ่งข้อแรกในการสอน เราไม่เพียงแค่อ้างอิงถึงพระผู้ช่วยให้รอดในตอนจบบทเรียน เราใช้ทุกโอกาสในการเป็นพยานถึงพระองค์และแสดงความสำนึกคุณต่อพระองค์ เราเปลี่ยนจากการเพียงแค่พูด เกี่ยวกับ พระองค์ไปเป็นการพูดถึงพระองค์ในฐานะพระผู้ไถ่เราส่วนตัวที่เราได้รู้จัก รัก และวางใจ
เมื่อเราพยายามอย่างจริงใจในการประยุกต์ใช้พระบัญญัติสำคัญยิ่งข้อสองในการสอน เราไม่เพียงมุ่งเพื่อครอบคลุมเนื้อหาหรือเพื่อใช้วิธีสอนบางอย่างให้นักเรียนมีส่วนร่วม เรามุ่งไปที่ตัวบุคคลและความต้องการของพวกเขา เราต้องการช่วยให้พวกเขาก้าวหน้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์ เราเปลี่ยนจากการมองชั้นเรียนที่มีนักเรียนเป็นการมองผู้เรียนแต่ละคนเป็นบุตรที่รักของพระผู้เป็นเจ้าและมีศักยภาพแห่งสวรรค์
นั่นไม่ใช่แนวคิดใหม่ เราอยากทำแบบนั้นมาตลอด คำถามของผมคือ เราจะสานต่อความสำเร็จในอดีตเพื่อทำสิ่งนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคตได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่าผมเคยพูดถึงหัวข้อเหล่านี้มาก่อน ผมหวังว่าจะยังคงสืบสานสิ่งดีๆ ที่ได้ทำมาต่อไปด้วยการแบ่งปันความคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำกล่าวทั้งสองส่วนแยกกัน เริ่มที่การให้พระคริสต์เป็นศูนย์กลางมากขึ้น ผมพยายามทำความเข้าใจว่าสิ่งนั้นหมายถึงอะไรและน่าจะเป็นอย่างไรในบ้านและชั้นเรียนของเรา แน่นอนว่า เราจะต้องพยายามช่วยนักเรียนต่อไปให้มุ่งเน้นพระนาม พระคุณลักษณะ และแบบอย่างของพระเยซูคริสต์5 ผมขอเสนอวิธี เพิ่มเติม ศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันเตือนผมกับคุณว่า “การนับพรของเราย่อมดีกว่าการย้อนนับปัญหาของเรา”6 ผมเรียนรู้จากท่านเรื่องพรที่มีให้อิสราเอลในพันธสัญญาและว่าเมื่อเราให้พระผู้เป็นเจ้าทรงมีชัย เราจะประสบการเยียวยา พบคำตอบ กล้าเผชิญการล่อลวง และมีพลังทำศึกสงครามของเรา ดังที่ประธานเนลสันได้กล่าวเช่นกันว่า เรา “จะประสบด้วย [ตนเอง] ว่าพระผู้เป็นเจ้าของเราทรงเป็น ‘พระผู้เป็นเจ้าแห่งปาฏิหาริย์’ [มอรมอน 9:11]”7 ดังนั้นวิธีมุ่งเน้นที่พระผู้ช่วยให้รอดอีกวิธีหนึ่งคือการช่วยให้นักเรียนรับรู้วิธีที่พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ช่วยเหลือบุตรธิดาทุกคนของพระบิดาบนสวรรค์ด้วยความรักความเมตตา
ไม่นานมานี้ผมได้เข้าร่วมชั้นเรียนออนไลน์ เพื่อเตรียมเข้าชั้นเรียน นักเรียนต้องอ่าน อีเธอร์ 2:25: “และดูเถิด, เราเตรียมเจ้า ไว้ต่อสู้สิ่งเหล่านี้; เพราะเจ้าจะข้ามห้วงลึกอันกว้างใหญ่นี้ไม่ได้ เว้นแต่เราจะเตรียมเจ้า ไว้ต่อสู้คลื่นของทะเล”8 สมาชิกชั้นเรียนสนทนาข้อนี้และวิธีที่พระเจ้าทรงเตรียมชาวเจเร็ดสำหรับการเดินทางของพวกเขา นักเรียนคนหนึ่งแบ่งปันว่าเธอกำลังประสบการทดลอง ซึ่งเธอบอกว่าเป็นประสบการณ์แย่ที่สุดที่เธอเคยประสบมา
จากนั้นมีคนถามคำถามที่ผมเชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจ พระเจ้าทรงทำอะไรมาแล้วบ้างเพื่อเตรียมคุณ—ก่อนจะเกิดการทดลองนี้? พระองค์ประทานประสบการณ์อะไรให้คุณบ้าง และทรงสอนบทเรียนอะไรไปแล้วบ้างที่คุณนำมาใช้ได้ตอนนี้? เป็นคำถามที่ดีที่ทำให้เราได้คิดว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงเอื้อมมาหาเราด้วยความรักอย่างไร แม้ก่อนที่เราต้องการด้วยซ้ำ คนที่กำลังประสบการทดลองพูดถึงหลายด้านที่พระเจ้าทรงเตรียมเธอ เธอตระหนักว่าเธอเคยมีประสบการณ์ที่นำมาใช้ได้และมีความเข้าใจและประจักษ์พยานลึกซึ้งเกี่ยวกับหลักธรรมที่เธอจำเป็นต้องรู้เพื่อรับมือกับการทดลองนี้ด้วยศรัทธายิ่ง สมาชิกชั้นเรียนจำนวนหนึ่งแบ่งปันว่าพระเจ้าทรงเคยค้ำจุนพวกเขาในการทดลองอย่างไรและว่าพวกเขารู้ได้อย่างไรว่าพระองค์ทรงรักและประสงค์จะให้พรพวกเขา
ขณะที่คุณช่วยให้นักเรียนเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าประทานพรผู้คนที่เรารู้จักในพระคัมภีร์ คุณจะสามารถช่วยให้พวกเขารับรู้บทบาทที่พระองค์ทรงมีในชีวิตพวกเขาเช่นกัน ตามที่พระคัมภีร์มอรมอนกระตุ้น เราสามารถช่วยให้พวกเขา “จำไว้ว่าพระเจ้าทรงเมตตาลูกหลานมนุษย์เพียงใด”9
ต่อไปนี้เป็นข้อคิดเกี่ยวกับคำกล่าวครึ่งหลัง: เราจำเป็นต้องมุ่งเน้นที่นักเรียนของเรา เราอยู่ในยุคที่เยาวชนคนหนุ่มสาวจำนวนมากมีคำถามที่แก้ไม่ตกและรู้สึกสับสนกับเสียงมากมายในโลก เพื่อไม่ให้เขวไปตามเสียงรบกวน พวกเขาต้องเข้าใจหลักคำสอนที่แท้จริง เช่นที่เคยเป็นมา พวกเขาต้องการให้เรากล้าสอนและเป็นพยานถึงความจริงนิรันดร์ แล้วเราจะยึดมั่น—และ สร้างบนสิ่งนั้น—เพื่อสนองความต้องการของพวกเขาต่อไปอย่างไร? เราจะมุ่งเน้นได้ดีขึ้น ไม่ใช่แค่เน้นสอนความจริง แต่เน้นช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ความจริงอย่างไร?
วิธีหนึ่งคือผ่านคุณลักษณะของความเห็นใจเหมือนอย่างพระคริสต์ ความเห็นใจคือความสามารถในการเข้าใจและรู้สึกร่วมไปกับผู้อื่น ความเห็นใจที่จริงใจดึงผู้คนเข้าหากัน จุดประกายความสัมพันธ์และช่วยให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาไม่เดียวดาย นี่เป็นส่วนสำคัญยิ่งของการสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง คุณลักษณะนี้เป็นกุญแจสู่การตอบคำถามนักเรียนอย่างมีประสิทธิภาพและนำการสนทนากลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพโดยที่นักเรียนหลายคนตั้งใจฟังพร้อมคำถามในใจ
งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าปกติแล้วคนที่มีปัญหากับความเชื่อจะไม่เดินจากไปเพราะหลักคำสอน แต่เดินจากไปเพราะพวกเขาถามคำถามในบริบทของประสบการณ์ส่วนตัวที่ทำให้พวกเขามองปัญหาเหล่านี้ผ่านเลนส์ชุดหนึ่ง—โดยมักจะมองผ่านเลนส์ของการไม่เข้าพวกหรือความชอกช้ำใจหรือความไม่สมหวัง ถ้าเราตอบคำถามพวกเขาโดยไม่มีความเห็นใจ ไม่เข้าใจบริบท เราอาจไม่ได้ให้ความช่วยเหลือที่พวกเขาต้องการ แย่ไปกว่านั้น ถ้าเราตัดบท ตัดสิน หรือต่อต้าน เราจะสูญเสียความไว้วางใจและโอกาสที่จะเป็นอิทธิพลดีในชีวิตพวกเขา
พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นแบบอย่างที่ดีพร้อมของการ “ยึดถือความจริงด้วยความรัก”10 การปฏิสัมพันธ์ของพระองค์เต็มไปด้วยความเห็นใจ ปรับตามความต้องการและความเข้าใจของแต่ละคนเสมอ ผลก็คือ คนที่รู้สึกว่าตนไม่ดีพอหรือไม่ตรงกับแบบฉบับการเป็นสานุศิษย์ในอุดมคติยังคงรู้สึกถึงความรักของพระองค์และถูกดึงไปหาพระองค์ พวกเขารู้ตัวว่าต้องการพระองค์
อีกตัวอย่างหนึ่งมาจากการศึกษาหลักคำสอนและพันธสัญญาปีนี้ ภาคที่ 88 บันทึกคำแนะนำของพระเจ้าสำหรับโรงเรียนศาสดาพยากรณ์ ครูต้องมาถึงก่อนนักเรียนและเตรียมตัวและห้องเรียนให้พร้อม ครูได้รับคำแนะนำให้ทักทายนักเรียนด้วยคำเหล่านี้:
“ข้าพเจ้าต้อนรับท่านในพระนามของพระเจ้า พระเยซูคริสต์, เป็นหมายสำคัญหรือความระลึกถึงพันธสัญญาอันเป็นนิจ, ซึ่งพันธสัญญานั้นข้าพเจ้ารับท่านเป็นเพื่อนร่วมสมาชิก, ด้วยความตั้งใจที่มั่นคง, ไม่หวั่นไหว, และไม่เปลี่ยนแปลง, เพื่อเป็นเพื่อนและพี่น้องท่านโดยทางพระคุณของพระผู้เป็นเจ้าในสายใยแห่งความรัก”11
แม้ไม่เหมาะที่จะเริ่มชั้นเรียนเซมินารีและชั้นเรียนสถาบันแบบนั้น แต่คำทักทายนี้ให้ความรู้มากมายและเต็มไปด้วยความหมาย ตามที่ซิสเตอร์เวอร์จิเนีย เพียร์ซถาม: “คุณจินตนาการออกไหมถึงสภาพแวดล้อมการเรียนรู้บนพื้นฐานที่เพื่อนนักเรียนของคุณมีความรักความเชื่อมั่นต่อกัน? คุณจินตนาการออกไหมถึงความปลอดภัยส่วนตัวที่พวกเขาต้องเคยรู้สึก—และพลังงานที่มีไว้ให้พวกเขาใช้เรียนรู้ เติบโต และเปลี่ยนแปลง แทนที่จะใช้แก้ตัวและปกป้องตัวเองเหมือนที่เคยทำมา? คุณจินตนาการออกไหมถึงอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในห้องที่ผู้เข้าร่วมแต่ละคนได้ปฏิญาณเป็นเพื่อนพี่น้องกันผ่านพระคุณของพระผู้เป็นเจ้าในสายใยแห่งความรัก?”12
ลองคิดดูว่านั่นจะเปลี่ยนชั้นเรียนของเราอย่างไรและจะเป็นพรแก่นักเรียนแต่ละคนอย่างไร สมมุติว่าชายหนุ่มชื่ออเล็กซ์ถามว่า “ผมต้องทำอย่างไรถ้าไม่เห็นด้วยกับนโยบายทุกข้อของศาสนจักร?” คุณจะตอบอย่างไรในลักษณะที่แสดงความรักและความเห็นใจของคุณ? แน่นอนว่าเขาจะต้องเข้าใจบทบาทของศาสดาพยากรณ์และความสำคัญของการเชื่อฟัง แต่อาจไม่ใช่คำตอบที่มีคุณค่ามากที่สุด ขณะนั้น และอาจไม่ เพียงพอ สำหรับคนที่กำลังดิ้นรนหาคำตอบอย่างจริงใจ ก่อนจะตอบคำถามหรือนำการสนทนา เราน่าจะพยายามเข้าใจคนที่ถามหรือกลุ่มที่กำลังสนทนาก่อน ดังนั้นถ้าคุณมีโอกาสพูดคุยกับอเล็กซ์จริงๆ คุณจะต้องรู้อะไรอีกบ้าง และเขาต้องการอะไรจากคุณอีกบ้าง?
เพื่อเป็นการเริ่ม เราสามารถฟัง และสวดอ้อนวอนขอให้เราสามารถเอาใจเขามาใส่ใจเราและพยายามนึกว่าเขารู้สึกอย่างไร อเล็กซ์คงไม่ได้ถามคำถามนี้เพื่อฝึกสมองเล่นหรือเพียงเพื่อเข้าใจหลักคำสอน แต่อเล็กซ์มีปม เขามีประสบการณ์และความสัมพันธ์ทั้งที่ดีและไม่ดี ที่จริงแล้วในกรณีนี้ อเล็กซ์รู้สึกเป็นส่วนเกินเมื่อไปโบสถ์หรือเรียนสถาบัน ระหว่างสนทนาพระกิตติคุณเขารู้สึกต่างจากหลายคนที่พูด เขาสงสัยว่ามีใครรู้สึกแบบเขาบ้าง แต่ดูเหมือนไม่มีใครพูดถึงคำถามเฉพาะเจาะจงของเขาเลย ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวที่โบสถ์ เมื่อเขาพยายามแบ่งปันมุมมอง เขารู้สึกว่าไม่มีใครได้ยินหรือเข้าใจ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ครูวิจารณ์หนวดเคราของเขา ต่อมา เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งดูถูกประเด็นที่อเล็กซ์รู้สึกว่าสำคัญ เขาเริ่มรู้สึกว่าถูกตัดสินและถึงกับโกรธบางครั้ง
แต่อย่างน้อยก็มีอีกอย่างที่คุณต้องรู้และจำเกี่ยวกับอเล็กซ์ เขายังอยู่ที่นี่ เขามาชั้นเรียน เขามาเพราะว่าเขารักพระกิตติคุณและศาสนจักร เขาพยายามยึดมั่นในศรัทธา และเขาพยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง เขาพยายามแยกแยะทุกสิ่งที่ได้ยินหรือประสบมาในศาสนจักรว่าส่วนไหนเป็นหลักคำสอนที่แท้จริงและส่วนไหนเป็นบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมหรือความไม่ถูกต้องที่สมาชิกผู้หวังดีส่งต่อกันมา เขารู้สึกสับสน ทางอารมณ์ และกำลังพยายามจะรู้พระประสงค์ของพระเจ้า คุณจะรู้ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับอเล็กซ์ได้อย่างไรถ้าคุณไม่ฟังและไม่แสดงความเห็นใจ? เมื่อคุณรู้จักอเล็กซ์ดีขึ้นบ้างแล้ว คุณจะรู้ว่าเขาไม่ได้แค่ถามเกี่ยวกับนโยบายศาสนจักร คำถามของเขาไม่ใช่แค่ “ศาสนจักรจริงไหม?” เขาต้องการรู้ว่า “ศาสนจักรดีไหม?” “มีที่ให้ผมไหม?” และ “ผมจะเข้าพวกได้อย่างไรในเมื่อผมเหมือนจะเป็นคนเดียวที่สงสัยและมีคำถาม?”
คุณสามารถช่วยให้อเล็กซ์ตรึกตรองและปรับกรอบคำถามของเขาด้วยมุมมองนิรันดร์ บางครั้งการถามคำถามที่ถูกต้องเป็นส่วนสำคัญของการได้รับคำตอบจากพระบิดาในสวรรค์ แต่การมีความรักความเห็นใจมากพอที่จะเข้าใจเขาและทราบต้นสายปลายเหตุของคำถามจะช่วยให้คุณให้การสนับสนุนและการนำทางที่เขาต้องการ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายและอาจท้าทายอยู่บ้าง แต่ผมไม่ได้ขอให้คุณนำทุกการสนทนาหรือตอบทุกคำถามอย่างสมบูรณ์แบบ ผมขอให้คุณฟัง เห็นใจ และช่วยให้พวกเขารู้สึกถึงความรักที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงมีให้ คุณจินตนาการออกไหมถึงความปลอดภัยส่วนตัวที่อเล็กซ์กับเพื่อนร่วมชั้นจะรู้สึกและพลังงานที่ตอนนี้มีให้พวกเขาได้ใช้เรียนรู้ เติบโต และเปลี่ยนแปลงแทนที่จะใช้แก้ตัวและปกป้องตัวเองเหมือนที่เคยทำมา? คุณจินตนาการอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชั้นเรียนที่เต็มไปด้วยมิตรภาพและสายใยแห่งความรักได้ไหม?
คุณจำคำแนะนำของเอ็ลเดอร์เดล จี. เรนลันด์จากการประชุมใหญ่สามัญครั้งล่าสุดได้ไหม? ท่านพูดถึงคนไข้ที่นอนโรงพยาบาลหลายครั้งเพื่อรักษาโรคเกี่ยวกับสุรา แพทย์ฝึกหัดพูดว่าเธอรู้สึกไม่ยุติธรรมที่จะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงดูแลคนไข้คนนี้เพราะเขาทำให้ตัวเองเป็นแบบนั้น
เอ็ลเดอร์เรนลันด์ได้ยินแพทย์อีกคนพูดว่า “คุณมาเป็นแพทย์เพื่อดูแลผู้คนและทำงานเพื่อรักษาพวกเขา คุณไม่ได้มาเป็นแพทย์เพื่อจะตัดสินพวกเขา ถ้าคุณไม่เข้าใจความแตกต่างข้อนั้น คุณก็ไม่มีสิทธิ์รับการฝึกที่สถาบันแห่งนี้”13
คุณกับผมไม่ได้เป็นครูสอนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เพื่อจะตัดสินนักเรียนของเรา เราเป็นครูเพราะเราต้องการชี้ทางให้พวกเขาไปหาพระอาจารย์ผู้เยียวยา พระเยซูคริสต์องค์เดียวเท่านั้นทรงมีสิทธิ์ตัดสิน และทรงเยียวยาได้ โดยมุ่งเน้นที่พระองค์—แบบอย่าง คำสอน และสัญญาของพระองค์—เท่านั้นเราจึงจะสามารถช่วยให้พวกเขาค้นพบการเยียวยาและการนำทางที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าอะไรเปลี่ยนไปในวิธีสอนและวิธีเชื่อมสัมพันธ์กับนักเรียนของเรา สิ่งหนึ่งจะไม่มีวันเปลี่ยน วิธีสำคัญที่สุดวิธีเดียวที่เราจะช่วยเพิ่มศรัทธาในอนุชนรุ่นหลังได้คือให้พระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอนอย่างเต็มที่มากขึ้นโดยช่วยให้พวกเขารู้จักพระองค์ เรียนจากพระองค์ และพยายามตั้งใจเป็นเหมือนพระองค์ เมื่อไฟประจักษ์พยานของคุณผนวกกับความรักอันลึกซึ้งที่คุณมีต่อนักเรียน คุณย่อมอยู่ในจุดที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจและพึ่งพาคำสอนและการชดใช้ของพระองค์และมีคุณสมบัติรับพรที่ทรงสัญญาไว้ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน
ผมจะเดินไปสมทบกับบราเดอร์บิกะโลว์และบราเดอร์สมิธ