การให้ข้อคิดทางวิญญาณ 2023
ยืนหยัดเพื่อความจริง


ยืนหยัดเพื่อความจริง

การให้ข้อคิดทางวิญญาณสำหรับคนหนุ่มสาวทั่วโลก

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2023

ประธานดัลลิน เอช. โอ๊คส์: ขอบคุณสำหรับบทเพลงที่ไพเราะ และขอบคุณกรรมาธิการกิลเบิร์ต สำหรับคำแนะนำที่ดีนั้น

คนหนุ่มสาวที่รัก รวมถึงนักเรียนที่ใกล้จบการศึกษาระดับมัธยมปลายด้วย ข้าพเจ้าและซิสเตอร์โอ๊คส์รู้สึกปลาบปลื้มที่ได้แสดงความรักและปราศรัยกับท่านในการให้ข้อคิดทางวิญญาณที่สำคัญครั้งนี้ นี่คือช่วงเวลาที่เราทุกคนเครียด แต่พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ทำให้เรามีเหตุผลมากพอที่จะรื่นเริง ผ่านศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าประทานการท้าทายให้เรายืนหยัดผ่านความยากลำบาก และพระดำรัสสอนของพระเยซูคริสต์เปิดทางให้เรามีชัยไปสู่จุดหมายอันสูงส่งแห่งชีวิตนิรันดร์

I.

เมื่อกล่าวกับผู้ฟังดังเช่นพวกท่าน ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันได้มอบใบสั่งแพทย์ที่สำคัญใบนี้: “ขณะที่สังคมมนุษย์เติบโตทางโลกมากกว่าเติบโตทางวิญญาณ ท่านควรเติบโตทางวิญญาณมากกว่าเติบโตทางโลก มุ่งมั่นที่จะยืนหยัดเพื่อหลักธรรมไม่ใช่ค่านิยมทั่วไป”

จากนั้นท่านให้การท้าทายนี้ ซึ่งเรานำมาเป็นหัวข้อการให้ข้อคิดทางวิญญาณของเรา: “รู้ความจริงและยืนหยัดเพื่อความจริงนั้น แม้ไม่เป็นที่นิยมตามหลักการเมือง”1

เป้าหมายในชีวิตมรรตัยของเราและเส้นทางที่เราควรเดินตามเพื่อมีชัยให้ไว้ในแผนแห่งความรอดและล่าสุดอยู่ใน “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก” จงพิจารณามุมมองในข้อสรุปอันทรงคุณค่าโดยประธานเนลสัน:

“ชีวิตมิใช่ละครตอนเดียวจบ มีช่วงชีวิตก่อนเกิดจริง และมีชีวิตหลังความตายจริง ชีวิตก่อนเกิดและชีวิตมรรตัยเป็นเพียงการโหมโรงของชีวิตหลังความตาย ความรู้เรื่องรัศมีภาพสามระดับที่เปิดเผยต่อบรรดาศาสดาพยากรณ์ ทำให้เรามองเห็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ ของศักยภาพในชีวิตหลังความตาย ชีวิตนิรันดร์รุ่งโรจน์และคุ้มค่าต่อการแสวงหา”2

ในฐานะวิสุทธิชนยุคสุดท้าย เราได้รับพรด้วยการเปิดเผยยุคปัจจุบันที่ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับจุดประสงค์ของชีวิตมรรตัยนี้ ตามที่ประธานเนลสันกล่าว เราไม่ได้มองชีวิตมรรตัยว่าเป็นละครตอนเดียวจบ สำหรับเรา มีละครอย่างน้อยที่สุดสามตอนในการเดินทางนิรันดร์ ตอนที่ 1 การดำรงอยู่ก่อนเกิดของเรา การดำรงอยู่ในความเป็นมรรตัยขณะนี้ คือตอนที่ 2 ชีวิตหลังความตายคือตอนที่ 3 ตอนสุดท้ายนี้รวมถึงการฟื้นคืนชีวิตที่แท้จริงของทุกคนที่เคยมีชีวิตและการพิพากษาครั้งสุดท้ายที่จะส่งเราไปยังอาณาจักรแห่งรัศมีภาพตามคุณสมบัติของเราที่กำหนดโดยการกระทำ การตัดสินใจและความปรารถนาของเราเอง

พระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์ให้การเข้าถึงความจริงที่พิเศษเกี่ยวกับแผนแห่งความรอดของพระบิดาบนสวรรค์

จุดประสงค์ของชีวิตเราบนแผ่นดินโลกซึ่งเป็นตอนที่ 2 คือการเติบไปสู่จุดหมายแห่งชีวิตนิรันดร์ เราทำสิ่งนี้ด้วยการเอาชนะสิ่งที่พระคัมภีร์มอรมอนอธิบายว่าเป็นการตรงข้ามในทุกสิ่ง รวมถึงการล่อลวงมากมายให้ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า การเผชิญและเอาชนะการล่อลวง และการเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ายิ่งขึ้นด้วยการเลือกที่ถูกต้องและการกลับใจเมื่อเลือกผิด ช่วยให้เราเติบโตนิรันดร์ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของชีวิตมรรตัยของบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า

เรามีของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และมีแสงสว่างจากการเปิดเผยยุคปัจจุบันจึงได้รับพรด้วยข้อคิดมากมาย ตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์มอรมอนสัญญาว่าคนที่แสวงหาอย่างขยันหมั่นเพียร “จะพบ; และความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้าจะสำแดงแก่พวกเขา, โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์”3 ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนให้ทุกคนที่ข้าพเจ้ารัก—รวมถึงบุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้าที่เสียงข้าพเจ้าไปถึง—จะทำตามคำเชิญให้ค้นหาและรู้ความจริงนี้

II.

ความจริงข้อแรกเกี่ยวกับการแต่งงาน การแต่งงานเป็นศูนย์กลางของจุดประสงค์ของชีวิตมรรตัยและสิ่งที่ตามมา เราเป็นบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงสร้างเราพร้อมความสามารถในการทำตามพระบัญญัติให้มีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก อำนาจการสร้างนั้นคือหนึ่งในของประทานอันล้ำค่าที่สุดที่เรามีในชีวิตมรรตัย แต่ศูนย์กลางแห่งของประทานนั้นคือกฎแห่งความบริสุทธิ์ทางเพศ พระบัญญัติที่ว่าอํานาจแห่งการให้กําเนิดจะใช้ได้เฉพาะในการแต่งงานระหว่างชายหญิงเท่านั้น พระบัญญัตินั้นเป็นศูนย์กลางของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ความจริงนั้นอธิบายว่าทำไมเรามีค่านิยมที่แตกต่างและละเว้นจากพฤติกรรมบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติของผู้คนมากมายรอบตัวเรา

เจตคติที่มีต่อนิยามของการแต่งงานและที่มีต่อการแต่งงานเองคือตัวอย่างของเรื่องนี้ ผู้นำในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์มีความกังวลที่แตกต่างออกไปกับการเปลี่ยนแปลงเมื่อเร็วๆ นี้เกี่ยวกับลักษณะและขอบเขตของการแต่งงานในสหรัฐ เรื่องนี้รวมถึงแนวโน้มที่พลเมืองสหรัฐ รวมถึงชายหนุ่มและหญิงสาววิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่มีค่าควรบางคนด้วยที่เลื่อนการแต่งงานออกไป เพื่อแสดงให้เห็นแนวโน้มดังกล่าว เราจะดูแผนภูมิการแต่งงานสองฉบับ แม้ตัวเลขเหล่านี้จะใช้สำหรับสหรัฐ แต่ก็เป็นตัวแทนของปัญหาทั่วโลกเช่นกัน

แผนภูมิแรกแสดงให้เห็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญใน เปอร์เซ็นต์ของประชากรในสหรัฐ ที่เคยแต่งงานแล้ว ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เปอร์เซ็นต์เรื่องนี้ลดลงแปดถึงเก้าเปอร์เซ็นต์สำหรับทั้งชายและหญิง เห็นได้ชัดว่าการแต่งงานในสหรัฐลดลง

แผนภูมิที่สองแสดงให้เห็นวัยแต่งงานที่เพิ่มขึ้นอย่างเกี่ยวเนื่องกันของ หนุ่มสาววิสุทธิชนยุคสุดท้าย แผนภูมินี้แสดงให้เห็นอายุเฉลี่ยของชายและหญิงวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเมื่อพวกเขาแต่งงานครั้งแรก แผนภูมิแสดงให้เห็นอายุที่เพิ่มขึ้นประมาณห้าปีสำหรับทั้งชายและหญิง4

เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่วิสุทธิชนยุคสุดท้ายหนุ่มสาวพลาดเมื่อตั้งใจเลื่อนการแต่งงานออกไปเป็นช่วงเวลาที่นาน: โอกาสที่เสียไปและพรที่เลื่อนเวลาออกไป นี่หมายถึงการล่าช้าของการเติบโตส่วนบุคคลที่สำคัญที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา การเติบโตในคุณสมบัติบางอย่างเช่น การเสียสละและความอ่อนน้อมถ่อมตน นั่นหมายถึงโอกาสที่จะร่วมมือกันทำงานสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าลดลงด้วย และที่สำคัญที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือ นั่นหมายถึงเด็กที่จะเกิดมาพร้อมพรแห่งพระกิตติคุณจะมีน้อยลงด้วย ท่านรู้เรื่องนี้ทุกอย่าง และท่านจำเป็นต้องรู้ว่าผู้นำของท่านรู้ว่าคนโสดของเราหลายคนไม่แต่งงานเร็วกว่านี้ด้วยเหตุผลที่พวกเขาควบคุมไม่ได้ ข้าพเจ้าจะพูดถึงเรื่องนี้ภายหลัง

คริสเต็นครับ กรุณาเพิ่มความคิดของคุณในเรื่องนี้ด้วย

ซิสเตอร์ คริสเต็น เอ็ม. โอ๊คส์: โอเคค่ะ ความจริงแล้ว การแต่งงานคือของขวัญ การแต่งงานไม่เพียงให้โอกาสเรามีลูกเท่านั้น แต่ยังให้โอกาสและแรงจูงใจแก่เราในการเริ่มการเดินทางแห่งการเติบโตไปกับอีกคนหนึ่งด้วย เราเรียนรู้ที่จะเสียสละและรับใช้อย่างที่เราสามารถเรียนรู้จากวิธีอื่นไม่กี่วิธี

เมื่อดิฉันยังโสด ดิฉันมองหาโอกาสรับใช้เสมอ ตอนนี้ เวลาอาหารเย็นของทุกคืน โครงการรับใช้ของดิฉันนั่งอยู่ตรงหน้าดิฉัน ดิฉันเรียนรู้ที่จะรักและช่วยสามีดิฉันได้ดีขึ้น ดิฉันมีเพื่อนที่จะหัวเราะและร้องไห้ด้วย ดิฉันมีผู้สนับสนุน ครู และเชียร์ลีดเดอร์ที่คอยช่วยเหลือฉันดิ การแต่งงานเป็นโอกาสในการเรียนรู้การสื่อสารและมุมมองไปในตัว ดิฉันอยากให้ท่านทราบว่าชีวิตจะดีขึ้นเมื่อการแต่งงานของเราเชื่อมโยงกับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเราและใกล้ชิดกับพระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้น และเราต้องการให้ทุกท่านได้สิ่งนั้น

ในละคร Les Misérables (เหยื่ออธรรม) มีข้อความหนึ่งกล่าวว่า “การรักผู้อื่นคือการเห็นพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า”5 ไม่มีที่ไหนทำให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้ดีกว่าการแต่งงาน

ประธานโอ๊คส์: ในแง่มุมทางโลก การเลื่อนการมีลูกออกไป—แม้การลดคุณค่าพวกเขาอย่างมีนัยสำคัญ—เป็นหลักฐานของแนวโน้มที่เพิ่งรายงานไว้ในโพลระดับชาติที่เชื่อถือได้ซึ่งแสดงว่าผู้ใหญ่ให้ความสำคัญกับการมีลูกน้อยลงในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาจาก 66 เปอร์เซ็นต์เป็น 33 เปอร์เซ็นต์6

เมื่อคริสเต็นเล่าความเห็นของหลานชายคนเล็กให้ฟัง เธอและข้าพเจ้าเริ่มคิดว่า การลดคุณค่าความสำคัญของเด็กๆ ในระดับชาติเช่นนี้สำคัญต่อศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูอย่างไร ขณะพวกเขาอ่าน เพื่อนเด็ก ด้วยกันและมองภาพพระเยซู เธอสงสัยภาพที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเรียกเด็กๆ มาหาพระองค์ อังเดร์ส อายุสี่ขวบ ตอบด้วยคำอธิบายที่ได้รับการดลใจว่า: “ไม่เข้าใจเหรอครับ? พระเยซูทรงรักเด็กๆ ”

จงจำไว้ว่า พระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเรามีแผนสำหรับคนหนุ่มสาวของพระองค์ และส่วนหนึ่งของแผนนั้นคือการแต่งงานและการมีลูก

ตอนนี้เรามาสนุกกันหน่อย เราต้องการแบ่งปันสิ่งที่เราเคยสอนเรื่องการออกเดทและการออกไปเที่ยว นี่คือวีดิทัศน์ของสิ่งที่เราพูดในปี 2005 เมื่อคนหนุ่มสาวที่อายุมากที่สุดที่อยู่กับเราวันนี้อายุเพียง 12 ปีและที่เหลือยังเด็กมากหรือยังไม่เกิด

เป็นเวลาหลายปีที่ศาสนจักรแนะนำเยาวชนของเราไม่ให้ออกเดทก่อนอายุ 16 บางทีคนหนุ่มสาวบางคนโดยเฉพาะชายหนุ่มอาจยึดถือคำแนะนำที่ชาญฉลาดนี้ไว้นานเกินไปเลยไม่ยอมออกเดทก่อนอายุ 26 หรืออาจถึงอายุ 36 เลย ตอนนี้ข้าพเจ้าขอเชิญให้ท่านย้อนเวลามากับข้าพเจ้าและดูวีดิทัศน์นี้จากปี 2005

ประธานโอ๊คส์ [วีดิทัศน์]: “ชายหนุ่ม ครับ ถ้าคุณกลับจากคณะเผยแผ่และยังคงทำตามแบบแผนของเด็กชายหญิงที่คุณเคยได้รับคำแนะนำเมื่ออายุ 15 ถึงเวลาที่คุณต้องโตขึ้นแล้วนะ รวบรวมความกล้าแล้วมองหาใครสักคนที่จะมาเป็นคู่ เริ่มด้วยการออกเดทที่หลากหลายกับหญิงสาวที่หลายหลาก และเมื่อโอกาสเหมาะก็ให้เริ่มจีบได้เลย ถึงเวลาแต่งงานแล้ว นั่นคือพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อบุตรธิดาที่เป็นคนหนุ่มสาวของพระองค์ ชายหนุ่มเป็นผู้ริเริ่ม และคุณควรพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไป ถ้าคุณไม่รู้ว่าออกเดทคืออะไร คำนิยามนี้จะช่วยได้ ข้าพเจ้าได้ยินมาจากหลานสาวอายุ 18 การออกเดทต้องผ่านการทดสอบสาม แผน: (1) แผนล่วงหน้า, (2) แผนการเงิน, และ (3) แผนจับคู่ …

“เพื่อนหนุ่มสาวโสดครับ เราแนะนำคุณให้ปรับช่องทางการคบหาของคุณกับเพศตรงข้ามเข้าสู่แบบแผนการออกเดทที่มีศักยภาพที่นำไปสู่การแต่งงาน ไม่ใช่เป็นแบบแผนการออกไปเที่ยวด้วยกันที่เพียงคาดหวังว่าจะนำไปสู่กีฬาประเภททีมอย่างกีฬาฟุตบอล การแต่งงานไม่ใช่กิจกรรมกลุ่ม—อย่างน้อยก็ไม่ใช่จนกว่าจะมีลูกด้วยกันสักจำนวนหนึ่ง”7

[จบวีดิทัศน์]

พี่น้องสตรีครับ ดูเหมือนพวกท่านจะชอบการชี้นำเหล่านั้นสำหรับหนุ่มโสดนะ ตอนนี้ คริสเต็นคงมีอะไรจะพูดกับสตรีโสด

ซิสเตอร์โอ๊คส์: ประธานโอ๊คส์คะ วีดิทัศน์การออกเดทเรื่องนี้ทำไว้นานแล้วก็จริง แต่หลักธรรมยังเหมือนเดิม—การออกเดทยังคงมาก่อนการแต่งงาน

เนื่องจากดิฉันแต่งงานตอนอายุ 53 ปี ดิฉันรู้ว่าความรู้สึกของการรอคอยคู่ครองที่มีค่าควรเป็นอย่างไร และความปรารถนาและใจที่ปวดร้าวรวมถึงน้ำตาที่เปียกหมอนที่มักจะมาควบคู่กับการรอคอยนั้นด้วย แต่ดิฉันสามารถเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อพี่น้องสตรีผู้กล้าหาญที่พบว่าตนเองกำลังรออยู่ เพราะดิฉันรู้สึกถึงความรักนั้นมาแล้ว และขอส่งใจถึงพี่น้องชายผู้ซื่อสัตย์ทั้งหลายผู้มีความปรารถนาในเรื่องนี้ด้วย การต่อสู้ดิ้นรนนั้นมีจริง การออกเดทและการไม่ได้ออกเดทก็อาจเป็นเรื่องเครียดได้

เมื่อศรัทธาและอนาคตของดิฉันถูกทดสอบ—เมื่อดิฉันสงสัยว่าเหตุใดชีวิตจึงยากลำบากทั้งๆ ที่พยายามดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณอย่างเต็มที่—บางครั้งดิฉันรู้สึกว่าคงได้ทำบางสิ่งผิดไป ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด

ดังที่ซิสเตอร์มิเชลล์ ดี. เครกกล่าวว่า “การทดลองไม่ได้หมายความว่าแผนกำลังล้มเหลว” แผนรวมถึงการเติบโตและหมายถึงการช่วยเหลือให้เราแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า ซิสเตอร์เครกเสริมว่า “พระบิดาบนสวรรค์ทรงสนพระทัยใน การเติบโต [ของท่าน] ในฐานะสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์มากกว่า ความสบาย [ของท่าน] ”8

ถ้าท่านพบว่าตนเองกำลังนับเวลารอคอยการแต่งงานที่คาดหวัง จงหยุดคอยแล้วเริ่มเตรียมตัว เตรียมตัวท่านให้พร้อมสำหรับชีวิต—ด้วยการศึกษา ประสบการณ์ และการวางแผน อย่ารอให้ราชรถแห่งความสุขมาเกยท่าน จงแสวงหาโอกาสที่จะรับใช้และเรียนรู้ และที่สำคัญที่สุด จงวางใจในพระเจ้า “โดยเรียกหาพระนามของพระเจ้าทุกวัน, และยึดมั่นในความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่จะมาถึง”9 และดิฉันสัญญาว่าขณะท่านทำเช่นนั้น ความสุขจะมาถึงท่าน

ประธานโอ๊คส์: พี่น้องสตรีครับ คริสเต็นได้ให้คำแนะนำอันมีค่าแก่ท่าน คำแนะนำของเธอไม่มีวันล้าสมัย ที่จริงแล้ว คำแนะนำของข้าพเจ้าที่ให้กับชายโสดก็ไม่ล้าสมัยด้วย ผู้นำศาสนจักรของพระเยซูคริสต์กังวลเรื่องการแต่งงานเช่นเดียวกับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ข้อกังวลของเรารวมถึงสาเหตุต่างๆ ด้วย เช่นการขาดแคลนบ้านที่คู่แต่งงานหนุ่มสาวสามารถซื้อหาได้และหนี้สินจากการศึกษาที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่คนหนุ่มสาวรู้ดียิ่งว่า ท่านไม่ใช่ สาเหตุ ของสถานการณ์เหล่านี้ แต่เป็น เหยี่อของสถานการณ์ดังกล่าว จะทำอย่างไร? จงมุ่งหน้าต่อไปด้วยศรัทธา และทำสุดความสามารถในสถานการณ์ตลาดที่พักอาศัยซึ่งไม่ดีเท่าที่ข้าพเจ้าและปู่ย่าตายายของท่านเคยเผชิญมาในช่วงปีแรกๆ ของเรา และ ต้องเน้นเป็นพิเศษเรื่องการทำงานเพื่อลดหนี้สินจากการศึกษา

ในแผนของพระผู้เป็นเจ้าเรา สามารถ มีได้ทุกสิ่ง แต่ไม่ใช่ในแบบที่ดูเหมือนว่าโลกจะยื่นคำขาด เราต้องการช่วยโดยการเตือนความจำท่านเรื่องแผนของพระผู้เป็นเจ้าและแบบอย่างอันล้ำค่าของผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน แต่ก่อน ผู้บุกเบิกทิ้งทรัพย์สมบัติและบ้านเรือนเพื่อนำครอบครัวไปหาความปลอดภัยทางวิญญาณในเทือกเขาตะวันตก วันนี้ เรากระตุ้นท่านไม่ให้ละทิ้งความปลอดภัยทางวิญญาณและครอบครัวเพื่อจะได้ทรัพย์สินทางวัตถุ

III.

ขณะนี้ข้าพเจ้าจะพูดถึงปัญหาบางอย่างที่เป็นข้อกังวลต่อนักเรียนมัธยมปลายผู้เป็นที่รักยิ่งในหมู่ผู้รับชมของเรา

ทั่วประเทศนี้ เพื่อนๆ ของท่านต่างเป็นทุกข์จากความวิตกกังวล เสี่ยงเรื่องยาเสพติด เสพติดโซเชียลมีเดีย และแสวงหาคำปรึกษามากเป็นประวัติการณ์ ท่านได้รับผลกระทบจากอิทธิพลเหล่านั้น แต่สำหรับท่านข่าวประเสริฐช่วยถ่วงน้ำหนักทั้งหมดนั้นไว้

ท่านรู้ว่าท่านคือลูกพระผู้เป็นเจ้า เป็นมรดกจากสวรรค์ที่ไม่เหมือนใคร พระผู้เป็นเจ้าทรงรักท่าน ทรงเป็นพี่เลี้ยงที่ทรงพลัง และทรงสัญญาที่จะช่วยหากท่านแสวงหาพระองค์ในวิธีที่ทรงสอน จงให้ความจริงอันทรงพลังที่ว่าท่านเป็นลูกที่รักของพระผู้เป็นเจ้าฝังรากลึกอยู่ในความคิดและลำดับความสำคัญส่วนตัวของท่าน ความรักของพระองค์ทำให้ท่านมีความเคารพในตนเอง ความเข้มแข็งและแรงจูงใจที่จะเคลื่อนตัวผ่านทุกปัญหาที่ท่านเผชิญในชีวิต และอย่าลืมด้วยว่าผู้รับใช้ของพระองค์รักท่าน เรา รักท่าน

ข้าพเจ้าเพิ่งได้รับจดหมายล้ำค่าจากเด็กสาวอายุ 16 ปีผู้อาศัยอยู่ในรัฐๆ หนึ่งที่มีสมาชิกไม่กี่คน ข้าพเจ้าจะเรียกเธอว่า เอมี่ จดหมายของเธอสำคัญเพราะเธอแสดงความรู้สึกที่เยาวชนทั้งศาสนจักรรู้สึกเหมือนกัน ในจดหมายฉบับยาวของเอมี่มีเรื่องเหล่านี้อยู่ด้วย ข้าพเจ้าขอให้เพื่อนของท่านคนหนึ่งอ่านถ้อยคำของเธอ

เอมี่ “บางครั้งดิฉันรู้สึกเหมือนได้รับข่าวสารที่ไม่เสมอต้นเสมอปลายและสับสนจากศาสนจักร ในชีวิตประจำวัน ดิฉันเห็นสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายในโซเชียลมีเดียทำตัวเหมือนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพระกิตติคุณนี้ … ดิฉันรู้สึกเหมือนเป็นเยาวชนหญิงคนเดียวในวอร์ดที่เห็นสิ่งต่างๆ ที่เห็นว่าผิดไปจากโลก … ดิฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเยาวชนมากมายในโบสถ์จึงไม่เห็นปัญหาจากการที่คนเปลี่ยนเพศวันเว้นวัน การออกเดทกับคนเพศเดียวกันหรือเป็นคนที่ระบุว่าตนไม่มีเพศ …

“ที่กิจกรรมเยาวชนวอร์ดและสเตค มีคนถามสรรพนามดิฉัน หรือที่โรงเรียนมีคนขอให้ดิฉันเต้นรำกับเด็กสาวที่คิดว่าตนเองเป็นเด็กหนุ่ม ดิฉันรู้ว่าเราต้องรักทุกคนและแสดงความเคารพต่อพวกเขา และดิฉันทำอยู่เสมอ ดิฉัน [เพียง] รู้สึกว่านี่เป็นการข้ามเส้น … ดิฉันหวังว่าจะได้ยินผู้นำศาสนจักรพูดถึงปัญหานี้มากขึ้น”10

ประธานโอ๊คส์: นี่คือจดหมายจากเยาวชนหญิงวัยใกล้เคียงกับนักเรียนมัธยมปลายที่รับชมอยู่ขณะนี้ ทำไมจดหมายของเธอถึงกระแทกใจข้าพเจ้าอย่างลึกซึ้ง? เธอต้องการทำสิ่งถูก แต่เธอรู้สึกถูกรายล้อมด้วยค่านิยมและพฤติกรรมที่เธอรู้สึกว่าผิด และเธอแค่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ เธอต้องการยืนหยัดเพื่อความจริงแต่ไม่รู้วิธีทำเช่นนั้นด้วยความรัก ในข้อคิดทางวิญญาณที่ให้แก่คนหนุ่มสาวที่วิทยาลัยเอ็นไซน์ เอ็ลเดอร์คลาร์ก จี. กิลเบิร์ตและข้าพเจ้าอธิบายถึงการยืนหยัดมั่นคงด้วยความรักขณะประกาศความจริง เรายังคงรักคนอื่นๆ ได้และหาจุดยืนร่วมกันได้โดยไม่ต้องลดความสำคัญของความจริงที่เรารู้11

ในจดหมายของเธอ เอมี่เขียนเกี่ยวกับเพื่อนในศาสนจักรที่สับสนเกี่ยวกับเพศของตน ภาวะที่เรียกว่าความทุกข์ใจในเพศสภาพ ความสับสนนี้เกิดขึ้นในรูปแบบและเวลาที่ต่างกันไปในชีวิตของแต่ละบุคคล ดังนั้น บุคคลและสมาชิกครอบครัวที่ได้รับผลกระทบควรมองการณ์ไกล และพยายามพึ่งพาและปฏิบัติตามหลักธรรมนิรันดร์ ข้าพเจ้าไตร่ตรองเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว บัดนี้ ด้วยความรักที่ข้าพเจ้ารู้สึกต่อผู้ที่กังวลต่อเรื่องทำนองนี้ พระวิญญาณทรงดลใจให้ข้าพเจ้าใช้โอกาสนี้เน้นย้ำความจริงอันล้ำค่าที่พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เปิดเผยไว้เพื่อช่วยเกี่ยวกับความสับสนดังกล่าว

เยาวชนชายหญิงครับ ผู้นำและครูในศาสนจักรรวมถึงผู้นำและครูเซมินารีและสถาบันของท่านอีกทั้งบิดามารดาของท่านมีหน้าที่รับผิดชอบและได้รับการดลใจให้สอนท่านถึงความจริงของพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์ ท่านมีจุลสารอันล้ำค่า เพื่อความเข้มแข็งของเยาวชน ซึ่งจัดทำขึ้นจากหลักธรรมของแผนแห่งความรอดของพระบิดาบนสวรรค์ การชดใช้ของพระเยซูคริสต์ และพันธสัญญาที่เราทำเมื่อรับบัพติศมาและต่อพันธสัญญานั้นในวันสะบาโตโดยการรับส่วนศีลระลึก หน้าแรกๆ ของจุลสารมีสัญญาดังนี้: “ด้วยความจริงเหล่านี้เป็นแนวทาง ท่านสามารถเลือกตามการดลใจซึ่งจะเป็นพรแก่ท่าน … ชั่วนิรันดร”12

เมื่อมีคนถามพระเยซูว่าพระบัญญัติข้อไหนสำคัญ พระองค์ประทานให้สองข้อ ข้อแรก คือรักพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเราแสดงออกด้วยการรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ข้อสอง คือให้รักเพื่อนบ้านของเรา13 เราต้องทำทั้งสองข้อ ซึ่งไม่ง่ายเลย พวกเราหลายคนมักไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องการรักเพื่อนบ้านและเน้นเรื่องการรักษากฎ (พระบัญญัติ) มากเกินไป นั่นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ามักให้ความสำคัญเพราะการฝึกอบรมด้านกฎหมายของตน เหนือทุกสิ่ง การรักพระผู้เป็นเจ้าและการแสดงความรักต่อพระผู้เป็นเจ้าโดยการรักษาพระบัญญัติ เป็นพระบัญญัติสำคัญข้อแรก และแน่นอน เป็นเรื่องง่ายกว่าสำหรับเราที่จะตัดสินตนเองและผู้อื่นว่าเชื่อฟังกฎหรือไม่ แต่การรักษาพระบัญญัติข้อสองก็เป็นเรื่องสำคัญยิ่งต่อเราแต่ละคนเช่นกัน ซึ่ง “ก็เหมือนกัน”14 ที่จะรักเพื่อนบ้านของเราในวิธีที่พระเยซูทรงรักเรา15

แบบอย่างอัน สูงส่ง ของการผสานและรักษาพระบัญญัติสำคัญทั้งสองข้อที่ข้าพเจ้าโปรดปรานคือสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำเมื่อทรงเผชิญกับปัญหานี้ บทที่แปดในหนังสือยอห์นรายงานวิธีที่คณะธรรมาจารย์และฟาริสีนำหญิงคนหนึ่งมาให้พระเยซูทรงตัดสิน แรงจูงใจของพวกเขาคือคิดจะลวงพระผู้ช่วยให้รอดให้ติดกับโดยการเลือกที่จะขัดแย้งกับกฎของโมเสสหรือกฎของกรุงโรม ซึ่งไม่อนุญาตให้มีการลงโทษประหารชีวิตที่บัญญัติโดยกฎของโมเสสในสถานการณ์เช่นนั้น แต่คุณค่าของแบบอย่างนี้สำหรับเราคือวิธีที่พระเยซูทรงหลีกเลี่ยงกับดักและสอนบทเรียนอันทรงพลังของวิธีประยุกต์ใช้พระบัญญัติสำคัญทั้งสองข้อ

ประการแรก พระผู้ช่วยให้รอดทรงปลดอาวุธบรรดาผู้ที่พยายามใช้กฎอย่างเฉียบพลัน ทรงทำเช่นนั้นโดยบังคับให้พวกเขาสำรวจตนเอง “ใครในพวกท่านไม่มีบาป” พระองค์ตรัส “ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก”16 เมื่อฝูงชนผู้มีความละอายใจจากไป พระผู้ช่วยให้รอดทรงใช้พลังของความรัก ด้วยพระเมตตาพระองค์ทรงปฏิเสธที่จะกล่าวโทษหญิงคนนั้น และการกระทำที่เปี่ยมด้วยรักนั้นยกระดับจิตใจของเธอสู่ชีวิตใหม่ การประยุกต์ใช้กฎจะตามมาภายหลัง เมื่อเธอจะถูกตัดสินเกี่ยวกับชีวิตทั้งชีวิตของเธอ รวมถึงการกลับใจด้วย แต่ในโอกาสแรกนี้ พระผู้ช่วยให้รอดทรงมอบความรักและความเมตตาโดยละเว้นการกล่าวโทษและแล้วทรงย้ำถึงกฎโดยตรัสว่า“จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก”17

ความจำเป็นในการผสานและประยุกต์ใช้ทั้งกฎและความรัก ด้วยจังหวะเวลาที่ได้รับการดลใจนั้นมีอยู่จริง เอ็ลเดอร์คริสทอฟเฟอร์สันเตือนใจเราว่า “การให้พระบัญญัติข้อแรกมาก่อนไม่ได้ลดทอนหรือจำกัดความสามารถของเราในการรักษาพระบัญญัติข้อที่สอง ในทางตรงกันข้ามกลับขยายและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพระบัญญัติข้อสอง … ความรักที่เรามีต่อพระผู้เป็นเจ้าทำให้เราสามารถรักผู้อื่นได้สมบูรณ์เต็มที่มากขึ้นเพราะเราเป็นหุ้นส่วนกับพระผู้เป็นเจ้าในการดูแลลูกๆ ของพระองค์”18

ให้พิจารณาการแสดงออกต่อไปนี้ อันแรกแสดงออกโดยผู้พูดล่าสุดที่บีวายยูและอีกอันหนึ่งแสดงออกในคำปราศรัยก่อนหน้านั้นจากเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง

“งานทั้งหมดของแผนแห่งความรอด บรรลุจุดสูงสุดในการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ คือการทำให้เราสามารถเปลี่ยนเป็นสัตภาวะแห่งความรักในรูปแบบที่ลึกซึ้งที่สุดของการเชื่อมโยงกับผู้อื่น …

“เรื่องนี้สอนเราว่าพระบัญญัติและ [การนำทางของศาสดาพยากรณ์ทั้งหมด]—รวมถึงความจริงอันล้ำค่าในแถลงการณ์เรื่องครอบครัว—คือการนำทางเราในวิธีของพระผู้เป็นเจ้าที่จะให้เรากลายเป็นสัตภาวะแห่งความรัก”19

ต่อไปเป็นคำปราศรัยอีกบทหนึ่ง:

“การพยายามทำให้ผู้อื่นพึงพอใจมากกว่าทำให้พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยเป็นการสลับ พระบัญญัติสำคัญข้อแรกกับข้อที่สอง นั่นเป็นการลืมว่าเราหันหน้าไปทางใด กระนั้น เราทุกคนเคยทำผิดพลาดเพราะความกลัวมนุษย์ …

“พระผู้ช่วยให้รอด พระผู้ทรงเป็นแบบอย่างอันประเสริฐ ทรงหันพระพักตร์ไปทางพระบิดาเสมอ พระองค์ทรงรักและทรงรับใช้เพื่อนมนุษย์แต่ตรัสว่า “เราไม่ยอมรับเกียรติจากมนุษย์” (ยอห์น 5:41) ทรงต้องการให้ผู้ที่ทรงสอนทำตามพระองค์ แต่ไม่ทรงแสวงหาความนิยมชมชอบจากพวกเขา”20

คำอธิบายเรื่องความรักและกฎเหล่านี้เป็นการนำทางทั้งสองข้อที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาให้เราทำ ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าได้อ้างอิงถึง “[ความพยายาม] อย่างต่อเนื่องของเราที่จะ รักษาสมดุล ของพระบัญญัติแห่งรักและกฎคู่นี้ ”21 แต่ขณะนี้ข้าพเจ้าเชื่อในเป้าหมายที่จะแสดงออกให้ดีขึ้นขณะพยายาม ดำเนินชีวิตตามพระบัญญ้ติทั้งสองข้อนี้ในวิธีที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น. ใครก็ตามที่ไม่ปฏิบัติต่อผู้ที่เผชิญการท้าทายด้านอัตลักษณ์ทางเพศด้วยความรักและการให้เกียรติไม่ได้ทำตามคำสอนของพระบัญญัติสำคัญข้อแรกและข้อสอง ดังนั้นในเรื่องกฎของพระผู้เป็นเจ้า เราจำเป็นต้องจำไว้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพระองค์ทรงสร้างชายและหญิง22 และในเรื่องหน้าที่ของเราที่จะรักเพื่อนบ้าน เราต้องจำไว้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาเราให้รักแม้คนที่ไม่รักษาพระบัญญัติทุกข้อ

ถ้าท่านมีสมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อนคนหนึ่งที่ลำบากใจกับปัญหาเรื่องความสับสนด้านอัตลักษณ์ ข้าพเจ้าขอกระตุ้นให้ท่านประยุกต์ใช้ทั้งกฎพระกิตติคุณและความรักและพระเมตตาของพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ ผู้จะทรงช่วยและนำทางท่านหากท่านเดินในเส้นทางของพระองค์อย่างอดทน พระเยซูคริสต์ ผู้ตรัสว่าพระองค์ทรงเป็น“ความสว่างของโลก”23 ทรงสอนเราถึงเส้นทางที่เราจำเป็นต้องเดินตามเพื่อตระหนักถึงพรประเสริฐสุดของพระบิดา ทรงสอนเราผ่านพระคัมภีร์ ผ่านศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ และผ่านการเปิดเผยส่วนตัว ทรงรักเราและจะทรงนำทางเราขณะที่เราพยายามทำตามสิ่งที่ทรงนำเรา

IV.

ปัญหาที่เกี่ยวข้องและคุ้นเคยกันดีคือความรู้สึกรักใคร่เสน่หาต่อบุคคลที่เป็นเพศเดียวกัน แน่นอน หากไม่กระทำตามความรู้สึกนั้น ความเสน่หานั้นก็ไม่ใช่บาป แต่เราจะจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไร ทั้งในตัวเราและในคนอื่นๆ ?

คำแนะนำแรกของข้าพเจ้าคือให้จำไว้ว่าไม่ว่าเราจะมีความแตกต่างในตนเองอย่างไรในความหลากหลายของการสร้างของพระบิดาในสวรรค์ของเรา พระองค์ทรงรักเราทุกคน และในแผนแห่งความสุขอันสมบูรณ์แบบของพระองค์มีที่ให้ทุกคน เราแสดงความรักที่เรามีต่อพระองค์โดยรักษาพระบัญญัติของพระองค์ รวมถึงการรักบุตรธิดาของพระองค์ด้วย

ในฐานะบุคคลและสมาชิกครอบครัวที่ประสบความรู้สึกเช่นนั้น พวกเขาควรระมัดระวังเรื่องป้ายนิยาม ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกล่าวถึงเรื่องนี้ในการให้ข้อคิดทางวิญญาณทั่วโลกปีที่แล้ว ท่านสอนว่าการติดป้ายนิยามเป็นข้อจำกัดที่กว้างขวางเพราะการติดป้ายนิยามจะแบ่งแยกและจำกัดวิธีที่ผู้คนคิดเกี่ยวกับตนเองและคนอื่น จากนั้นท่านสอนว่า “ไม่ควรมีคำระบุตัวตนใดมา ย้ายที่ แทนที่ หรือ สำคัญกว่า คำเรียกขานถาวรสามคำนี้: ‘ลูกของพระผู้เป็นเจ้า’ ‘ลูกแห่งพันธสัญญา’ และ ‘สานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์’ จากนั้นท่านเตือนว่า

“คำระบุตัวตนใดที่ไม่สอดคล้องกับคำเรียกขานเบื้องต้นสามคำนี้จะทำให้ท่านผิดหวังในที่สุด ป้ายนิยามอื่นจะทำให้ท่านผิดหวังในไม่ช้าเพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีพลังนำท่านไปสู่ชีวิตนิรันดร์ในอาณาจักรซีเลสเชียลของพระผู้เป็นเจ้า”24

สิ่ง ที่มี พลังนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์และอาณาจักรซีเลสเชียลได้จริงคือพันธสัญญาที่เราทำ อีกครั้ง ประธานเนลสันเพิ่งสอนเราเมื่อปีที่แล้วว่า:

“ทันทีที่ท่านและข้าพเจ้าทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้า ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์กลับใกล้ชิดมากขึ้นกว่าก่อนทำพันธสัญญา ขณะนี้เราถูกผูกมัดไว้ด้วยกัน เนื่องจากพันธสัญญาของเรากับพระผู้เป็นเจ้า จึงไม่มีวันที่พระองค์จะทรงระอาในความพยายามที่จะทรงช่วยเหลือเรา และขันติธรรมแห่งพระเมตตาของพระองค์จะไม่มีวันสูญสิ้นไปจากเรา เราแต่ละคนมีที่อันพิเศษเฉพาะในพระหทัยพระผู้เป็นเจ้า”25

จากนั้น เพิ่งเมื่อสองสามเดือนก่อน ประธานเนลสันเตือนเราอีกครั้งว่า “จริงๆ แล้วการรักษาพันธสัญญาทำให้ชีวิตง่ายขึ้น! แต่ละคนที่ทำพันธสัญญา … มีสิทธิ์เข้าถึงเดชานุภาพของพระเยซูคริสต์มากขึ้น”26

สิ่งที่เพิ่มเติมเข้าไปกับพลังส่วนบุคคลที่เกิดจากการรักษาพันธสัญญาคือพระดำรัสสอนอันล้ำเลิศของพระผู้ช่วยให้รอดที่ว่าในท่ามกลางเรื่องท้าทายของชีวิตมรรตัย เราควร “มีใจกล้าเถิด”27

ในคำปราศรัยทั่วโลกเมื่อสองสามเดือนก่อน เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์เตือนเราว่าพระเยซูประทานพระดำรัสสอนในวันก่อนการตรึงพระองค์บนไม้กางเขน พระเยซูตรัสถึงการมีใจกล้าได้อย่างไรท่ามกลางความทุกข์ทั้งหมดที่ทรงเผชิญ? เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์อธิบายว่า

“แม้ในบรรยากาศแห่งความเป็นความตายที่น่าจะอบอวลอยู่ในพระกระยาหารมื้อสุดท้าย พระคริสต์ยังคงเตือนเหล่าสาวกถึงเหตุผลและหน้าที่ให้ ‘มีใจกล้าเถิด’ (ยอห์น 16:33). …

“… แน่นอนว่าการแสดงให้ประจักษ์ถึงศรัทธา ความหวัง และจิตกุศล ของพระองค์ เกิดขึ้นเพราะพระองค์ทรงทราบจุดจบของเรื่องนี้ พระองค์ทรงทราบดีว่าความชอบธรรมจะมีชัยเมื่อเรื่องราวสุดท้ายสิ้นสุดลง ทรงทราบว่าแสงสว่างนั้นชนะความมืด เสมอ ชั่วนิจนิรันดร์กาล”28

คริสเต็นครับ คุณอยากพูดอะไรบางอย่างเป็นการปิดท้ายกับกลุ่มผู้ชมอันเป็นที่รักกลุ่มนี้ไหมครับ?

ซิสเตอร์โอ๊คส์: ทุกอย่างที่เราพูดไว้ที่นี่สามารถนำพรมาสู่ชีวิตเรา เราทุกคนรู้เรื่องลูกหลานอิสราเอลที่ถูกงูพิษโจมตีในแดนทุรกันดาร แต่ค่ำคืนนี้นั่นเป็นเรื่องราวของท่านด้วย ตามพระดำรัสสั่งของพระผู้เป็นเจ้า โมเสสตกแต่งไม้เท้าให้เป็นสัญลักษณ์ของพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ จากนั้น โมเสสเรียกทุกคนให้มองขึ้นไปแล้วจะหายจากการบาดเจ็บ

เช่นเดียวกับชาวอิสราเอล คืนนี้เราตกอยู่ภายใต้การโจมตีเพราะความเชื่อต่างๆ ที่เราถือว่าศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกัน ดิฉันขอให้ท่านมองไปที่พระผู้เป็นเจ้าและมีชีวิต มองไปที่ถ้อยคำที่พูดในคืนนี้ ถ้อยคำจากศาสดาพยากรณ์ พระคัมภีร์ แผนแห่งความรอดของเรา และปิตุพรของท่าน จงสวดอ้อนวอนแล้วพระเจ้าจะทรงสถิตกับท่าน นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครในพวกเราเดือดร้อนแต่ความหมายจริงๆ ก็คือเราจะไม่โดดเดี่ยว และจะมุ่งหน้าไปโดยได้รับการนำทางและได้รับการปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายรอบตัวเรา นั่นหมายถึงว่าเราจะรู้ความจริงและชื่นชมในพระวิญญาณ ดิฉันเชิญท่านให้มองไปที่พระผู้เป็นเจ้าและมีชีวิต

V.

ประธานโอ๊คส์: เราพูดไปแล้วเกี่ยวกับแผนแห่งความรอด—ทั้งสามตอนที่ได้รับการเปิดเผยโดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดประสงค์ของชีวิตมรรตัย

เราพูดไปแล้วเกี่ยวกับบทบาทและจังหวะเวลาของการแต่งงานและการมีลูก

เราสอนไปแล้วว่าเราควรแสวงหาอย่างพากเพียรที่จะรู้จักพระเยซูคริสต์ เพื่อรู้สึกถึงความรักของพระองค์และมีศรัทธาในพระองค์และการนำทางด้วยรักของพระองค์ตามเส้นทางพันธสัญญาสู่จุดหมายนิรันดร์ของเรา

เราพูดไปแล้วเกี่ยวกับพระบัญญัติสำคัญสองข้อ—รักพระผู้เป็นเจ้าและรักเพื่อนบ้าน—และสอนไปแล้วว่าต้องรักษาทั้งสองข้อ

ในข้อกังวลของเรา ขณะเราทำงานผ่านเรื่องท้าทายทั้งหมด เรากระตุ้นให้ตนมีใจกล้า เพราะพระองค์ทรงชนะโลกแล้ว เราทำได้เช่นกัน จำไว้ว่า แผนของพระบิดาเป็น แผนแห่งความสุข

ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน

พิมพ์