การให้ข้อคิดทางวิญญาณ 2017
เจ้าคือโจเซฟ


36:31

เจ้าคือโจเซฟ

ยามค่ำกับเอ็ลเดอร์คิม บี. คลาร์ก

การให้ข้อคิดทางวิญญาณทั่วโลกสำหรับคนหนุ่มสาว • 7 พฤษภาคม 2017 • ซอลท์เลคแทเบอร์นาเคิล

พี่น้องที่รัก ข้าพเจ้าขอบพระทัยที่ได้อยู่กับท่านค่ำคืนนี้ ข้าพเจ้ารักท่านอย่างยิ่ง เมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้าได้อยู่กับคนหนุ่มสาวของศาสนจักรนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความรักและปีติ!

ค่ำคืนนี้ข้าพเจ้าขอเชื้อเชิญท่านเข้าร่วมสิ่งที่ข้าพเจ้าหวังว่าจะเป็นการเดินทางแห่งการค้นพบ ศรัทธา และการดลใจ ข้าพเจ้าจะพาท่านย้อนกลับไปสมัยแรกเริ่มของการฟื้นฟู เมื่อโจเซฟ สมิธยังหนุ่ม ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านเข้าสู่การเดินทางที่ข้าพเจ้าทำขึ้นมาเอง ข้าพเจ้าใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตศึกษาและสอนเกี่ยวกับผู้นำและองค์กรที่พวกเขานำ เป็นพรที่ข้าพเจ้าได้รู้จักผู้นำที่ยิ่งใหญ่หลายท่านและได้ทำงานร่วมกับองค์กรที่ดีที่สุดหลายองค์กรที่ผู้คน จัดตั้งขึ้นทั่วโลก แต่การเดินทางครั้งนี้เพื่อย้อนกลับไปสู่ประสบการณ์แรกเริ่มของโจเซฟในการฟื้นฟูได้เสริมความเชื่อมั่นของข้าพเจ้าว่าท่านกับข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนพื้นพิภพ นั่นคือศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่ของพระเจ้า

ข้าพเจ้าต้องการพาท่านย้อนกลับไปในชีวิตของโจเซฟในยามที่ท่านเผชิญกับความไม่แน่นอนและความยากลำบาก ช่วงเวลาที่ท่านกำลังเรียนรู้ว่าตนเองเป็นใคร พระเจ้าคือใคร และพระเจ้าจะทรงงานกับท่านอย่างไร

จะถึงเวลานั้นเมื่อโจเซฟจะเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งการฟื้นฟู เมื่อท่านจะประณามคนยามติดอาวุธที่คุกริชมอนด์ด้วยพลังเปี่ยมล้นแม้จนยามเหล่านั้นจะตัวสั่น เมื่อท่านจะสถาปนาศาสนจักร ทำสิ่งอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ สั่งสอนพระกิตติคุณด้วยข้อคิดอันล้ำเลิศ สร้างเมืองและพระวิหาร ตลอดจนวางรากฐานสำหรับการรวมอิสราเอลและงานแห่งความรอดทั้งสองด้านของม่าน ข้าพเจ้าต้องการกลับไปในวันเวลานั้นเพราะในวันเวลาดังกล่าวมีไว้สำหรับโจเซฟเช่นเดียวกับที่วันเวลาในปัจจุบันมีไว้สำหรับท่าน ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีบทเรียนสำคัญให้ท่านเรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าพระเยซูคริสต์และหลักคำสอนของพระองค์ และเกี่ยวกับโจเซฟ สมิธ ศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ จากวันเวลาที่โจเซฟยังหนุ่ม ข้าพเจ้ารู้ว่าในค่ำคืนนี้เมื่อท่านฟังด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า ความรักและศรัทธาที่ท่านมีต่อพระองค์และต่อพระบิดาบนสวรรค์จะเพิ่มพูน ประจักษ์พยานของท่านถึงการฟื้นฟูและศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธจะเข้มแข็งขึ้น

เรื่องราว

ข้าพเจ้าเริ่มเรื่องด้วยแผ่นจารึกทองคำ เมื่ออายุ 21 ปี โจเซฟได้รับแผ่นจารึกจากเทพโมโรไนเมื่อเดือนกันยายนปี 1827 พร้อมด้วยศิลาสองก้อนและคันธนูเงิน ซึ่งชาวนีไฟเรียกว่าเครื่องแปลความหมาย หรืออูริมกับทูมมิม1 ในฤดูใบไม้ร่วงต่อมา โจเซฟกับเอ็มมาภรรยาของท่านย้ายไปฮาร์โมนีย์ เพนน์ซิลเวเนีย บ้านเกิดของเอ็มมา เนื่องจากการข่มเหงที่รุนแรงในพอลไมรา นิวยอร์ก2

ที่ฮาร์โมนีย์ โจเซฟคัดลอกตัวอักษรจากแผ่นจารึกและศึกษาตัวอักษรเหล่านั้น ท่านขอให้มาร์ติน แฮร์ริสเพื่อนของท่านหาคนมาแปลแผ่นจารึก แต่มาร์ตินไม่ประสบความสำเร็จ3

จนเดือนกุมภาพันธ์ปี 1828 โจเซฟจึงตระหนักชัดเจนว่าท่านต้องแปลบันทึกเองด้วยความช่วยเหลือของเครื่องแปลความหมาย4 ในที่สุด โจเซฟเรียนรู้ที่จะแปลบันทึก “โดยของประทานและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า”5

เอ็มมาซึ่งกำลังตั้งครรภ์บุตรคนแรกเป็นคนแรกที่ช่วยโจเซฟจดคำแปล เธอกับโจเซฟช่วยกันทำบันทึกจนกระทั่งเดือนเมษายนปี 1828 เมื่อมาร์ติน แฮร์ริสมาถึงฮาร์โมนีย์เพื่อเขียนให้โจเซฟ

โจเซฟแปลส่วนแรกของบันทึกเสร็จในเดือนมิถุนายน รวมถึงสิ่งที่ท่านเรียกว่าหนังสือของลีไฮ มาร์ติน แฮร์ริสต้องการนำต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือไปนิวยอร์กให้ภรรยากับครอบครัวของท่านดู โจเซฟขออนุญาตพระเจ้าสองครั้ง แต่ละครั้งคำตอบคือไม่ได้ มาร์ตินยืนกรานต่อไป และโจเซฟทูลขอพระเจ้าเป็นครั้งที่สาม ครั้งนี้พระเจ้าทรงอนุญาตแต่มีเงื่อนไขว่ามาร์ติน แฮร์ริสต้องสัญญาว่าจะให้เฉพาะภรรยาและคนอื่นอีกสองสามคนดูเท่านั้น ด้วยความดีใจ มาร์ตินรีบเดินทางไปพอลไมราพร้อมกับต้นฉบับ

แต่โจเซฟกังวล ในช่วงเวลานี้ โมโรไนมาเยี่ยม โจเซฟและตำหนิท่านที่ขออนุญาตครั้งแล้วครั้งเล่าให้มาร์ตินเอาต้นฉบับไป โจเซฟต้องคืนเครื่องแปลความหมายและแผ่นจารึกให้แก่โมโรไน6

กังวลแค่นั้นยังไม่พอ เอ็มมาให้กำเนิดทารกน้อย แต่เขาสิ้นชีวิต เอ็มมาเองก็เกือบจะสิ้นชีวิตด้วย โจเซฟอยู่เคียงข้างเธอตลอดสองสัปดาห์ เมื่อเอ็มมาเริ่มรู้สึกดีขึ้น เธอกระตุ้นให้โจเซฟไปติดตามผลว่าเกิดอะไรขึ้นกับมาร์ตินและต้นฉบับดังกล่าว

วันที่โจเซฟกลับมาถึงพอลไมรา มาร์ติน แฮร์ริสยืนยันความกลัวที่สุดของโจเซฟ—ต้นฉบับหายไปแล้ว มารดาของโจเซฟบรรยายเหตุการณ์ตอนนั้นว่า

“โจเซฟ … ลุกขึ้นจากโต๊ะทันที ร้องอุทานเสียงดังว่า ‘มาร์ติน คุณทำต้นฉบับนั้นหายหรือ …’

“‘ครับ มันหายไปแล้ว’ มาร์ตินตอบ ‘ผมไม่รู้ว่าอยู่ไหน’

“‘โอ … !’ โจเซฟกล่าวพร้อมกำมือแน่น ‘หายไปหมดแล้ว! หายไปหมดแล้ว! ข้าพเจ้าจะทำเช่นไร ข้าพเจ้าทำบาปเสียแล้ว … ข้าพเจ้าควรจะพอใจกับคำตอบแรกที่ได้รับจากพระเจ้า …’ เขาร้องไห้คร่ำครวญ และเดินไปมาไม่หยุด …

“‘… ข้าพเจ้าสมควรได้รับคำตำหนิทุกอย่างจากเทพของพระผู้สูงสุด’

“… ดิฉันจะพูดอะไรเพื่อปลอบโยนเขาได้ เมื่อเขาเห็นทุกคนในครอบครัวคิดแบบเดียวกันกับเขา เพราะมีเสียงร่ำไห้และคร่ำครวญ ความโศกเศร้าอันขมขื่นที่สุดเต็มไปทั่วบ้าน … และเขายังคงเดินไปมา พร้อมกับร้องไห้เสียใจ จนตะวันลับฟ้า เมื่อเขากินอาหารบ้างเล็กน้อยตามคำวิงวอน

“เช้าวันต่อมา [เขา] ออกเดินทางกลับบ้าน เราจากกันด้วยใจที่หนักอึ้ง เพราะดูเหมือนว่าทุกสิ่งซึ่งเราคาดหวังไว้อย่างมาก … ในขณะนั้นได้หนีและหนีไปแล้วตลอดกาล”7

การเดินทางสี่วันกลับไปฮาร์โมนีย์ต้องยากมากสำหรับโจเซฟ เขากังวลเรื่องเอ็มมา และยังคงเศร้าโศกกับการสูญเสียบุตรคนแรก เขาทำต้นฉบับหายและไม่มีแผ่นจารึกหรือเครื่องแปลความหมายอีกต่อไป เป็นการเดินทางกลับบ้านที่ยาวนานมาก

โจเซฟตัดสินใจหันไปหาพระเจ้า8 ท่านบรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากกลับไปฮาร์โมนีย์ว่า

“ไม่นานหลังจากข้าพเจ้ามาถึง ข้าพเจ้าเริ่มนอบน้อมถ่อมตนในการสวดอ้อนวอนสุดกำลังต่อพระพักตร์พระเจ้า และ ... ข้าพเจ้า [ทุ่มเท] จิตวิญญาณทั้งหมดในการวิงวอนพระผู้เป็นเจ้า ว่าหากเป็นไปได้ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้รับพระเมตตาจากพระหัตถ์ของพระองค์และขอทรงยกโทษในเรื่องทั้งหมดที่ข้าพเจ้าทำลงไปซึ่งขัดกับพระประสงค์ของพระองค์9

“ข้าพเจ้ากำลังเดินออกไปไม่ไกลนัก เมื่อ … ผู้ส่งสารจากสวรรค์องค์ก่อนปรากฏและมอบอูริมกับทูมมิมแก่ข้าพเจ้าอีกครั้ง … ข้าพเจ้าทูลถามพระเจ้าโดยผ่านสิ่งเหล่านั้นและได้รับการเปิดเผยต่อไปนี้”10

การเปิดเผยที่โจเซฟได้รับบันทึกไว้ในหลักคำสอนและพันธสัญญาภาคที่ 3 เป็นการประณามอย่างรุนแรงและการเรียกให้กลับใจมากขึ้นด้วยคำสัญญา แรกสุดคือการประณาม

“และดูเถิด, เจ้า ล่วงละเมิด พระบัญชาและกฎของพระผู้เป็นเจ้า บ่อย เพียงไร, และดำเนินตาม การชักนำ ของมนุษย์.

“เพราะ, ดูเถิด, เจ้าไม่ควร กลัว มนุษย์ยิ่งกว่าพระผู้เป็นเจ้า. ถึงแม้มนุษย์จะถือว่าคำแนะนำของพระผู้เป็นเจ้าไร้ค่า, และ ดูหมิ่น พระวจนะของพระองค์—

“แต่เจ้าน่าจะซื่อสัตย์; และพระองค์ก็จะทรงยื่นพระพาหุของพระองค์มา ค้ำจุน เจ้าให้ต้านทาน ลูกดอก ไฟทั้งปวงของ ปฏิปักษ์; และพระองค์ก็จะประทับอยู่กับเจ้าใน ความทุกข์ร้อนทุกครั้ง”11

แรงจูงใจของโจเซฟมาจากการชักนำและความกลัวของมนุษย์เมื่อท่านทูลขออนุญาตพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ต้นฉบับแก่มาร์ติน แฮร์ริส โจเซฟเริ่มกลับใจ แต่พระเจ้าทรงสอนท่านว่ามีงานอีกมากที่ต้องทำให้ลุล่วง

“ดูเถิด, เจ้าคือโจเซฟ, และเจ้าได้รับเลือกให้ทำงานของพระเจ้า, แต่เพราะการล่วงละเมิด, หากเจ้าไม่ระวังเจ้าจะ ตก.

“แต่จงจำไว้, พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตา; ฉะนั้น, จงกลับใจจากสิ่งที่เจ้าทำไปซึ่งตรงกันข้ามกับคำบัญชาซึ่งเราให้เจ้า, และเจ้ายังได้รับเลือกอยู่, และได้รับเรียกมายังงาน อีก ”12

โมโรไนขอให้โจเซฟคืนเครื่องแปลความหมายและแผ่นจารึกแต่สัญญากับท่านว่า “หากเจ้าถ่อมตนและสำนึกผิดอย่างยิ่ง เจ้าอาจจะได้รับสิ่งเหล่านี้อีก”13 โจเซฟกลับใจต่อไปและไม่นานก็ได้รับแผ่นจารึกและเครื่องแปลความหมายจากโมโรไน14

ต่อมา โดยที่กังวลว่าการแปลจะช้าในช่วงฤดูหนาวปี 1829 โจเซฟทูลขอให้พระเจ้าทรงส่งคนจดบันทึกมาให้ท่านคนหนึ่ง15 ในเดือนเมษายน พระเจ้าทรงส่งออลิเวอร์ คาวเดอรีมาที่ฮาร์โมนีย์เพื่อทำงานเป็นคนจดบันทึกของโจเซฟหลังจากการเปลี่ยนใจเลื่อมใสอันน่าอัศจรรย์ของออลิเวอร์16

ด้วยการมาถึงของออลิเวอร์ ขั้นตอนการแปลดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็วน่าอัศจรรย์

การแปลพระคัมภีร์มอรมอนเต็มไปด้วยปาฏิหาริย์และพรสำหรับโจเซฟ

อย่างไรก็ตาม ท่านกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับคำถามที่ว่าจะทำอย่างไรกับหนังสือของลีไฮ หากไม่มีบันทึกของลีไฮ ก็จะไม่มีเรื่องราวของครอบครัวลีไฮ การเดินทางสู่แผ่นดินที่สัญญาไว้ หรือต้นกำเนิดของชาวนีไฟและชาวเลมัน

ในเดือนพฤษภาคมปี 1829 พระเจ้าทรงเปิดเผยต่อโจเซฟถึงแผนหนึ่งซึ่งวางไว้หลายศตวรรษ เพื่อจะมาแทนหนังสือของลีไฮซึ่งบัดนี้เรารู้จักกันว่าคือแผ่นจารึกชุดเล็กของนีไฟ แผ่นจารึกเหล่านี้มีบทสรุปของหนังสือของลีไฮและคำพยากรณ์ตลอดจนคำสอนของนีไฟและศาสดาพยากรณ์คนอื่นๆ งานเขียนเหล่านี้มีอยู่ในพระคัมภีร์มอรมอนตั้งแต่ 1 นีไฟถึงถ้อยคำของมอรมอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า เก็บรักษาไว้หลายร้อยปี และมอรมอนเพิ่มเข้าไปในบันทึกภายใต้การกำกับดูแลของพระเจ้า17

โจเซฟกับออลิเวอร์ไม่ได้แปลหนังสือของลีไฮใหม่อีกครั้ง พระเจ้าทรงเตือนว่าคนชั่วร้ายได้เปลี่ยนแปลงต้นฉบับดั้งเดิมและกำลังซุ่มรอขัดขวางงานของพระเจ้า โจเซฟแปลแผ่นจารึกชุดเล็กของนีไฟและใส่งานแปลไว้ในช่วงต้นของพระคัมภีร์มอรมอน

การแปลพระคัมภีร์มอรมอนนำมาซึ่งประสบการณ์อัศจรรย์ ฐานะปุโรหิตได้รับการฟื้นฟู และโจเซฟกับออลิเวอร์ได้รับบัพติศมาและของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์18 มีพยานสิบเอ็ดคนเห็นแผ่นจารึกและแสดงประจักษ์พยานถึงความเป็นจริงของแผ่นจารึก

พระคัมภีร์มอรมอน พร้อมด้วยประจักษ์พยานของพยานทั้งหลาย ได้รับการตีพิมพ์ในปี 1830 มาร์ติน แฮร์ริส ผู้เป็นพยานคนหนึ่งจำนองฟาร์มของเขาเพื่อนำมาจ่ายค่าจัดพิมพ์

ข้าพเจ้ามีสมบัติสองชิ้นจากชุดสะสมซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ของศาสนจักรที่อยากให้ท่านดู ชิ้นแรกคือหน้าหนึ่งจากต้นฉบับดั้งเดิมของพระคัมภีร์มอรมอน หน้านี้มีการแปลภาษาอังกฤษของ 1 นีไฟ 3:7

“ข้าพเจ้า จะ ไปและทำสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชา, เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงให้ บัญญัติ แก่ลูกหลานมนุษย์, นอกจากพระองค์จะทรง เตรียม ทางไว้ให้พวกเขาเพื่อพวกเขาจะทำสำเร็จในสิ่งซึ่งพระองค์ทรงบัญชาพวกเขา”

สมบัติชิ้นที่สองคือพระคัมภีร์มอรมอนฉบับแรก

สิ่งที่โจเซฟได้รับโดยการเปิดเผยตีพิมพ์ในพอลไมราและอยู่ที่นี่ในพระคัมภีร์มอรมอน เรื่องราวที่ข้าพเจ้าบอกท่านเกี่ยวกับโจเซฟสมัยหนุ่ม เกี่ยวกับเอ็มมา, มาร์ติน แฮร์ริส, ออลิเวอร์ คาวเดอรี, โมโรไน และพระคัมภีร์มอรมอนเป็นความจริง

เรื่องราวนี้มีความหมายต่อท่านอย่างไร

ข้าพเจ้าเชื้อเชิญท่าน พี่น้องที่รักทั้งหลาย ขอให้มองประสบการณ์ของท่านเองด้วยบริบทของเรื่องราวนี้ พระเจ้าทรงเตรียมและสอนท่าน ดังที่ทรงทำกับโจเซฟสมัยที่ท่านยังหนุ่ม มีบทเรียนสำคัญสำหรับท่านในประสบการณ์ของโจเซฟ ค่ำคืนนี้ข้าพเจ้าอยากจะมุ่งเน้นสามเรื่องได้แก่ ศรัทธาและความวางใจในพระเยซูคริสต์ การกลับใจ และพลังทางวิญญาณของพระคัมภีร์มอรมอน

บทเรียนบทที่ 1: ศรัทธาและความวางใจในพระเยซูคริสต์

ข้าพเจ้าเริ่มด้วยบทเรียนบทที่ 1: ศรัทธาและความวางใจในพระเยซูคริสต์

ข้าพเจ้าอยากให้ท่านคิดชั่วขณะหนึ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ของโจเซฟเมื่อมาร์ติน แฮร์ริสขอให้โจเซฟทูลขอพระเจ้าเป็นครั้งที่สาม พระเจ้าทรงปฏิเสธไปแล้วสองครั้ง คำขอครั้งที่สามของมาร์ตินทำให้โจเซฟยุ่งยากใจ นี่เป็นการทดลองศรัทธาของท่าน

ลองคิดดู ในทางหนึ่ง โจเซฟมีศรัทธาในพระเยซูคริสต์และพระบิดาบนสวรรค์ และได้รับพรด้วยประสบการณ์ทางวิญญาณอันน่าอัศจรรย์มากมาย ท่านได้เห็นและพูดกับพระบิดาและพระบุตร ท่านสนทนากับโมโรไนและศาสดาพยากรณ์คนอื่นๆ ท่านเพิ่งมีประสบการณ์พิเศษกับการแปลหนังสือของลีไฮโดยใช้เครื่องแปลความหมายและศิลาหยั่งรู้ของท่าน19

กล่าวอีกนัยหนึ่ง โจเซฟมีอายุ 22 ปีและท่านกังวล ท่านมีภรรยาที่ดีเยี่ยมผู้ตั้งครรภ์บุตรคนแรก ท่านไม่มีเงิน ไม่มีการศึกษา และไม่มีวิธีจัดหาให้ครอบครัว ท่านถูกห้อมล้อมด้วยคนที่สงสัย คนที่ข่มเหงท่าน และท่านมีเพื่อนไม่กี่คน ไม่มีผู้ให้คำปรึกษาหารือเรื่องต่างๆ ไม่มีคณะกรรมการบริษัท ไม่มีนายธนาคารที่จะให้เงินทุนและคำแนะนำ ท่านรู้ว่าท่านต้องจัดพิมพ์บันทึกให้ได้ แต่ท่านไม่รู้ว่าจะจ่ายค่าพิมพ์ได้อย่างไรหากมาร์ติน แฮร์ริสทิ้งท่านไป ชีวิตท่านเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

แม้ท่านจะได้รับการประสาทประสบการณ์ทางวิญญาณมากมาย แต่โจเซฟ “กลัวมนุษย์ยิ่งกว่าพระผู้เป็นเจ้า”20 และเลือกทูลขอครั้งที่สาม ด้วยเหตูนี้จึงทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยและเริ่มต้นเหตุการณ์อันนำไปสู่การสูญเสียต้นฉบับ กระนั้นพระเจ้าทรงเมตตาโจเซฟ พระองค์ทรงช่วยให้โจเซฟกลับใจโดยการดึงศรัทธาที่โจเซฟมีอยู่แล้วออกมา และพระองค์ทรงเตรียมวิธีเอาชนะการสูญเสียต้นฉบับไว้แล้ว

สถานการณ์ของท่านเหมือนสถานการณ์ของโจเซฟในหลายๆ ด้าน ท่านเป็นคนหนุ่มสาวมี่มีความกังวลและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับชีวิตแต่งงานและครอบครัว เกี่ยวกับการศึกษาและการงาน การค้นหาสถานที่ของท่านในโลกนี้และในอาณาจักรของพระเจ้า ชีวิตท่านอาจมีความท้าทายและปัญหาอื่นๆ

เช่นเดียวกับโจเซฟ ท่านมีแหล่งช่วยเหลือและประสบการณ์ทางวิญญาณแล้ว ท่านได้สัมผัสถึงพระวิญญาณของพระเจ้าในการสวดอ้อนวอน ในพระคัมภีร์ ในการรับใช้ผู้อื่น ท่านได้ประสบกับความรัก พระคุณ และเดชานุภาพของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ในการกลับใจ ในศีลระลึก และในพระวิหารศักดิ์สิทธิ์

เมื่อท่านเผชิญกับการทดลอง ซึ่งท่านจะเจอแน่นอน อย่าฟังคำแนะนำจากความกลัวของท่านหรือพึ่งพาการชักนำของมนุษย์ แต่ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านทำสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงช่วยโจเซฟทำ ข้าพเจ้าสัญญากับท่านว่าสิ่งเหล่านั้นจะนำพลังทางวิญญาณมาสู่ชีวิตท่าน

หนึ่ง ให้ดึงประสบการณ์และแหล่งช่วยทางวิญญาณที่ท่านมีอยู่แล้วออกมาเพิ่มพูนศรัทธาและความวางใจในพระเยซูคริสต์ จงพึ่งพาพรทางวิญญาณที่ท่านเคยรู้สึกและได้รับเพื่อเป็นกำลังให้รุดหน้าต่อไปด้วยศรัทธาในพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงเป็นพรที่สำคัญที่สุดเหนือพรทั้งปวง ความรักของพระองค์ไม่มีวันล้มเหลว พระองค์จะทรงอยู่กับท่านทุกครั้งที่ท่านมีปัญหา

สอง ให้ตั้งตารอด้วยดวงตาแห่งศรัทธาเพื่อดูพระผู้ช่วยให้รอดทรงงานในชีวิตท่าน พึงระลึกว่าพระเจ้าทรงเตรียมออลิเวอร์ คาวเดอรีให้เป็นผู้จดบันทึกของโจเซฟและช่วยท่านเอาชนะการสูญเสียบันทึก 116 หน้าด้วยแผ่นจารึกชุดเล็กของนีไฟ21 พระเจ้าทรงงานในชีวิตของโจเซฟ และพระองค์ทรงงานในชีวิตท่านด้วย ท่านมีอัตลักษณ์และจุดประสงค์นิรันดร์ และมีจุดหมายปลายทางแห่งสวรรค์ พระเจ้ากำลังทรงงานในชีวิตท่านขณะนี้ พระองค์ทรงอยู่ข้างหน้าท่าน เปิดประตู เตรียมคนอื่นไว้ช่วยท่าน และเปิดทางให้ท่าน

บทเรียนบทที่ 2: การกลับใจ

ต่อไปเป็นบทเรียนบทที่ 2: การกลับใจ

เราจะย้อนกลับไปตอนที่โจเซฟพบว่าต้นฉบับหายไป โจเซฟรู้ว่าท่านทำบาปต่อพระเจ้าและล่วงละเมิดพระบัญชาของพระองค์ ท่านท่วมท้นด้วยความรู้สึกผิดและความโศกเศร้า แต่โจเซฟหันไปหาพระเจ้า ท่านพบปาฏิหาริย์แห่งการให้อภัยและปีติแห่งการไถ่

พระเจ้าทรงยกโจเซฟขึ้นสู่มาตรฐานที่สูงมาก โดยไม่มีข้อยกเว้น พระองค์ทรงปฏิบัติกับโจเซฟเฉกเช่นศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงประสงค์ให้โจเซฟเป็น โจเซฟกลัวมนุษย์มากกว่าพระผู้เป็นเจ้า ท่านวางใจในความเข้าใจของตนเองและไม่วางใจในพระผู้เป็นเจ้า สำหรับโจเซฟ การกลับใจเป็นมากกว่าแค่กล่าวว่า “ข้าพระองค์ทำผิดไป ข้าพระองค์ขอโทษที่ทำต้นฉบับหาย” โจเซฟต้องเอาชนะเจตคติ ความกลัว และอุปนิสัยในชีวิตที่เป็นสาเหตุให้ท่านทำบาป ท่านจำเป็นต้องเติบโต เรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงตลอดชีวิตท่าน

โจเซฟต้องการเปลี่ยนแปลงใจซึ่งจะทำได้ก็ต่อเมื่อผ่านพระเมตตา ความรัก และเดชานุภาพของพระเยซูคริสต์เท่านั้น นั่นคือสิ่งที่โจเซฟได้รับอย่างแน่นอน พระเจ้าทรงทราบศักยภาพในอุปนิสัยที่บ่งบอกความมีจิตใจสูงของโจเซฟ เมื่อพระองค์ตรัสกับโจเซฟว่า “เจ้าคือโจเซฟ … จงกลับใจ … , และเจ้ายังได้รับเลือกอยู่”22 ท่านเห็นได้จากพระดำรัสนั้นว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงเอื้อมไปหาโจเซฟด้วยความรักและพระเมตตาของพระองค์ โดยปรารถนาให้โจเซฟเปลี่ยนแปลง

ท่านยังได้ยินพระเจ้าตรัสสอนโจเซฟด้วยว่าตัวตนที่แท้จริงของท่านเป็นใคร ท่านอาจจะเติบโตมาเป็นเด็กหนุ่มชาวนาที่ยากจน ไร้การศึกษา แต่นั่นไม่ใช่อัตลักษณ์ที่แท้จริงของท่าน ท่านคือโจเซฟ ศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ที่เลิศเลอซึ่งพระเยซูคริสต์จะทรง ฟื้นฟูความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณมายังแผ่นดินโลกผ่านท่าน

เมื่อพระเจ้าทรงเรียกโจเซฟให้กลับใจ เป็นการเรียกให้โจเซฟเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จำเป็นต่อการบรรลุศักยภาพและเป็นอัตลักษณ์ที่แท้จริงของท่านผ่านเดชานุภาพแห่งการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงทนทุกขเวทนาทุกอย่างที่ โจเซฟประสบมาแล้ว ซึ่งเป็นจริง ยากและทุกข์ใจมาก พระเยซูคริสต์ทรงเสนอทางสู่การให้อภัยและการไถ่แก่โจเซฟ เป็นเวลาหลายวัน หลายสัปดาห์ และหลายเดือน โจเซฟแสวงหาการให้อภัยจากพระเจ้าและพลังอำนาจแห่งการไถ่ของพระองค์ ท่านได้รับสิ่งเหล่านั้น

พี่น้องทั้งหลาย พระเจ้าทรงตั้งมาตรฐานที่สูงมากสำหรับท่านเช่นกัน โดยไม่มีข้อยกเว้น พระองค์ทรงปฏิบัติกับท่านเฉกเช่นสานุศิษย์ผู้องอาจและมีความเห็นอกเห็นใจซึ่งพระองค์ทรงประสงค์ให้ท่านเป็น แต่พระองค์ทรงรักท่านเช่นกัน เหมือนที่ทรงรักโจเซฟ บางครั้งเราทุกคนไม่อาจทำได้ดังหวัง และเราแต่ละคนต้องการพรของการกลับใจ

ดังที่ท่านเห็นจากประสบการณ์ของโจเซฟ การกลับใจเป็นมากกว่าแค่บอกพระเจ้าและอธิการของท่านว่าท่านทำผิด การทำบาปคือการหันไปจากพระเจ้า การกลับใจคือการหันกลับมาหาพระองค์ การกลับใจเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงใจและความคิด การเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เหมาะกับสถานการณ์ส่วนตัวของท่าน

ยิ่งกว่านั้น การกลับใจเป็นพรแก่ท่านอย่างต่อเนื่อง เป็นวิธีที่พระเจ้าทรงช่วยให้เราทำดีขึ้นและเป็นคนดีขึ้นตลอดชีวิตเรา เป็นวิธีที่ท่านบรรลุศักยภาพและกลายเป็นอัตลักษณ์นิรันดร์ของท่านในฐานะบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าและผู้ติดตามที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์

พี่น้องทั้งหลาย คำสัญญาเหล่านั้นเป็นจริง จงหันไปหาพระเจ้าพระเยซูคริสต์ กลับใจจากบาป และรักษาพระบัญญัติ พระองค์ทรงมีพระเมตตาอันไม่มีขอบเขต23 และดังที่โจเซฟสอนในเวลาต่อมาว่า “พระบิดาบนสวรรค์ของเรา … พระเมตตาและพรของพระองค์ไร้ขีดจำกัดเกินกว่าความพร้อมของเราที่จะเชื่อหรือรับ”24 พระเยซูคริสต์ทรงเลือกทนทุกข์เพื่อบาปของท่านรวมทั้งความเจ็บปวดและความโศกเศร้าทั้งหมดของท่านเพื่อพระองค์จะได้ทรงให้อภัย เยียวยา เปลี่ยนแปลง เสริมกำลัง และประทานพรท่านด้วยปีติ พระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่อย่างแท้จริง

บทเรียนบทที่ 3: พลังทางวิญญาณของพระคัมภีร์มอรมอน

ต่อไปเป็นบทเรียนบทที่ 3: พลังทางวิญญาณของพระคัมภีร์มอรมอน

เมื่อโจเซฟได้รับการอภัยบาปของท่านแล้ว ท่านชื่นชมยินดีที่ได้รับแผ่นจารึกและเครื่องแปลความหมายอีกครั้ง25 ประสบการณ์ที่ต้องสูญเสียต้นฉบับทำให้จิตวิญญาณท่านร้อนรุ่มถึงความสำคัญของพระคัมภีร์มอรมอนในงานของพระเจ้า ข่าวสารสำคัญของศาสดาพยากรณ์ในพระคัมภีร์มอรมอนคือการเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์และหลักคำสอนของพระองค์ มีพลังทางวิญญาณในพระคัมภีร์เล่มนั้น

เราเห็นพลังนั้นได้ในประสบการณ์การแปลของโจเซฟ การแปลไม่ได้มีลักษณะเป็นเครื่องจักรกล แต่เป็นประสบการณ์ทางวิญญาณ และสอนโจเซฟถึงการปฏิบัติงานของพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์มอรมอนเป็นประสบการณ์แห่งการเปิดเผยสำหรับโจเซฟตั้งแต่ต้นจนจบ พระคัมภีร์มอรมอนสอนหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์ให้โจเซฟ และพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านดำเนินชีวิตตามนั้น—เพื่อกระทำด้วยศรัทธาในพระเยซูคริสต์ เพื่อกลับใจ รับบัพติศมา และรับพระวิญญาณบริสุทธิ์26

พระเจ้าทรงอวยพรโจเซฟด้วยพลังทางวิญญาณที่เพิ่มขึ้นในประสบการณ์เหล่านี้ ตัวอย่างเช่น หลังจากท่านรับบัพติศมา ท่านบอกว่าท่าน “เปี่ยมไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” และ “ความตั้งใจและเจตจำนงที่แท้จริงของ [พระคัมภีร์]” “เปิดออกสู่ความเข้าใจ [ของท่าน]”27

พระเจ้าทรงใช้การออกมาของพระคัมภีร์มอรมอนเพื่อยกโจเซฟขึ้นมาเข้าใกล้พระองค์ยิ่งขึ้น พระเจ้าทรงสอนโจเซฟและเสริมกำลังให้ท่านนำพระคัมภีร์เล่มนั้นออกมาด้วยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

พระคัมภีร์มอรมอนสามารถเป็นประสบการณ์แห่งการเปิดเผยสำหรับท่าน เช่นเดียวกับที่เป็นได้สำหรับโจเซฟ

ศาสดาพยากรณ์ผู้เขียนพระคัมภีร์มอรมอนเห็นยุคสมัยของเรา พวกท่านเขียนถึงเรา ถ้อยคำของพวกท่านพูดกับสมัยของเรา ความต้องการ และจุดประสงค์ของเรา หากท่านเปิดใจเมื่ออ่านและสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน พระวิญญาณบริสุทธิ์28 จะ “ทรงแสดงความจริงของเรื่องให้ประจักษ์แก่ท่าน”29 ท่านจะรู้ว่าพระเจ้าพระเยซูคริสต์คือพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของท่านและรู้ว่าโจเซฟ สมิธคือศาสดาพยากรณ์แห่งการฟื้นฟู

ไม่ว่าท่านจะเป็นสมาชิกของศาสนจักรหรือยังไม่เป็น ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกมานานแล้วหรือเพิ่งเป็น ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านทำดังที่โจเซฟทำ—อ่านพระคัมภีร์มอรมอน สวดอ้อนวอนถึงพระคัมภีร์ และกระทำด้วยศรัทธาในพระเยซูคริสต์เพื่อกลับใจ รับบัพติศมา และรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากนั้นมุ่งหน้าต่อไปที่จะได้รับและรักษาศาสนพิธีและพันธสัญญาแห่งความรอดทุกอย่าง รวมถึงศาสนพิธีผนึกในพระวิหาร

ข้าพเจ้ารู้ถึงพลังของพระคัมภีร์มอรมอนจากประสบการณ์ส่วนตัวมากมาย ค่ำคืนนี้ข้าพเจ้าขอแบ่งปันหนึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยข้าพเจ้าเป็นหนุ่ม ข้าพเจ้ารับใช้งานเผยแผ่ศาสนาในเยอรมนีได้สองเดือน  เป็นช่วงเวลาสองเดือนที่ยากลำบากและข้าพเจ้าท้อแท้ใจ เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าคุกเข่าสวดอ้อนวอนและทูลพระบิดาบนสวรรค์ถึงปัญหาของข้าพเจ้าว่า “พระบิดาบนสวรรค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ด้วย” ขณะที่ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอน ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหนึ่งที่แตกต่างและชัดเจนราวกับมีใครบางคนยืนอยู่ข้างข้าพเจ้า เสียงนั้นกล่าวว่า “จงเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า”

ข้าพเจ้านั่งอยู่บนเตียง เปิดพระคัมภีร์มอรมอนไปที่โมไซยาห์บทที่ 4 ข้อ 9 และ 10 อ่านถ้อยคำของกษัตริย์เบ็นจามิน

“จงเชื่อใน พระผู้เป็นเจ้า; จงเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่, และว่าพระองค์ทรง สร้าง สิ่งทั้งปวง, ทั้งในฟ้าสวรรค์และในแผ่นดินโลก; จงเชื่อว่าพระองค์ทรงมี ปรีชาญาณทั้งหมด, และเดชานุภาพทั้งหมด, ทั้งในฟ้าสวรรค์และในแผ่นดินโลก; …

“… จงเชื่อว่าท่านต้อง กลับใจ จากบาปของท่านและทิ้งมัน, และนอบน้อมถ่อมตนต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า; … และบัดนี้, หากท่าน เชื่อ สิ่งทั้งหมดนี้จงดูว่าท่าน ทำตาม นั้น”30

เมื่อข้าพเจ้าอ่านถ้อยคำเหล่านั้นข้าพเจ้ารู้สึกราวกับว่ากษัตริย์เบ็นจามินกำลังพูดกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสัมผัสถึงอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในใจ ข้าพเจ้ารู้ว่านี่คือคำตอบของคำสวดอ้อนวอน ข้าพเจ้าต้องวางใจพระเจ้า กลับใจ และออกไปทำงาน ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงเวลานี้ พระคัมภีร์มอรมอนเป็นที่มาแห่งพลังทางวิญญาณในชีวิตข้าพเจ้า

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้ว่าพระคัมภีร์มอรมอนจะนำท่านไปหาพระเยซูคริสต์และหลักคำสอนของพระองค์ จงอ่าน ศึกษา สวดอ้อนวอนเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน สั่งสมไว้ในความนึกคิดและในใจท่านทุกวัน ตามที่ประธานมอนสันแนะนำให้เราทำ ทุกเวลาในชีวิตของท่าน พระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเราจะตรัสสันติสุขแก่จิตวิญญาณท่าน ยกท่าน เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ท่าน และดึงท่านเข้าใกล้พระองค์มากยิ่งขึ้น ในพระคัมภีร์เล่มนั้น ด้วยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ประจักษ์พยาน

บทเรียนทั้งสามบทนี้จากสมัยที่โจเซฟยังหนุ่มเป็นพยานถึงเดชานุภาพของพระเยซูคริสต์และหลักคำสอนของพระองค์ ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระบุตรผู้ทรงพระชนม์ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ มีพระผู้ไถ่ พระองค์ทรงพระชนม์!

ข้าพเจ้าหวังและสวดอ้อนวอนว่าท่านจะเรียนรู้จากชีวิตของโจเซฟ แม้โจเซฟจะประสบปัญหาในช่วงวัยหนุ่ม แต่ท่านวางใจพระเจ้า และพระเจ้าประทานพรให้ท่านกลายเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งการฟื้นฟู โจเซฟทำงานศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า การฟื้นฟูเป็นความจริง! จงจำไว้ว่า พระเยซูคือพระคริสต์ และโจเซฟคือศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ มีสายลำดับกุญแจ สิทธิอำนาจ และพลังอำนาจฐานะปุโรหิตที่ไม่ขาดช่วงซึ่งเชื่อมโยงโจเซฟ สมิธกับโธมัส เอส. มอนสัน ประธานมอนสันคือศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกวันนี้ ทั้งหมดเป็นความจริง

ดังนั้น พี่น้องที่รักทั้งหลายทั่วทั้งแผ่นดินโลก ข้าพเจ้ากล่าวกับท่านค่ำคืนนี้ จงวางใจในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงทราบชื่อของโจเซฟ ทรงทราบชื่อของท่าน พระองค์ทรงรักท่านและทรงงานในชีวิตท่าน โดยพระเมตตา พระคุณ และความรัก ท่านบรรลุศักยภาพได้ และเช่นเดียวกับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ ท่านจะเอาชนะการทดลองทุกอย่างได้และกลายเป็นสิ่งที่ท่านถูกกำหนดให้เป็น นั่นคือ วิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้องอาจและซื่อสัตย์ ผู้นำในครอบครัวนิรันดร์ของท่านและใน ศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่ของพระองค์ สานุศิษย์ที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ เปี่ยมด้วยความสว่างและความรักของพระองค์ พร้อมจะรับพระผู้ช่วยให้รอดเมื่อพระองค์เสด็จมาอีกครั้ง ข้าพเจ้ายืนยันสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. โมโรไนได้แนะนำ สอน และให้คำปรึกษาโจเซฟเป็นเวลาสี่ปี โจเซฟไปที่ เนินเขาคาโมราห์วันเดียวกันในเดือนกันยายนทุกปีตั้งแต่ปี 1823 ทุกปีท่านไป พร้อมความหวังอันแรงกล้าว่าท่านจะได้รับแผ่นจารึก แต่โมโรไนบอกท่าน (โจเซฟ) เพียงว่าท่านยังไม่พร้อม เมื่อถึงเดือนกันยายนปี 1827 ท่านพร้อมแล้ว เรื่อง เครื่องแปลความหมาย ดู แอลมา 37:21–24 โจเซฟ สมิธบอกว่าศิลาสองก้อนประกอบด้วยสิ่งที่เรียกว่าอูริมและทูมมิม ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:35; ดู ริชาร์ด อี. เทอร์ลีย์ จูเนียร์, รอบิน เอส. เจนเซ็น และมาร์ค แอสเฮิร์สต์-แม็คกี, “โจเซฟผู้หยั่งรู้,” เลียโฮนา, (ต.ค. 2015), 10–17 ด้วย.

  2. ไอแซค เฮล บิดาของเอ็มมา เสนอฟาร์ม บ้าน ยุ้งฉางและสิ่งอื่นๆ ที่ดีขึ้นให้กับเอ็มมาและโจเซฟหากพวกเขาจะย้ายกลับมาอยู่ที่ฮาร์โมนีย์ เพนน์ซิลเวเนีย (ดู The Joseph Smith Papers, Documents, Volume 1: July 1828–June 1831, ed. Michael Hubbard MacKay and others [2013], 29; Michael Hubbard MacKay and Gerrit J. Dirkmaat, From Darkness unto Light: Joseph Smith’s Translation and Publication of the Book of Mormon (2015), 32–33). มาร์ติน แฮร์ริส เพื่อนและเกษตรกรในท้องที่ผู้มั่งคั่ง ให้เงิน 50 ดอลลาร์ แก่โจเซฟและเอ็มมา สมิธ เพื่อช่วยปลดหนี้และเป็นเงินทุนสำหรับการย้าย ไปเพนน์ซิลเวเนีย (ดู The Joseph Smith Papers, Histories, Volume 1, Joseph Smith Histories, 1832–1844, ed. Karen Lynn Davidson and others [2012], 15).

  3. สำหรับการสนทนาเรื่องการจดบันทึกตัวอักษรของพระคัมภีร์มอรมอนและการเดินทางของมาร์ติน แฮร์ริส ดู Richard E. Bennett, “Martin Harris’s 1828 Visit to Luther Bradish, Charles Anthon, and Samuel Mitchill,” ใน The Coming Forth of the Book of Mormon: A Marvelous Work and a Wonder, ed. Dennis L. Largey and others (2015), 103–15.

  4. มีเรื่องเล่าจากหลายคนที่สนับสนุนว่ามาร์ติน แฮร์ริสได้นำแบบตัวอักษรไปให้บุคคลอย่างน้อยสามคนดู “เพื่อดูว่าเป็นไปได้ไหมที่จะหาคนแปลและว่า [โจเซฟ สมิธ] เริ่มแปลเพียงหลังจากแฮร์ริสกลับมาโดยไม่สามารถหาคนแปลได้” (ใน The Joseph Smith Papers, Histories, Volume 1, Joseph Smith Histories, 1832–1844, 241). ในประวัติศาสตร์แรกสุด โจเซฟสมิธบันทึกไว้ว่ามาร์ติน แฮร์ริส “บอกว่าพระเจ้าทรงแสดงให้เขาประจักษ์ว่าเขาต้องไปนิวยอร์กซิตี้พร้อมกับแบบตัวอักษร เราจึงเริ่มคัดลอกตัวอักษรบางตัวและเขาออกเดินทางไปยางเมืองทางตะวันออกและไปหาคนมีความรู้ โดยกล่าวว่า ‘ช่วยอ่านสิ่งนี้ให้ด้วย ผมวิงวอน’ และผู้มีความรู้บอกว่า ‘ผมอ่านไม่ได้’ แต่ถ้าหากเขานำ … แผ่นจารึกมาพวกเขาจะอ่านให้ แต่พระเจ้าทรงห้าม และ [มาร์ติน แฮร์ริส] กลับมาหาข้าพเจ้าและให้ข้าพเจ้าแปล และข้าพเจ้ากล่าวว่า ‘[ข้าพเจ้า] แปลไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าไม่มีความรู้’ แต่พระเจ้าทรงเตรียมแว่นตาไว้สำหรับช่วยอ่าน ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเริ่มแปลตักอักษร” (ใน The Joseph Smith Papers, Histories, Volume 1, Joseph Smith Histories, 1832–1844, 15; ตัวพิมพ์ใหญ่ เครื่องหมายวรรคตอน และตัวสะกดถูกปรับให้เป็นมาตรฐานเพื่อความชัดเจน).

  5. โจเซฟ สมิธ, ปกในของพระคัมภีร์มอรมอนฉบับปี 1830. สำหรับบทสรุปพอสังเขปของการแปลพระคัมภีร์มอรมอน ดูบทความ Gospel Topics “Book of Mormon Translation,” topics.lds.org.

  6. ดู Manuscript History of the Church, vol. A-1, p. 10, josephsmithpapers.org.

  7. Lucy Mack Smith, Biographical Sketches of Joseph Smith the Prophet and His Progenitors for Many Generations (1853), 121–22.

  8. เป็นพรที่โจเซฟอยู่ที่นิวยอร์กท่ามกลางครอบครัวของท่านเมื่อข่าวร้ายนี้มาถึง ก่อนท่านจะกลับไป ฮาร์โมนีย์ เพนน์ซิลเวเนีย มารดาของท่านให้คำแนะนำว่า “บางทีพระเจ้าจะทรงให้อภัยเขาหลังจากความนอบน้อมถ่อมตนและกลับใจอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง” (Smith, Biographical Sketches, 121.

  9. Smith, Biographical Sketches, 125.

  10. โจเซฟ สมิธ, ใน Manuscript History of the Church, vol. A-1, p. 10, josephsmithpapers.org.

  11. หลักคำสอนและพันธสัญญา 3:6–8.

  12. หลักคำสอนและพันธสัญญา 3:9–10.

  13. ดู Smith, Biographical Sketches, 125.

  14. มีเรื่องราวที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ได้แผ่นจารึกพระคัมภีร์มอรมอนกลับคืนมา ประวัติของโจเซฟบอกว่าภายในสองสามวัน ขณะที่ประวัติของลูซี แมค สมิธบอกว่าเป็นเดือนกันยายน. (ดู Manuscript History of the Church, vol. A-1, p. 11, josephsmithpapers.org; Lucy Mack Smith, Biographical Sketches, 126).

  15. ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวนั้นโจเซฟทำงานแปลบางส่วนโดยมีเอ็มมาเป็นผู้จดบันทึก แต่เวลาส่วนใหญ่เธอกับโจเซฟต้องทำงานในฟาร์มและดูแลบ้านของพวกเขา (ดู Smith, Biographical Sketches, 131).

  16. ออลิเวอร์ คาวเดอรีพักอยู่กับครอบครัวสมิธในแมนเชสเตอร์ นิวยอร์ก ขณะสอนอยู่ที่โรงเรียน เขาได้ยินเรื่องราวแผ่นจารึกและพระคัมภีร์มอรมอน และ “คืนหนึ่งหลังจากที่เขาเข้านอน เขาเรียกหาพระเจ้าเพื่อให้รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างนั้นหรือไม่ และพระเจ้าทรงแสดงให้เขาเห็นว่านั่นเป็นเรื่องจริง” (โจเซฟ สมิธ, ใน Manuscript History of the Church, vol. A-1, p. 15, josephsmithpapers.org). ด้วยความรู้นั้นเขาจึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะจดบันทึกให้โจเซฟ.

  17. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 10:38–42. นีไฟได้รับการดลใจให้ทำแผ่นจารึกชุดเล็ก (ดู 1 นีไฟ 9:3–6) และนี่คือคำบรรยายของมอรมอนถึงการดลใจที่ท่านได้รับเพื่อนำแผ่นจารึกชุดนี้มารวมไว้กับบันทึก “ดูเถิด, ข้าพเจ้าจะนำแผ่นจารึกเหล่านี้, ซึ่งมีคำพยากรณ์และการเปิดเผยเหล่านี้, และรวมมันไว้กับตอนที่เหลือของบันทึกข้าพเจ้า, เพราะแผ่นจารึกเหล่านั้นเลิศเลอสำหรับข้าพเจ้า … และข้าพเจ้าทำการนี้ด้วยจุดประสงค์อันชอบด้วยเหตุผล; เพราะทรงกระซิบข้าพเจ้าเช่นนั้น, อันเป็นไปตามการทำงานของพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งอยู่ในข้าพเจ้า” (ถ้อยคำของมอรมอน 1:6–7).

  18. เมื่อโจเซฟแปลบันทึกเสร็จแล้ว ท่านกับออลิเวอร์ได้รับการกระตุ้นเตือนให้เข้าไปในป่าและสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับบัพติศมาเพื่อการปลดบาปซึ่งกล่าวถึงในการแปลหนังสือนีไฟฉบับที่ 3 (ดู 3 Nephi 11:21–28; 19:9–13; 27:16–20) คำสวดอ้อนวอนของพวกท่านได้รับคำตอบ โจเซฟกับออลิเวอร์ได้รับฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนจากยอห์นผู้ถวายบัพติศมาและให้บัพติศมากันและกัน (ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:68–73). ต่อมาพวกท่านได้รับฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคจากเปโตร ยากอบ และยอห์น ซึ่งประทานสิทธิอำนาจให้พวกท่านในการประสิทธิ์ประสาทของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 27:12–13).

  19. ดู The Joseph Smith Papers, Revelations and Translations, Volume 3, Part 1: Printer’s Manuscript of the Book of Mormon, 1 Nephi 1–Alma 35, ed. Royal Skousen and Robin Scott Jensen [2015], xvii–xix; MacKay and Dirkmaat, From Darkness unto Light, 67–69.

  20. หลักคำสอนและพันธสัญญา 3:7.

  21. เมื่อโจเซฟทราบว่ามาร์ติน แฮร์ริสทำต้นฉบับหาย ท่านไม่ทราบว่าพระเจ้าทรงดลใจมอรมอนให้รวมแผ่นจารึกชุดเล็กของนีไฟไว้ในบันทึกด้วย ท่านไม่ทราบว่าพระเจ้าจะทรงดลใจมาร์ติน แฮร์ริสให้กลับใจ เป็นพยานคนหนึ่งของพระคัมภีร์มอรมอนและจ่ายค่าจัดพิมพ์ให้ โจเซฟไม่ล่วงรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นเลย พระเจ้าทรงอยู่เบื้องหน้าโจเซฟเพื่อเตรียมทางให้ท่าน.

  22. หลักคำสอนและพันธสัญญา 3:9–10.

  23. ดู โมไซยาห์ 28:4.

  24. โจเซฟ สมิธ, ใน Manuscript History of the Church, vol. D-1, addenda, p. 4, josephsmithpapers.org.

  25. ความแตกต่างกับความมืดที่ท่านประสบในหลายเดือนนั้นโดยไม่มีความสามารถที่จะแปลชัดเจนอย่างยิ่ง พระเจ้าประทานอำนาจแก่โจเซฟในการ “แปลโดยใช้ [เครื่องแปลความหมาย]” แต่โจเซฟได้ “สูญเสียของประทาน [นั้น]… และความคิด [ท่าน] กลับมืด” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 10:1–2). ความคิดของโจเซฟกระจ่างด้วยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และท่านประสบกับความมืดทางวิญญาณในความคิดของท่านจากการสูญเสียความสว่างนั้น การสูญเสียดังกล่าวทำให้วิญญาณแห่งการเปิดเผยและการนำทางจากพระวิญญาณหอมหวานต่อโจเซฟ.

  26. การแปลเรื่องราวของบัพติศมาและการรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในช่วงเวลาที่พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จเยือนผู้คนที่พระวิหารในแผ่นดินอุดมมั่งคั่งนั่นเองที่กระตุ้นให้โจเซฟกับออลิเวอร์แสวงหาการเปิดเผยเกี่ยวกับสิทธิอำนาจในการบัพติศมาและให้ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  (ดู The Joseph Smith Papers, Histories, Volume 1: Joseph Smith Histories, 1832–1844, 42; ดู Oliver Cowdery, letter to W. W. Phelps, dated Sept. 7, 1834, ใน Latter Day Saints’s Messenger and Advocate, Oct. 1834, 15–16) ด้วย.

  27. โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:73–74.

  28. ผู้คนที่บัพติศมาเข้ามาสู่ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย รับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งคือสิทธิ์ในการมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเพื่อนที่ยั่งยืน ผู้คนที่ยังไม่ได้รับบัพติศมาอาจได้รับอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการเป็นพยานถึงความจริงของพระคัมภีร์มอรมอน แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่สถิตอยู่กับพวกเขา.

  29. โมโรไน 10:4.

  30. โมไซยาห์ 4:9–10.