พลังของการเปิดเผยส่วนตัว (Rev 2)
การถ่ายทอดการอบรมระบบการศึกษาของศาสนจักร • 12 มิถุนายน 2019 • หอประชุมชั้นล่างอาคารสำนักงานศาสนจักร
ก่อนจะเริ่มคำพูดวันนี้ ข้าพเจ้าขอแสดงความขอบคุณและความรัก เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้ร่วมงานใหญ่กับท่านในการช่วยให้อนุชนรุ่นหลังเรียนรู้พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์อย่างลึกซึ้ง ข้าพเจ้ารักท่านและสวดอ้อนวอนขอให้ท่านและครอบครัวได้รับพรจากพระเจ้า
วันนี้ข้าพเจ้าต้องการพูดถึงแบบอย่างสามแบบของการเปิดเผยส่วนตัวในพระคัมภีร์มอรมอน ได้แก่
แบบแรกคือบันทึกศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์และแผนของพระบิดา แบบที่สองคือพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเสริมสร้างศรัทธาในพระเยซูคริสต์และทำให้การเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระองค์ลึกซึ้งขึ้น แบบที่สามคือศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตผู้เป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์และต่อต้านความชั่ว
แบบอย่างเหล่านี้นำเสนอไว้ในพระคัมภีร์มอรมอนอย่างชัดเจนและมีพลังเพราะจำเป็น—และสำคัญยิ่ง—ต่อการเพิ่มพูนศรัทธาในพระเยซูคริสต์และทำให้การเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระองค์ในสมัยของเราลึกซึ้งขึ้น1
เราอยู่ในยุคที่ชายหญิงผู้ชั่วร้ายและหลงผิดกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อโน้มน้าวอนุชนรุ่นหลังให้เชื่อว่าดีคือชั่วและชั่วคือดี พวกเขาใช้วิธีการคล้ายกับเชเร็ม นีฮอร์ และคอริฮอร์ในพระคัมภีร์มอรมอน—เช่น ข้อโต้แย้งแบบมีชั้นเชิง ความคิดสอพลอ ฉายาและภาพลักษณ์ที่ตั้งขึ้น—เพื่อสร้างหลักคำสอนเท็จเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรากับพระผู้เป็นเจ้า ความรัก ความอดกลั้น การแต่งงาน อัตลักษณ์นิรันดร์ ครอบครัว และอีกมากมาย คตินิยมและหลักคำสอนมากมายเหล่านี้ของมนุษย์มี “รูปแบบของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า, แต่พวกเขา [ทั้งหมด] ปฏิเสธอำนาจในนั้น”2
นักเรียนของเราเผชิญข่าวสารทำนองนี้ทุกนาทีทุกวัน พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการเปิดเผยส่วนตัวเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระเยซูคริสต์และทำให้การเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระองค์ลึกซึ้งขึ้น ข้าพเจ้าหวังและสวดอ้อนวอนว่าท่านจะทำสุดพลังความสามารถเพื่อช่วยให้นักเรียนเรียนรู้แบบอย่างของการเปิดเผยส่วนตัวสามแบบนี้อย่างลึกซึ้ง
บันทึกศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์
ข้าพเจ้าเริ่มด้วยบันทึกศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์ นี่เป็นสาระสำคัญที่มีอยู่ทั่วพระคัมภีร์มอรมอน เริ่มด้วยแผ่นจารึกทองเหลือง3
ประสบการณ์ของนีไฟกับเลบันเป็นเหตุการณ์ต้นแบบในชีวิตเขา นีไฟเรียนรู้ว่าบันทึกเหล่านั้นสำคัญเพียงใดต่อเขาและครอบครัว “นี่เป็นปรีชาญาณในพระผู้เป็นเจ้าว่าเราจะได้บันทึกเหล่านี้, เพื่อเราจะปกปักรักษาภาษาแห่งบรรพบุรุษของเราไว้ให้ลูกหลานของเรา; … คำซึ่งพูดจากปากของศาสดาพยากรณ์ผู้บริสุทธิ์ทั้งปวง”4
แผ่นจารึกทองเหลืองมีอิทธิพลลึกซึ้งต่อพัฒนาการทางวิญญาณ ศาสนา และสังคมของชาวนีไฟ กลายเป็นแหล่งการเปิดเผยส่วนตัวและคำพยากรณ์ถึงการเสด็จมาของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล นอกจากนี้ยังกล่าวคำพยานอันทรงพลังถึงแผนแห่งความรอดอันน่าอัศจรรย์ของพระบิดาด้วย ศาสดาพยากรณ์ผู้บริสุทธิ์ที่แผ่นจารึกทองเหลืองอ้างถึงต่างเป็นพยานว่าพระเมสสิยาห์จะทรงชดใช้บาปของโลก ทรงทนทุกข์และสิ้นพระชนม์ และคืนพระชนม์อีกครั้ง ทรงมีชัยชนะเหนือบาปและความตาย5
แผ่นจารึกทองเหลืองประกอบด้วยพันธสัญญาของพระบิดากับอับราฮัมและเชื้อสายอิสราเอลทั้งหมด ลีไฮค้นพบว่าเขาเป็นผู้สืบตระกูลของโยเซฟ และลูกหลานของเขาจะเป็นลูกหลานแห่งพันธสัญญา เป็นทายาทสืบทอดสัญญาทั้งหมดที่พระผู้เป็นเจ้าทรงทำกับอับราฮัม รวมถึงการรวบรวมอิสราเอลในวันเวลาสุดท้ายด้วย
ลีไฮใช้แผ่นจารึกทองเหลืองสอนบุตรธิดาเรื่องพระผู้ช่วยให้รอดและพันธสัญญาที่พระบิดาทรงทำกับเชื้อสายอิสราเอล นีไฟกับเจคอบน้องชายสานต่อการปฏิบัติดังกล่าวและเพิ่มบันทึกของตนเองในเวลาต่อมาตามพระบัญชาจากพระเจ้า6 นีไฟเปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างแท้จริงในความสำคัญของการเก็บรักษาบันทึกถาวร โดยเฉพาะบันทึกซึ่งศักดิ์สิทธิ์7
จากรากฐานในช่วงเวลาต้นๆ ในแผ่นดินที่สัญญาไว้ ชาวนีไฟสร้างวัฒนธรรมหนึ่งที่ถือว่าการเก็บรักษา การอ่าน และการสอนบันทึกศักดิ์สิทธิ์เป็นความรับผิดชอบอันสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ ด้วยศรัทธาในพระเยซูคริสต์และคำมั่นว่าจะปกปักรักษาพระวจนะของพระองค์ ชาวนีไฟจึงกลายเป็นสังคมของคนเก็บรักษา คนอ่าน และคนสอนบันทึกศักดิ์สิทธิ์8 บันทึกอย่างเป็นทางการจดไว้บนแผ่นจารึก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชาวนีไฟพัฒนาระบบพิมพ์เพื่อคัดลอกและเขียนบันทึกศักดิ์สิทธิ์ไว้บนวัสดุที่เบากว่าและแจกจ่ายในวงกว้างได้9
การแจกจ่ายบันทึกศักดิ์สิทธิ์ในวงกว้างทำให้พ่อแม่ได้สอนพระบัญญัติของพระเจ้าให้ลูกและลูกสอนลูกๆ ของพวกเขาต่อๆ กันมาหลายศตวรรษ10 ผู้สอนศาสนาอย่างเช่นพวกบุตรของโมไซยาห์สามารถนำบันทึกติดตัวไปด้วยและใช้สอนชาวเลมันจนส่งผลอันน่าพิศวง11 ดังที่แอลมาสอนฮีลามัน บันทึกศักดิ์สิทธิ์สร้างประสบการณ์การเปิดเผยที่ “ขยายความทรงจำของคนเหล่านี้, แท้จริงแล้ว, และ … นำ [ชาวเลมันหลายพันคน] มาสู่ความรู้ถึงพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของตน, และเพื่อชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์พระผู้ไถ่ของตน”12
ความชื่นชมยินดีนี้ถึงจุดสูงสุดเมื่อพระผู้ช่วยให้รอดผู้ฟื้นคืนพระชนม์ทรงปรากฏต่อผู้คนที่พระวิหารในแผ่นดินอุดมมั่งคั่ง13 เรามีพยานอันน่าอัศจรรย์นี้ถึงการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ในพระคัมภีร์มอรมอนปัจจุบันผ่านพระเมตตา ของประทาน และเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า14 เฉกเช่นชาวนีไฟ และเนื่องจากพวกเขา เราจึงมีบันทึกศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์และแผนแห่งความรอดของพระบิดา ดังที่แอลมาพยากรณ์ต่อฮีลามันบุตรชายเมื่อนานมาแล้ว พระเจ้าทรง “ปกปักรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่อจุดประสงค์อันชาญฉลาดของพระองค์, เพื่อพระองค์จะทรงแสดงเดชานุภาพของพระองค์ให้ปรากฏแก่อนุชนรุ่นต่อๆ ไป”15
อนาคตนั้นคือเวลานี้ พระเจ้าทรงแสดงเดชานุภาพอย่างน่าอัศจรรย์ต่ออนุชนรุ่นหลัง เมื่อเราสอนความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์มอรมอน นักเรียนของเราจะรู้สึกถึงเดชานุภาพนั้น ขณะที่นักเรียนแสวงหาการเปิดเผยส่วนตัวผ่านการดื่มด่ำพระคัมภีร์มอรมอน พระคัมภีร์ดังกล่าวจะกลายเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์และเดชานุภาพการไถ่ของพระองค์ เป็นแหล่งที่มาของการเปิดเผยส่วนตัวและปีติเฉกเช่นแผ่นจารึกทองเหลืองเป็นเช่นนั้นสำหรับผู้คนของนีไฟ
พยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เสริมสร้างศรัทธาในพระเยซูคริสต์และทำให้การเปลี่ยนใจเลื่อมในพระองค์ลึกซึ้งขึ้น
ต่อไปนี้เราหันไปหาพระวิญญาณบริสุทธิ์ การเดินทางของลีไฮไปแผ่นดินที่สัญญาไว้เป็นการเดินทางของพลังทางวิญญาณ เป็นเวลาซึ่งพระเจ้าทรงสอน ทรงนำทาง และทรงปลอบโยนลีไฮ ซาไรยาห์ และลูกๆ ทุกคนของพวกเขาโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านการดลใจ ความฝัน และนิมิต สุรเสียงของพระองค์เอง และการปรากฏของทูตสวรรค์ นีไฟประกาศว่าพรเหล่านี้ของพลังทางวิญญาณมา “โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์, ซึ่งเป็นของประทานจากพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานแก่คนทั้งปวงผู้แสวงหาพระองค์อย่างขยันหมั่นเพียร”16
นีไฟแสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริง และได้รับการเปิดเผยอันสำคัญยิ่งผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ การแสวงหาเพื่อให้รู้ด้วยตนเองวางแบบอย่างให้เราเห็นทั่วพระคัมภีร์มอรมอน นีไฟมี “ความปรารถนามากด้วยที่จะรู้ความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้า”17 ความปรารถนานั้นเกิดผลในเขา และเขา “ร้องทูลพระเจ้า”18 ในการสวดอ้อนวอนด้วยเจตนาแท้จริง ในการแสวงหาของนีไฟ พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “เจ้าเป็นสุขแล้ว, นีไฟ, เพราะศรัทธาของเจ้า, เพราะเจ้าแสวงหาเราอย่างขยันหมั่นเพียร, ด้วยความนอบน้อมแห่งใจ”19
ดังนั้นนี่คือแบบอย่าง ความปรารถนาจะรู้ การสวดอ้อนวอนจากใจ การหมั่นแสวงหาด้วยความนอบน้อมและศรัทธาในพระเยซูคริสต์ และของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์20 เราเห็นแบบอย่างเช่นนี้ในชีวิตของอีนัส แอลมา พวกบุตรของโมไซยาห์ กษัตริย์ลาโมไนกับบิดาของเขา ผู้คนของแอมัน ฮีลามันกับนักรบหนุ่มของเขา และอีกหลายคน21 โดยแท้แล้ว ในเวลาของความชอบธรรมในบรรดาชาวนีไฟและชาวเลมัน การเปิดเผยส่วนตัวผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์เกิดขึ้นทั่วไปในบรรดาพวกเขา22
เมื่อชาวนีไฟกับชาวเลมันที่ซื่อสัตย์ปฏิบัติตาม—และจด—สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยต่อพวกเขา พระเจ้าประทานพรพวกเขามากยิ่งขึ้น เพราะพวกเขาสั่งสม23 สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา พระองค์จึงทรงอวยพรให้พวกเขามีศรัทธาเพิ่มขึ้นในพระองค์ เปลี่ยนใจเลื่อมใสลึกซึ้งขึ้น และมีวิญญาณของการเปิดเผย พวกเขาสามารถรับการเปิดเผยผ่านอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้มากขึ้น
ประสบการณ์ของแอลมาเป็นตัวอย่างที่สวยงามของแบบอย่างเช่นนี้ ท่านจำได้ไหม เขาเคยเห็นเทพและได้รับนิมิตอันน่าทึ่ง ทว่าเขายังคงแสวงหาพยานของพระวิญญาณจากพระเจ้า “ดูเถิด, ข้าพเจ้าเป็นพยานแก่ท่านว่าข้าพเจ้ารู้ว่าเรื่องเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าพูดมาแล้วเป็นเรื่องจริง. และท่านคิดว่าข้าพเจ้ารู้ถึงความแน่นอนของเรื่องเหล่านี้ด้วยวิธีใด?
ดูเถิด, ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่านว่าเรื่องเหล่านี้เป็นที่รู้แก่ข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า. ดูเถิด, ข้าพเจ้าอดอาหารและสวดอ้อนวอนมาหลายวันเพื่อข้าพเจ้าจะรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง. และบัดนี้ข้าพเจ้ารู้ด้วยตนเองว่าเรื่องเหล่านี้จริง; เพราะพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงเรื่องเหล่านี้ให้ประจักษ์แก่ข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์; และนี่คือวิญญาณแห่งการเปิดเผยซึ่งอยู่กับข้าพเจ้า”24
พยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีผลสำคัญต่อชาวนีไฟและสังคมที่พวกเขาอยู่25 ไม่มีตัวอย่างใดดีกว่างานเผยแผ่ของพวกบุตรของโมไซยาห์ไปยังชาวเลมันเมื่อ 91 ปีก่อนการประสูติของพระผู้ช่วยให้รอด โดยการหมั่นค้นคว้าพระคัมภีร์ การอดอาหาร และการสวดอ้อนวอน ผู้สอนศาสนาที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ “จึงมีวิญญาณแห่งการพยากรณ์, และวิญญาณแห่งการเปิดเผย”26
งานของพวกเขาในบรรดาชาวเลมันมีอิทธิพลลึกซึ้งต่อวิถีแห่งประวัติศาสตร์ของชาวนีไฟกับชาวเลมัน เป็นครั้งแรกในรอบ 500 ปีที่ “[ชาวเลมัน] หลายพันคนมาเข้าถึงความรู้เรื่องพระเจ้า, … และพวกเขาได้รับการสอนถึงบันทึกและคำพยากรณ์”27 คำบรรยายของมอรมอนเกี่ยวกับประสบการณ์นี้เป็นคำสัญญาที่พยากรณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทำตามแบบอย่างของการเปิดเผยส่วนตัวผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์: “มากเท่าที่พวกท่านนำเขามาเข้าถึงความรู้เรื่องความจริง, โดยผ่านการสั่งสอนของแอมันกับพี่น้องท่าน, ตามวิญญาณแห่งการเปิดเผยและการพยากรณ์, และเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าที่ทำปาฏิหาริย์ในคนเหล่านั้น … เปลี่ยนใจเลื่อมใสมาหาพระเจ้า, จะไม่เคยตกเลยฉันนั้น”28
พี่น้องทั้งหลาย นี่คือพยานและอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เสริมสร้างศรัทธาในพระเยซูคริสต์และทำให้การเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระองค์ลึกซึ้งขึ้น
ศาสดาพยากรณ์ผู้เป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์และต่อต้านความชั่ว
แบบอย่างที่สามของการเปิดเผยส่วนตัวคือศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ผู้ได้รับการประสาทพรด้วยพลังอำนาจและสิทธิอำนาจให้พูด “พระเจ้าตรัสไว้ดังนี้” ในเวลาจริงกับคนทั้งปวง นี่คือแบบอย่างของการพยากรณ์อันสำคัญยิ่งที่เราเห็นในพระคัมภีร์มอรมอนตลอดทั้งเล่ม นั่นคือ ศาสดาพยากรณ์กล่าวคำพยานถึงพระเยซูคริสต์ สอนพระกิตติคุณ ขอให้ผู้คนกลับใจ เตือนและต่อต้านความชั่วในสมัยของท่านเหล่านั้น29 โดยผ่านการเปิดเผย โดยเฉพาะจากเหล่าเทพ ศาสดาพยากรณ์ในพระคัมภีร์มอรมอนให้ข้อคิดที่ลึกซึ้งและยอดเยี่ยมมากมายแก่เราเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ หลักคำสอน และการชดใช้ของพระองค์30
ศาสดาพยากรณ์กล้าหาญและเฉียบขาดในการเรียกให้ผู้คนกลับใจ ด้วยเหตุนี้ ในพระคัมภีร์มอรมอนจึงมีคำสอนที่วิเศษยิ่งเรื่องการกลับใจของนีไฟ เจคอบ กษัตริย์เบ็นจามิน แอลมา อมิวเล็ค พวกบุตรของโมเซยาห์ แม่ทัพโมโรไน มอรมอน และโมโรไน31 ศาสดาพยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้สอนด้วยความชัดเจน ความเฉียบขาด ความรัก และความหวัง คำสอนของท่านเหล่านั้นยังก้องอยู่ในหูเราโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
-
“ท่านเกิดทางวิญญาณจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือ?”32
-
“หากท่านรู้สึกอยากร้องเพลงสดุดีความรักที่ไถ่, ท่านรู้สึกเช่นนั้นขณะนี้ได้หรือไม่?”33
-
“ดูเถิด, ท่านถอดความจองหองออกแล้วหรือ?”34
-
“จงกลับใจ, จงกลับใจเถิด, เพราะพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้ารับสั่งเรื่องนี้! … พระองค์ทรงส่งคำเชิญมาถึงมนุษย์ทั้งปวง, เพราะพระพาหุแห่งพระเมตตายื่นมาให้พวกเขา, และพระองค์ตรัส : จงกลับใจ, และเราจะรับเจ้าไว้”35
ศาสดาพยากรณ์ของพระคัมภีร์มอรมอนยืนหยัดต่อต้านคนชั่วผู้หมายมั่นดึงผู้คนไปจากพระเยซูคริสต์และทำลายศาสนจักรของพระองค์ คนอย่างเชเร็ม นีฮอร์ แอมลิไซ คอริฮอร์ อแมลิไคยาห์ และอีกหลายคนที่ปฏิปักษ์ทำให้สับสนและหลอกด้วยความชำนาญยิ่ง36 พวกเขามีความรู้มากในเรื่องภาษา ใช้แผนหรือข้อโต้แย้งแบบมีชั้นเชิงทำให้ความดีดูเหมือนความชั่วและความชั่วดูเหมือนความดี
พวกเขาป้อยอผู้คน โดยใช้ความถือดี ความจองหอง ความกระหายอำนาจ และความปรารถนาจะสนองความอยากของตน พระคัมภีร์กล่าวว่าพวกเขามี “พลังแห่งวาทศิลป์ [มาก], ตามอำนาจของมาร”37 และ “ทวีความรุนแรงในคำพูด”38 แม้คำสอน ข้อโต้แย้ง และคำสัญญาเหล่านี้ล้วนเป็นเท็จ แต่ดึงดูดมนุษย์ปุถุชนอย่างยิ่งจนคนจำนวนมากแตกแยกไปจากศาสนจักรและหลงทางกระทั่งศาสดาพยากรณ์ยืนว่ากล่าวและต่อต้านความชั่ว39
บัดนี้เมื่อคำพูดไม่มากพอ คนชั่วจึงหันมาใช้ความหวาดกลัว ฆาตกรรม และโจรกรรม ตั้งการมั่วสุมลับเพื่อปกปิดการทำชั่วของตน40
ศาสดาพยากรณ์ต่อต้านความชั่วแบบนี้ด้วยพระดำรัสเรียบง่ายชัดเจนของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยประจักษ์พยานของพวกท่านโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และโดยปาฏิหาริย์อันเกิดจากพระหัตถ์ของพระเจ้า ดังที่เจคอบกล่าวถึงการเผชิญหน้ากับเชเร็มว่า “พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าทรงเทพระวิญญาณของพระองค์เข้ามาในจิตวิญญาณข้าพเจ้า, ถึงขนาดที่ข้าพเจ้าหักล้างถ้อยคำทั้งปวงของเขา”41
ศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่พูดแทนพระเจ้าในสมัยของเรา เมื่อเราฟังถ้อยคำของท่านเหล่านั้นด้วยพระวิญญาณ เราจะรับการเปิดเผยส่วนตัวโดยตรง รวมถึงการเปิดเผยยืนยันสิ่งที่ศาสดาพยากรณ์กล่าวว่าเป็นความจริง42 เมื่อเราสอนให้นักเรียนค้นหาถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่เพื่อตอบคำถามของพวกเขา เท่ากับเรานำทางพวกเขาไปหาแหล่งพลังของความจริงที่เปิดเผย นักเรียนของเราเรียนรู้ว่าการเปิดเผยส่วนตัวหลั่งไหลเข้ามาในชีวิตพวกเขาเมื่อพวกเขาทำตามศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ผู้เป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์และต่อต้านความชั่ว43
การเรียนรู้หลักธรรมของการเปิดเผยส่วนตัวให้ลึกซึ้ง
พี่น้องทั้งหลาย เราพิจารณาการเปิดเผยส่วนตัวด้วยกันแล้ว ผ่านบันทึกศักดิ์สิทธิ์ พยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ซึ่งนำเสนออย่างมีพลังในพระคัมภีร์มอรมอน44 เราได้พิจารณาสิ่งเหล่านี้แยกกัน แต่เกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง ทั้งสามแบบเป็นส่วนหนึ่งของ “[การรวบรวม] ทุกสิ่ง … ให้อยู่ในพระคริสต์”45 ในสมัยการประทานนี้
แบบอย่างของการเปิดเผยส่วนตัวทั้งสามแบบนี้ร่วมกันเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์ เสริมสร้างศรัทธาในพระองค์ และทำให้การเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระองค์ลึกซึ้งขึ้น นักเรียนของเราจำเป็นต้องเรียนรู้หลักธรรมของการเปิดเผยส่วนตัวให้ลึกซึ้งเพื่อรู้และเข้าใจเรื่องนี้ในความคิดและในใจพวกเขา พวกเขาต้องรู้วิธีทำสิ่งชอบธรรมจนได้รับการเปิดเผยส่วนตัว และพวกเขาต้องเติบโตในหลักธรรมแห่งการเปิดเผย และเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้น
บัดนี้ข้าพเจ้าขอเสนอแนะบางประการที่หวังว่าท่านจะสอนนักเรียนของท่านขณะพวกเขาหมายมั่นเรียนรู้หลักธรรมนิรันดร์ของการเปิดเผยส่วนตัวให้ลึกซึ้ง
หนึ่ง การเปิดเผยส่วนตัวเป็นเรื่องใกล้ตัว
ถ้านักเรียนของเราจะทำให้ใจและความคิดของพวกเขาจดจ่ออยู่ที่พระเยซูคริสต์และพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู พวกเขาจะรู้สึกถึงความรักของพระองค์ ชื่นชมยินดีในพระกิตติคุณ และใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น ความปรารถนาจะฟังสุรเสียงของพระองค์และรับแสงสว่างของพระองค์จะเพิ่มขึ้นในพวกเขา การเปิดเผยส่วนตัวเป็นเรื่องใกล้ตัว! พระเจ้าทรงรู้จักนักเรียนของเราอย่างสนิมสนมเป็นส่วนตัว พระองค์จะตรัสกับพวกเขาเป็นส่วนตัวด้วยความรักที่สมบูรณ์ ความเข้าอกเข้าใจ และทรงทราบว่าพวกเขาต้องการอะไร การเปิดเผยมาทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เป็นพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ทรงรัก ตรัส ทรงนำทาง ทรงคุ้มครอง นี่เป็นเรื่องใกล้ตัว
สอง นักเรียนทุกคนของเราสามารถรับการเปิดเผยส่วนตัวได้
การเปิดเผยส่วนตัวเกิดขึ้นกับวิญญาณโดยพระวิญญาณ เป็นการสื่อสารจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่อวิญญาณนิรันดร์ของนักเรียน46 นักเรียนทุกคนของเรามีความสามารถอยู่ในตนเองที่จะรับการเปิดเผยส่วนตัวจากพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งทำงานตามกฎสวรรค์ ต้องพยายามให้ได้มา—หมั่นแสวงหาการเปิดเผยในการสวดอ้อนวอน การอดอาหาร การศึกษา การฟัง เขียน และปฏิบัติด้วยศรัทธาในพระเยซูคริสต์ ความพยายามเช่นนี้—และความชอบธรรมส่วนตัว—จะเปิดช่องของการเปิดเผยส่วนตัวซึ่งพวกเขาทุกคนมี
สาม นักเรียนสามารถรับการเปิดเผยได้มากขึ้นและต้องมากขึ้น
ความสามารถในการรับการเปิดเผยส่วนตัวของนักเรียนเพิ่มขึ้นได้ โดยแท้แล้วต้องเพิ่มขึ้นถ้าพวกเขาต้องการอยู่รอดทางวิญญาณและรับชีวิตนิรันดร์ นั่นเป็นจริงสำหรับเราด้วย นี่คือสาเหตุที่ประธานเนลสันกระตุ้นและขอร้องพวกเขา (และเรา) ให้ “เพิ่มสมรรถภาพทางวิญญาณเพื่อรับการเปิดเผย”47 ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธสอนว่า “โดยเรียนรู้พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าและเข้าใจ [นักเรียนของเรา] จะเติบโตไปสู่หลักธรรมแห่งการเปิดเผย จน [พวกเขา] ดีพร้อมในพระเยซูคริสต์”48
สุดท้าย อย่าประเมินพลังการเปิดเผยของการทำตามศาสดาพยากรณ์ต่ำเกินไป
นักเรียนของเราอยู่ในช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมทว่าท้าทาย พวกเขาจะได้รับความคุ้มครองและพร การเปิดเผยจะหลั่งไหลเข้ามาในชีวิตถ้าพวกเขาจะทำตามคำแนะนำและคำเชื้อเชิญจากศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า ศาสดาพยากรณ์พูดแทนพระเจ้า ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างปัจจุบัน เมื่อกล่าวถึงนักเรียนของเรา ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันเขียนว่า “การที่ท่านสามารถมีผลต่อโลกมากกว่าคนรุ่นก่อนล้วนขึ้นอยู่กับระดับการอุทิศตนของท่านต่อพระเยซูคริสต์ แต่ละท่านมีหน้าที่ช่วยสอนพระกิตติคุณในบ้านให้คนที่ท่านอยู่ด้วย เซมินารีและสถาบันจะช่วยท่านปรับเปลี่ยนบ้านให้เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งศรัทธา—สถานที่สอน เรียนรู้ ดำเนินชีวิต และรักพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์”49
พี่น้องทั้งหลาย โปรดช่วยให้นักเรียนของเราทำตามศาสดาพยากรณ์ สอนให้พวกเขาสนับสนุนบิดามารดาในการทำให้บ้านเป็นศูนย์กลางของการเรียนพระกิตติคุณ สอนให้พวกเขาแบ่งปันความรักที่มีต่อพระเจ้าและพระกิตติคุณให้กับครอบครัวและมิตรสหาย ขณะทำเช่นนั้น พวกเขาจะได้รับ “การเปิดเผยมาเติมการเปิดเผย … สิ่งนั้นที่นำมาซึ่งปีติ, สิ่งนั้นที่นำมาซึ่งนิรันดรแห่งชีวิต”50 พวกเขาจะเป็นเหมือนกองทัพของฮีลามัน เป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนที่รู้จักพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในบ้านของพวกเขาเอง
พยาน
พี่น้องที่รัก ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานถึงพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเรา พระองค์ทรงพระชนม์ พระเยซูคือพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของเรา ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ทรงพระชนม์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในชีวิตเรา สวรรค์เปิด นี่เป็นยุคของปาฏิหาริย์ ยุคของการเปิดเผยโดยอำนาจของ “พระวิญญาณ … ส่งออกไปโดยพระประสงค์ของพระบิดาโดยทางพระเยซูคริสต์, พระบุตรของพระองค์”51 ข้าพเจ้าทราบว่าเป็นความจริง ขอให้เราแต่ละคนแสวงหาการเปิดเผยจากพระเจ้าเพื่อช่วยให้นักเรียนแต่ละคน ทุกๆ คนเรียนรู้หลักธรรมนี้อย่างลึกซึ้งและรับการเปิดเผยส่วนตัวในชีวิตพวกเขาเวลานี้และตลอดไป
ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน
© 2019 by Intellectual Reserve, Inc. All rights reserved. ฉบับ: 5/19. แปลจาก “The Power of Personal Revelation.” Thai. PD60009021 425