“เหนือสิ่งทั้งปวง”
การถ่ายทอดการอบรมของระบบการศึกษาของศาสนจักร • 12 มิถุนายน 2019 • อาคารสำนักงานของศาสนจักร หอประชุมชั้นหลัก
อย่างแรกเลย ผมขอขอบคุณที่ท่านแต่ละคนทำงานโดยมุ่งเน้นให้พระผู้ช่วยให้รอดเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอนพระกิตติคุณ ขณะสังเกตการณ์ชั้นเรียนและเฝ้าดูท่านและนักเรียนระบุพระนามและบทบาทของพระองค์ ศึกษาพระอุปนิสัยและพระคุณลักษณะ และเรียนรู้จากแบบอย่างที่ดีพร้อมของพระองค์1 ผมรู้สึกได้ว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงซาบซึ้งพระทัยที่ท่านเป็นพยานถึงพระบุตรที่รักของพระองค์ ขณะท่านทำตามคำแนะนำของเอ็ลเดอร์คลาร์กในการช่วยนักเรียนให้ รู้จัก พระองค์และเรียนรู้ จาก พระองค์2 ผมเห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้นในการสอนและการเชื้อเชิญของท่าน ดังที่ครูท่านหนึ่งพูดกับผมเมื่อไม่นานมานี้ว่า “การให้พระเยซูเป็นศูนย์กลางในการสอนนำปีติกลับเข้าสู่ชั้นเรียนของผม ผมสนับสนุนให้ท่านแสวงหาการดลใจอย่างต่อเนื่องเพื่อรู้วิธีที่ให้ประสิทธิผลสูงสุดในการทำสิ่งนี้ทุกวัน
วันนี้ผมเชิญชวนท่านให้เสริมสร้างความพยายามที่จะช่วยให้นักเรียนของท่านเห็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่เพียงในการศึกษาพระคัมภีร์เท่านั้นแต่ในตัวท่านด้วย—ขณะท่านพยายามทำตามแบบอย่างและความรักของพระองค์ ท่านคงจำความคิดนี้จากประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์ได้ซึ่งผมพบว่าผลลัพธ์ของความคิดนี้ทั้งสร้างแรงบันดาลใจและน่าทึ่ง:
“คุณลักษณะซึ่งผมได้รับโอกาสพิเศษที่จะเห็นในตัวพวกท่านพี่น้องชายหญิงในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาไม่มากหรือน้อยไปกว่าคุณลักษณะที่องค์ปรมาจารย์ทรงแสดงออกมาให้เห็นเลย ผมเชื่อว่าท่านแสดงให้เห็นในระดับหนึ่งตามการท้าทายและความรับผิดชอบที่ท่านมีว่ารูปลักษณ์ของพระคริสต์จารึกอยู่ในสีหน้าของท่าน สำหรับจุดประสงค์ทั้งหมดที่นำไปใช้ได้ ในห้องเรียนนั้น ในเวลานั้น และในการแสดงออกและด้วยการดลใจนั้น ท่านคือพระองค์และพระองค์คือท่าน”3
จากพระคุณลักษณะที่ครอบคลุมทุกด้านของพระผู้ช่วยให้รอด ข้อที่ดูเหมือนจะให้ทั้งแรงจูงใจและรากฐานสำหรับผู้อื่นทั้งหมดก็คือความรักที่สมบูรณ์แบบของพระองค์—ความรักของพระองค์ที่ทรงมีต่อพระบิดาในสวรรค์และต่อเราทุกคน
อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ว่า “แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ จะรู้ความล้ำลึกทุกอย่าง และมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้จะมีความเชื่อมากยิ่ง ... แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย”4 กับคณาจารย์เซมินารีและสถาบัน เปาโลอาจกล่าวว่า “แม้ข้าพเจ้าจะมีของประทานแห่งเสน่ห์และความเข้าใจรากฐานของการเรียนการสอนและครุศาสตร์ทั้งหมด และแม้ข้าพเจ้าจะมีบทเรียนที่ใช้อุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย” บัดนี้โปรดอย่าใช้ข้อความนั้นเป็นข้ออ้างที่จะไม่ทำงานหนักเพื่อเป็นครูที่มีทักษะยอดเยี่ยม แต่จำไว้ว่าขณะเราสวดอ้อนวอนเพื่อความเข้าใจ ความรู้ และแม้เพื่อศรัทธา ถ้าเราไม่เพิ่มความรักเข้าไปด้วย เราก็จะเป็นเหมือน “ฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง”5
“ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี”
อัครสาวกเปาโลเขียนไว้อีกว่า “ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี”6
แบบอย่างของความมีใจปรานีของพระผู้ช่วยให้รอดบันทึกไว้ใน ลูกา 19 ศักเคียส นายด่านภาษี ผู้มั่งมีจากการรับใช้จักรวรรดิโรมัน แต่เป็นที่เกลียดชังของชาวยิวที่รู้สึกว่าถูกทรยศจากการเก็บภาษีของเขา วันหนึ่งศักเคียสต้องการเห็นพระเยซูแต่ทำไม่ได้เพราะเขาร่างเล็กและไม่สามารถฝ่าฝูงชนที่ไม่ได้คิดจะช่วยเขาเข้าไปได้ ศักเคียสจึงวิ่งไปดักหน้าทางเดินของพระเยซูแล้วปีนขึ้นต้นมะเดื่อ รอที่จะเห็นพระองค์เมื่อทรงผ่านมา
พระคัมภีร์กล่าวว่า “เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่น พระองค์ แหงนพระพักตร์ดูศักเคียสแล้วตรัสกับเขาว่า ศักเคียสเอ๋ย จงรีบลงมา เพราะว่าวันนี้เราจะต้องพักอยู่ในบ้านของท่าน
“แล้วเขาก็รีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี”7
ท่านนึกออกไหมว่าการอยู่ในสายพระเนตรมีความหมายต่อศักเคียสอย่างไรและการได้รับเชิญจากพระผู้ช่วยให้รอดทำให้เกิดผลอย่างไรต่อผู้เคยถูกกีดกันอย่างเขา การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ด้วยใจปรานีนี้เปลี่ยนโลกได้แน่นอน
นักเรียนของเราต้องการความอดทนนานและใจปรานี ของเรา บางครั้งพฤติกรรมไม่เหมาะสม การก่อกวนและเจตคติไม่ดีอาจทำให้สอนได้ยากขึ้น แต่ในช่วงเวลาเหล่านั้น ผมขอกระตุ้นให้ท่านมองผ่านพฤติกรรมและมองเห็นตัวบุคคล โปรดหยุดให้นานพอที่จะถามว่า “มีสิ่งอื่นที่อาจเป็นต้นเหตุของพฤติกรรมหรือเจตคตินี้หรือไม่”
ตามที่เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์สอน “ถ้าเด็กๆ เหล่านั้นไม่รู้สึกตอบรับ คุณอาจจะยังสอนเขาไม่ได้ แต่คุณรักเขาได้ และถ้าคุณรักเขาวันนี้ บางทีคุณอาจสอนเขาได้ในวันพรุ่งนี้
“ ... ไม่มีอะไรในเรื่องนี้ที่ขึ้นอยู่กับพวกเขา เราสามารถรักเขาตั้งแต่ต้นจนจบแล้วปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้น”8
แต่ท่านทำอย่างนั้นได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบางคนดูยากยิ่งที่เราจะรัก เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์ช่วยเราในเรื่องนี้ด้วยเมื่อท่านกล่าวว่า “ท่านเริ่มได้โดยรักพระผู้เป็นเจ้า จากนั้นทูลขอให้พระองค์ทรงช่วยท่านให้ส่งต่อความรักที่มีต่อพระองค์ไปยังคนอื่นๆ ที่ต้องการความรักของท่าน”9 ท่านสามารถ “สวดอ้อนวอนพระบิดาจนสุดพลังของใจ, เพื่อท่านจะเปี่ยมด้วยความรักนี้”10 ท่านสามารถสวดอ้อนวอนให้มองเห็นพวกเขาดังที่พระองค์ทรงเห็น ท่านสามารถฟังและพยายามเข้าใจพวกเขา และตามที่ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์เสริมว่า “รับใช้พวกเขา ทำสิ่งเล็กน้อยเพื่อพวกเขา จ่ายราคาแห่งการรับใช้ แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะประทานเกียรติแก่สิ่งนั้น ข้าพเจ้าจะทำสัญญานั้นกับท่าน อย่ากังวลถ้าบางครั้งนักเรียนของท่านไม่น่ารัก ขอเพียงทำบางสิ่งเพื่อพวกเขา แล้วพวกเขาจะดูเหมือนน่ารักขึ้นอีกนิดสำหรับท่าน นั่นคือของประทานจากพระผู้เป็นเจ้า”11
ถึงทุกท่านที่เข้าชมการนำเสนอด้านดนตรีและการแข่งกีฬาของนักเรียนหรือที่กำลังค้นพบวิธีอื่นที่เงียบสงบกว่าในการรับใช้พวกเขา ขอบคุณครับ แม้ดูราวกับว่าพวกเขาไม่เห็นท่าน แต่พวกเขาจะรู้สึกได้ว่าความรักที่ท่านมีต่อพวกเขาเพิ่มขึ้นเพราะพระเจ้าจะทรงอวยพรท่านด้วยจิตกุศลเพราะท่านรับใช้พวกเขา12
อีกหนึ่งแบบอย่างของความมีใจปรานีของพระผู้ช่วยให้รอดพบได้ในมาระโก บทที่ 5
คิดสักครู่ถึงสิ่งที่พระเยซูทรงทำเพื่อหญิงที่เป็นโรคโลหิตตก พระองค์ทรงทำมากกว่าการรักษาเธอทางกายภาพ เธอต้องเหนื่อยล้ากับความเจ็บปวด การปฏิเสธของสังคม และความทุกข์ด้านการเงิน ดังนั้นเมื่อพระเยซูทรงรู้สึกว่าฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์ พระองค์ “ทอดพระเนตรดูรอบๆ เพื่อจะ ดู ว่าใครเป็นคนที่ทำ”13 การรักษาทางกายภาพเกิดขึ้นแล้ว พระเยซูทรงกำลังไปพบกับความต้องการเร่งด่วนรายอื่นกระนั้นยังทรงหยุด ทรงยกย่องศรัทธาของเธอ และทรงเรียกเธออย่างอ่อนโยนว่า “ลูกหญิงเอ๋ย”14 พระผู้ช่วยให้รอดทรงเห็น ตัวเธอ ไม่ใช่ความเจ็บป่วย ทรงเห็นบุคคลหนึ่งที่ต้องการความรักและการหนุนใจ ไม่ใช่ปัญหาที่ต้องแก้หรืองานที่ต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์15
ไม่ว่าจะเป็นงานที่ท่านต้องทำให้สำเร็จ หรือบทเรียนที่ต้องเตรียมหรือสอน หรือปัญหาหลักคำสอนที่ท่านเผชิญ ล้วนเป็นโอกาสที่ท่านจะหนุนใจผู้คน
และผมหวังว่าความรักของเราจะส่งต่อไปยังผู้ที่ขณะนี้ยังไม่อยู่ในรายชื่อหรือยังไม่เข้าเรียน มีอีกหลายคนที่เป็นเหมือนศักเคียสและหญิงคนนี้ผู้รอคอยอยู่หลังฝูงชน ดังนั้นจงทำตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอดและออกไปค้นหาพวกเขา16 โปรดสวดอ้อนวอนเสมอและปรึกษากันขณะท่านแสวงหาการดลใจถึงวิธีที่ท่านอาจช่วยคนหนุ่มสาวมากขึ้นให้เรียนรู้เกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดและคำสอนของพระองค์ การลงทะเบียนและพยายามเรียนให้จบควรเป็นความสำคัญอันดับแรกและเป็นแรงขับเคลื่อนงานที่จะเป็นพรแก่บุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์มากขึ้น
“เหนือสิ่งทั้งปวง, จงห่อหุ้มตนเองด้วยพันธะแห่งจิตกุศล, ดังด้วยเสื้อคลุม”
พระเจ้าตรัสแก่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธว่า “เหนือสิ่ง ทั้งปวง จงห่อหุ้มตนเองด้วยพันธะแห่งจิตกุศล, ดังด้วยเสื้อคลุม ซึ่งเป็นพันธะแห่งความดีพร้อมและสันติสุข”17 การห่อหุ้มด้วยพันธะแห่งจิตกุศลอาจหมายถึงอะไร
ใน ยอห์น 8 เราอ่านเรื่องของสตรีที่ถูกพวกฟาริสีนำตัวแสดงตนต่อพระเยซูที่พระวิหาร พวกเขาทูลพระผู้ช่วยให้รอดว่า
“ท่านอาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะกำลังล่วงประเวณีอยู่
“ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนอย่างนี้ให้ตายแล้วท่านจะว่าอย่างไร?”
พระเยซูทรงน้อมพระกายลงและเขียนบนดินราวกับว่าพระองค์ไม่ทรงได้ยินพวกเขา และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ยืดพระกายขึ้น ตรัสตอบเขาว่า “ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก” แล้วพระองค์ทรงน้อมพระกายลงและเขียนที่ดินอีก
ขณะที่พวกฟาริสีเริ่มรู้สึกว่าถูกกล่าวโทษโดยมโนธรรมของตนเอง พวกเขาจากไปทีละคน เมื่อเหลือเพียงพระเยซูกับหญิงคนนั้น พระองค์ตรัสถามอย่างสุภาพว่า “หญิงเอ๋ยพวกเขาไปไหนหมด? ไม่มีใครเอาโทษเธอหรือ?”
“นางทูลว่า ท่านเจ้าข้า ไม่มีใครเลย แล้วพระเยซูตรัสว่า เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก”18
ขณะใคร่ครวญเหตุการณ์นี้ ขอให้ท่านพิจารณาบทเรียนสามบทจากหลายบทที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากแบบอย่างที่ดีพร้อมของพระผู้ช่วยให้รอด
บทเรียนแรก การชดใช้ของพระเยซูคริสต์ช่วยให้เราเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและผ่านการกลับใจ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้กล่าวโทษเรา ในชั้นเรียนของเราย่อมมีนักเรียนที่ทำผิด ขณะเราสอนอย่างมีเมตตาเรื่องความเต็มพระทัยที่จะให้อภัยของพระบิดาในสวรรค์และเรื่องปีติของการกลับใจ19 เราช่วยให้นักเรียน (และบุตรธิดาของเรา) เชื่อว่าการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดประยุกต์ใช้กับพวกเขาได้—เพราะเป็นเช่นนั้น
และในวิธีเดียวกัน คำแนะนำนี้ใช้ได้โดยเท่าเทียมกันกับเราทุกคน เราต้องการการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อช่วยให้ เราได้รับการอภัยและเยียวยา แล้วเมื่อเราประสบด้วยตนเองถึงปีติของการกลับใจ เราจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนหันมาสู่พระผู้ช่วยให้รอดได้เพราะการเชื้อเชิญนั้นจะมาจากใจที่เปลี่ยนแปลงแล้วของเราเอง
บทเรียนที่สอง ความรักเป็นสิ่งจูงใจที่สำคัญซึ่งจะช่วยให้เราต้องการทำสิ่งที่ถูกต้อง เอ็ลเดอร์เดล จี. เรนลันด์กล่าวว่า “แน่นอนว่าพระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงยกโทษการล่วงประเวณี แต่พระองค์ไม่ทรงเอาโทษหญิงนั้นเช่นกัน พระองค์ทรงกระตุ้นให้เธอเปลี่ยนชีวิต ทรงผลักดันให้เธอเปลี่ยนเพราะความสงสารและพระเมตตาของพระองค์ งานแปลพระคัมภีร์ไบเบิลของโจเซฟ สมิธยืนยันผลแห่งความเป็นสานุศิษย์ที่เกิดขึ้นว่า ‘และหญิงนั้นสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้านับจากโมงนั้นและปักใจเชื่อในพระนามของพระองค์’ [ยอห์น 8:11, เชิงอรรถ ค]”20
ในฐานะครูหรือบิดามารดาเราอาจถูกล่อลวงให้ระงับการแสดงความรักที่จำเป็นไว้ เพราะกังวลว่าอาจทำให้สับสนระหว่างการให้อภัยบาปกับการไม่เอาโทษการประพฤติผิด ตามปกตินักเรียนและบุตรธิดาของเรารู้อยู่แล้วว่าเรารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับพระเจ้าและพระบัญญัติของพระองค์ สิ่งที่พวกเขามักต้องการคือความมั่นใจว่าพวกเขาเป็นที่รักและมีค่า ความรักและความหวังที่หญิงคนนี้รู้สึกขณะได้รับพรจาก “พันธะแห่งจิตกุศล” ของพระผู้ช่วยให้รอดคือสิ่งที่เราหวังว่านักเรียนทุกคนจะรู้สึกเมื่อเรียนรู้เรื่องพระองค์และพระกิตติคุณของพระองค์
บทเรียนที่สาม พระผู้ช่วยให้รอดทรงรักหลักคำสอนของพระบิดาแต่ไม่เคยใช้สิ่งนี้เฆี่ยนตีใคร พวกฟาริสีรู้กฎของโมเสสดีและมักอ้างถึงเสมอ โดยกล่าวอ้างทั้งกฎและผลของกฎ แต่พระผู้ให้กฎองค์จริงซึ่งพระพันธกิจของพระองค์คือ “ปลอบโยนคนชอกช้ำใจและเพื่อประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย”21 ทรงเลือกที่จะมอบความเมตตาแทน ทรงปกป้องหญิงนั้นจากมือและใจของพวกฟาริสีที่กล่าวหาเธอพร้อมกันนั้นทรงทำให้ พวกเขา ได้รับสิ่งจำเป็นคือการย้อนมองดูตนเองและรับรู้ว่าตนเองนั่นแหละที่ต้องเปลี่ยนแปลง
บางครั้งเรามีทั้งนักเรียนและครูที่ใช้หลักคำสอนในวิธีที่ชักนำวิญญาณแห่งการกล่าวหาและกล่าวโทษเข้ามา แทนที่จะให้กำลังใจและจรรโลงใจกัน วิธีการเช่นนี้กลับลดคุณค่าและอาจถึงกับบ่อนทำลายกัน การทำตามแบบอย่างของพระอาจารย์คือการสอนในวิธีที่ก่อให้เกิดความหวังและการเยียวยาแก่ใจที่ชอกช้ำ
นอกจากมาจากบาป ใจที่ชอกช้ำยังมาจากสภาวการณ์อื่นอีกหลายอย่าง นักเรียนหลายคนมาจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก แม้ในระดับรุนแรงซึ่งทำให้เขาสงสัยว่าเขาเป็นที่รักและมีคุณค่าบ้างไหม บางคนต้องต่อสู้ดิ้นรนกับเรื่องท้าทายที่มากับความวิตกกังวลหรือกับการยึดติดความสมบูรณ์แบบที่ทำให้พวกเขาได้ยินแต่การกล่าวโทษแทนความหวัง อีกหลายคนรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการเพราะต้องเผชิญการล่อลวงหรือเรื่องท้าทายเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศและรู้สึกไร้ทางออกและกังวลว่าตนเองจะไม่มีที่หรืออนาคตในศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์
ในฐานะครู เราต้องหาวิธีที่จะเข้าใจว่านักเรียนของเรารู้สึกอย่างไรกับประสบการณ์เหล่านี้ ข้าพเจ้าขอแบ่งปันตัวอย่างหนึ่งจากมุมมองของอดีตนักเรียนคนหนึ่งที่อธิบายถึงประสบการณ์ของเขาในเซมินารี เขาบอกว่า “พระบัญญัติคือให้รักเพื่อนบ้าน แต่ที่ รู้สึก ได้นั้นเหมือนผู้คนคิดว่าให้รักเพื่อนบ้านหากท่านไม่เป็นเกย์ ข่าวสารสำคัญคือ นั่น คือสิ่งเลวร้ายที่สุดที่เป็นไปได้ และเรื่องนี้ทำให้ฉันสงสัยว่าฉันจะมีคุณค่าในตนเองได้อย่างไรและพระบิดาบนสวรรค์จะทรงรักฉันได้อย่างไร”
ไม่ว่านักเรียนเผชิญความท้าทายส่วนตัวอะไร เราต้องฟังเพื่อให้เข้าใจและเพื่อสื่อสารว่าเราเข้าใจพวกเขาและมีความรักที่จริงใจ เราต้องสร้างชั้นเรียนให้ยินดีรับคำถามและสนทนาเรื่องต่างๆ ด้วยความเคารพและความอาทร เราต้องสอนความจริงอย่างชัดเจนและช่วยให้นักเรียนทุกคนรู้ชัดถึงอัตลักษณ์นิรันดร์ของเขาในฐานะบุตรธิดาของพระบิดาพระมารดาบนสวรรค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยรัก22 และเราต้องช่วยให้นักเรียนรู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียว การแสดงความรักความเข้าใจต่อพวกเขาให้มากขึ้นจะอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพิ่มการเรียนรู้และเยียวยาใจที่ชอกช้ำ23
ประธานดัลลิน เอช. โอ๊คส์สอนว่า “เรามีหน้าที่ ‘แบกภาระของกันและกัน, เพื่อมันจะได้เบา’ [โมไซยาห์ 18:8] แม้เราจะเปลี่ยนหลักคำสอนของพระเจ้าไม่ได้ แต่เราต้องการให้สมาชิกของเราและนโยบายของเราเห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่ต้องประสบปัญหากับเรื่องท้าทายในความเป็นมรรตัย” ท่านเสริมด้วยว่า “เมื่อสมาชิกของเราพยายามแสดงความเข้าใจ ความเห็นใจ และความรักมากขึ้นจะเพิ่มความเคารพและความเข้าใจ … [และ] ทำให้ความเกลียดชังและความขัดแย้งที่ทุกวันนี้เห็นอยู่ทั่วไปลดลง …” แน่นอนว่านั่นคือความปรารถนาของเรา และเราพยายามช่วยให้สมาชิกของเราและคนอื่นๆ ได้รับสิ่งนี้”24
เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ครูทุกคนจะเข้าใจหลักคำสอน รู้สิ่งที่ศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าพูดถึงหัวข้อเหล่านี้อย่างเป็นปัจจุบัน และรู้ว่าจะตอบสนองด้วยวิธีที่มีประโยชน์และมีความเห็นอกเห็นใจได้อย่างไร25 เรามุ่งมั่น อย่างยิ่ง ที่จะทำงานส่วนนี้ให้ก้าวหน้าไปและจะจัดเตรียมการอบรมและแหล่งช่วยเสริมเพื่อช่วยท่าน
ถ้ามีช่วงเวลาที่ท่านและนักเรียนพูดถึงเรื่องที่เป็นเหตุให้ใครบางคนรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ ท่านจะสวดอ้อนวอนขอความเข้มแข็งและความเข้าใจในวิธีที่ท่านจะลดระดับของการกล่าวหาลงได้หรือไม่ ช่วยให้นักเรียนของท่านจำไว้ว่าเราทุกคนต่างก็กำลังเติบโตและต้องการความเมตตาของพระผู้ช่วยให้รอด คนที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้กล่าวหาคือลูซิเฟอร์ ซึ่ง “กล่าวหา [พวกเรา] เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของเราทั้งกลางวันและกลางคืน”26 ในเชิงเปรียบเทียบ พระหัตถ์ พระพาหุและความรักของพระเจ้ายังคงยื่นออกไป
อีกลักษณะหนึ่งของความรักอันสูงส่งคือความปรารถนาของพระบิดาในสวรรค์ที่ต้องการให้เราเป็นเหมือนพระองค์และได้รับพรทั้งปวงที่ทรงเตรียมไว้สำหรับบุตรธิดาของพระองค์
พระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าที่มีความคาดหวังสูง
เอ็ลเดอร์ ดี.ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันกล่าวว่า “พระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าที่มีความคาดหวังสูง”27 พระองค์ไม่เคยหมดหวังในตัวเรา ทรงรับภาระเมื่อเราอ่อนแรง ทรงมีความหวังเมื่อเราพัฒนา และทรงอดทนรอขณะเราเติบโต ครูผู้รักนักเรียนของตนคาดหวังสูงเช่นกันและจะเอาใจใส่ความก้าวหน้านิรันดร์ของนักเรียนมากกว่าที่จะดูว่าวันนี้ชั้นเรียนเป็นอย่างไรหรือนักเรียนชอบเธอมากเพียงใด
พระเยซูทรงเอาพระทัยใส่ความก้าวหน้าของผู้ติดตามพระองค์
ตัวอย่างเช่น พระเยซูทรงเห็นบางสิ่งในเปโตรซึ่งตัวเขาเองไม่เห็น พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เปรโตกระทำด้วยศรัทธา และเมื่อเปโตรสะดุดล้มลง พระผู้ช่วยให้รอดทรงยกเขาขึ้น ทรงมุ่งความสนใจตลอดเวลาไปยังตัวตนที่เปโตรจะเป็นในที่สุด
การมีความคาดหวังสูงจะเป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนกระทำด้วยศรัทธา ช่วยให้พวกเขามีประสบการณ์กับพรที่สัญญาไว้ของพระเจ้า เอ็ลเดอร์นีล แอล. แอนเดอร์เซ็นสอนว่าเมื่อเรานำและสอนโดยปราศจากความรักและมีความคาดหวังต่ำ เราส่งเสริมให้เกิดการต่อต้าน คาดหวังสูงโดยปราศจากความรักบ่มเพาะความเบี่ยงเบน รักมากแต่คาดหวังต่ำสร้างความรู้สึกกลมเกลียวแต่ก้าวหน้าน้อย แต่ถ้ารักมากและคาดหวังสูงจะสร้างปาฏิหาริย์28 นั่นคือความรักในรูปแบบของพระผู้ช่วยให้รอดและเป็นรูปแบบของความรักที่เราต้องมีถ้าเราต้องการสร้างความแตกต่างในชีวิตนักเรียนของเรา
เมื่อผมถามผู้ที่เข้าเรียนเซมินารีและสถาบันว่าความรักจากครูเป็นพรแก่พวกเขาอย่างไรบ้าง คำตอบมาเร็วและเปี่ยมด้วยความสำนึกคุณเสมอ ตัวอย่างสองสามเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้น
เยาวชนหญิงคนหนึ่งพูดว่า “หนูรักการเดินเข้าห้องเรียนเซมินารีและได้เห็นคุณครูยิ้มอย่างมีความสุข หนูไม่รู้จะใช้คำพูดอย่างไรถึงจะบอกได้ว่าความรักของท่านทำอะไรให้หนูบ้าง ไม่นานมานี้ท่านเอ่ยปากชมหนู หนูเดินออกนอกตึกพยายามกลั้นน้ำตา นั่นทำให้หนูมีความสุขมาก คำชมเรียบง่ายนั้นมีความหมายต่อหนูมาก ทุกวันหนูตื่นเต้นที่จะไปเรียนเซมินารี นั่นคือช่วงเวลาที่เจิดจ้าที่สุดของวัน ความรักของคุณครูที่มีต่อหนูสอนให้หนูรักคนอื่นทุกคนในฐานะบุตรหรือธิดาของพระผู้เป็นเจ้า”
ถอดความของนักเรียนอีกคนหนึ่ง “ชั้นเรียนวันนี้เปลี่ยนผมจริงๆ ผมกล้าที่จะถามคำถามที่ตอบยาก คุณครูตั้งใจฟังและพยายามเข้าใจที่มาที่ไปของผม จากนั้นเธอใช้เวลาสนทนาคำถามของผม สิ่งที่เธอพูดเปิดหูเปิดตาผมจริงๆ ผมได้รู้เห็นสิ่งที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน”
และเรื่องสุดท้าย เยาวชนชายคนหนึ่งเขียนว่า “ผมเริ่มภาคเรียนนี้ด้วยเจตคติที่ไม่ดี ผมไม่สนใจไม่ว่าพระกิตติคุณหรือตัวเอง ผมอยู่ไกลจากคำว่าความสุขมาก ผมบอกคุณพ่อคุณแม่ว่า อยากพักการเรียนเซมินารี แล้วผมก็ไปเรียน และคุณครูรู้จักชื่อผมแม้ผมจะไม่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อน พระวิญญาณในชั้นเรียนสร้างบรรยากาศใหม่ให้ผมทั้งวัน และชีวิตผมดีขึ้นเล็กน้อย ผมเปลี่ยนนิสัย เริ่มไปโบสถ์มากขึ้น อ่านพระคัมภีร์ และเริ่มคิด ด้วยความรักที่ท่านมีให้พวกเราและพระกิตติคุณ และแสงสว่างของพระคริสต์ที่เห็นในท่าน ผมพยายามมากที่จะมีแสงสว่างและความรักแบบนั้นบ้าง ผมจะสำเร็จการศึกษาเซมินารี เป็นผู้สอนศาสนา และวันหนึ่งข้างหน้าจะแต่งงานในพระวิหารเพราะคุณครูอัญเชิญพระวิญญาณและสอนโดยมีพระองค์เป็นสหายทุกวัน”
มาถึงข้อสรุป ผมขอส่งเสียงแสดงความซาบซึ้งในพระเจ้าและท่าน ผมสำนึกคุณต่อความรักของพระเจ้าที่ครอบคลุมทุกสิ่งและมีให้โดยตรง ผมสำนึกคุณต่อความอดทนของพระองค์ขณะผมพยายามเรียนรู้บทเรียนที่เราเพิ่งสนทนาไปวันนี้ ความรักและพระเมตตาของพระองค์ทำให้ผมต้องการเป็นคนดีขึ้น และผมต้องการให้ท่านทราบว่าเรารักท่านเพียงใด เราทราบดีถึงการรับใช้ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของท่านที่มีต่อคนที่ท่านสอนและช่วย เรารู้ว่าท่านสวดอ้อนวอนเพื่อพวกเขามากเพียงใด และเจ็บปวดเพียงใดเมื่อพวกเขาลำบาก และยินดีเพียงใดเมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จ เรารู้ว่าท่านมีภาระของตนเองและพึ่งพาพระเจ้าทุกวันเพื่อรับพลังของพระองค์สำหรับตัวท่านและครอบครัว เราหวังให้ท่านทราบว่าเราสวดอ้อนวอนเพื่อท่านและรักท่าน
โปรดช่วยให้นักเรียนแต่ละคนรู้จักและรักพระผู้ช่วยให้รอดโดยช่วยให้พวกเขาเห็นพระองค์ ทั้งในการศึกษาพระคัมภีร์—และในตัวท่าน ผมสวดอ้อนวอนให้เรามีใจปรานีอย่างเรียบง่าย มองที่คนไม่ใช่มองที่ปัญหา ให้เราเอื้อมออกไปเพื่อเป็นพรแก่บุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ให้มากกว่าที่เคยทำ ให้เราลดระดับการกล่าวหาลงและช่วยให้ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขามีที่ให้อยู่และมีอนาคตในศาสนจักรของพระเจ้า ให้เราให้กำลังใจนักเรียนของเราในการทำตามคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดในฐานะสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์ตลอดชีวิต ยึดมั่นในเส้นทางพันธสัญญาเพื่อที่พวกเขาจะได้รับพรทั้งปวงที่พระบิดาบนสวรรค์ของเรามีเพื่อพวกเขา ขอให้เราช่วยให้พวกเขารู้สึกถึงและพึ่งพาความรักของพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ และขอให้ท่านไม่ลืมว่า “รูปลักษณ์ของพระคริสต์ [สามารถ] จารึกอยู่บนสีหน้าของท่านได้ และเพื่อจุดประสงค์ที่นำไปใช้ได้ ในห้องเรียนนั้น ในเวลานั้น และในการแสดงออกและด้วยการดลใจนั้น ท่านคือพระองค์และพระองค์คือท่าน”29
ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน
© 2019 by Intellectual Reserve, Inc. All rights reserved. ฉบับ: 5/19. แปลจาก “เหนือสิ่งทั้งปวง” Thai. PD60009021 425