2010–2019
ดำเนินชีวิตอย่างแน่วแน่ต่อศรัทธา
เมษายน 2014


11:6

ดำเนินชีวิตอย่างแน่วแน่ต่อศรัทธา

เราแต่ละคนจะได้รับพรอย่างมากถ้าเรารู้เรื่องราวแห่งศรัทธาและการเสียสละซึ่งนำบรรพบุรุษของเรามาสู่ศาสนจักรของพระเจ้า

ข้าพเจ้าชอบประวัติศาสนจักร เช่นเดียวกับพวกท่านหลายๆ คน ศรัทธาของข้าพเจ้าเข้มแข็งขึ้นเมื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการอุทิศตนอันน่าทึ่งของบรรพชนของเราผู้ยอมรับพระกิตติคุณและดำเนินชีวิตอย่างแน่วแน่ต่อศรัทธา

เดือนที่แล้ว เยาวชนกว่า 12,000 คนจากเขตพระวิหารกิลเบิร์ต แอริโซนาเฉลิมฉลองพระวิหารซึ่งสร้างเสร็จใหม่ด้วยการแสดงอันน่าตื่นตา เพื่อแสดงคำมั่นสัญญาของพวกเขาที่จะดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม สาระสำคัญของการเฉลิมฉลองคือ “ดำเนินชีวิตอย่างแน่วแน่—ต่อศรัทธา”

เช่นเดียวกับที่เยาวชนชาวแอริโซนาผู้ซื่อสัตย์ได้ทำ วิสุทธิชนยุคสุดท้ายแต่ละคนควรให้คำมั่นสัญญาที่จะ “ดำเนินชีวิตอย่างแน่วแน่ต่อศรัทธา”

ถ้อยคำจากเพลงสวดกล่าวว่า “จริงต่อศรัทธาที่พ่อแม่เราเฝ้าถนอม” (“จริงต่อศรัทธา,” เพลงสวด, บทเพลงที่ 129)

เราอาจใส่เพิ่มว่า “จริงต่อศรัทธาที่ปู่ย่าเราเฝ้าถนอม”

ข้าพเจ้าสงสัยว่าเยาวชนชาวแอริโซนาผู้กระตือรือร้นเหล่านั้นรู้จักประวัติศาสนจักรของพวกเขาไหม—หรือพวกเขารู้ไหมว่าครอบครัว ของพวกเขา มาเป็นสมาชิกศาสนจักรได้อย่างไร คงเป็นสิ่งวิเศษถ้าวิสุทธิชนยุคสุดท้ายทุกคนรู้เรื่องราวการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของบรรพชนพวกเขา

ไม่ว่าท่านเป็นลูกหลานของผู้บุกเบิกหรือไม่ก็ตาม มรดกแห่งศรัทธาและการเสียสละของผู้บุกเบิกชาวมอรมอนคือมรดกของท่าน เป็นมรดกอันประเสริฐของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย

บทที่พิเศษที่สุดบทหนึ่งในประวัติศาสนจักรเกิดขึ้นเมื่อวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์ อัครสาวกของพระเจ้า สอนพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์ตลอดทั่วเกรตบริเตนในปี 1840—เพียง 10 ปีหลังการสถาปนาศาสนจักร

วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์และอัครสาวกท่านอื่นๆ มุ่งเน้นงานของพวกท่านที่ย่านลิเวอร์พูลและเพรสตันของประเทศอังกฤษ เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ์ ผู้ซึ่งภายหลังเป็นประธานศาสนจักร กำลังสวดอ้อนวอนให้พระผู้เป็นเจ้าทรงนำท่านในงานอันสำคัญนี้ คำสวดอ้อนวอนของท่านนำไปสู่การดลใจที่จะไปสอนพระกิตติคุณในที่อื่น

ประธานมอนสันสอนเราว่าเมื่อเราได้รับการดลใจจากสวรรค์ให้ทำสิ่งใด—ให้เราทำเดี๋ยวนั้น—เราไม่ผัดวันประกันพรุ่ง นั่นคือสิ่งที่วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์ทำ ด้วยการทรงนำอย่างชัดเจนจากพระวิญญาณให้ “ไป…ทางใต้” เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ์ออกจากที่นั่นทันทีและเดินทางไปที่ส่วนหนึ่งของอังกฤษซึ่งเรียกว่า เฮริฟอร์ดไชร์—ถิ่นทำฟาร์มทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ ที่นี่ท่านพบกับชาวนาผู้มั่งคั่งชื่อจอห์น เบนโบว์ ซึ่งต้อนรับท่าน “ด้วยใจที่ยินดีและขอบพระทัย” (วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์, ใน Matthias F. Cowley, Wilford Woodruff: History of His Life and Labors as Recorded in His Daily Journals [1909], 117)

ผู้คนกลุ่มหนึ่งจำนวนกว่า 600 คน ซึ่งเรียกว่ายูไนเต็ดเบรเธร็น “สวดอ้อนวอนขอความสว่างและความจริง” (วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์, ใน คำสอนของประธานศาสนจักร: วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์ [2004], 93) พระเจ้าทรงส่งวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์เพื่อตอบคำสวดอ้อนวอนของพวกเขา

คำสอนของเอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ์ให้ผลในทันที และคนจำนวนมากรับบัพติศมา บริคัม ยังก์และวิลลาร์ด ริชาร์ดส์มาพบท่านที่เฮริฟอร์ดไชร์ และอัครสาวกทั้งสามท่านประสบความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์

ภายในไม่กี่เดือน พวกท่านจัดตั้ง 33 สาขาสำหรับสมาชิก 541 คนที่เข้าร่วมกับศาสนจักร งานอันน่าอัศจรรย์ของพวกท่านดำเนินต่อไป และในที่สุดสมาชิกยูไนเต็ดเบรเธร็นเกือบทุกคนก็รับบัพติศมาสู่ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย

แฮนนาห์ มาเรีย อีเกิลส์ แฮร์ริสคุณย่าทวดของข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในคนแรกที่ฟังวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์ เธอบอกโรเบิร์ต แฮร์ริส จูเนียร์สามีว่าเธอได้ยินพระคำของพระผู้เป็นเจ้าและเธอต้องการรับบัพติศมา โรเบิร์ตไม่พอใจที่ได้ยินคำของภรรยา เขาบอกเธอว่าเขาจะไปกับเธอที่การเทศนาครั้งต่อไปของผู้สอนศาสนาชาวมอรมอนคนนั้น และจะจับผิดเขา

โดยที่นั่งอยู่เกือบข้างหน้าที่ประชุมพร้อมกับตั้งใจที่จะไม่เขวและคิดจะก่อกวนนักเทศน์ที่มาเยี่ยม แต่พระวิญญาณทรงสัมผัสใจของโรเบิร์ตทันที เช่นเดียวกับภรรยาของเขา เขารู้ว่าข่าวสารแห่งการฟื้นฟูเป็นความจริง เขากับภรรยารับบัพติศมา

เรื่องราวแห่งศรัทธาและการอุทิศตนของพวกเขาเหมือนกับคนอีกหลายพันคน เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวสารพระกิตติคุณ พวกเขารู้ว่าเป็นความจริง!

ดังที่พระเจ้าตรัสว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27)

โดยที่ได้ยินเสียงของพระเมษบาล พวกเขาให้คำมั่นสัญญาที่จะดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณและทำตามการนำของศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า โดยตอบรับการเรียกที่ให้ “มารวมกันที่ไซอัน” พวกเขาทิ้งบ้านที่อังกฤษ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก และมารวมกับวิสุทธิชนที่นอวู อิลลินอยส์

พวกเขาเปิดใจรับพระกิตติคุณอย่างสุดใจ ขณะพยายามสร้างบ้านในแผ่นดินใหม่ของพวกเขา พวกเขาช่วยสร้างพระวิหารนอวูโดยลงแรงแทนส่วนสิบ—โดยทำงานก่อสร้างพระวิหารทุกๆ 10 วัน

ใจพวกเขาแตกสลายเมื่อทราบข่าวการตายของศาสดาพยากรณ์ผู้เป็นที่รัก โจเซฟ สมิธและไฮรัมพี่ชายของท่าน แต่พวกเขายังซื่อสัตย์ต่อไป พวกเขายังคงแน่วแน่ต่อศรัทธา

เมื่อวิสุทธิชนถูกข่มเหงและถูกขับไล่ออกจากนอวู โรเบิร์ตกับมาเรียรู้สึกได้รับพรมากที่ได้รับเอ็นดาวเม้นท์ในพระวิหารไม่นานก่อนที่พวกเขาจะข้ามแม่น้ำมิสซิสซิปปีและมุ่งไปทางตะวันตก แม้พวกเขาไม่มั่นใจว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่พวกเขามั่นใจในศรัทธาและประจักษ์พยานของพวกเขา

พร้อมกับลูกทั้งหกคน พวกเขาเดินลุยโคลนขณะข้ามไอโอวาระหว่างทางไปฝั่งตะวันตก พวกเขาสร้างที่พักข้างแม่น้ำมิสซูรีซึ่งกลายเป็นที่รู้จักกันว่าวินเทอร์ควอร์เตอร์ส

ผู้บุกเบิกผู้กล้าหาญเหล่านี้กำลังรอการนำของอัครสาวกว่าพวกเขาจะเดินทางไปทางตะวันตกได้อย่างไรและไปเมื่อไหร่ แผนของทุกคนเปลี่ยนเมื่อบริคัม ยังก์ ประธานโควรัมอัครสาวกสิบสองประกาศเรียกบรรดาชายที่จะอาสาสมัครรับใช้ในกองทัพสหรัฐ ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักกันว่า กองทหารมอรมอน

โรเบิร์ต แฮร์ริส จูเนียร์เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกชายชาวมอรมอนกว่า 500 คนที่ตอบรับการเรียกจากบริคัม ยังก์ เขาสมัครเข้าเป็นทหาร แม้เขาจะต้องทิ้งภรรยาที่กำลังท้องและลูกเล็กอีกหกคนของเขาไป

เพราะเหตุใดเขาและชายคนอื่นๆ ถึงทำสิ่งเช่นนั้นได้

คำตอบมีอยู่ในถ้อยคำของคุณปู่ทวดของข้าพเจ้า ในจดหมายที่เขาเขียนถึงภรรยาเมื่อกองทหารกำลังเดินทางไปยังเมืองแซนตาเฟ เขาเขียนว่า “ศรัทธาของผมเข้มแข็งกว่าที่เคยเป็น [เมื่อนึกถึงสิ่งที่บริคัม ยังก์บอกเรา] ผมเชื่อสิ่งนั้นราวกับว่าพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ตรัสกับผมเอง”

สรุปแล้ว เขารู้ว่าเขากำลังฟังศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า เช่นเดียวกับชายอื่นๆ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาทำเช่นนั้น! พวกเขารู้ว่าศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้านำพวกเขาอยู่

ในจดหมายเดียวกัน เขาแสดงความรู้สึกรักใคร่ต่อภรรยาและลูกๆ และพูดถึงคำสวดอ้อนวอนประจำของเขาว่าเธอกับลูกๆ จะได้รับพร

ต่อมาในจดหมายนั้น เขาให้ถ้อยคำที่ทรงพลังว่า “เราต้องไม่ลืมสิ่งที่คุณกับผมได้ยินและ [ประสบ] ในพระวิหารของพระเจ้า”

เมื่อนำมารวมกับประจักษ์พยานของเขาก่อนหน้านั้นว่า “ศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้านำเรา” โอวาทอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองอย่างนี้เป็นเสมือนพระคัมภีร์แก่ข้าพเจ้า

สิบแปดเดือนหลังจากไปกับกองทหาร โรเบิร์ต แฮร์ริสก็กลับมาหามาเรีย ภรรยาที่รักของเขาอย่างปลอดภัย พวกเขาแน่วแน่และซื่อสัตย์ต่อพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูตลอดชีวิต พวกเขามีลูก 15 คน 13 คนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แฟนนีย์ วอล์กเกอร์ คุณย่าของข้าพเจ้าจากเมืองเรย์มอนด์ แอลเบอร์ตา แคนาดา คือหนึ่งในหลาน 136 คนของพวกเขา

คุณย่าวอล์กเกอร์ภูมิใจที่คุณปู่ ของเธอ รับใช้ในกองทหารมอรมอน และเธอต้องการให้หลานๆ ทุกคนรู้ ตอนนี้ข้าพเจ้าเป็นคุณปู่แล้ว ข้าพเจ้าเข้าใจว่าทำไมสิ่งนี้ถึงสำคัญกับเธอมาก เธอต้องการหันใจลูกหลานมาหาบรรพบุรุษ เธอต้องการให้หลานๆ ของเธอรู้ถึงมรดกอันชอบธรรมของพวกเขา—เพราะเธอรู้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นพรแก่ชีวิตของพวกเขา

ยิ่งเรารู้สึกเชื่อมต่อกับบรรพชนผู้ชอบธรรมของเรามากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเลือกอย่างฉลาดและชอบธรรมมากเท่านั้น

นี่เป็นความจริง เราแต่ละคนจะได้รับพรอย่างมากถ้าเรารู้เรื่องราวแห่งศรัทธาและการเสียสละซึ่งนำบรรพบุรุษของเรามาสู่ศาสนจักรของพระเจ้า

ตั้งแต่ครั้งแรกที่โรเบิร์ตกับมาเรียได้ยินวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์สอนและเป็นพยานถึงการฟื้นฟูของพระกิตติคุณ พวกเขาว่าพระกิตติคุณเป็นความจริง

พวกเขารู้ด้วยว่า ไม่ว่าการทดลองหรือความยากลำบากใดๆ มาสู่พวกเขา พวกเขาจะได้รับพรเพราะพวกเขาแน่วแน่ต่อศรัทธา ราวกับว่าพวกเขาได้ยินถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ของเราในทุกวันนี้ ซึ่งกล่าวว่า “ไม่มีการเสียสละใดมากเกินไป…เพื่อให้ได้รับพร [ของพระวิหาร]” (โธมัส เอส. มอนสัน, “พระวิหารศักดิ์สิทธิ์—ประภาคารส่องโลก,” เลียโฮนา, พ.ค. 2011, 115–116)

เหรียญสองปอนด์ของสหราชอาณาจักรมีข้อความจารึกไว้ด้านข้างว่า “ยืนบนไหล่ของยักษ์” เมื่อข้าพเจ้านึกถึงบรรพบุรุษผู้บุกเบิกผู้ยิ่งใหญ่ของเรา ข้าพเร้ารู้สึกว่าเรา ทุกคน กำลังยืนบนไหล่ของยักษ์

แม้ว่าโอวาทนั้นจะมาจากจดหมายของโรเบิร์ต แฮร์ริส แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าบรรพชนอีกนับไม่ถ้วนจะส่งข่าวสารแบบเดียวกันแก่ลูกหลานของพวกเขาว่า หนึ่ง เราต้องไม่ลืมประสบการณ์ที่เราได้รับในพระวิหาร และเราต้องไม่ลืมคำสัญญาและพรที่จะมาสู่เราแต่ละคนเพราะพระวิหาร สอง เราต้องไม่ลืมว่าศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้านำเรา

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าเรา ได้รับ การนำโดยศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าทรงฟื้นฟูศาสนจักรของพระองค์ในยุคสุดท้ายผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ และเราต้องไม่ลืมว่าศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้านำเรามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่โจเซฟจนถึงบริคัม ตลอดจนประธานศาสนจักรแต่ละคนที่ตามมาจนถึงศาสดาพยากรณ์ของเราในวันนี้—โธมัส เอส. มอนสัน ข้าพเจ้ารู้จักท่าน ข้าพเจ้ายกย่องท่าน และข้าพเจ้ารักท่าน ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าท่านคือศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าบนโลกในวันนี้

ข้าพเจ้าปรารถนาจากใจ พร้อมกับลูกหลานของข้าพเจ้า ว่าเราจะยกย่องมรดกของบรรพชนผู้ชอบธรรมของเรา—ผู้บุกเบิกชาวมอรมอนผู้ซื่อสัตย์ผู้ยอมถวายทุกสิ่งบนแท่นบูชาเพื่อเสียสละและปกป้องพระผู้เป็นเจ้าและศรัทธาของพวกเขา ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าเราแต่ละคนจะดำเนินชีวิตอย่างแน่วแน่ต่อศรัทธาที่พ่อแม่เราเฝ้าถนอม ในพระนามอันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน