การถ่ายทอดประจำปี
การอภิปรายแบบคณะ


การอภิปรายเป็นคณะ

การถ่ายทอดการอบรม S&I ประจำปี 2021

วันอังคารที่ 19 มกราคม ค.ศ. 2021

บราเดอร์เว็บบ์: ขอบคุณที่มาร่วมอภิปรายครับ นี่คือบราเดอร์รอรี่ บิกเกโลว์ เขาเป็นผู้ช่วยผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการของเราเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในอาคารสำนักงานศาสนจักร เช่น ทรัพยากรมนุษย์ การเงิน และสิ่งอำนวยความสะดวก นี่คืออดัม สมิธ ผู้ช่วยผู้บริหารฝ่ายการสอน ซึ่งทำงานกับแผนกต่างๆ ของเรา เช่น การอบรมและหลักสูตร ส่วนบริการนักเรียน และอื่นๆ

ขณะที่เราเริ่ม ผมอยากจะใช้เวลาหนึ่งนาทีพูดถึงบริบทและวิสัยทัศน์ที่เราหวังจะไป ตอนนี้ในเซมินารีและสถาบัน (S&I) กำลังทำงานน่าอัศจรรย์เพื่อตอบรับความต้องการของนักเรียนจำนวนมากในปัจจุบัน แต่ความเป็นจริงก็คือผู้ที่เข้าเรียนคือคนที่ปกติแล้วมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันและเป็นสมาชิกที่อุทิศตนของศาสนจักร คนอื่นๆ โดยรวมอาจไม่ได้มีผลเท่าไร และความจริงก็คือการลงทะเบียนทั่วโลกของ S&I กำลังลดลง

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ เราหวังว่า S&I สามารถมีบทบาทสำคัญในความต้องการเร่งด่วนของการ “รวบรวม” อนุชนทั้งรุ่นของเยาวชนและคนหนุ่มสาว ท่านคงจำได้ว่าประธานเนลสันสอนว่าการรวมอิสราเอลเป็นงานสำคัญที่สุดในโลก แน่นอนว่ามีงานเผยแผ่ศาสนาและงานพระวิหารรวมอยู่ด้วย แต่ประธานเนลสันบอกว่าหมายรวมถึงการสร้างศรัทธาและประจักษ์พยานในใจผู้ที่เรารับใช้เช่นกัน ท่านกล่าวว่าเมื่อใดก็ตามที่เราทำสิ่งที่ช่วยคนอื่นให้ทำและรักษาพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้า เรากำลังรวบรวมอิสราเอล

เรากังวลว่าเรากำลังจะสูญเสียเยาวชนและคนหนุ่มสาวบางคน แทนที่จะพูดถึงในแง่ของการหายไปหรือค้นพบ พระคัมภีร์มักพูดถึงการกระจัดกระจายและการรวบรวม มีบางคนประสบปัญหากับศรัทธา แต่เรารู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน เราถือว่าพวกเขาไม่ได้หายไป แต่พวกเขากระจัดกระจายไปเพราะอิทธิพลของโลกและอาจถอนตัวจากการมาร่วมกับเรา เรามีโอกาสยอดเยี่ยมและความต้องการเร่งด่วนในการช่วย “รวบรวม” ส่วนนี้ของอิสราเอล

วิธีที่เราจะทำคือโดยการสร้างประสบการณ์ที่นำไปสู่การเปลี่ยนใจเลื่อมใส ความสัมพันธ์ และการเป็นส่วนหนึ่ง และโดยการทำให้ประสบการณ์เหล่านี้เข้าถึงได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราจะทำเช่นนี้ขณะที่เรายังคงแน่วแน่ต่อจุดเดิมของเรา เราไม่ได้จะเปลี่ยนเพียงเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลง เราจะยังคงสอนพระกิตติคุณตามที่พบในพระคัมภีร์โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เพื่อสร้างประสบการณ์เหล่านี้ เราต้องปรับเปลี่ยนบางอย่าง

เราต้องเปลี่ยน:

  • จากการพูดและการบอกเป็นการดึงให้มีส่วนร่วมและการเชื้อเชิญ

  • จากการบอกนักเรียนว่าต้องไปตรงไหนเป็นการไปหาตรงจุดที่พวกเขาอยู่

  • จากการสรรเสริญผู้ดีเลิศอย่างเดียวเป็นการยกย่องผู้ต่อสู้ดิ้นรนด้วย

  • จากกิจกรรมทางสังคมเป็นการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างมีความหมาย

  • จากการเน้นที่หน่วยกิตชั้นเรียนและการสำเร็จการศึกษาเป็นการเน้นที่การเติบโตทางวิญญาณและการเปลี่ยนแปลงตนเอง

  • จากผู้เรียนที่รอให้มีคนมาป้อนความรู้เป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันที่เป็นเครื่องมือของพระวิญญาณบริสุทธิ์

เราจะประชุมกับผู้บริหารโปรแกรม ครูใหญ่เซมินารี ผู้อำนวยการสถาบัน และผู้ประสานงาน เพื่อช่วยกำหนดประสบการณ์การสอนและการเรียนรู้ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ให้การอบรมและเป็นที่ปรึกษา และเตรียมการวัดผลเพื่อช่วยให้เรารู้ว่าเราประสบความสำเร็จอยู่หรือไม่

การอบรมและแหล่งช่วยที่ท่านจะได้รับและการเปลี่ยนแปลงซึ่งจะเกิดขึ้นนั้นจะทำโดยมีเป้าหมายเพื่อรวบรวมอิสราเอล—โดยสร้างประสบการณ์ซึ่งตอบสนองต่อความต้องการของเยาวชนคนหนุ่มสาว และโดยการทำให้ประสบการณ์เหล่านั้นเข้าถึงได้ เราจะเน้นที่เป้าหมายนี้อย่างน้อยอีกสามปีข้างหน้า ในตอนนั้นเราจะประเมินความก้าวหน้าและปรับเปลี่ยนเพิ่มเติม

ผมขอเชื้อเชิญให้ทุกท่านมาร่วมกับประธานเนลสันในงานอันสำคัญยิ่งบนแผ่นดินโลก—ความต้องการเร่งด่วนและโอกาสในการรวบรวมอิสราเอล เพื่อรวบรวมผู้ที่จะให้พระผู้เป็นเจ้าทรงมีชัยในชีวิต สิ่งน่าทึ่งจะเกิด แม้ปาฏิหาริย์ จะเป็นพรอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานนี้

ก่อนจะถามเรื่องการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในเซมินารีและสถาบัน ผมถามได้ไหมครับว่า “อะไรที่จะไม่เปลี่ยนเลย?”

บราเดอร์รอรี่ บิกเกโลว์: สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าจะยังเหมือนเดิมคือวัตถุประสงค์โดยรวมของเรา เรามีขึ้นเพื่อช่วยให้เยาวชนและคนหนุ่มสาวเข้าใจและพึ่งพาคำสอนและการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ เราต้องการช่วยให้พวกเขามีคุณสมบัติคู่ควรและเตรียมรับพรที่คอยอยู่ นั่นจะไม่มีวันเปลี่ยน จุดโฟกัสโดยรวมของเราจะอยู่ที่พวกเขา และเราจะรักพวกเขา พวกเขาสำคัญ เราอยากช่วยให้พวกเขาทุกคนมีประสบการณ์ที่ถูกต้องในเซมินารีและสถาบัน

บราเดอร์อดัม สมิธ: ผมอยากเสริมด้วยว่าเราจะเน้นความต้องการของนักเรียนเสมอ ซึ่งคุณพูดถึง—เราต้องทราบจริงๆ ว่าผู้เรียนต้องการอะไรในประสบการณ์ห้องเรียน ว่าพระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางของสิ่งที่เราทำเพื่อตอบรับความต้องการนั้น และพระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นศูนย์กลางในประสบการณ์ทั้งหมด

ผมคิดด้วยว่าอีกสองอย่างที่จะไม่มีวันเปลี่ยนคือเราจะทำตามลำดับความสำคัญและคำแนะนำที่ได้รับจากศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกเสมอ เราจะพยายามให้มีพระวิญญาณอยู่กับเราเสมอในชีวิตส่วนตัว เมื่อเราเตรียมตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราอยู่ในห้องเรียนกับนักเรียน

บราเดอร์เว็บบ์: ขอบคุณที่พูดแบบนั้นครับ ผมคิดว่านั่นสำคัญมาก สิ่งสำคัญที่สุดเหล่านั้นจะไม่มีวันเปลี่ยน แก่นของเราจะไม่มีวันเปลี่ยน

เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลง การถ่ายทอดครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมนะครับ เราเปลี่ยนจาก ยามค่ำกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ ในช่วงนี้ของปีเป็นการถ่ายทอดการอบรมทั่วโลกครั้งนี้ พอจะบอกได้ไหมครับว่าทำไมจึงมีการเปลี่ยนแปลง?

บราเดอร์บิกเกโลว์: มีเหตุผลเยอะมากครับ แต่ผมคิดว่าสำคัญที่ต้องรู้เหตุผลหลักสองข้อ ข้อแรกคือนานมาแล้ว—ปี 1912 เมื่อเราเริ่มแกรนิตเซมินารี—เราเน้นมากเรื่องการอบรมทั่วสหรัฐโดยยึดปฏิทินสถาบันการศึกษาเป็นหลัก ในปี 1991 หลายอย่างเปลี่ยนไป ในปี 1991 เรามีนักเรียนในสถาบันนอกสหรัฐมากกว่าในสหรัฐ

ขณะที่เราเติบโตต่อเนื่องในหลายประเทศ จึงไม่มีเหตุผลที่จะทำตามปฏิทินที่ยึดตามปฏิทินสถาบันการศึกษาของสหรัฐเป็นหลักอีกต่อไป นั่นคือเหตุผลหนึ่ง—เราจึงปรารถนาจะเปลี่ยนเป็นปฏิทินประจำปีมากกว่าการใช้ปฏิทินสถาบันการศึกษาสำหรับซีกโลกเหนือ

อีกอย่างหนึ่ง—ผมขอเสริม—ผมคิดว่าอีกอย่างหนึ่งคือการเปลี่ยนปรัชญาของเราและวิธีที่เราดำเนินการอบรม นานแล้วที่แทบจะเหมือนเราวิ่งผลัดด้วยไม้ต่อ สำนักงานกลางจะเตรียมการอบรมและลำดับความสำคัญ แล้วเราจะยื่นไม้ต่อให้ผู้อำนวยการภาคที่การประชุมผู้อำนวยการภาค แล้วพวกเขาจะไปยื่นไม้ต่อให้ภาคในการอบรมระดับภาค

ตอนนี้เรามองผ่านเลนส์ของการประชุมผู้อำนวยการภาคหรือการอบรมระดับภาคมากขึ้นว่าน่าจะเป็นการหารือกันและสร้างทิศทางด้วยกันมากกว่า ตอนนี้เมื่อย้ายการประชุมผู้อำนวยการภาคจากเดือนเมษายนไปตุลาคม เราจึงได้ประชุมกับพวกเขาในเดือนตุลาคมแล้วเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายทอดการอบรมทั่วโลก—เหมือนตอนนี้ในเดือนมกราคม

บราเดอร์เว็บบ์: นั่นพูดถึงการเปลี่ยนแปลงอีกอย่าง ที่จริงเรามีผู้อำนวยการภาคประมาณครึ่งหนึ่งจากเดิม พวกเขาจึงถูกดึงเข้ามาในสภาของเรามากกว่าแต่ก่อน ทำให้ความต้องการในแต่ละภาคทั่วโลกสื่อออกมาได้ดีขึ้นในสภาเหล่านั้นและการสื่อสารไหลลื่นมากขึ้นตามเจตนารมณ์ของสภา ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องสำคัญ

การเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งที่คนถามกันมาก—และเราขอบคุณจริงๆ ที่ทุกคนยินดีปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงนี้ขณะใช้ปฏิทินใหม่ตามปฏิทินประจำปีของ จงตามเรามา แทนปฏิทินวิชาการกับหลักสูตรของเรา อดัม คุณอยากพูดถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นไหมครับ?

บราเดอร์สมิธ: ยินดีครับ ราวเดือนมีนาคมปี 2019 เราตัดสินใจดำเนินการขั้นแรกเพื่อให้หลักสูตรเซมินารีและสถาบันสอดคล้องกับพระคัมภีร์ในหนังสือ จงตามเรามา ผมขออ่านคำพูดจากเอ็ลเดอร์คลาร์กคำต่อคำเพราะผมว่ามีผลอย่างมาก

เมื่อประกาศเรื่องนั้นต่อโลก เอ็ลเดอร์คลาร์กกล่าวว่า “ศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าลุกขึ้นยืนพูดในการประชุมใหญ่สามัญว่า ‘เราต้องการการสอนพระกิตติคุณที่มีบ้านเป็นศูนย์กลางและศาสนจักรสนับสนุน’1 และเพราะท่านกล่าวเช่นนั้น มันจึงเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง”

เราจึงตั้งใจว่าในฤดูใบไม้ร่วงปี 2019—คุณคงจำได้—เราเริ่มเรียนพันธสัญญาใหม่ ส่วนในเดือนมกราคมปี 2020 เราเรียนพระคัมภีร์มอรมอน ราวฤดูใบไม้ร่วงปี 2019 มีโปรแกรมเซมินารีช่วงพักบางโปรแกรมมาขอเราว่าจะทดสอบอะไรบางอย่าง พวกเขาอยากลองสอนหลักสูตรเซมินารีให้สอดคล้องกับตารางการอ่าน จงตามเรามา มากขึ้น เราคิดว่าเราน่าจะได้เรียนรู้บางอย่างที่น่าสนใจจริงๆ เราจึงให้พวกเขาลอง

เราขอให้นักวิจัยทีมหนึ่งไปคุยกับนักเรียน ผู้ปกครอง ครูเซมินารี ผู้บริหาร แล้วเปรียบเทียบผลลัพธ์และประสบการณ์ของพวกเขากับโปรแกรมที่สอนตามหลักสูตรเก้าเดือนแบบเดิม—โดยยึดพระคัมภีร์แต่ยังสอนหลักสูตรเซมินารีตามปฏิทินเก้าเดือนของเรา

สิ่งที่เราเรียนรู้จากการวิจัยนั้นคือ—ผมพบว่าน่าประทับใจมาก น่าประหลาดใจนิดนึงด้วย สิ่งที่เราเรียนรู้คือนักเรียนไม่คสนใจว่าเรียนซ้ำซ้อนกันหรือเปล่า เราพบด้วยว่านักเรียนเข้าใจพระคัมภีร์เหมือนกัน

สิ่งที่เราห่วงคือการทำตามปฏิทิน จงตามเรามา จะทำให้นักเรียนพลาดบางอย่างในห้องเรียนเซมินารีเพราะช่วงปิดเทอมในฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูใบไม้ร่วง แต่พิสูจน์แล้วว่าความเข้าใจในพระคัมภีร์ของนักเรียนเหมือนกัน

แต่สิ่งที่แตกต่างคือสิ่งที่ดึดดูดความสนใจของเราจริงๆ จำนวนนักเรียนที่เตรียมตัวมาเรียนบทเรียนวันนั้นเพิ่มขึ้นมาก—และเพิ่มขึ้นมากจริงๆ ในทางสถิติ—จำนวนนักเรียนที่แสดงความเห็นและมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในชั้นเรียนเพิ่มขึ้นมากด้วย

สิ่งที่ผมพบว่าน่าตื่นเต้นที่สุดคือจำนวนนักเรียนที่อ่านพระคัมภีร์ที่บ้านนอกเซมินารีเพิ่มขึ้นมาก เมื่อเราเห็นงานวิจัยนี้และเห็นการเปรียบเทียบ เราจึงเข้าใจจริงๆ ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นพรแก่นักเรียน และจะเป็นพรแก่ครอบครัว ทั้งยังเน้นย้ำสิ่งที่เอ็ลเดอร์คลาร์กสอนเราบ่อยๆ เมื่อท่านเป็นกรรมาธิการของเราด้วย

ท่านสอนให้เราช่วยนักเรียนมีการเรียนรู้เชิงลึกและประสบการเปลี่ยนใจเลื่อมใสขณะอยู่กับเรา ผมเชื่อว่าการทำให้สอดคล้องกับ จงตามเรามา จะช่วยแบ่งเบาภาระของการครอบคลุมเนื้อหาและสิ่งที่เราต้องครอบคลุม ต่อไปนี้เราจะยึดพระคัมภีร์เสมอ พระคัมภีร์จะเป็นศูนย์กลางเสมอ และ จงตามเรามา ทำให้เราได้อ่านพระคัมภีร์ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เรารู้ว่าเราจะสอนได้ไม่ครบ เราจึงมุ่งเน้นความต้องการของผู้เรียน เชื่อมโยงพวกเขากับพระผู้ช่วยให้รอด โดยทำในพระคัมภีร์ และโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

แต่เราไม่อยากมองข้ามปัญหาหนึ่ง ปัญหากับปฏิทินโรงเรียน ทุกโรงเรียนในโลกจะมีช่วงปิดเทอมที่พวกเขาไม่ไปโรงเรียน ปกตินานประมาณสองถึงสามเดือน สองสามเดือนนั้นนักเรียนจะไม่ได้เนื้อหาพระคัมภีร์ในเซมินารี นั่นคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ครูสอนพระคัมภีร์อย่างเราเป็นห่วง

ผู้เชี่ยวชาญหลักคำสอน จึงสำคัญเสมอตั้งแต่เราแนะนำมา ผมจึงคิดว่าเราต้องเน้นเรื่องนี้และให้ความสำคัญมากขึ้นกับเรื่องนี้ ถ้าครูจะเน้นสอนบทเรียน ผู้เชี่ยวชาญหลักคำสอน ทุกสัปดาห์ ไม่ว่าปฏิทินโรงเรียนทั่วโลกเป็นอย่างไร นักเรียนจะได้องค์ประกอบสำคัญที่สุดและจำเป็นที่สุด บางครั้งผมคิดว่าเพราะครูเก่งมากและอยากสอนครอบคลุมพระคัมภีร์ช่วงนั้น เราจึงเหลือ ผู้เชี่ยวชาญหลักคำสอน ไว้สอนตอนท้ายเมื่อมีเวลา และเราไม่เคยมีเวลา เรื่องที่ต้องสอนมีเยอะมาก

และบางครั้งเราเห็นว่า ผู้เชี่ยวชาญหลักคำสอน สำคัญน้อยกว่าสิ่งอื่นที่เซมินารีทำ แต่จริงๆ แล้ว ผู้เชี่ยวชาญหลักคำสอน เป็นพื้นฐานของสิ่งที่เราทำ ช่วยให้เราบรรลุวัตถุประสงค์และสิ่งที่ศาสดาพยากรณ์ขอให้เราทำ ดังนั้นการเน้น ผู้เชี่ยวชาญหลักคำสอน จึงทำให้เราสามารถเติมช่องว่างของเนื้อหาที่ไม่อยู่ในปฏิทินโรงเรียน และเราสามารถทำให้สอดคล้องกับ จงตามเรามา ในวิธีที่เป็นพรแก่นักเรียนและครอบครัว

บราเดอร์เว็บบ์: ผมจำได้เมื่อเราแสดงงานวิจัยให้เอ็ลเดอร์จอห์นสันดูและพูดถึงความเป็นไปได้นี้ ตั้งแต่ต้นเขาอยากทำให้สอดคล้องกับ จงตามเรามา มากกว่า เพราะวิธีที่เป็นพรแก่ครอบครัวและเชื่อมโยงกับการศึกษาในบ้าน แต่เขาเป็นห่วงมากเหมือนเราเรื่องช่องว่างที่จะหายไปในบางหัวข้อในบางภูมิภาคของโลกเมื่อโรงเรียนปิดเทอม เราอาจไม่ได้สอนเรื่องพระชนม์ชีพสัปดาห์สุดท้ายของพระผู้ช่วยให้รอดในเซมินารี หรือนิมิตแรก หรือเหตุการณ์และหลักธรรมสำคัญมากบางอย่างของพระกิตติคุณ

เหมือนที่คุณพูด เมื่อเราสนทนาความเป็นไปได้ของการเน้นบทเรียน ผู้เชี่ยวชาญหลักคำสอน และสอนเนื้อหานี้แม้จะไม่ได้สอนในช่วงปิดเทอม—แม้กระทั่งสร้างบทเรียนสรุปบางบทเป็นสะพานช่วยพวกเขาเชื่อมโยงถ้ากลับจากปิดเทอมและไม่รีบกระโดดไปสอนตามปฏิทิน จงตามเรามา แต่เริ่มสอนบทเรียนเชื่อมโยงส่วนที่หายไป แล้วยกตารางการอ่านของ จงตามเรามา มาสอนต่อ—เราจะได้ประโยชน์จากการคงความสอดคล้องกับปฏิทิน จงตามเรามา ที่คุณอธิบายและหมดห่วงในเรื่องที่พวกเขาอาจไม่ได้เรียนด้วย แล้วเราต้องวางใจครอบครัวและคนที่จะศึกษาหัวข้อเหล่านั้นเมื่อพวกเขาไม่ได้อยู่กับเราที่จะมีประสบการณ์และเรียนรู้สิ่งที่พวกเขาต้องเรียนรู้ผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นเป็นคำอธิบายที่ดีมากจริงๆ ขอบคุณครับ

รู้ไหมว่าอีกเรื่องที่หลายคนกำลังถามถึงคือการเปลี่ยนแปลงในข้อกำหนดการอ่าน—ตั้งแต่ข้อกำหนดให้อ่านตำราหลักสูตรไปจนถึงนิสัยการศึกษาพระคัมภีร์ทุกวัน คุณจะบอกอะไรเราเกี่ยวกับการตัดสินใจนั้นครับ?

บราเดอร์สมิธ: เราทุกคนทราบเรื่องข้อกำหนดการจบเซมินารีและการรับวุฒิบัตรเซมินารี: เราติดตามการเข้าเรียนและเชิญชวนให้พวกเขาอ่านตำราหลักสูตร จากนั้นเรามีการประเมินการเรียนรู้ของเรา เรากำลังปรับเปลี่ยนข้อกำหนดการอ่านเล็กน้อยจากการอ่านงานมาตรฐานสี่เล่มให้จบตลอดช่วงที่อยู่ในเซมินารีเป็นการเชิญชวนให้พวกเขามีนิสัยอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน

เราใช้เวลาหารือกันมากกับผู้อำนวยการภาค—แม้กระทั่งกับผู้อำนวยการเขตจำนวนมาก—ทั่วโลกว่าเราต้องการให้เกิดอะไรจริงๆ ในชีวิต ในความคิด และในใจนักเรียนเนื่องด้วยประสบการณ์ของพวกเขาทั้งในเซมินารีและสถาบัน

เมื่อพูดถึงประสบการณ์เซมินารีและสิ่งที่เราหวังจะให้เกิดขึ้นในชีวิตนักเรียน เราพูดถึงการกลับมาใช้ข้อกำหนดการอ่านพระคัมภีร์ในเซมินารี แต่เราตระหนักว่าสิ่งที่เราต้องการเน้นจริงๆ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการที่เราสามารถช่วยนักเรียนสร้างนิสัยประจำวันที่จะอยู่กับพวกเขาไปตลอดชีวิต

ผมจะยกอีกคำพูดหนึ่ง จากคู่มือ การสอนและการเรียนรู้พระกิตติคุณ ผมคิดว่าคำพูดนี้สรุปได้ดีทีเดียว กล่าวว่า “มีไม่กี่อย่างที่ครูทำได้เพื่อจะเป็นอิทธิพลดีอันทรงพลังและยั่งยืนในชีวิตนักเรียนมากกว่าการช่วยให้พวกเขารักพระคัมภีร์และศึกษาพระคัมภีร์ทุกวัน”3 ฉะนั้นถ้าเราต้องการใช้วุฒิบัตรเซมินารีเป็นเครื่องแสดงประสบการณ์การเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่ลึกซึ้งและมีความหมายตลอดสี่ปี การศึกษาพระคัมภีร์ต้องเป็นส่วนหนึ่งในนั้น

มีหลายวิธีให้คุณวัดความตั้งใจศึกษาพระคัมภีร์ของนักเรียน แต่เราอยากเน้นเรื่องการวัดสิ่งสำคัญที่สุด และนั่นคือการช่วยนักเรียนสร้างนิสัยการศึกษาพระคัมภีร์เป็นส่วนตัวทุกวัน เราจึงมีแหล่งช่วยหัวหน้านิเทศที่ดีมากๆ ที่หวังว่าครูและหัวหน้านิเทศจะเข้าถึง เพราะแหล่งช่วยเหล่านั้นเสริมข้อกำหนดโดยช่วยให้นักเรียนได้ทักษะ ตั้งเป้าหมาย และเรียนรู้วิธีเชื่อมสัมพันธ์จริงๆ กับพระบิดาในสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระคัมภีร์ แต่เราคิดจริงๆ ว่าข้อกำหนดนี้เข้าถึงสิ่งสำคัญที่สุดและสิ่งที่เราต้องการให้วุฒิบัตรสื่อออกมาจริงๆ

บราเดอร์เว็บบ์: เราจะยังกระตุ้นให้อ่านตำราหลักสูตรเหมือนเดิม อันที่จริง ข้อกำหนดการอ่านประจำวันหรือความคาดหวังต้องอยู่ในหลักสูตรการศึกษา

เราจึงหวังว่านักเรียนเซมินารีทุกคนจะยังอ่านหลักสูตรการศึกษา เราหวังว่าพวกเขาจะยังตั้งเป้าหมายทำให้การอ่านมีความหมายเหมือนที่คุณพูดถึง แต่ข้อกำหนดสำหรับหน่วยกิตคือพวกเขาจะต้องมีวันเรียน 75 เปอร์เซ็นต์ในเทอมนั้น เราจะไม่นิยามว่า “อ่านทุกวัน” หมายถึงอะไร แต่เมื่อพวกเขาตั้งใจศึกษาพระคัมภีร์ตามหลักสูตรในแต่ละวันด้วยวิธีใดก็ตามเป็นเวลา 75 เปอร์เซ็นต์ นั่นจะเป็นเหตุจูงใจให้พวกเขาอยากมีประสบการณ์นั้นในช่วงเซมินารี

บราเดอร์บิกเกโลว์: ผมดีใจจริงๆ ที่คุณพูดว่าเป้าหมายและผลลัพธ์ที่เราคาดหวังจากแต่ละคนต่างกัน—แต่ก็ยังอยู่ในการศึกษาพระคัมภีร์ทุกวัน บางภูมิภาคของโลกที่เรามีเซมินารี พวกเขาไม่มีแม้แต่พระคัมภีร์เป็นเล่มให้อ่าน ดังนั้นเพื่อสร้างมาตรฐานที่เหมาะกับคนทั้งโลก—การทำเช่นนี้จึงช่วยให้เราทำได้ ช่วยให้เราพูดได้ว่า “เราอยากให้คุณปรับปรุงความสัมพันธ์กับพระบิดาบนบนสวรรค์ผ่านพระวจนะ” และนี่จะเกิดขึ้นในนิสัยการศึกษาพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าทุกวัน

บราเดอร์เว็บบ์: ดังนั้นจงใช้โอกาสนี้ฟังสุรเสียงของพระองค์ทุกวัน

บราเดอร์บิกเกโลว์: ถูกต้องครับ

บราเดอร์เว็บบ์: ต้องวางใจครูด้วยใช่ไหมครับ? ให้ทำงานกับนักเรียนเป็นรายบุคคลเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตามความต้องการและความสามารถของพวกเขา และเราไว้ใจคุณ นั่นคือสาเหตุที่เราไม่นิยามความหมายมากไปกว่านี้

บราเดอร์บิกเกโลว์: ถูกต้องครับ

บราเดอร์เว็บบ์: ขอบคุณครับ เราประกาศและดำเนินการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเหล่านั้นไปแล้ว และเราขอบคุณที่คุณพยายามนำมาใช้ในวิธีที่จะเป็นพรแก่นักเรียนมากที่สุด การเปลี่ยนแปลงอีกอย่าง หรืออาจจะเป็นปัญหาใหญ่ที่คนเลี่ยงไม่พูดถึงคือโรคระบาดและสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาในห้องเรียนของเรากับความปั่นป่วนและการเปลี่ยนแปลงมากมายกับการเรียนออนไลน์และการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่เกิดขึ้นเพราะโรคระบาด รอรี่ คุณจะบอกว่าเราเรียนรู้อะไรจากโรคระบาด และอะไรจะเปลี่ยนไปเพราะเหตุนี้?

บราเดอร์บิกเกโลว์: ผมคิดว่าอย่างแรกเลย—คุณพูดไปแล้วในความเห็นตอนต้นวันนี้—ที่เราตระหนักคือเราได้ทำงานและรับใช้กับคนที่ยอดเยี่ยม และถ้าคุณเพิ่มโรงเรียนศาสนจักร ผู้สอนศาสนา ครูที่ได้รับเรียก ลูกจ้างเต็มเวลา และลูกจ้างนอกเวลาทุกคนเข้าไปด้วย เรามีคนแบบนั้นมากถึง 6 หมื่นกว่าคนในโลก และพวกเขาเก่งมากๆ แต่ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับโรคระบาดคือมันเหมือนเป็นสัญญาณเตือนว่าเราต้องพัฒนาทักษะที่เราอาจไม่เคยมี

ผมจะขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวสักหน่อย ราวเจ็ดปีที่แล้ว ผมกับภรรยาถูกขอให้รับใช้เป็นผู้นำคณะเผยแผ่แห่งหนึ่งในบราซิล แล้วเราก็ไปที่นั่นโดยที่เคยเรียนภาษาโปรตุเกสมา—สมัยหนุ่มผมรับใช้ในภาษาสเปน นี่จึงเป็นภาษาใหม่สำหรับเรา—ก็เลยคิดว่าเรามีทักษะการพูดโปรตุเกสระดับหนึ่ง

ผมจำวันแรกได้เมื่อไปถึงคณะเผยแผ่และประธานคณะเผยแผ่ที่ใกล้จบพาเราไปบ้านพัก ผู้จัดการฝ่ายบริหารสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ที่นั่น เมื่อเราเดินเข้าไปในครัว เขาพูดว่า “คุณจะต้องสั่งน้ำนะครับ” เขาวางมือบนถังน้ำและพูดว่า “คุณจะต้องซื้อน้ำขวดใหม่ที่นี่” ผมอยู่ในโหมดตื่นตระหนก เพราะไม่รู้จะพูดคำว่า ขวดน้ำ เป็นภาษาโปรตุเกสว่าอย่างไร ผมเรียนคำอื่นมา เราศึกษา เราคิดว่าเราเข้าใจ และผมพูดกับเขาว่า “คุณทำให้ผมได้ไหม? คุณจะทำให้ไหมครับ?” เขาตอบว่า “ได้ครับ”

สิ่งที่เขาไม่เห็นคือตอนเขาโทรศัพท์ ผมหันหลังให้เขา ดึงการ์ด 3x5 ออกมาจดวิธีสั่งน้ำคำต่อคำ รู้ไหมผมคิดว่าครอบครัวผม เราจะตายในสองอาทิตย์เพราะผมอาจไม่ได้น้ำ

ประสบการณ์นั้นทำให้ผมเห็นชัดเจนทันทีว่าผมไม่รู้อย่างที่คิดว่าตัวเองรู้ ผมคิดว่าโรคระบาดทำให้เราเห็นอย่างนั้น ระดับหรือความชำนาญของเรา—ระดับความชำนาญของเราในการสอนศาสนาออนไลน์ไม่ได้อยู่ในระดับที่เราต้องมี บางคนปรับตัวได้ไว และมีชุดทักษะนั้นในตัว และพวกเขาสามารถทำได้ แต่หลายคนอาจทำไม่ค่อยได้

ผมจึงคิดว่าสิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้และจะต้องเรียนรู้ต่อไปคือ—เราต้องเสริมทักษะไปเรื่อยๆ—ผมขอใช้คำนี้ เราต้องหาวิธีปรับปรุงความสามารถของเรา

คุณพูดถึงบางอย่างในคำกล่าวเปิด ผมอ้างกลับไปตลอด แต่คิดว่านี่สำคัญจริงๆ จากเอ็ลเดอร์คลาร์ก เมื่อท่านกล่าวว่า “ไม่ว่าเราจะมีการเชื่อฟังหรือความหวังหรือจิตกุศลระดับใด ไม่ว่าเราจะมีทักษะความสามารถในวิชาชีพระดับใด ก็ไม่เพียงพอสำหรับงานที่รออยู่ข้างหน้า”4

สิ่งหนึ่งที่ส่วนตัวผมคิดว่ามาจากโรคระบาดคือความปรารถนาจะปรับปรุง ทำให้แน่ใจว่าผมกำลังบรรลุความคาดหวัง ความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากพระเจ้าในโลกที่แตกต่างมากที่เรามีตอนนี้ แล้วมันจะส่งผลต่อออนไลน์อย่างไร? ผมไม่ทราบ อดัม มันจะส่งผลต่อการสอนออนไลน์ของเราอย่างไรครับ? ผมคิดว่าคุณเหมาะจะตอบคำถามนี้มากกว่า

บราเดอร์สมิธ: ผมจะย้ำสิ่งที่คุณพูด ผมคิดว่าเราเรียนรู้สิ่งสำคัญจริงๆ สองอย่างจากโรคระบาดซึ่งเราจะใช้เดินหน้า อย่างหนึ่งคือ เหมือนที่คุณพูดไปแล้ว เราทำงานกับกลุ่มคนที่ดีที่สุด ครูเต็มเวลา อาสาสมัครของเรา พวกเขาเต็มใจ ยอดเยี่ยม และอุทิศตน พวกเขาก้าวเข้ามาในจุดที่ยากจริงๆ และทำได้ยอดเยี่ยม

เราเรียนรู้โอกาสที่จะปรับปรุงด้วย ผมคิดว่าเราได้เรียนรู้มากขึ้นว่าต้องถามคำถามอะไรบ้างเพื่อเรียนรู้คำตอบที่เราต้องเรียนรู้

อย่างหนึ่งที่เราทำในอาคารสำนักงานศาสนจักรคือเราได้จัดตั้งแผนกจัดการการเรียนรู้ดิจิทัล นี่เป็นแผนกของผู้เชี่ยวชาญในการช่วยให้เราก้าวหน้าตามหลักสูตรเซมินารีและสถาบันออนไลน์ เหตุผลที่เราเรียกว่าแผนกจัดการการเรียนรู้ดิจิทัลเพราะคำว่า ออนไลน์ มีความหมายได้หลายอย่างต่างกัน สิ่งที่เราหมายถึงจริงๆ คือการสอนทางไกลโดยใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะการประชุมแบบผสมผสานหรือทางวีดิทัศน์หรืออะซิงโครนัส—เรามองได้หลายรูปแบบทีเดียว

แต่ผมคิดว่าสิ่งที่เราเรียนรู้คือเราต้องถามคำถามอะไรบ้าง? เราเริ่มถามคำถามเหล่านั้นเพื่อให้เราสามารถสร้างแหล่งช่วย โครงสร้างพื้นฐาน และโปรแกรมมาช่วยสนับสนุนหลักสูตรดิจิทัลแบบขยายผลทั้งของชั้นเรียนเซมินารีและสถาบัน

แน่นอนว่าเมื่อโควิดไปแล้ว ซึ่งเราทุกคนหวังว่าอีกไม่นาน ความต้องการจะไม่สูงขนาดนี้ แต่จะสูงกว่าแต่ก่อนเพราะเราเข้าถึงนักเรียนบางคนได้จริงๆ อย่างที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน เราสามารถเป็นพรแก่ชีวิตและครอบครัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเพราะเราถูกบีบเข้าสู่โหมดนี้ของการส่งสาร และตอนนี้เราเห็นประโยชน์ เรารู้คำถามที่ต้องถามเพื่อทำได้ดีขึ้น และเรากำลังพยายามเรียนรู้คำตอบเหล่านั้นร่วมกัน ผมจึงคิดว่าจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นบางอย่างเกิดขึ้น

บราเดอร์เว็บบ์: บางคนถามว่า “เราจะมาถึงจุดที่มีทีมงานที่ทุ่มเททำออนไลน์หรือเปล่า?” ผมขอพูดแค่ว่าเรากำลังขบคิดคำถามเหล่านั้นอยู่ เป็นไปได้มากว่าสักวันจะมีครูเซมินารีเต็มเวลาที่สอนออนไลน์อย่างเดียว แต่เราทุกคนต้องมีความเข้าใจเบื้องต้นเรื่องการสอนออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพด้วย อาจถึงจุดที่เราทุกคนต้องทำแบบนั้น และเมื่อถึงตอนนั้น เราอยากทำให้ดีเท่าที่เราจะทำได้ เราเคยเห็นครูบางคนทำได้อย่างน่าทึ่ง เราเคยเห็นครูที่มีผู้ลงทะเบียนเรียนโปรแกรมสถาบันเพิ่มสี่เท่าเพราะพวกเขาสอนออนไลน์ได้ผลมาก สำคัญกว่าโครงสร้างองค์กรคือ เราสามารถเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นต่อการส่งมอบการศึกษาออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นพรแก่ผู้คนจริงๆ ผ่านวิธีส่งสารแบบนั้นได้ไหม?

เมื่อเราเรียนรู้เรื่องนี้มากขึ้น เราจะแบ่งปันมากขึ้นในการอบรมเพื่อเราจะสามารถให้ประสบการณ์การศึกษาศาสนาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ผมจึงคิดว่านั่นเป็นความเห็นที่ดีมาก ขอบคุณครับ

บราเดอร์บิกเกโลว์: การปรับการสอนออนไลน์นี้ ผมไม่คิดว่าเป็นการทิ้งสิ่งที่เราเคยทำในอดีตทั้งหมด แต่เราจำเป็นต้องปรับ อาจต้องจ้างครูสถาบันนอกเวลา ครูเซมินารีนอกเวลาเพิ่มด้วยซ้ำ ออนไลน์เปิดโอกาสให้คนสอน ไม่ได้มีไว้ทำเต็มกำลัง

บราเดอร์เว็บบ์: แต่จะไม่มีใครถูกบีบให้รับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น เราจะทำการปรับเปลี่ยนเหล่านั้นขณะก้าวไปข้างหน้าและมีโอกาสใหม่ๆ มา ผมจะพูดหนึ่งในเหตุผลของการปรับเปลี่ยนเหล่านั้นสั้นๆ เรามีผู้หญิงมากขึ้นในทีมงาน เราขอบคุณอย่างยิ่งสำหรับผลงานที่พวกเธอทำ เพราะสภาวการณ์ครอบครัว บางคนจึงเลือกสอนนอกเวลาไม่ก็สอนออนไลน์หรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่

เมื่อเรามีทีมงานเป็นผู้หญิงมากขึ้น โอกาสให้ผู้หญิงเป็นผู้นำจึงเพิ่มตาม ผมจะบอกว่าเรามีผู้อำนวยการแผนก 10 คนในอาคารสำนักงานศาสนจักร และสามในสิบเป็นผู้หญิง พวกเธอไม่ได้รับแต่งตั้งหรือได้รับการว่าจ้างให้ดำรงตำแหน่งเหล่านั้นเพราะเป็นผู้หญิง แต่เพราะพวกเธอมีคุณสมบัติเหมาะกับตำแหน่งเหล่านั้นมากที่สุดและทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง

แต่นั่นแค่ตัวอย่าง ขณะที่องค์กรของเราเติบโต เหตุการณ์เช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นได้กับผู้อำนวยการเขต ครูอาจารย์ หรือผู้บริหารโปรแกรม ผมจะพูดถึงคนเหล่านั้นด้วยเพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงในทีมงานของเรา และเราต้องทราบเรื่องนี้ คนที่เป็นผู้บริหารโปรแกรมต้องรับรู้มุมมองต่างๆ มากขึ้น หารือกัน ดึงประสบการณ์ของผู้คนมาใช้ และได้ประโยชน์จากมุมมองของพวกเขา

ผมแค่คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่เราต้องใส่ใจเพื่อได้ประโยชน์จากทีมงานที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกับลูกจ้าง แต่กับโลกที่เต็มไปด้วยครูชายและหญิงจากภูมิหลังทุกแบบ ซึ่งเป็นครูที่ได้รับเรียก ผู้ซึ่งมีมากมายที่จะให้จนเราต้องฟังและเข้าใจมุมมองรวมทั้งประสบการณ์ของพวกเขาเพื่อเราจะสามารถเป็นพรแก่นักเรียนในองค์กรของเราได้

บราเดอร์บิกเกโลว์: หลายคนอาจไม่ทราบว่าเรากำลังเริ่มสร้างทีมภาคสนาม นั่นทำให้คุณมีผู้เขียนหลักสูตรจากทั่วโลก มีคนให้การอบรม และทีมให้การอบรม จากภูมิภาคต่างๆ ของโลก และทำให้เรามองเห็นกว้างขึ้นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในโลกแทนที่จะมองเห็นแคบๆ

บราเดอร์เว็บบ์: ขอบคุณครับ อดัม เรากลับมาที่คุณได้ไหมครับ? มีหลายอย่างเกิดขึ้นกับการเปลี่ยนโฉมสถาบัน คนสนใจและมีส่วนช่วยในเรื่องนี้มาก คุณจะอัปเดตอะไรให้เรารู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนโฉมสถาบันครับ?

บราเดอร์สมิธ: ที่แน่ๆ เราทุ่มเทเวลาและทรัพยากรมากมาย ผู้อำนวยการและครูสถาบันที่ยอดเยี่ยมหลายคนกำลังสำรวจหลายเรื่อง เช่น การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทางกายหรือหลักสูตรใหม่ หรือแม้กระทั่งการปรับชื่อหลักสูตร ทั้งหมดนี้ดีมากๆ ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่เราทำอยู่คือเรากำลังฟังนักศึกษาสถาบันของเรา โดยมุ่งเน้นเป็นพิเศษเรื่องการฟังนักศึกษาที่น่าจะอยู่กับเราแต่ไม่ได้อยู่ พวกเขาอาจมาครั้งเดียวและไม่กลับมา หรืออาจไม่มาสถาบันเลย เรากำลังมุ่งเน้นเรื่องการฟังพวกเขา

ผมคิดว่าการเปลี่ยนโฉมสำคัญที่สุดที่เราทำได้คือการปรับวิธีสอนนิดหน่อย เหมือนที่คุณพูด รอรี่ นี่ไม่ใช่การยกเครื่องใหม่ทั้งหมด แค่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เปลี่ยนสิ่งที่เราทำบ่อยๆ เล็กน้อย และบราเดอร์เว็บบ์ ผมคิดถึงสิ่งที่คุณพูดกับเราเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา คุณเน้นเรื่องการสร้างห้องเรียนของการเปลี่ยนใจเลื่อมใส การสานสัมพันธ์ และการเป็นส่วนหนึ่ง นั่นเป็นวิธีที่เราเปลี่ยนโฉมสถาบัน

อันที่จริง ผมอยากเล่าเรื่องครูสถาบันคนหนึ่งที่ผู้อำนวยการภาคเล่าให้ฟัง เขากำลังเตรียมสอนหลักสูตรครอบครัวนิรันดร์ผ่านซูมครั้งแรก ดังนั้นเขาจึงขอให้นักศึกษาแต่ละคนทำวิดีโอแนะนำตัวสั้นๆ

นักศึกษาชายคนหนึ่งตัดสินใจแนะนำตัวกับชั้นเรียนสถาบันว่าเป็นเกย์และบอกว่าเขามีปัญหาบางอย่างกับท่าทีของศาสนจักรเรื่องครอบครัวและการแต่งงาน ครูคนนี้รู้ว่าเขากำลังจะเข้าไปสอนหลักคำสอนและหลักธรรมเรื่องครอบครัว จึงตัดสินใจว่าจะคิดให้ถี่ถ้วน รอบคอบ และสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาคุยกับชายหนุ่มคนนี้อย่างจริงใจและบอกให้รู้ว่าเขาอยากให้ห้องเรียนสถาบันเป็นที่ซึ่งเขาไม่เพียงสอนหลักคำสอนได้อย่างชัดเจนและสอนสิ่งที่ศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกสอนเท่านั้น แต่เป็นที่ซึ่งนักเรียนรู้สึกปลอดภัยและไม่ถูกตัดสินในการบอกเล่าข้อกังวล ปัญหา และคำถามต่างๆ

เพราะครูพูดคุยกับชายหนุ่มคนนี้ เขาจึงบอกครูว่าเขามีแผนจะอยู่เงียบๆ ระหว่างเรียนเพราะปกติเขาก็ทำอย่างนั้น เมื่อมีคนในศาสนจักรเริ่มสอนเรื่องครอบครัว เขาจะไม่สนใจและอยู่เงียบๆ แต่เพราะครูคนนี้พูดคุยกับนักศึกษาแบบนั้น นักศึกษาคนนั้นจึงตั้้งใจว่าจะมาเรียนและมีส่วนร่วม ชั้นเรียนมีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมากเพราะชายหนุ่มคนนี้เป็นผู้ช่วยที่ดีมาก ข้อกังวลและคำถามของเขาช่วยทำให้การสนทนามีความหมายเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมแห่งศรัทธา ที่ซึ่งมีการสอนความจริงและสามารถถามคำถามที่แท้จริงที่ซื่อสัตย์และจริงใจได้

หลังจากประสบการณ์ในห้องเรียน นักศึกษาคนนั้นเขียนจดหมายถึงครู ซึ่งผมได้อ่าน ผมคิดว่าจดหมายฉบับนี้กำลังบอกสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ เพื่อเปลี่ยนโฉมสถาบัน เขาบอกว่า:

“ผมแค่อยากขอบคุณวิธีดำเนินบทเรียนของคุณ ผมกังวลนิดหน่อย และไม่อยากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เกือบตะโกนออกมาดังๆ ว่า ‘ขอบคุณครับ’ บทเรียนนั้นวิเศษมาก ผมเทียบกับบทเรียนที่เคยเรียนหลังเปิดตัวเป็นเกย์กับครูเซมินารีคนหนึ่งในโรงเรียนมัธยมปลายที่ให้กำลังใจผมหลังจากผมบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมในอีกชั้นเรียน บทเรียนของเขาและบทเรียนของคุณเต็มไปด้วยความรักและกำลังใจ และเปลี่ยนชีวิตผมทั้งหมด ผมรู้สึกอยากกลับมาอยู่ในพระกิตติคุณเหมือนเดิมและตั้งใจว่าจะพยายามดำเนินชีวิตแบบนี้ให้ดีที่สุดอีกครั้ง มันคือการเปลี่ยนชีวิต ขอบคุณครับ ขอบคุณที่ตอบคำถามผม อยากรู้จักผม และให้กำลังใจผม ผมกำลังจดความรู้สึกเกี่ยวกับทุกอย่างเพราะผมรู้สึกถึงพระวิญญาณ … มาก ผมเขียนในบันทึกพระคัมภีร์ว่าผมรู้สึกขอบคุณและเบิกบานใจจริงๆ ตอนนี้ผมมีความสุขจนน้ำตาไหล ขอบคุณครับ จากน้องชายของคุณและลูกชายของพระผู้เป็นเจ้า”

เราเห็นว่าครูคนนี้เชื่อมสัมพันธ์อย่างมีความหมายกับนักศึกษา ทำให้นักศึกษามีความหวังและกล้ามาหาพระผู้ช่วยให้รอดและอยู่บนเส้นทางพันธสัญญาต่อไป นั่นเพราะห้องเรียนของครูคนนี้เป็นสถานที่แห่งการเปลี่ยนใจเลื่อมใส การสานสัมพันธ์ และการเป็นส่วนหนึ่ง

บราเดอร์เว็บบ์: ผมชอบวิธีที่คุณตอบคำถามนั้น เราจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อม โครงร่างหลักสูตร และทุกอย่าง เหมือนคุณหาวิธีใหม่ๆ เปลี่ยนโฉมสถาบันจนถึงขั้นชวนนักเรียนที่ไม่เข้าร่วมตอนนี้มาเข้าร่วมมากขึ้น แล้วมีประสบการณ์แบบนั้นเมื่อพวกเขามา นั่นจะรักษาพวกเขาไว้และเชื่อมสัมพันธ์พวกเขากับพระบิดาบนสวรรค์ นี่คือจุดประสงค์ทั้งหมดของโครงการนี้ ขอบคุณครับ

ผมขอถามคำถามสุดท้ายและให้คุณทั้งสองตอบ เราพูดกันมากในเรื่องที่คนทราบอยู่แล้ว แต่มีบางอย่างที่พวกเขาอาจไม่ทราบ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับคู่มือ—คู่มือ การสอนและการเรียนรู้—และอีกหลายอย่างเกี่ยวกับการอบรมที่จะรวมอยู่กับคู่มือเล่มใหม่ของเรา คุณจะบอกอะไรพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นกับการอบรมของเราครับ?

บราเดอร์สมิธ: เรากำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะโฟกัส ทำให้เรียบง่าย และสอดคล้องกันมากขึ้น เราตื่นเต้นมากกับโอกาสที่ได้ร่วมงานกับฝ่ายประธานโรงเรียนวันอาทิตย์สามัญในแผนกฐานะปุโรหิตและครอบครัวเพื่อให้มีคู่มือหนึ่งเล่มสำหรับครูในศาสนจักร การสอนในวิธีของพระผู้ช่วยให้รอด และ การสอนและการเรียนรู้พระกิตติคุณ จะมาด้วยกัน และจะเรียบง่าย ชัดเจน และสอดคล้องกันเพื่อให้เรามีนิยามชัดเจนเรื่องการสอน ประสบการณ์ชั้นเรียนควรเป็นอย่างไร และผู้เรียนควรประสบอะไรเมื่อพวกเขาอยู่กับเรา นั่นจะเป็นหลักใหญ่สำหรับครูที่ได้รับเรียกและครูเซมินารีกับสถาบัน

เพื่อสนับสนุนเรื่องนั้น เรากำลังเริ่มพัฒนาสิ่งที่เราเรียกว่าคลังแหล่งข้อมูลการอบรม เพื่อที่ว่าเมื่อครูอ่านนิยามเรื่องทักษะ ครูจะได้รู้ว่ามีที่ให้พวกเขาไปและมีแบบอย่างหรือคำอธิบายของทักษะดังกล่าวอยู่ในนั้น ที่ซึ่งพวกเขาสามารถได้รับการอบรมรวมถึงคำเชื้อเชิญให้นำไปฝึกและปฏิบัติ เราหวังจะช่วยให้ครูของเราค้นพบทักษะที่ต้องการปรับปรุงและมีแหล่งช่วยให้ปรับปรุง และเราอยากหาวิธีวัดควบคู่กันไปว่าเรากำลังทำสิ่งที่หวังจะทำให้สำเร็จอยู่หรือเปล่า? เรากำลังบรรลุวัตถุประสงค์ของเราในชีวิตคนหนุ่มสาวหรือเปล่า?

เรากำลังสำรวจวิธีที่มีความหมายและได้ผลให้ครูใช้วัดและประเมินตนเอง ปรับปรุงวิธีที่หัวหน้างานสามารถเข้ามาช่วยเหลือครูให้เติบโต พัฒนา และเก่งขึ้นได้ ตลอดจนถามนักเรียนของเราด้วยว่าพวกเขามีประสบการณ์อย่างไรและเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ในชีวิตพวกเขา เราหวังจะทำทั้งหมดนี้เพื่อให้กำลังใจ เพื่อความก้าวหน้าและการเติบโต และเป็นโอกาสให้เราใช้แหล่งช่วยที่มีเพื่อเป็นครูที่ดีขึ้น

เราทุกคนรู้ว่าเราอยู่ในยุคก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระผู้ช่วยให้รอด คนหนุ่มสาวเหล่านั้นที่มาในชั้นเรียนของเราอยู่ในหมู่คนที่ดีที่สุดที่โลกนี้เคยเห็นมา และเราต้องดีเพราะพวกเขาดีมาก เราจึงอยากดีขึ้น

บราเดอร์บิกเกโลว์: ผมคิดว่าสิ่งที่อดัมสรุปน่าสนใจ แนวคิดนี้ใช่ไหมที่เราจะกำหนดว่าเราหวังให้เกิดอะไรขึ้น? เราจะอบรมเพื่อให้บรรลุความคาดหวังนั้นได้ไหม? และการวัดนี้สำคัญมาก เราถึงกับคิดหาวิธีแสดงผลการวัดนั้นแล้วตั้งเป้าหมายตามที่พวกเขาทำได้และอยากจะทำให้ได้

บราเดอร์เว็บบ์: เมื่อเราพูดถึงการประเมินผลปฏิบัติงานหรืออะไรก็ตาม และเราทำแบบมืออาชีพ และคนคิดว่า “ผมสอนพระกิตติคุณอยู่นะ และนั่นทำให้ผมกังวล” คุณทุกคนรักนักเรียนของคุณ อยากเป็นพรแก่พวกเขา จึงต้องมีคนช่วยคุณอยู่ข้างๆ ในความก้าวหน้านั้น ในความปรารถนาจะเป็นพรแก่นักเรียน และเพื่อสะท้อนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในห้องเรียนและช่วยคุณเมื่อคุณปรารถนาจะก้าวหน้าและเป็นพรแก่นักเรียน—ไม่ใช่เพราะคุณอยากเป็นครูที่สมบูรณ์แบบแต่เพราะคุณอยากสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้นักเรียน

ผมจึงคิดว่าน่าตื่นเต้นมาก และคิดว่าคุณเห็น—เมื่อคุณเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคู่มือ กับคลังแหล่งช่วยการอบรม แม้กระทั่งกับสิ่งที่เราพูดไปแล้วเกี่ยวกับการวัดผล ทั้งหมดนี้ดีและเป็นประโยชน์มากจนผมคิดว่าคุณจะตื่นเต้นที่จะเห็น อย่างน้อยนั่นก็เป็นความหวังใช่ไหมครับ?

บราเดอร์สมิธ: ครับ

บราเดอร์เว็บบ์: คุณอยากพูดก่อนผมปิดไหมครับ—

บราเดอร์บิกเกโลว์: ครับ อีกแง่หนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญคือเรื่องนี้ครับ เราเน้นบ่อยๆ เรื่องการสอนและการปรับปรุงการสอนและมองข้ามเรื่องการเป็นผู้นำและเรื่องงานบริหารของการเป็นครูใหญ่เซมินารีหรือผู้ประสานงานหรือผู้อำนวยการเขต ผู้อำนวยการภาค แล้วแต่ตำแหน่ง เราพยายามไม่มองข้ามในตอนนี้ ที่เราวางไว้ระหว่างจุดกลางเป้าคือความคิดเรื่องการจัดเตรียมเอกสารอธิบายบทบาทที่ช่วยให้ครูใหญ่รู้ว่าถูกคาดหวังอะไรบ้าง ดังนั้นเมื่อเราพูดถึงการวัดจึงไม่ใช่แค่วัดการสอน แต่เป็นการวัดการนำของคุณด้วย ดังนั้นตอนที่ศาสนจักรขอให้ผมเป็นครูใหญ่เมื่อหลายปีก่อน ผมคงยินดีรับสิ่งที่เรากำลังพูดถึง

ผมอยากให้พนักงาน คนในคณะของผม ผู้ช่วยผู้บริหาร พูดว่า “ช่วยให้ผมรู้หน่อยว่าผมทำงานเป็นอย่างไร” ตามมาตรฐาน “และช่วยให้ผมรู้หน่อยว่าผมจะทำอะไรได้บ้างเพื่อปรับปรุง” ผมอยากเป็นผู้นำให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ และวิธีเดียวที่จะเป็นได้คือผมต้องรู้ว่าผมอยู่จุดไหน ต้องอยู่จุดไหน และจะทำอะไรได้บ้างเพื่อไปถึงจุดนั้น ทุกอย่างที่เราพูดไปแล้วอยู่ในบริบทของการช่วยให้เยาวชนคนหนุ่มสาวอีกมากมีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม และนั่นใช้กับการเป็นผู้นำของผมได้ด้วย

บราเดอร์เว็บบ์: สำคัญที่ต้องทราบว่าการปรับเปลี่ยนบางอย่างเหล่านี้จะเกิดขึ้นเร็วมาก—ในเดือนต่อๆ ไป—แต่อีกหลายอย่างจะใช้เวลานานกว่านั้น

ขอบคุณครับ ก่อนจบการถ่ายทอดส่วนนี้ ผมอยากจะพูดอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโดยรวม เราสามารถสร้างโปรแกรมและแหล่งช่วยใหม่ๆ ทั้งหมดในโลกได้ แต่จะไม่สำคัญเลย และจะไม่สำเร็จเลยถ้าเราไม่เป็นหนึ่งเดียวกันและไม่เห็นพ้องกับพระประสงค์ของพระบิดาบนสวรรค์ เราจะต้องมอบสิ่งดีที่สุดที่เรามี เราจะต้องให้พระผู้เป็นเจ้าทรงมีชัยในชีวิตเรา เราจะต้องยินดีน้อมรับและขานรับการเปลี่ยนแปลงอย่างร่าเริง การที่เราจะมีพลังเปลี่ยนชีวิต เราต้องสอนและเป็นพยานจากใจที่เปลี่ยนแล้ว

ขอให้เราพร้อมใจกันร่วมอุดมการณ์ของพระคริสต์อย่างเต็มที่ พึ่งพาพระองค์อย่างเต็มที่มากขึ้น เมื่อทำเช่นนั้น เราจะสามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เกิดขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงช่วยให้เราเห็นและเปลี่ยนสิ่งที่เราต้องเปลี่ยนในชีวิตเราและในการสอนของเรา และเราจะประสบด้วยตนเองว่าพระผู้เป็นเจ้าของเราทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่งปาฏิหาริย์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ดู รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “คำกล่าวเปิดการประชุม,” เลียโฮนา, พ.ย. 2018, 6–8.

  2. การสอนและการเรียนรู้พระกิตติคุณ: คู่มือสำหรับครูและผู้นำในเซมินารีและสถาบันศาสนา [2012], 20.

  3. Kim B. Clark, “Encircled about with Fire” (คำปราศรัยในการถ่ายทอดผ่านดาวเทียมของเซมินารีและสถาบันศาสนา, ส.ค. 4, 2015), ChurchofJesusChrist.org.

พิมพ์