“อย่าสิ้นหวัง!” เพื่อความเข้มแข็งของเยาวชน, มิถุนายน 2021, 14–17
อย่าสิ้นหวัง!
ในฐานะผู้ลี้ภัย มิวเรียลเรียนรู้ด้วยตัวเธอเองว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงอยู่ที่นั่นเสมอเมื่อท่านต้องการพระองค์มากที่สุด
บางครั้งบางครา อาจดูเหมือนว่าโลกทั้งใบของท่านพังทลายลง
แล้วถูกเผาไหม้
อยู่ในพายุเฮอร์ริเคน
บางครั้งชีวิตอาจรู้สึกวุ่นวายและท้อแท้จนทำให้ท่านสงสัยว่าสิ่งต่างๆ จะกลับมาเป็นปกติอีกหรือไม่
มิวเรียล บี ผู้เคยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยเมื่อยังเด็ก มีบางสิ่งที่จะกล่าวเกี่ยวกับการผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากว่า “ให้พระผู้เป็นเจ้าอยู่ข้างท่านตลอดเวลาและ อย่า สิ้นหวัง ช่วงเวลาที่เลวร้ายเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น!”
เธอคือคนที่รู้เกี่ยวกับช่วงเวลาที่เลวร้าย
และเธอก็รู้วิธีที่จะผ่านช่วงเวลานั้นไป
สงครามและความปลอดภัย
ชีวิตของมิวเรียลเริ่มต้นด้วยความปกติ เธอเป็นเด็กน้อยในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เธอมีครอบครัวที่มีความสุข มีบ้านที่ปลอดภัยและสะดวกสบาย มีเตียงที่อบอุ่น และมีอาหารให้รับประทานไม่ขาด
แล้วสงครามก็เริ่มขึ้น
หลังจากนั้น ทุกอย่างกลับเลวร้ายลงทันที ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดคือเมื่อชายคนหนึ่งลากคุณพ่อผู้เป็นที่รักของเธอ “ซึ่งเป็นชาวคริสต์ที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่ดิฉันรู้จัก” ออกไปจากครอบครัวโดยใช้ปืนจ่อ
โชคดีที่พ่อของเธอกลับมาหาครอบครัวได้ในภายหลัง แต่ชีวิตของมิวเรียลหรือครอบครัวของเธอก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป พวกเขาหนีไปยังค่ายผู้ลี้ภัยในยูกันดา
ค่ายผู้ลี้ภัยคือถิ่นฐานชั่วคราวสำหรับผู้ที่ถูกบังคับให้ออกจากบ้านเนื่องจากสงครามหรือเหตุผลอื่นๆ ค่ายมีจุดประสงค์ที่จะให้ความปลอดภัย และที่นี่ก็เป็นเช่นนั้น แต่ชีวิตของมิวเรียลและครอบครัวของเธอยังคงลำบากอยู่มาก
เอาชีวิตรอดและเข้มแข็ง
“เรารู้สึกดีใจที่อยู่ห่างจากสงคราม” มิวเรียลกล่าว “และผู้คนที่ดูแลค่ายทำสิ่งที่ดีที่สุดที่จะช่วยเรา แต่นั่นก็ยังไม่พอ”
อาหารไม่เพียงพอ ที่พักไม่เพียงพอ ยาไม่เพียงพอ ไม่มีอะไรเลยที่เพียงพอ
“แมลงจะกัดเราในตอนกลางคืน” เธอจำได้ดี “เรายังไม่ได้รับประทานอาหารครั้งละหลายๆ วันด้วย ยังมีโรคมากมายในค่ายอีก”
มิวเรียลและครอบครัวของเธอไม่ได้เป็นสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายในตอนนั้น แต่พวกเขาก็อุทิศตนและถือปฏิบัติดังชาวคริสต์ พวกเขามีศรัทธามั่นคงในพระผู้เป็นเจ้าและในพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ “คุณพ่อคุณแม่มักจะบอกฉันว่าฉันสามารถสวดอ้อนวอนและอดอาหารได้เสมอ”
นั่นคือสิ่งที่เธอทำ ในฐานะเด็กในค่ายผู้ลี้ภัย ในช่วงอายุที่กำลังเรียนรู้ที่จะอ่านและเขียน มิวเรียลกลับต้องสวดอ้อนวอนทุกวันเพื่อขอให้มีชีวิตรอด เธอสวดอ้อนวอนเพื่อขออาหาร เธอสวดอ้อนวอนเพื่อขอความปลอดภัย เธอสวดอ้อนวอนขอความเข้มแข็งและความกล้าที่จะดำเนินชีวิตต่อไป
และเธอก็เห็นพระผู้เป็นเจ้าทรงทำการอัศจรรย์ในชีวิตของพวกเขา
“พระผู้เป็นเจ้าทรงนำเราออกจากสงคราม” เธอกล่าว “ดังนั้นดิฉันรู้ว่าดิฉันสามารถวางใจพระองค์ได้ เมื่อใดก็ตามที่เราต้องการพระองค์มากที่สุด เช่น เมื่อเราไม่มีอะไรจะกินเป็นเวลานาน พระองค์ประทานพรเราเสมอ พระองค์ทรงทำสิ่งอัศจรรย์เล็กๆ ที่สร้างศรัทธาของดิฉันที่มีต่อพระองค์”
หลังจากอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยเกือบสองปี ชีวิตของเธอต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง มิวเรียลและคนอื่นๆ ในครอบครัวเธอย้ายไปอยู่สหรัฐเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในดินแดนใหม่ สำหรับทุกสิ่งที่เธอเคยเห็นและใช้ชีวิตผ่านมา ตอนนั้นมิวเรียลอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น
นั่นคือเวลาที่พ่อแม่ของเธอตัดสินใจหาโบสถ์แห่งใหม่เพื่อเข้าประชุม
ศรัทธาและมิตร
“คุณแม่กับคุณพ่ออยากจะนมัสการพระผู้เป็นเจ้าและขอบพระทัยพระองค์เสมอ” มิวเรียลกล่าว “ในวันอาทิตย์วันหนึ่ง หลังจากเรามาถึงสหรัฐไม่นาน พวกเขาพูดว่า ‘ไปหาโบสถ์กันเถอะ’”
พวกเขาไม่ต้องออกไปหาไกล ขณะเดินเล่นรอบเมือง พวกเขาพบผู้สอนศาสนาสองคนจากศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายบนถนน
ไม่นานมิวเรียลก็รับบัพติศมาพร้อมกับพ่อแม่ของเธอ น้องๆ ของมิวเรียลจะได้รับบัพติศมาเมื่อพวกเขาโตพอ
สิ่งต่างๆ มากมายที่เธอเรียนรู้ที่โบสถ์เป็นสิ่งที่คุ้นเคยกับมิวเรียลผู้ได้รับการสอนเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าและพระเยซูคริสต์มาทั้งชีวิต หัวข้ออื่นๆ เป็นหัวข้อใหม่ “ดิฉันไม่เคยได้ยินชื่อโจเซฟ สมิธ หรือบริคัม ยังก์ หรือพระคัมภีร์มอรมอนมาก่อนเลย” เธอกล่าว
สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่แค่สิ่งใหม่สิ่งเดียวที่เธอเรียนรู้ ยังมีวัฒนธรรมใหม่ให้เรียนรู้อีก ที่นี่ สมาชิกศาสนจักรสร้างความแตกต่างอย่างมาก พวกเขาสอนครอบครัวเกี่ยวกับวิธีใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างที่แตกต่างจากที่บ้านของเธอ พวกเขาช่วยเหลือด้านภาษา และส่วนใหญ่ พวกเขาช่วยเหลือด้วยการเป็นเพื่อน
ความช่วยเหลือและความหวัง
มิวเรียลสนับสนุนให้เยาวชนในวันนี้ทำในสิ่งเดียวกัน “ผู้ลี้ภัยก็ต้องการเพื่อนเช่นกัน ครอบครัวของเราไม่มีเพื่อนเลยในตอนที่เรามาถึงประเทศนี้ แต่เมื่อเราเข้าร่วมศาสนจักร มีคนมาเยี่ยมเรามากมาย! ตอนนี้เรามีเพื่อนเยอะแล้ว”
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มิวเรียลสามารถช่วยรับใช้เพื่อนกลุ่มเดียวกันที่เป็นพรแก่ชีวิตของเธอในวัยเด็ก
หลังจากเธอเข้าร่วมเยาวชนหญิง มิวเรียลรับใช้ในฝ่ายประธานชั้นเรียนและช่วยเหลือกิจกรรมเยาวชนทุกประเภท เธอรับใช้ สอน และแบ่งปันประจักษ์พยานของเธอ
แต่วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งที่เธอยังคงใช้ช่วยเหลือเพื่อนคือการให้ความเข้มแข็งของเธอในพระกิตติคุณและศรัทธาของเธอในพระผู้เป็นเจ้า
“เพื่อนบางคนของดิฉันกำลังดิ้นรนเพื่อค้นหาความหวังในตอนนี้” เธอกล่าว “แต่ดิฉันบอกพวกเขาเสมอว่าไม่มีอะไรเลวร้ายตลอดไป สำหรับดิฉัน ดิฉันรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงช่วยให้ท่านผ่านพ้นไปได้
“บางครั้งสิ่งที่ดิฉันสวดอ้อนวอนได้ก็คือขอความกล้าหาญให้ทนได้นานขึ้น เพื่อดำเนินต่อไป พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยให้ดิฉันค้นพบความกล้าหาญนั้นมาโดยตลอด โดยส่วนใหญ่แล้ว พรแห่งความกล้าหาญในการดำเนินต่อไปคือทั้งหมดที่คุณต้องการจริงๆ”