การให้ข้อคิดทางวิญญาณคริสต์มาส
จงโปรยเศษขนมปังของเจ้า


จงโปรยเศษขนมปังของเจ้า

พี่น้องทั้งหลาย มิตรสหายที่รัก ข้าพเจ้านำคำทักทายและพรจากศาสดาพยากรณ์ที่รักของเรา ประธานโธมัส เอส. มอนสันมาให้ท่าน ท่านซาบซึ้งในคำสวดอ้อนวอนและความรักที่ท่านมีให้เสมอและในช่วงเวลาคริสต์มาสนี้

ข้าพเจ้าชอบช่วงเวลานี้ของปีเสมอ การให้ข้อคิดทางวิญญาณจากฝ่ายประธานสูงสุดเนื่องในเทศกาลคริสต์มาสนี้กลายเป็นประเพณีที่ชื่นชอบของหลายๆ คน รวมถึงครอบครัวข้าพเจ้า เราตั้งตารอต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสด้วยเสียงดนตรีอันไพเราะจากวงออร์เคสตราแอทเท็มเปิลสแควร์และคณะนักร้องประสานเสียงมอรมอนแทเบอร์นาเคิลที่ยอดเยี่ยมเสมอ ข่าวสารและดนตรีช่วยสร้างบรรยากาศสำหรับเทศกาลคริสต์มาส และเตือนใจเราถึงความสำคัญอันลึกซึ้งของเหตุผลและสิ่งที่เราเฉลิมฉลอง

คริสต์มาสในเยอรมนี

ในช่วงวัยเด็กของข้าพเจ้า คริสต์มาสที่ข้าพเจ้าปรารถนาเสมอได้แก่ฤดูหนาวที่สมบูรณ์แบบ และข้าพเจ้ารู้ว่าไม่ใช่ข้าพเจ้าคนเดียวที่ปรารถนาสิ่งนี้ สำหรับข้าพเจ้านั่นหมายถึงอากาศเย็นยะเยือก ท้องฟ้าโปร่ง ละอองหิมะขาวสดชื่นโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย แต่สภาพความเป็นจริง อากาศแตกต่างจากฤดูหนาวของแดนมหัศจรรย์ในฝันของข้าพเจ้าเสมอ ท้องฟ้ามักจะมีเมฆหมอกสีเทา หิมะเปียกเฉอะแฉะ หรือแม้แต่มีฝนตก

กระนั้นก็ตาม ในวันคริสต์มาสอีฟ คุณแม่จะแต่งตัวให้พวกเราด้วยเสื้อผ้าฤดูหนาวอันอบอุ่น คุณพ่อจะพาเราออกไปเดินเล่นตามถนนในเมืองของเรา

พวกเราเด็กๆ ต่างรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของการเดินเล่นทุกปีนี้—คุณแม่ต้องการเวลาตกแต่งต้นคริสต์มาส วางของขวัญไว้ใต้ต้น และจัดเตรียมห้องนั่งเล่นของเราสำหรับคืนอันศักดิ์สิทธิ์ เราพยายามทำทุกทางเพื่อให้การเดินเล่นนี้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่คุณพ่อมีวิธีสร้างสรรค์ที่ไม่ธรรมดาในการหาทางเดินวนหรือเลี้ยวไปมาเพื่อให้คุณแม่มีเวลาพอ

ในสมัยนั้น ถนนซวิคเคา เยอรมนีในช่วงค่ำค่อนข้างมืด นี่คือช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และไฟบนถนนไม่ค่อยมี มีร้านค้าที่เปิดอยู่เพียงสองสามแห่ง บางร้านตั้งอยู่ถัดจากบ้านที่โดนระเบิด ซึ่งยังคงมีกลิ่นอายของสงคราม

มีส่วนหนึ่งของการเดินเล่นที่เราทุกคนชอบมาก—นั่นคือ การหยุดแวะที่มหาวิหารใจกลางเมืองซวิคเคา เราฟังบทเพลงสดุดีคริสต์มาสอันไพเราะและเสียงออร์แกนก้องกังวานซึ่งดูเหมือนจะบรรเลงในวันคริสต์มาสอีฟเสมอ ดนตรีดังกล่าวทำให้แสงสลัวของเมืองเราดูสว่างไสวขึ้นมาทันที—ราวกับดวงดาวส่องประกายระยิบระยับ—และเติมเต็มหัวใจวัยเยาว์ของเราด้วยเจตนารมณ์อันแสนวิเศษของความคาดหวัง

เมื่อเรากลับถึงบ้าน คุณแม่จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว เราเดินเรียงแถวเข้าไปในห้องนั่งเล่นทีละคนเพื่อมองดูความอัศจรรย์ของ ต้นสนเฟอร์ ที่เพิ่งตกแต่งเสร็จ ในสมัยนั้นต้นสนหายาก เราจึงรับต้นอะไรก็ได้ที่ยังมีเหลืออยู่ บางครั้งเราต้องเพิ่มกิ่งก้านหลายกิ่งเพื่อทำให้ต้นสนดูดูเหมือนต้นไม้จริง แต่ในสายตาของข้าพเจ้าเมื่อยังเด็ก ต้นคริสต์มาสมีสง่าราศีที่สุดเสมอ

แสงจากเปลวเทียนที่พลิ้วไหวนำความสว่างเรืองรองของมนต์ขลังอันน่าพิศวงมาสู่ห้อง เรามองดูด้วยความตื่นเต้นดีใจกับของขวัญใต้ต้นไม้และหวังว่าเราจะได้รับของขวัญอย่างที่ใจเราปรารถนา

ความตื่นเต้นของการได้รับของขวัญเกือบจะเท่ากับความตื่นเต้นในการมอบของขวัญให้กัน ของขวัญเหล่านี้มักจะทำเอง ปีหนึ่งเมื่อข้าพเจ้ายังเด็กมาก ของขวัญที่ข้าพเจ้าให้พี่ชายคือภาพของเขาซึ่งข้าพเจ้าวาดเอง ข้าพเจ้าภูมิใจมากกับผลงานชิ้นเยี่ยมของข้าพเจ้า พี่ชายใจดีและมีเมตตามากในคำขอบคุณและคำชื่นชมของเขา

ชีวิตในวัยเด็กของข้าพเจ้าที่เยอรมันตะวันออกจะตราตรึงอยู่ในความทรงจำอันแสนหวานของข้าพเจ้าเสมอ

ความรักอันหาที่สุดมิได้

ประเพณีคริสต์มาสเฉลิมฉลองในวัฒนธรรมและประชาชาติของโลกนี้ในวิธีที่น่าอัศจรรย์และเป็นลักษณะเฉพาะตัว แต่ละแห่งสวยงามและน่าทึ่ง แต่ก็แตกต่างกันมาก

แต่ทุกแห่งมีความรู้สึกแบบเดียวกัน เจตนารมณ์เดียวกันที่ดูเหมือนจะมีอยู่เสมอเมื่อเราเฉลิมฉลองการประสูติของพระคริสต์องค์ราชัน พระผู้ปลอบโยนและพระผู้ทรงเป็นความเชื่อมั่นของเรา พระผู้ปลอบประโลมแห่งอิสราเอล!

มีหลายคำที่เราอาจใช้บรรยายความรู้สึกนี้ อาทิ ปีติ ความหวัง ความมุ่งหวัง ความรื่นเริง คำเหล่านี้แต่ละคำเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราเรียกว่า “วิญญาณแห่งคริสต์มาส”

สำหรับข้าพเจ้า มีคำเดียวที่บรรยายความรู้สึกที่เราประสบในช่วงเทศกาลคริสต์มาสได้ดีที่สุด คำนั้นคือ ความรัก

เพราะของขวัญที่เราเฉลิมฉลองคริสต์มาสคือของขวัญแห่งความรัก—ของประทานแห่งพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า “ความ​รัก​ของ​พระ‍เจ้า​ก็​เป็น​ที่​ประ‌จักษ์​แก่​เรา​โดย​ข้อ​นี้ คือ​พระ‍เจ้า​ทรง​ใช้​พระ‍บุตร​องค์​เดียว​ของ​พระ‍องค์​เข้า‍มา​ใน​โลก เพื่อ​เรา​จะ​ได้​ดำรง​ชีวิต​โดย​พระ‍บุตร ความ​รัก​ที่​ข้าพ‌เจ้าพูดถึงนี้​”1

โดยสัมผัสถึงความรักนั้น หัวใจของเราอ่อนโยนลง เราสัมผัสถึงความอ่อนโยนซึ่งทำให้เราเอื้อมออกไปหาผู้อื่นด้วยความเมตตากรุณา

คริสต์มาสเป็นแรงบันดาลใจให้เรารักได้ดีขึ้น

แม้ขณะที่ข้าพเจ้าพูดเรื่องนี้ ข้าพเจ้าตระหนักว่าคำว่า รัก นั้นไม่เพียงพอ ในภาษาอังกฤษ เช่นเดียวกับภาษาอื่นๆ มากมาย “รัก” มีความหมายหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น ข้าพเจ้าอาจพูดว่าข้าพเจ้า “รัก” อากาศที่นี่ หรือข้าพเจ้า “รัก” ชุดใหม่ของคุณ หรือข้าพเจ้าอาจจะ “รัก” กลิ่นของกล่องเก็บลูกเทนนิสที่เพิ่งเปิดใหม่

แต่ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงมีความลึกซึ้งมากกว่านั้น แนวคิดของมนุษย์เราในเรื่องความรักเป็นเพียงเม็ดทรายเล็กๆ บนชายหาดที่กว้างใหญ่ไพศาลเมื่อเทียบกับความรักที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อเรา

ความรักของพระองค์คือความเมตตาสงสารอันหาที่สุดมิได้และไม่มีวันจืดจาง ความรักของพระเจ้าเติมเต็มนิรันดร ท่วมท้นด้วยพระคุณนิรันดร์ เอื้อมออกไปและยกขึ้น ให้อภัย ให้พร ไถ่

ความรักของพระเจ้าอยู่เหนือความแตกต่างในบุคลิกลักษณะ วัฒนธรรม หรือข้อบัญญัติทางศาสนา ความรักไม่ยอมให้ความลำเอียงและอคติขวางทางคำปลอบโยน ความเมตตาสงสาร และความเข้าใจ ความรักปราศจากการข่มเหงรังแก การเลือกปฏิบัติ หรือความหยิ่งยโสใดๆ ทั้งสิ้น ความรักของพระเจ้าเป็นแรงบันดาลใจให้เราทำอย่างที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำ “ช่วยเหลือคนอ่อนแอ, ยกมือที่อ่อนแรง, และให้กำลังเข่าที่อ่อนล้า”2

นี่คือความรักที่เราพยายามให้ได้มา สิ่งนี้ควรเป็นอุปนิสัยที่บ่งบอกตัวเราในฐานะบุคคลและในฐานะผู้คน

เราอาจจะไม่สามารถเสริมสร้างความรักแบบพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ในชีวิตนี้ แต่เราไม่ควรหยุดพยายาม ถ้ามีเทศกาลใดในรอบปีที่เราเข้าใกล้จุดนั้นได้มากกว่าเทศกาลอื่นๆ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงคริสต์มาสนี่เอง เมื่อใจและความคิดเราหันไปหาการประสูติของพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ พระองค์ผู้ทรงแสดงให้เห็นประจักษ์ถึงความรักของพระเจ้า

นายกเทศมนตรีและเด็กชาย

ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องๆ หนึ่งเพื่อแสดงให้เห็นวิธีที่ความรักนี้จะเกิดผลในชีวิตเราได้ ในวันคริสต์มาสอีฟเมื่อ 85 ปีมาแล้ว ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ นายกเทศมนตรีคนหนึ่งกำลังตรวจตราถนนของซอลท์เลคซิตี้หลังจากเกิดพายุหิมะ ขณะที่เขากำลังขับรถอยู่นั้น เขาเห็นเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งยืนอยู่ข้างถนนท่ามกลางอากาศหนาวจัดโดยไม่มีเสื้อคลุม ถุงมือ หรือรองเท้าบู๊ต นายกเทศมนตรีจอดรถ เชิญเด็กชายเข้ามารับความอบอุ่นในรถของเขา และถามว่าเขาตื่นเต้นกับคริสต์มาสหรือไม่ เด็กชายตอบว่า “เราจะไม่มีคริสต์มาสที่บ้านครับ คุณพ่อตายเมื่อสามเดือนที่แล้ว ทิ้งคุณแม่กับผมและน้องชายน้องสาวไว้ครับ”

นายกเทศมนตรีเพิ่มอุณหภูมิเครื่องทำความร้อนในรถและบอกว่า “หนูเอ๋ย ขอชื่อและที่อยู่บ้านหนูหน่อยสิครับ จะมีบางคนมาที่บ้านของหนู—หนูจะไม่ถูกลืม”

นายกเทศมนตรีเป็นประธานสเตคในย่านกลางเมืองซอลท์เลคซิตี้ด้วย เขาทำงานร่วมกับสมาชิกในสเตคของเขาเพื่อจัดหาอาหารและของขวัญให้ครอบครัวที่ไม่สามารถจัดหาให้ตนเองได้ เด็กชายไม่ใช่สมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย แต่สิ่งนั้นไม่สำคัญต่อนายกเทศมนตรี คืนนั้นเขากับอธิการคนหนึ่งในสเตคของเขาทำให้แน่ใจว่าครอบครัวของเด็กชายคนนั้นได้รับของขวัญคริสต์มาสพูนตะกร้า3

การพบเจอกับเด็กชายคนนี้ส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อประธานสเตคคนดังกล่าว ทำให้เขามุ่งมั่นมากกว่าแต่ก่อนที่จะแสวงหาและบรรเทาความเดือดร้อนให้ทุกแห่งที่เขาพบ สิ่งนี้กลายเป็นลักษณะเด่นของชีวิตเขา

ชื่อของนายกเทศมนตรีคนนั้นคือฮาโรลด์ บิงก์แฮม ลี และ 40 ปีต่อมา เขากลายเป็นประธานคนที่ 11 ของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย

ประธานลีเป็นบุคคลสำคัญในการพัฒนาโปรแกรมอันกว้างขวางของศาสนจักรในการบรรเทาทุกข์คนที่ประสบปัญหาและช่วยให้บุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้าพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น

ช่วงบั้นปลายชีวิตท่าน ประธานลีกล่าวว่าท่านเข้าใจคนที่ประสบความเดือดร้อนและแสวงหาการบรรเทาทุกข์เพราะท่านเองก็เริ่มต้นชีวิตมาด้วยความยากจนและเรียบง่าย4

ไม่เกี่ยวกับว่าท่านมีมากแค่ไหนแต่ขึ้นอยู่กับว่าท่านรักมากแค่ไหน

ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้ารู้ว่าประธานลีรู้สึกอย่างไร

ครอบครัวข้าพเจ้าเคยตกอยู่ในสภาพที่ต้องเจียมตัวมากในบางครั้ง มีสองครั้งภายในเจ็ดปีที่เราต้องหนีออกจากบ้านเป็นผู้ลี้ภัยและทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ในเยอรมนีตะวันตกเราเช่าห้องใต้หลังคาของอาคารโรงนาหลังเก่าเป็นที่อยู่อาศัย มีห้องเล็กๆ สองห้อง และเราทุกคนนอนรวมกันในห้องเดียว พื้นที่แคบมากจนข้าพเจ้าต้องเดินตะแคงระหว่างเตียงสองด้าน

คุณแม่ข้าพเจ้ามีจานร้อนที่ใช้เป็นเตาไฟ และเมื่อเราอยากจะเดินจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง เราต้องเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทำไร่ไถนา ลังบรรจุสิ่งของสารพันและเนื้อหมักหลายชนิดที่ห้อยจากเพดาน มีครั้งหนึ่งข้าพเจ้าป่วยและต้องนอนบนเตียงทั้งวัน ข้าพเจ้ามองดูบรรดาหนูที่อยู่ร่วมห้องใต้หลังคากับเราวิ่งแข่งกันไปทั่วพื้นห้อง เราต้องยกน้ำขึ้นมาที่ห้องของเรา และห้องน้ำอยู่นอกบ้านอีกฟากหนึ่งของสนามหญ้า ถัดจากโรงนา วันอาทิตย์เราเดินสองชั่วโมงเพื่อไปยังอาคารโบสถ์ของเราในแฟรงก์เฟิร์ตและเดินกลับ น้อยครั้งที่เราจะมีเงินขึ้นรถตามถนน

ข้าพเจ้ายังคงจำวันเวลาเหล่านั้นได้ทั้งเรื่องปวดใจและปีติ คุณพ่อคุณแม่ข้าพเจ้าทำดีที่สุดแล้วเพื่อเลี้ยงดูเรา และเรารู้ว่าพวกท่านรักเรา ใช่ นี่เป็นช่วงเวลาของความขัดสนอย่างหนัก แต่ข้าพเจ้าถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข เพราะข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงความรักที่เรามีให้กัน ความรักที่เรามีต่อพระเจ้า และศาสนจักรของพระองค์

การเป็นคนยากจนไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย พึงจำไว้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดของโลกประสูติในคอกสัตว์และบรรทมในรางหญ้า “เพราะ‍ว่า​ไม่‍มี​ที่​ว่าง​ใน​โรง‍แรม​สำหรับ​ [พระองค์]”5 จากนั้น ต่อมาไม่นาน พระองค์กับมารีย์และโยเซฟกลายเป็นผู้ลี้ภัย หนีไปอียิปต์เพื่อให้พ้นภัยจากฆาตกรเฮโรด ในระหว่างการปฏิบัติศาสนกิจต่อสาธารณชน พระเยซูทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางคนพิการ คนหิวโหย และคนป่วยไข้ วันเวลาของพระองค์เต็มไปด้วยการปฏิบัติศาสนกิจต่อพวกเขา พระองค์เสด็จมาเพื่อ “นำข่าวดีมายังคนยากจน”6 ในหลายๆ ทาง พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น เพราะพระองค์ “ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” เช่นกัน7

พระองค์ทรงสรรเสริญหญิงม่ายอนาถา ผู้ที่แม้จะยากจน แต่นางใส่เหรียญทองแดงสองเหรียญลงในตู้เก็บเงินถวายของชาวยิว8 และหนึ่งในข่าวสารสุดท้ายของพระองค์ในพระชนม์ชีพมรรตัยคือพระดำรัสที่ว่าความรอดของเราขึ้นอยู่กับวิธีที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่น—โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ถือว่า “เล็กน้อยที่สุด”—เพราะ “ซึ่ง​พวก‍ท่าน​ได้​ทำ​กับ​ [พวกเขา] คนใดคนหนึ่ง” พระองค์ตรัส “ก็​เหมือน​ทำ​กับ​เรา​ด้วย”9

กวีชาวอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 19 เขียนบทกวีดังนี้

ท่ามกลางฝนหิมะและลูกเห็บอันหนาวเหน็บ

โรบินน้อยแสนประหวั่นพลันบินมา

สงสารเถิดอย่าไล่เขาให้จากลา

แต่จงโปรยเศษขนมปังของเจ้า …

 

ทุกคนมีสำรองไว้ไม่มีใครจนเกินไป

ฤดูหนาวคราใดทุกคนใฝ่ต้องการ

ขนมปังก้อนนั้นหาได้เป็นของเจ้าเพียงผู้เดียว

จงโปรยเศษขนมปัง

 

อีกไม่นานฤดูหนาวจะล่วงผ่านชีวิตเจ้า

เจ้าจะเข้าสู่วันพิพากษา

ชำระบัญชีบาปที่ทำมา โดยพระบัญชาจากเบื้องบน

เทียบน้ำหนักกับเศษขนมปังที่เจ้าโปรย10

ไม่ว่าเราจะอยู่ตำแหน่งใดในชีวิต เราทุกคนเป็นนกโรบินแสนประหวั่น—เป็นขอทาน—ต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า เราพึ่งพาพระคุณของพระองค์ เนื่องจากการพลีพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ในฐานะส่วนหนึ่งของแผนอันสำคัญยิ่งแห่งความสุข ที่เราจะมีความหวังถึงความรอดและพระเมตตา ของประทานทางวิญญาณนี้สร้างแรงบันดาลใจให้เรารักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าและเอื้อมไปหาคนรอบข้างด้วยความการุณย์ แม้ว่าทั้งหมดที่เรามีคือเศษขนมปังหนึ่งกำมือ แต่เรายินดีแบ่งปันกับคนขัดสนทางอารมณ์ ทางวิญญาณ หรือทางโลกเพื่อเป็นการแสดงความสำนึกคุณต่องานเลี้ยงแห่งสวรรค์ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เรา

การอวยพรผู้อื่นเนื่องในเทศกาลคริสต์มาส

ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสอันเป็นที่รักนี้ เป็นความเหมาะสมอย่างยิ่งที่เราจะยินดีปรีดากับแสงไฟ ดนตรี ของขวัญ และความแวววาวสุกใส นี่คือส่วนหนึ่งของเหตุผลที่เรารักช่วงเวลานี้ของปีมาก

แต่ขออย่าลืมว่าเราเป็นสานุศิษย์และผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ พระบุตรผู้ทรงพระชนม์ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติที่พระองค์เสด็จมายังโลก เราต้องทำดังที่พระองค์ทรงทำและเอื้อมออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยความเมตตาสงสาร เราทำสิ่งนี้ได้ทุกวัน ด้วยคำพูดและการกระทำ ขอให้สิ่งนี้กลายเป็นประเพณีคริสต์มาสของเรา ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน—ขอให้ใจดีมากขึ้น ให้อภัยมากขึ้น ตัดสินน้อยลง สำนึกคุณมากขึ้น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากขึ้นในการแบ่งปันความสมบูรณ์ของเรากับคนที่ขัดสน

ขอให้การใคร่ครวญถึงการประสูติของพระเยซูในเบธเลเฮมเป็นแรงบันดาลใจให้เราเป็นเหมือนพระองค์มากยิ่งขึ้น ขอให้พระพันธกิจและแบบอย่างของพระองค์ทำให้ใจเราพองโตด้วยความรักที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าและด้วยความการุณย์อันลึกซึ้งต่อเพื่อนมนุษย์ของเรา ขอให้เราโปรยเศษขนมปังของเราอยู่เสมอด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากขึ้นและด้วยความรักที่ยั่งยืนตลอดไป นี่คือคำสวดอ้อนวอนและพรของข้าพเจ้าเนื่องในเทศกาลคริสต์มาสนี้และตลอดไป ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. 1 ยอห์น 4:9–10.

  2. หลักคำสอนและพันธสัญญา 81:5.

  3. ดู Harold B. Lee, Ye Are the Light of the World (1974), 346–47.

  4. ดู Brent L. Goates, Harold B. Lee: Prophet and Seer (1985), chapter 32.

  5. ลูกา 2:7.

  6. ลูกา 4:18, ฉบับมาตรฐานภาษาอังกฤษ.

  7. มัทธิว 8:20, ฉบับมาตรฐานภาษาอังกฤษ.

  8. ดู มาระโก 12:42–44.

  9. ดู มัทธิว 25:32–46.

  10. Alfred Crowquill, “Scatter Your Crumbs,” ใน Robert Chambers, ed., The Book of Days (1881), 2:752. บทกวีทั้งบทอ่านได้ดังนี้

    ท่ามกลางฝนหิมะและลูกเห็บอันหนาวเหน็บ

    โรบินน้อยแสนประหวั่นพลันบินมา

    สงสารเถิดอย่าไล่เขาให้จากลา

    แต่จงโปรยเศษขนมปังของเจ้า

    และเปิดกลอนประตูทิ้งไว้

    เผื่อมีใครจะเข้ามา

    ยิ่งยากจนเท่าไร ยิ่งให้การต้อนรับมากกว่า

    และโปรยเศษขนมปังของเจ้า

    ทุกคนมีสำรองไว้ไม่มีใครจนเกินไป

    ฤดูหนาวคราใดทุกคนใฝ่ต้องการ

    ขนมปังก้อนนั้นหาได้เป็นของเจ้าเพียงผู้เดียว

    จงโปรยเศษขนมปัง

    อีกไม่นานฤดูหนาวจะล่วงผ่านชีวิตเจ้า

    เจ้าจะเข้าสู่วันพิพากษา

    ชำระบัญชีบาปที่ทำมา โดยพระบัญชาจากเบื้องบน

    เทียบน้ำหนักกับเศษขนมปังที่เจ้าโปรย

พิมพ์