สารอาหารสําคัญแห่งพระกิตติคุณ
การประชุมนักการศึกษาทางศาสนา มิถุนายน 2024
ดังที่ท่านทราบว่าเรามีเพลงสวดเล่มใหม่ และเพลงนี้ก็เข้ารอบมาได้ ท่านอาจไม่รู้ว่าสงครามในสวรรค์เกิดขึ้นเพราะเถียงกันเรื่องเพลงสวดเล่มใหม่ ทุกคนเห็นต่างกันไป แต่เพลงนี้ซึ่งข้าพเจ้าชอบมากได้อยู่ในหนังสือเพลงด้วย ขอบคุณสำหรับผู้ที่แสดงเพลงนี้ และสำหรับบราเดอร์แมคโดนัลด์ที่เรียบเรียงบทเพลงได้อย่างไพเราะ พี่น้องที่รัก ขอบคุณสำหรับโอกาสที่ได้มาพูดกับนักการศึกษาทางศาสนาในการถ่ายทอดทั่วโลกครั้งนี้ ขอบคุณที่สละเวลา และขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ท่านทำเพื่อช่วยขับเคลื่อนงานของพระเจ้า โปรดทราบว่าความสำเร็จของท่าน “หลักๆ แล้ววัดได้จากคำมั่นสัญญาของท่านในการช่วยบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าให้กลายเป็นสานุศิษย์ที่ซื่อสัตย์ของพระเยซูคริสต์” ความสำเร็จของท่านไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนที่กลายเป็นสานุศิษย์ผู้ซื่อสัตย์ของพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเลือกตอบสนองต่อคำสอน คำเชื้อเชิญ หรือการแสดงความเมตตาที่จริงใจของท่านอย่างไร หน้าที่รับผิดชอบของท่านคือสอนให้ชัดเจนและมีพลัง เพื่อให้พวกเขาเลือกแบบผู้รู้ อันจะเป็นพร แต่ละคนมีสิทธิ์เสรี ดังนั้น ข้าพเจ้าจะกล่าวดังที่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกล่าวกับผู้สอนศาสนากลุ่มแรกในศาสนจักรในสมัยการประทานนี้ว่า “หากท่านทำหน้าที่ของท่าน จะเกิดผลดีต่อท่านประหนึ่งมนุษย์ทุกคนน้อมรับพระกิตติคุณ”
ในปี 1916 เอ็ลเดอร์เดวิด โอ. แมคเคย์กล่าวว่า “ไม่มีความรับผิดชอบที่ตกอยู่กับชาย [หรือหญิง] คนใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการเป็นครูสอนบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า” ในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน ครูที่มีศรัทธาและสอนเรื่องศรัทธา เป็นหัวใจสำคัญของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอนุชนรุ่นหลัง
อีกสักครู่ ข้าพเจ้าจะอ่านคำพูดของประธานเจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์ แล้วท่านจะเห็นความเชื่อมโยง ข้าพเจ้าได้เชิญอาสาสมัครสองสามคนมาช่วย เราจะให้ครอบครัวรีสและครอบครัวแอชตันออกมาข้างหน้า แต่ละคนจะได้ขนม Twinkie อย่างที่พวกท่านทราบ Twinkie ก็คือเค้กวานิลลาสอดไส้ครีม ข้าพเจ้าจะให้พวกเขาแกะ Twinkie และเริ่มกิน แต่ละคนมีผ้าเช็ดปาก และข้าพเจ้าจะพยายามเชื่อมโยงตรงจุดนี้
ประธานเจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์เน้นความสำคัญของการมุ่งเน้นการสอนองค์ประกอบสำคัญของพระกิตติคุณในปี 1998 ในคำปราศรัย ท่านสอนว่า: “เราต้องฟื้นฟูการสอนที่ดีเลิศและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ในศาสนจักร—ทั้งที่บ้าน จากแท่นพูด … และแน่นอนในห้องเรียน …
“… เมื่อวิกฤติเข้ามาในชีวิต … ปรัชญามนุษย์ที่สอดประสานกับพระคัมภีร์และบทกวีสองสามข้อจะไม่พอ เรากำลังบำรุงเลี้ยง [นักเรียน] ของเราจริงๆ ในทางที่จะค้ำจุนพวกเขาเมื่อเกิดความตึงเครียดในชีวิตหรือไม่? หรือเรากำลังให้ Twinkie ทางศาสนาแก่พวกเขา—ที่ไม่มีแคลอรีทางวิญญาณ?”
ซึ่งตอนนี้คุณได้กินไปแล้วบางส่วน ประธานรีส คุณคิดว่ามีใยอาหารอยู่ในนั้นกี่กรัม? (President Reese: น่าจะแปด) จริงๆ แล้วไม่มีเลย
ซิสเตอร์รีส คุณคิดว่า Twinkie มีแคลเซียมกี่มิลลิกรัม? (Sister Reese: มันมีครีมด้วย ก็น่าจะ … ยี่สิบ …ไหมคะ ไม่แน่ใจค่ะ) จริงๆ แล้วไม่มีเลย
ซิสเตอร์แอชตัน คิดว่ามีวิตามินเอในนั้นกี่ไมโครกรัมครับ? (Sister Ashton: คิดว่าศูนย์ค่ะ) เธอเริ่มจับทางได้แล้ว ถูกต้องครับ! คุณช่วยให้สามีตอบได้ง่ายขึ้นเยอะเลย
ในนั้นมีวิตามินซีกี่มิลลิกรัมครับ? (Brother Ashton: ต้องไม่มีแน่ๆ เลยครับ) ใช่แล้ว คำตอบเดียวกัน (might be deleted) ไม่มีวิตามินซีเลย (might be deleted)
สมัยเด็ก ข้าพเจ้าชอบ Twinkie มาก ถ้าพ่อแม่อนุญาต ข้าพเจ้าคงไม่กินอะไรเลยนอกจาก Twinkie ทั้งมื้อเช้า กลางวัน เย็น แต่ถ้าพ่อแม่อนุญาตให้ทำแบบนั้น รู้ไหมว่าตอนนี้ท่านจะเห็นอะไร? ข้าพเจ้าจะเป็นชายตาบอดกระดูกพรุนที่ท้องผูกและมีเลือดออกตามไรฟัน ไม่ใช่ภาพที่น่ามอง
ขอบคุณอาสาสมัครครับ ข้าพเจ้าไม่ได้มาเพื่อสนทนาเกี่ยวกับผลกระทบของการขาดสารอาหารต่อสุขภาพ Twinkies อาจจะอร่อย แต่ไม่มีสารอาหารเลย ข้าพเจ้ามาเพื่อสนทนาเกี่ยวกับโภชนาการทางวิญญาณที่ท่านมอบให้นักเรียน
เมื่อเรามีนักเรียนที่กระตือรือร้นตรงหน้า เราต้องบำรุงเลี้ยงด้วยพระวจนะอันประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ Twinkie ทางวิญญาณที่ไม่บำรุงเลี้ยงวิญญาณเลย คนที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงด้วย Twinkie ทางวิญญาณไม่น่าจะกลายเป็นสานุศิษย์ชั่วชีวิตของพระเยซูคริสต์—คนที่เติบโตในพระเจ้าและได้รับ “ความสมบูรณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์” เมื่อได้รับการบำรุงเลี้ยงโดย Twinkie ทางวิญญาณ พวกเขามีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนดื้อรั้นทางวิญญาณ ไร้ศรัทธา และสับสน
เพื่อต่อสู้กับการขาดสารอาหารทางวิญญาณ นักเรียนเราต้องมีสารอาหารหลักอย่างน้อยสี่อย่างในเชิงอุปมา อย่างแรกคือประจักษ์พยานถึงพระบิดาบนสวรรค์และแผนของพระองค์ พระเยซูคริสต์และการชดใช้ และการฟื้นฟูความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้ายนี้ เพื่อทำเช่นนี้ เราต้องสอนความจริงที่ได้รับการฟื้นฟูและเป็นประจักษ์พยานถึงความจริงเหล่านั้น
ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง หลายปีก่อน แพทย์ชาวจีนชื่อเกรซใช้เวลา 18 เดือนเยี่ยมสถาบันการแพทย์ในซอลท์เลคซิตี้ เธอมาเรียนรู้การแพทย์ด้านการปลูกถ่ายหัวใจ ครอบครัวข้าพเจ้าผูกมิตรกับเธอ และให้เธอร่วมกิจกรรมมากมาย ในวันคริสต์มาส ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ เราชวนเธอไปโบสถ์เพื่อร่วมการประชุมศีลระลึก เราหวังว่าข่าวสารจะสอนเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และเน้นเหตุผลของการฉลองคริสต์มาส ข้าพเจ้ารับใช้เป็นประธานสเตคและนั่งบนยกพื้นระหว่างการประชุม ส่วนภรรยากับลูกสาวนั่งกับเกรซในที่ประชุม
หลังศีลระลึก ผู้พูดคนแรกเล่าเรื่องสมมติที่คนรู้จักกันดีเกี่ยวกับนักปราชญ์คนที่สี่ เขาเล่าได้งดงามและสร้างความซาบซึ้ง คนถัดมาพูดเรื่องต้นไม้เหมือนมนุษย์สามต้น ต้นหนึ่งอยากเป็นหีบสวยงาม แต่กลับกลายเป็นรางอาหารสัตว์ รางหญ้าที่ใช้วางทารกคนหนึ่งในเบธเลเฮม ต้นที่สองอยากเป็นเรือใบที่คนชื่นชม แต่กลับกลายเป็นเรือธรรมดาที่ชาวประมงธรรมดาใช้ในทะเลกาลิลี ระหว่างพายุที่โหมกระหน่ำ ชายคนหนึ่งที่คนอื่นเรียกว่า “พระอาจารย์” พูดขึ้นว่า “จงสงบ” และพายุก็สงบลง ต้นไม้ต้นที่สามต้องการถูกสร้างให้เป็นสิ่งที่ชื่นชมได้จากระยะไกล แต่กลับกลายเป็นคานไม้ที่ใช้ตรึงชายคนหนึ่งบนเนินเขาชื่อคัลวารี เป็นเรื่องราวคริสต์มาสที่สมมติขึ้นแต่ซาบซึ้งอีกเช่นกัน
ข้าพเจ้าผิดหวังกับเนื้อหาการประชุมและรู้สึกว่าปล่อยให้จบลงแบบนั้นกับเกรซไม่ได้ แม้เวลาหมดแล้ว แต่ข้าพเจ้าโน้มตัวไปถามอธิการว่า “คุณจะแก้ไขการประชุมนี้ หรืออยากให้ผมแก้ไข?” เขาบอกว่าจะแก้ไขเอง เขาเดินไปที่แท่นพูดและใช้เวลาห้านาทีอธิบายว่าทารกในเบธเลเฮมคือใครและพระองค์จะทรงทำอะไร อธิการแสดงประจักษ์พยานอันทรงพลังถึงพระเยซูคริสต์ ว่าทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ เขาประกาศเพลงปิดและคนสวดปิดแล้วนั่งลง
ขณะร้องเพลงสวดปิด เกรซโน้มตัวไปหาภรรยาข้าพเจ้าและพูดว่า “รูธ ตอนที่อธิการคนนั้นพูด บางอย่างในการประชุมเปลี่ยนไป!” มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผู้พูดมีเจตนาดีแต่พวกเขาเสิร์ฟ Twinkie ทางศาสนา ไม่มีแคลอรีทางวิญญาณ การแสดงศรัทธาและประจักษ์พยานแบบเจือจางขาดพลังแห่งพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ส่งผลให้ขาดพลังพระวิญญาณ
ประจักษ์พยานที่จริงใจของอธิการตั้งอยู่บนความจริงที่สอนในพระคัมภีร์และคำสอนของศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า นั่นคือสิ่งที่อัญเชิญพระวิญญาณเข้ามาในการประชุม ข้าพเจ้าสรุปว่าเป็นเรื่องยากที่พระวิญญาณจะเป็นพยานถึงความจริงของเรื่องราวที่สมมติขึ้น ไม่ว่าเราจะทำอะไรในการสอน เราต้องนำคำสอนของเรากลับมาหาพระเยซูคริสต์และการชดใช้ พระบิดาบนสวรรค์และแผน และการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระองค์เสมอ แน่นอนว่าการใช้เรื่องเล่า แม้แต่เรื่องสมมติ เพื่อดึงดูดความสนใจของนักเรียนสามารถทำได้ ข้าพเจ้าก็ใช้ Twinkie มาดึงดูดความสนใจของท่าน แต่เมื่อเราได้รับความสนใจจากนักเรียนแล้ว เราจำเป็นต้องส่งมอบสารอาหารที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าควรเสิร์ฟแครอท บรอกโคลี ฮัมมูสตามหลัง Twinkie—แต่ไม่ได้ทำ
อัครสาวกเปาโลประกาศว่า “เพราะว่าผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด” จากนั้นเปาโลถามคำถามชุดหนึ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจความสำคัญของครูผู้มีสิทธิอำนาจในการสอนเรื่องสำคัญยิ่งนี้ ท่านถามว่า “แต่พวกที่ยังไม่เชื่อในพระองค์จะทูลขอต่อพระองค์ได้อย่างไร? และพวกที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์จะเชื่อในพระองค์ได้อย่างไร? และเมื่อไม่มีผู้ประกาศ เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไร? และถ้าไม่มีใครใช้พวกเขาไป เขาจะไปประกาศได้อย่างไร?” แล้วเปาโลก็สรุปว่า: “ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระวจนะของพระเจ้า” เพื่อให้นักเรียนพัฒนาศรัทธาในพระเยซูคริสต์และบทบาทสำคัญของพระองค์ในแผนพระบิดา การสอนพวกเขาเกี่ยวกับพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์จึงสำคัญยิ่ง หัวข้อการประชุมนี้บอกไว้หมดแล้ว: “แสวงหาพระเยซูองค์นี้ผู้ซึ่งศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกเขียนถึง”
โธมัส ชาลเมอร์ส นักปฏิรูปศาสนาและนักเทศน์ผู้โด่งดังชาวสก็อตเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ในการเรียนรู้หลักธรรมนี้ ชาลเมอร์สมีชีวิตอยู่ระหว่างปี 1780 ถึง 1847 ในช่วงบั้นปลายชีวิต ชาลเมอร์สตระหนักว่าเขาได้ทำการทดลองหนึ่งโดยไม่ได้วางแผนไว้ในระหว่างการเทศนา หลายปีที่เขาสั่งสอนต่อต้านการผิดศีลธรรมและนิสัยที่บกพร่องทุกรูปแบบ เขาเน้นไปที่พฤติกรรมภายนอกของนักบวช โดยสอนพระบัญญัติสิบประการเป็นหลัก ผลลัพธ์ที่ได้น่าผิดหวัง เขาพบว่าคำพูดของเขา “เบาเท่าขนนกเมื่อพูดเรื่องนิสัยทางศีลธรรม” ของนักบวช เขาตระหนักว่าแม้เขาจะโน้มน้าวไม่ให้ใครขโมยได้ แต่จิตวิญญาณคนคนนั้นยังไม่เปลี่ยน ข้างในคนนั้นยังเหมือนเดิม แม้คนคนนั้นจะละเว้นจากพฤติกรรมที่ไม่ดีก็ตาม อีกนัยหนึ่งคือ ท่านเปลี่ยนพฤติกรรมได้โดยไม่เปลี่ยนใจนักเรียน
จากนั้นชาลเมอร์สก็เริ่มเทศนาเรื่องการคืนดีกับพระเจ้าและการอภัยบาปโดยพระโลหิตของพระคริสต์ เมื่อเขาสอนในวิธีนี้ นักบวชเหล่านั้นจึงได้ปฏิรูปชีวิตตนเอง บทเรียนยิ่งใหญ่ที่เขาเรียนรู้คือ “การสั่งสอนเรื่องพระคริสต์เป็นวิธีเดียวที่มีประสิทธิภาพในการสั่งสอนเรื่องศีลธรรม” เขาตระหนักถึงข้อผิดพลาดก่อนหน้านี้—ว่าที่เขาทำคือเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ใช่ใจ ตอนนี้เขาทำงานเพื่อเปลี่ยนใจ และพฤติกรรมจะเปลี่ยนไปด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติ
การรู้ว่าพระเยซูคือพระคริสต์ ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ เปลี่ยนชีวิตและจิตใจข้าพเจ้า ความรู้นี้เปลี่ยนพฤติกรรมข้าพเจ้าแบบที่อย่างอื่นทำไม่ได้ ข้าพเจ้ารู้ว่าตนเองได้รับประโยชน์จากการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้อันไม่มีขอบเขตของพระองค์ ความรู้นั้นคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแท้จริง
สารอาหารหลักทางวิญญาณอย่างที่สองสำหรับนักเรียนคือความสัมพันธ์ส่วนตัวกับท่าน เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวกับท่านช่วยดึงนักเรียนเข้าหาพระผู้ช่วยให้รอดได้ พระองค์จะทรงเป็นแหล่งอาหารทางวิญญาณที่แท้จริงเสมอ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียนช่วยให้ผู้เรียนเปิดใจรับพระคำของพระผู้ช่วยให้รอด แม้ว่าท่านจะยุติการสอนอย่างเป็นทางการไปหลายปี แต่ความสัมพันธ์ของท่านยังคงมีอิทธิพลเชิงบวกในชีวิตพวกเขาต่อไปได้ อิทธิพลยั่งยืนของท่านเป็นเพราะท่านชี้นำพวกเขาให้รู้จักพระเจ้าและหลักคำสอนด้วยความรักความห่วงใยยิ่งต่อความผาสุกของพวกเขา ไม่ใช่ชี้นำให้รู้จักตัวท่านเอง
ข้าพเจ้าประสบมาด้วยตนเอง เบ็คกี้ ครูปฐมวัยของข้าพเจ้ามีอิทธิพลเช่นนั้น สมัยเด็ก แทนที่จะบ่นความผิดพลาดที่ชัดเจนของข้าพเจ้า แต่เบ็คกี้กลับเห็นข้าพเจ้าทำสิ่งดีๆ เข้ามาบีบแก้ม ลูบศีรษะ แล้วพูดว่า “เดล เธอเป็นเด็กดีจริงๆ” ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเป็นเรื่องไม่มีความหมาย แต่กลับตั้งตารอให้โอกาสเหล่านั้นเกิดขึ้น ต่อมา เมื่อเป็นเยาวชน ไม่ใช่ปฐมวัยอีกต่อไป ครอบครัวข้าพเจ้ากลับไปที่วอร์ดนั้นหลังจากอยู่ในฟินแลนด์และสวีเดนหลายปี เบ็คกี้เข้ามาหาหลังจากข้าพเจ้าส่งผ่านศีลระลึก บีบแก้ม ลูบศีรษะ แล้วพูดว่า “เดล เธอเป็นเด็กดีจริงๆ” เมื่อข้าพเจ้ากลับจากงานเผยแผ่ หลังจากรายงานเกี่ยวกับประสบการณ์ผู้สอนศาสนาในการประชุมศีลระลึก เบ็คกี้เข้ามาบีบแก้ม ลูบศีรษะข้าพเจ้า แล้วพูดว่า “เดล เธอเป็นเด็กดีจริงๆ” ตลอดหลายทศวรรษต่อมา ข้าพเจ้าเลือกได้ดีขึ้น—ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเบ็คกี้ชี้ทางข้าพเจ้าไปสู่พระผู้ช่วยให้รอด และข้าพเจ้าไม่อยากทำให้เธอผิดหวัง
วันอาทิตย์หนึ่งหลังจากได้รับเรียกเป็นอัครสาวกสิบสอง ข้าพเจ้ากลับไปที่วอร์ดที่เติบโตมา เบ็คกี้ยังคงอยู่ที่วอร์ดนั้น ข้าพเจ้านั่งอยู่ปลายยกพื้น พูดสั้นๆ ในการประชุมศีลระลึก และนั่งลง หลังจากสวดปิดแล้ว เบ็คกี้ซึ่งขณะนั้นอายุ 80 กว่าก็แอบมาจู่โจมอย่างเงียบๆ เธอเดินมาทางที่นั่งคณะนักร้องด้านหลัง แล้วบีบแก้มและลูบศีรษะข้าพเจ้า แล้วพูดว่า “เดล เธอเป็นเด็กดีจริงๆ”
นักเรียนแต่ละคนต้องการเบ็คกี้หนึ่งคนหรือมากกว่านั้นในชีวิตพวกเขา—ครูที่มีความสัมพันธ์กับพวกเขาตลอดชีวิต คนที่ชี้ให้รู้จักพระผู้ช่วยให้รอด คนที่ส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรม คนที่พวกเขาไม่อยากทำให้ผิดหวัง เมื่อนักเรียนได้รับบาดเจ็บจากวิกฤตต่างๆ ซึ่งพวกเขาต้องเจอแน่นอน ท่านสามารถมอบที่ปลอดภัยให้พวกเขาหันมาหาเพื่อขอความรักและความมั่นใจ ยอมรับว่าอาจมีบางคนต่อต้านเมื่อท่านพยายามทำความรู้จัก แต่นั่นไม่ได้กีดกันท่านจากการรักพวกเขา ท่านอาจมีอิทธิพลต่อนักเรียนที่ต่อต้านมากกว่าที่ท่านคิด
สารอาหารหลักเชิงอุปมาอย่างที่สามที่นักเรียนแต่ละคนต้องการคือความสามารถในการตอบคำถามและข้อกังวลที่พวกเขาอาจมีเกี่ยวกับศาสนจักร แปดปีที่แล้ว เอ็ลเดอร์ เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด ให้คำแนะนำแก่นักการศึกษาทางศาสนาว่า:
“หมดยุคที่เมื่อนักเรียนถามคำถามอย่างจริงใจและครูตอบว่า ‘ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น!’ หมดยุคที่นักเรียนเอ่ยข้อกังวลที่จริงใจและครูตอบโดยแสดงประจักษ์พยานเพื่อเลี่ยงประเด็น หมดยุคที่นักเรียนได้รับการปกป้องจากบรรดาผู้โจมตีศาสนจักร …
“ก่อนท่านส่ง [นักเรียนของท่าน] เข้าไปในโลก จงฉีดวัคซีนให้พวกเขาโดยให้การตีความที่เชื่อถือได้ รอบคอบ และถูกต้องเกี่ยวกับหลักคำสอนพระกิตติคุณ พระคัมภีร์ ประวัติของเรา และหัวข้อที่บางครั้งเข้าใจกันผิด”
ครูทั้งหลาย ท่านช่วยนักเรียนได้โดยสอนว่าการผนวกการศึกษาและศรัทธาขณะเรียนรู้หมายความว่าอย่างไร ท่านสอนพวกเขาได้โดยจำลองทักษะและวิธีนี้ในชั้นเรียน
พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ได้รับการฟื้นฟูในสมัยของเราผ่านการเปิดเผย เราจึงรู้วิธีกลับไปบ้านบนสวรรค์ แต่เราอาจยังมีคำถามและข้อกังวลที่เราหวังอย่างจริงใจว่าจะได้รับคำตอบ นักเรียนจะสังเกตวิธีการที่ท่านตอบคำถามยากๆ การหลบเลี่ยงหรือเพิกเฉยต่อคำถามที่จริงใจจะทำให้เกิดคำถามมากขึ้น ท่านต้องเตรียมพร้อมที่จะแนะนำผู้อื่นในการค้นหาคำตอบและช่วยให้พวกเขาสร้างศรัทธาในพระเจ้าและแหล่งความจริงอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เอ็ลเดอร์ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟสอนว่า “การถามคำถามไม่ใช่เครื่องหมายของความอ่อนแอ แต่เป็นที่มาของการเติบโต” เพื่อจุดประสงค์นั้น ศาสนจักรได้รวบรวมแหล่งข้อมูลดีๆ และน่าเชื่อถือให้คนที่กำลังแสวงหาคำตอบสำหรับคำถามตนเอง และคนที่พยายามช่วยเหลือพวกเขา เป้าหมายของเราคือช่วยเสริมสร้างศรัทธาในพระเยซูคริสต์ แม้ว่าบางครั้งเราจะเสนอแนะบางวิธีในการจัดการหัวข้อยากๆ และซับซ้อนก็ตาม
พบแหล่งช่วยเหล่านี้ได้ทั้งบนเว็บไซต์ ChurchofJesusChrist.org และในแอปคลังค้นคว้าพระกิตติคุณ กรณีที่ท่านไม่คุ้นเคยกับแหล่งช่วยเหล่านี้ ข้าพจ้าจะแสดงตำแหน่งในแอปคลังค้นคว้าพระกิตติคุณให้ดู เปิดแอปคลังค้นคว้าพระกิตติคุณ จากหน้าแรก ไปที่คลังค้นคว้า แตะที่คำว่า “หัวข้อและคำถาม” ท่านจะเห็นหมวดที่เรียกว่า “การแสวงหาคำตอบสำหรับคำถาม” และอีกหมวดหนึ่งที่เรียกว่า “การช่วยเหลือผู้อื่นเรื่องคําถาม” และรายการหัวข้อที่อาจน่าสนใจจำนวนมากตามลำดับตัวอักษร
หมวด “การแสวงหาคำตอบสำหรับคำถาม” จะสอนหลักธรรมที่สามารถนำทางการศึกษาของเราขณะแสวงหาคำตอบสำหรับคำถามอย่างจริงจัง—ไม่ว่าจะเกี่ยวกับศรัทธา หลักคำสอน หรือประวัติศาสนจักร บทนำของหมวดนี้จะอธิบายว่าคำถามเป็นส่วนสำคัญของการเติบโตทางวิญญาณและการแสวงหาคำตอบอาจเป็นการแสวงหาตลอดชีวิต หลักธรรมในหมวดนี้กระตุ้นให้เรามีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางในชีวิต เนื่องจากเราต้องสร้างรากฐานแห่งศรัทธาบนพระองค์ ย้ำเตือนเราว่าแผนแห่งความรอดของพระเจ้าให้มุมมองต่อคำถามของเรา มุมมองนั้นช่วยให้เราแยกแยะความจริงของพระกิตติคุณที่เป็นแก่นแท้ออกจากสิ่งที่ไม่สำคัญ เพื่อให้ศรัทธาเติบโต เราต้องเลือกมีศรัทธา จากนั้นเราต้องกระทำด้วยศรัทธาและยึดมั่นในสิ่งที่เรารู้ เมื่อเราทำเช่นนั้น ความเข้าใจและศรัทธาในพระเยซูคริสต์จะลึกซึ้งยิ่งขึ้น
หลักธรรมเพิ่มเติมที่กล่าวถึงในหมวดนี้สนับสนุนให้เราอดทนกับตนเอง กับผู้อื่น และกับเวลาของพระเจ้า เราต้องจำไว้ว่าการเปิดเผยเป็นกระบวนการที่มักเริ่มต้นด้วยคำถาม บ่อยครั้งมาแบบบรรทัดมาเติมบรรทัด และบางครั้งอาจต้องต่อสู้ดิ้นรน ขณะค้นหาคำตอบ เราควรแสวงหาการนำทางจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และพยายามเข้าใจอดีตโดยวางสิ่งต่างๆ ไว้ในบริบท
หมวด “การช่วยเหลือผู้อื่นเรื่องคําถาม” แนะนำหลักธรรมที่สามารถนำทางเราเมื่อเราปฏิสัมพันธ์กับคนที่มีคำถาม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราควรพูดด้วยความเคารพ ฟังด้วยความเข้าใจ และแสดงความรักแบบพระคริสต์ ดังนั้น จงฟังและตอบสนองด้วยความรัก พยายามเข้าใจ ยอมรับประสบการณ์ของผู้อื่น และหลีกเลี่ยงการมองข้ามหรือตัดสิน เมื่อทำเช่นนั้น เราจะสามารถยอมรับข้อจำกัดของเรา โปรดจำไว้ว่าแม้เรามีความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณ แต่เราไม่ได้มีคำตอบสำหรับทุกคำถาม คำตอบบางคำตอบต้องรอการเปิดเผยเพิ่มเติม กับคำถามบางอย่างและคนถามบางคน เราไม่ได้รู้เกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้าและความสมบูรณ์ของหลักคำสอนศาสนจักรมากพอที่จะทำให้นักเรียนพอใจได้ทุกเรื่อง ในสถานการณ์เช่นนี้ การพยายามโน้มน้าวคนถามโดยใช้ตรรกะหรือเหตุผลเพิ่มเติมอาจไม่ช่วยอะไร
กับดักที่ครูหลายคนอาจตกลงไปโดยไม่ตั้งใจคือการให้เหตุผลหรือคำอธิบายที่พระเจ้าไม่ได้ประทานให้ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น เหตุผลหรือคำตอบที่ให้ไปอาจใช้ไม่ได้ในที่สุด แล้วนักเรียนก็อาจมีศรัทธาน้อยลง การบอกว่าไม่รู้ย่อมดีกว่าสร้างเหตุผลหรือคำอธิบายขึ้นมาเอง ที่สุดแล้วศรัทธาก็เป็นการเลือก บางครั้งคำตอบเดียวคือต้องพึ่งศรัทธาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์และศรัทธาในการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระองค์ และอดทนรอคำตอบจากพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงเลือกเปิดเผยคำตอบเหล่านั้น เราวางใจในพระเจ้าและพยายามเป็นแหล่งปลอดภัยที่เชื่อถือได้เพื่อให้คนอื่นหันมาขอความช่วยเหลือ
เราสามารถกระตุ้นให้นักเรียนพัฒนาพยานทางวิญญาณถึงความรักของพระบิดาบนสวรรค์และว่าพระเยซูคริสต์ทรงชดใช้เพื่อพวกเขา โปรดจำไว้ว่าแม้นักเรียนจะไม่ยอมรับพระกิตติคุณหมดทุกเรื่อง พวกเขาอาจจะยังคงเชื่อและซื่อสัตย์ต่อพระคำของพระเยซูคริสต์ก็ได้ เมื่อมีปัญหากับบางแง่มุมของศาสนจักร พวกเขายังคงสามารถมีประจักษ์พยานมั่นคงว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรักและทรงต้องการให้พวกเขาได้สิ่งที่ดีที่สุด และพระเยซูคริสต์คือพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา
ท่านจะเห็นว่าหลายๆ คำแนะนำในการช่วยผู้อื่นเรื่องคําถามนั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อทำแบบตัวต่อตัว ข้าพเจ้าเชื่อว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด อาจเป็นเรื่องไม่ฉลาดที่ครูจะปล่อยให้เวลาชั้นเรียนหมดไปกับการตอบคำถามสำคัญของใครคนหนึ่ง คำถามของนักเรียนไม่ควรเบี่ยงประเด็นหลักสูตรตามแผนซึ่งออกแบบมาเพื่อสร้างศรัทธา จำไว้เสมอว่าเป้าหมายของท่านคือสร้างศรัทธาให้ทั้งชั้นเรียน ไม่ใช่ให้หันเหไปตามคนส่งเสียงไม่กี่คน เช่นเดียวกับการสอนอื่นๆ การรับมือกับคำถามต้องมีการนำทางจากพระวิญญาณ
เนื้อหาส่วนนี้เตือนให้เราบำรุงเลี้ยงศรัทธาตนเองด้วย แม้ยามที่เราช่วยผู้อื่น ซิสเตอร์ทามารา ดับเบิลยู. รูเนีย แนะนำว่าไม่ต้อง “ไล่ตามคนที่เรารักเมื่อพวกเขารู้สึกหลงทาง” แต่ให้ทำเหมือนลีไฮในนิมิตเรื่องต้นไม้แห่งชีวิต “เราอยู่กับที่และเรียกพวกเขา” เราไปที่ต้นไม้ อยู่ตรงต้นไม้ กินผลไม้ไปเรื่อยๆ และกวักมือเรียกคนที่เรารักต่อไปพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และแสดงตัวอย่างให้เห็นว่าการกินผลไม้นั้นเป็นสิ่งที่มีความสุข!”
หลักธรรมใน “หัวข้อและคำถาม” โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักธรรมที่สอนในหมวด “การแสวงหาคำตอบสำหรับคำถาม” และ “การช่วยเหลือผู้อื่นเรื่องคําถาม” ช่วยให้ข้าพเจ้าแสวงหาคำตอบสำหรับคำถามของตนเองได้ในแบบที่ทำให้ศรัทธาที่มีในพระเจ้าเข้มแข็งขึ้นและเข้าใจพระองค์และงานของพระองค์มากขึ้น หลักธรรมเหล่านี้ยังช่วยให้ข้าพเจ้าช่วยผู้อื่นจัดการกับข้อกังวลและคำถามของพวกเขาด้วย จะมีเนื้อหาเพิ่มเติมในอนาคตเพื่อช่วยตอบคำถามและหัวข้อเฉพาะ ดังนั้นโปรดกลับมาที่แหล่งช่วยนี้บ่อยๆ และอย่าคิดว่า “ฉันอ่านแล้ว” ข้าพเจ้ามั่นใจว่าท่านจะพบว่าหมวดและหัวข้อเหล่านี้มีประโยชน์เช่นกัน ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้การใช้สื่อเหล่านี้ช่วยให้ท่านและคนอื่นๆ มีศรัทธาลึกซึ้งขึ้นในพระผู้ช่วยให้รอด
สารอาหารหลักทางวิญญาณเชิงอุปมาอย่างที่สี่และเป็นอย่างสุดท้ายที่อยากให้นักเรียนทุกคนมีคือส่วนประกอบสำคัญอะไรก็ตามที่ช่วยสร้างและรักษาใจอ่อนโยน ใจอ่อนโยนที่ข้าพเจ้าหมายถึงคือใจที่อ่อนไหวต่อพระวิญญาณ ใจแข็งกระด้าง ซึ่งตรงข้ามกับใจอ่อนโยน เป็นอันตรายทางวิญญาณ พระคัมภีร์มักบรรยายถึงภยันตรายที่รอคนใจแข็งกระด้างอยู่ นีไฟเรียนรู้ว่า “หมอกแห่งความมืดคือการล่อลวงของมาร, ซึ่งทำให้มืดบอด, และใจของลูกหลานมนุษย์แข็งกระด้าง, และนำพวกเขาไปในถนนกว้างขวาง, เพื่อพวกเขาจะพินาศและสูญหายไป”
หัวใจที่แข็งหรือกระด้างมีปัญหาในการเติมเลือด ดังนั้นเมื่อหัวใจเติมเลือดและเตรียมพร้อมที่จะบีบตัว หัวใจที่แข็งจะมีปัญหาในการขยายตัวเพื่อให้เลือดเข้าไปได้ และนั่นอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวชนิดหนึ่งที่รุนแรงพอ ๆ กับภาวะหัวใจล้มเหลวที่เกิดจากการทำงานผิดปกติในการบีบตัว เช่นเดียวกับหัวใจแข็งกระด้างที่มีปัญหาในการเติมเลือด ใจแข็งกระด้างทางวิญญาณก็มีปัญหาในการเติมพระวิญญาณเช่นกัน
ใน 2 นีไฟ 33 นีไฟระบุว่าคนที่ทำให้ใจของตนแข็งกระด้างจะไม่ยอมให้พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นำพระคำของพระผู้เป็นเจ้าเข้าสู่ใจพวกเขา ท่านกล่าวว่า “เพราะเมื่อคนใดพูดโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมนำถ้อยคำไปสู่ใจลูกหลานมนุษย์” นีไฟกล่าวต่อไปอีก “แต่ดูเถิด, มีคนเป็นอันมากที่ทำให้ใจตนแข็งกระด้างต่อพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์, จนพระองค์ไม่มีที่อยู่ในพวกเขา; ดังนั้น, พวกเขาจึงทิ้งหลายสิ่งที่เขียนไว้และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งไร้ค่า”
เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์ชี้ว่า “โปรดสังเกตว่าอำนาจของพระวิญญาณนำข่าวสาร ไปสู่ แต่ไม่จำเป็นต้อง เข้าไปใน ใจ … อย่างไรก็ดี … ท้ายที่สุดเนื้อหาของข่าวสารและพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะแทรกเข้าไปในใจได้ก็ต่อเมื่อผู้รับยินยอมให้เข้าไป”
หากนักเรียนของเราไม่มีใจอ่อนโยน พวกเขาอาจกลายเป็นเหมือนคนที่พูดว่า: “เราได้รับแล้ว, และเราไม่ต้องการอีก! … เพราะเรามีพอแล้ว!” แก่พวกเขา, พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้: เราจะให้แก่ลูกหลานมนุษย์บรรทัดมาเติมบรรทัด, กฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์, ที่นี่นิดและที่นั่นหน่อย; และคนที่ฟังกฎเกณฑ์ของเรา, และเงี่ยหูฟังคำแนะนำของเราย่อมเป็นสุข, เพราะพวกเขาจะเรียนรู้ปัญญา; เพราะแก่เขาที่รับไว้เราจะให้อีก; และจากพวกเขาที่กล่าวว่า, เรามีพอแล้ว, เราจะเอาไปจากพวกเขาแม้สิ่งที่พวกเขามี.”
ด้วยใจที่แข็งกระด้าง นักเรียนอาจปิดกั้นเส้นทางที่พวกเขาจะได้รับพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าหรือคำตอบต่อคำสวดอ้อนวอน พวกเขาต้องเปิดรับพระวิญญาณเช่นเดียวกับเรา เพื่อจะได้รับการสอนถึงทุกสิ่งที่ควรทำ ดังที่แอลมาสอน “และแก่พวกเขาที่ทำใจตนแข็งกระด้าง, ก็จะประทานพระวจนะให้พวกเขาน้อยลงจนพวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความลี้ลับของพระองค์; และเมื่อนั้นพวกเขาย่อมถูกมารพาไปเป็นเชลย, และถูกนำลงไปสู่ความพินาศโดยความประสงค์ของเขา” ใจที่อ่อนโยนส่งเสริมผลลัพธ์ที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญาไว้ “คนที่รักษาพระบัญญัติ [ของพระผู้เป็นเจ้า] ได้รับความจริงและแสงสว่าง, จนเขารุ่งโรจน์ในความจริงและรู้สิ่งทั้งปวง” แต่ใจที่แข็งกระด้างทำให้ “คนชั่วร้ายคนนั้น [มา] และ [นำเอา] แสงสว่างและความจริงไป”
กษัตริย์เบ็นจามินสรุปองค์ประกอบของสารอาหารหลักทางวิญญาณเชิงอุปมาซึ่งสร้างและรักษาใจอ่อนโยน ท่านประกาศว่า “ข้าพเจ้าอยากให้ท่านระลึก, และเก็บไว้ในความทรงจำเสมอ, ถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า, และความไม่สลักสำคัญของท่านเอง, และพระคุณความดีและความอดกลั้นของพระองค์ที่มีต่อท่าน … และนอบน้อมถ่อมตนแม้ถึงห้วงลึกแห่งความถ่อมตน, โดยเรียกหาพระนามของพระเจ้าทุกวัน, และยึดมั่นในความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่จะมาถึง.” องค์ประกอบมีดังนี้: เราต้องจำไว้เสมอว่าการไถ่เกิดขึ้นได้เพราะพระเยซูคริสต์เท่านั้น หากไม่มีพระองค์ เราคงอยู่ในสภาพสิ้นหวัง นั่นกระตุ้นให้เราถ่อมตนไปสู่ส่วนลึกของความถ่อมใจ และผลักดันเราให้สวดอ้อนวอนเป็นประจำ และยืนหยัดมั่นคงในศรัทธาต่อพระเยซูคริสต์และการชดใช้ของพระองค์ ผลตามธรรมชาติก็คือ เราจะ “ชื่นชมยินดีเสมอ, และเปี่ยมด้วยความรักของพระผู้เป็นเจ้า, และการปลดบาป [ของเรา] จะมีอยู่เสมอ; และ … จะเติบโตในความรู้เรื่องรัศมีภาพของพระองค์ผู้ทรงสร้าง [เรา].”
ท่านช่วยให้นักเรียนจดจำและรำลึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ เมื่อท่านขยันทำงานเพื่อชักชวนพวกเขาให้เชื่อในพระคริสต์ “และคืนดีกับพระผู้เป็นเจ้า [เพื่อ] รู้ว่าโดยพระคุณนั่นเองที่ [พวกเขา] ได้รับการช่วยให้รอด, หลังจาก [พวกเขา] ทำทุกสิ่งจนสุดความสามารถแล้ว ด้วยเหตุผลนี้ท่านกับข้าพเจ้า “พูดถึงพระคริสต์, เราชื่นชมยินดีในพระคริสต์, เราสั่งสอนเรื่องพระคริสต์ … เพื่อ [นักเรียน] ของเราจะรู้ว่าพวกเขาจะมองหาแหล่งใดเพื่อการปลดบาปของพวกเขา” ความรู้นั้นช่วยให้พวกเขายังคงถ่อมตน กระตุ้นให้พวกเขาเรียกหาพระนามของพระผู้เป็นเจ้าทุกวันและยืนหยัดมั่นคงในศรัทธา ช่วยให้พวกเขารักษาใจอ่อนโยนที่ไวต่อการเติมเต็มจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
สารอาหารหลักทั้งสี่อย่างที่ข้าพเจ้าพูดถึงนั้นทับซ้อนกันและส่งเสริมกัน วันนี้เป็นวันดีที่จะสำรวจการสอนของเราเอง โปรดถามตนเองว่า:
-
การสอนของฉันมีศูนย์กลางอยู่ที่พระเยซูคริสต์หรือเปล่า?
-
ฉันสอนด้วยประจักษ์พยานและความรักหรือเปล่า?
-
ฉันพยายามพัฒนาความสัมพันธ์ตลอดชีวิตกับนักเรียนหรือเปล่า?
-
ฉันช่วยนักเรียนตอบคำถามของตนเองและไม่ปล่อยพวกเขาไว้ให้มีคำถามเพิ่มเติมหรือเปล่า?
-
ฉันแสดงแบบอย่างของใจที่อ่อนโยน แสดงความกตัญญูต่อพระเจ้า และยืนหยัดมั่นคงในศรัทธาหรือเปล่า?
-
นักเรียนของฉันเรียนรู้อะไรจากแบบอย่างและการสอนของฉัน?
พี่น้องทั้งหลาย ขอบคุณสำหรับสิ่งที่ท่านทำเพื่อช่วยให้บุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์กลายเป็นสานุศิษย์ที่ซื่อสัตย์ของพระเยซูคริสต์ ช่วยให้พวกเขารักษาใจที่อ่อนโยน ช่วยให้พวกเขาเชิญพระวิญญาณเข้ามาในใจ และชี้ให้พวกเขาเห็นพระเยซูคริสต์พระผู้ไถ่ของโลกอย่างชัดเจน ดังที่เราได้ยินในเพลง เราทุกคนมีแนวโน้มที่จะหลงผิดไปแม้จากพระผู้เป็นเจ้าที่เรารัก เราต้องได้รับการเตือนถึงความดีงามของพระองค์ เพื่อว่าความดีนั้นจะผูกมัดใจที่หลงผิดของเราไว้กับพระองค์เหมือนโซ่ตรวน และนั่นคือเหตุผลที่โรเบิร์ต โรบินสันกล่าว เมื่อเขาประพันธ์ว่า “โปรดรับดวงใจข้าฯ และประทับไว้ กับพระในที่พำนัก” เขาต้องการถูกย้ำเตือนว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกอยากร้องเพลงความรักที่ไถ่ทั้งที่บางครั้งเขาไม่รู้สึกอยากจะร้อง งานของเราก็เช่นเดียวกัน คือการช่วยเหลือนักเรียนบนเส้นทางนั้น
ขอพระผู้เป็นเจ้าประทานพรสำหรับสิ่งที่ท่านทำ ขอพระผู้เป็นเจ้าประทานพรสำหรับความดีของท่าน สำหรับความเชื่อ ความซื่อสัตย์ และประจักษ์พยานของท่าน ขอบคุณที่ท่านรับใช้พระอาจารย์ ขอบคุณที่เป็นพระสหายของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นเพื่อนจากสวรรค์ผู้ทรงมีเมตตาและปรีชาญาณ ข้าพเจ้ารู้ว่านั่นเป็นความจริง ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน