การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
พระเยซูแห่งนาซาเร็ธคือพระผู้ไถ่ที่ฟื้นคืนพระชนม์ และข้าพเจ้าเป็นพยานถึงผลทุกสิ่งที่ตามมาจาก ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์
ความรู้สึกพ่ายแพ้ยับเยินและสิ้นหวังเข้าห่อหุ้มสานุศิษย์ของพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์บนกางเขนและพระศพถูกวางไร้ชีวิตในอุโมงค์ ทั้งที่พระผู้ช่วยให้รอดเคยตรัสซ้ำหลายครั้งถึงการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ที่จะตามมา แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากบ่ายอันมืดมัวแห่งการตรึงกางเขน เช้าอันเปรมปรีดิ์แห่งการฟื้นคืนพระชนม์ก็ตามมา แต่ปีตินั้นเกิดขึ้นต่อเมื่อบรรดาสานุศิษย์เห็นประจักษ์แก่ตาถึงการฟื้นคืนพระชนม์นั้น เพราะแม้แต่คำประกาศของเหล่าเทพว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว ก็ไม่มีใครเข้าใจในทีแรก—เพราะเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย
มารีย์ชาวมักดาลาและหญิงผู้ซื่อสัตย์อีกไม่กี่คนมาที่อุโมงค์ฝังพระศพของพระผู้ช่วยให้รอดในเช้าตรู่วันอาทิตย์วันนั้น พวกนางนำเครื่องหอมและน้ำมันหอมมาเพื่อชโลมพระศพของพระเจ้าให้เสร็จ จากครั้งแรกเมื่อทรงถูกนำมาวางในอุโมงค์อย่างเร่งรีบก่อนถึงวันสะบาโต ในเช้าวันพิเศษยิ่งนี้ พวกนางมาถึงก็พบอุโมงค์เปิดอยู่แล้ว ศิลาที่ปิดปากอุโมงค์ถูกเคลื่อนออกไป และเทพสององค์ประกาศว่า
“พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไม?
“[พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว] จงระลึกถึงคำที่พระองค์ตรัสกับพวกท่านขณะที่พระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี
“ว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของพวกคนบาป และจะต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่”1
“จงมาดูที่ซึ่งเขาวางพระองค์ไว้นั้น
“แล้วจงรีบไปบอกสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว”2
ตามที่เทพบัญชา มารีย์ชาวมักดาลามองเข้าไปในอุโมงค์ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งเดียวที่นางคิดคือพระศพของพระเจ้าหายไปแล้ว นางรีบไปรายงานอัครสาวก เมื่อพบเปโตรกับยอห์นจึงบอกพวกเขาว่า “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และเราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน”3 เปโตรกับยอห์นจึงวิ่งไปที่นั่นและพบว่าอุโมงค์ว่างเปล่าจริงๆ แต่เห็น “ผ้าป่านวางอยู่ …ส่วนผ้าพันพระเศียรของพระองค์…พับไว้ต่างหาก”4 เราเห็นได้ว่ายอห์นเป็นคนแรกที่เข้าใจข่าวสารอันล้ำเลิศของการฟื้นคืนพระชนม์ เขาเขียนว่า “เขาเห็นและเชื่อ” ขณะที่คนอื่น ณ เวลานั้น “ไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ว่าพระองค์จะต้องเป็นขึ้นจากตาย”5
เปโตรและยอห์นไปแล้ว แต่มารีย์อยู่รั้งท้ายในความโศกเศร้า ระหว่างนั้นเหล่าเทพกลับมาและถามนางอย่างอ่อนโยนว่า “‘หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?’ นางตอบว่า เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเอาไปไว้ที่ไหน”6 ณ ขณะนั้นพระผู้ช่วยให้รอดที่ฟื้นคืนพระชนม์แล้ว ทรงยืนอยู่ข้างหลังนางพลางตรัสว่า “ ‘หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? ตามหาใคร?’ มารีย์เข้าใจว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบว่า ‘นายเจ้าข้า ถ้าท่านเอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้รับพระองค์ไป’”7
เอ็ลเดอร์เจมส์ อี. ทัลเมจเขียนว่า “พระเยซูคือคนที่เธอพูดด้วย องค์พระเจ้าที่เธอรัก แม้เธอไม่รู้ก็ตาม คำเดียวจากพระโอษฐ์ที่มีชีวิตของพระองค์เปลี่ยนความปวดร้าวของเธอเป็นปีติอย่างเหลือล้น ‘พระเยซูตรัสกับนางว่า มารีย์เอ๋ย’ พระสุรเสียง น้ำเสียง สำเนียงอันอ่อนโยนที่นางเคยได้ยินและรักในวันวานฉุดนางขึ้นจากห้วงลึกแห่งความสิ้นหวังที่เคยตกลงไป นางหันมาและเห็นพระเจ้า ด้วยความปีติยินดีจึงเอื้อมแขนออกไปเพื่อกอดพระองค์ เอ่ยเอื้อนคำเดียวที่แสดงความรักและเคารพบูชา ‘รับโบนี’ ซึ่งแปลว่า ท่านอาจารย์ที่รักของข้าพเจ้า”8
ดังนั้น หญิงที่ได้รับพรผู้นี้จึงกลายเป็นมนุษย์คนแรกที่เห็นและพูดกับพระคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ ต่อมาในวันเดียวกัน พระองค์ทรงปรากฏต่อเปโตรที่เยรูซาเล็มหรือใกล้ๆ แถวนั้น9 ต่อสานุศิษย์สองคนระหว่างทางไปเอมมาอูส10 และในตอนค่ำจู่ๆ พระองค์ทรงปรากฏท่ามกลางอัครสาวก 10 คนและคนอื่นๆ พลางตรัสว่า “จงดูที่มือและเท้าของเราว่าเป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนอย่างที่พวกท่านเห็นว่าเรามี”11 จากนั้นเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นอีก “เมื่อพวกเขายังไม่ค่อยเชื่อเพราะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างเหลือเชื่อ และกำลังประหลาดใจอยู่นั้น”12 พระองค์จึงเสวยปลาย่างและน้ำผึ้งต่อหน้าพวกเขา13 ต่อมาพระองค์ทรงสั่งพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”14
นอกเหนือจากพยานที่ได้รับการยืนยันเหล่านี้ในเยรูซาเล็ม เรามีศาสนกิจอันหาที่เปรียบมิได้ที่พระเจ้าผู้ทรงฟื้นทรงปฏิบัติต่อบรรดาผู้อยู่อาศัยสมัยโบราณของซีกโลกตะวันตก ในแผ่นดินอุดมมั่งคั่ง พระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์และเชื้อเชิญฝูงชนราว 2,500 คน ให้ออกมาทีละคนจนกระทั่งทุกคนได้ยื่นมือเข้าไปในพระปรัศว์และสัมผัสรอยตะปูที่พระหัตถ์และพระบาทของพระองค์15
“และเมื่อพวกเขาทั้งหมดได้ออกไปและเห็นด้วยตนเอง, พวกเขาร้องออกมาเป็นเสียงเดียว, มีความว่า:
“โฮซันนา! ของพระนามของพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดทรงเจริญด้วยพระสิริเถิด! และพวกเขาทรุดลงแทบพระบาทของพระเยซู, และนมัสการพระองค์.”16
การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์แสดงให้เห็นว่าการดำรงอยู่ของพระองค์นั้นไม่ขึ้นกับสิ่งใดและไม่มีที่สิ้นสุด “เพราะว่าพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์เองอย่างไร พระองค์ก็ทรงให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองอย่างนั้น”17 พระเยซูตรัสว่า
“เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก
“ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตตามที่เราตั้งใจเอง เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมาอีก”18
พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงพึ่งพาอาหาร น้ำ ออกซิเจน หรือสสาร หรืออำนาจอื่นใด หรือบุคคลอื่นใดเพื่อดำรงพระชนม์ชีพ ทั้งเมื่อทรงเป็นพระเยโฮวาห์และพระเมสสิยาห์ พระองค์คือ เราเป็น ผู้ยิ่งใหญ่ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่ด้วยพระองค์เอง19 พระองค์ทรงดำรงอยู่และจะทรงดำรงอยู่ตลอดไป
โดยการชดใช้และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงเอาชนะการตกในทุกด้าน ความตายทางร่างกายเป็นเพียงชั่วคราว แม้ความตายทางวิญญาณก็มีจุดสิ้นสุด เพราะทุกคนจะกลับมาในที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า อย่างน้อยระยะเวลาหนึ่ง เพื่อรับการพิพากษา เราสามารถวางใจและมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าเดชานุภาพของพระองค์จะเอาชนะทุกสิ่งและประทานชีวิตอันเป็นนิจแก่เรา
“เพราะว่าในเมื่อความตายเกิดขึ้นโดยมนุษย์คนหนึ่ง การเป็นขึ้นจากความตายก็เกิดขึ้นโดยมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน
“เพราะว่าเช่นเดียวกับที่ทุกคนต้องตายโดยเกี่ยวเนื่องกับอาดัม ทุกคนก็จะได้รับชีวิตโดยเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์”20
เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์กล่าวว่า “ชัยชนะของพระคริสต์เหนือความตายยุติสภาพความเป็นมนุษย์ บัดนี้เหลือเพียงสภาพส่วนตัวเท่านั้น และเราจะได้รับการช่วยชีวิตจากสภาพเหล่านี้เช่นกันโดยทำตามคำสอนของพระองค์ผู้ทรงช่วยชีวิตเรามาแล้วจากการดับสูญโดยรวม”21
เมื่อทรงสนองข้อเรียกร้องของความยุติธรรมแล้ว พระคริสต์ทรงก้าวเข้ามาแทนที่ความยุติธรรม หรือเราพูดได้ว่า พระองค์ทรงเป็นความยุติธรรม ดังที่พระองค์ทรงเป็นความรัก22 นอกจากทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าที่ดีพร้อมผู้ทรงเที่ยงธรรมแล้ว พระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าที่ดีพร้อมผู้ทรงเมตตาด้วย”23 ฉะนั้นพระผู้ช่วยให้รอดจึงทรงทำให้ทุกสิ่งถูกต้อง ไม่มีความอยุติธรรมใดในชีวิตมรรตัยที่คงทนถาวร แม้แต่ความตาย เพราะพระองค์ทรงกลับคืนสู่ชีวิตอีกครั้ง ไม่มีความบาดเจ็บ ความพิการ การทรยศ หรือทารุณกรรมใดๆ ที่ไม่ได้รับการชดใช้คืนในวันสุดท้าย ทั้งนี้เนื่องจากความเที่ยงธรรมและพระเมตตาสูงสุดของพระองค์
ในทำนองเดียวกัน เราทุกคนต้องรับผิดชอบต่อพระองค์สำหรับชีวิต การเลือก และการกระทำของเรา แม้กระทั่งความคิดของเรา เพราะพระองค์ทรงไถ่เราจากการตก ในความเป็นจริงแล้วชีวิตเราเป็นของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า
“ดูเถิดเราให้กิตติคุณของเราแก่เจ้า, และนี่คือกิตติคุณที่เราให้แก่เจ้า—ว่าเรามาในโลกเพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาของเรา, เพราะพระบิดาของเราทรงส่งเรามา.
“และพระบิดาของเราทรงส่งเรามาเพื่อเราจะได้ถูกยกขึ้นบนกางเขน; และหลังจากที่เราถูกยกขึ้นบนกางเขนแล้ว, เพื่อเราจะดึงมนุษย์ทั้งปวงมาหาเรา, เพื่อดังที่เราถูกยกขึ้นโดยมนุษย์ฉันใด แม้ฉันนั้นมนุษย์จะถูกยกขึ้นโดยพระบิดา, เพื่อยืนอยู่ต่อหน้าเรา, เพื่อรับการพิพากษาตามงานของพวกเขา”24
ลองพิจารณาสักครู่ถึงนัยสำคัญของการฟื้นคืนพระชนม์ในการขจัดข้อสงสัยขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของพระเยซูแห่งนาซาเร็ธ การโต้แย้งเชิงปรัชญา และคำถามแห่งชีวิต หากพระเยซูฟื้นคืนพระชนม์จริงๆ ย่อมแสดงว่าพระองค์ทรงเป็นสัตภาวะแห่งสวรรค์ ไม่มีมนุษย์คนใดมีพลังอำนาจในตนเองที่จะกลับมามีชีวิตหลังจากตายไปแล้ว เพราะว่าพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ พระเยซูย่อมไม่ได้เป็นเพียงช่างไม้ ครู อาจารย์ หรือศาสดาพยากรณ์อย่างแน่นอน เพราะพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ พระเยซูย่อมต้องเป็นพระผู้เป็นเจ้า แม้พระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระบิดา
ฉะนั้น สิ่งที่พระองค์ทรงสอนจึงเป็นความจริง เพราะพระผู้เป็นเจ้าตรัสเท็จไม่ได้25
ฉะนั้น พระองค์จึงทรงเป็นพระผู้สร้างแผ่นดินโลก ดังที่พระองค์ตรัส26
ฉะนั้น สวรรค์และนรกจึงมีจริง ดังที่พระองค์ทรงสอน27
ฉะนั้น มีโลกแห่งวิญญาณที่ซึ่งพระองค์ทรงไปเยือนหลังจากสิ้นพระชนม์28
ฉะนั้น พระองค์จะเสด็จมาอีกครั้ง ดังที่ทวยเทพกล่าว29 และจะทรง “ปกครองแผ่นดินโลกด้วยพระองค์เอง”30
ฉะนั้น จะมีการฟื้นคืนชีวิตและการพิพากษาครั้งสุดท้ายสำหรับทุกคน31
เนื่องด้วยความจริงเกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ ข้อสงสัยเรื่องเดชานุภาพอันสมบูรณ์ ปรีชาญาณรอบรู้ และความเมตตาปราณีของพระผู้เป็นเจ้าพระบิดา—ผู้ประทานพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์เพื่อไถ่โลก—จึงไร้เหตุผลทั้งสิ้น ข้อสงสัยเรื่องความหมายและจุดประสงค์ของชีวิตจึงไม่มีมูลความจริง อันที่จริงพระเยซูคริสต์คือพระนามเดียวหรือหนทางเดียวที่จะนำความรอดมาสู่มนุษยชาติได้ พระคุณของพระคริสต์มีอยู่จริง ซึ่งมีทั้งการให้อภัยและการชำระล้างสำหรับคนบาปที่กลับใจ ศรัทธาเป็นมากกว่าจินตนาการหรือสิ่งที่สร้างขึ้นเชิงจิตวิทยา มีความจริงสูงสุดที่เป็นสากล รวมทั้งมาตรฐานทางศีลธรรมที่ไร้อคติและไม่เปลี่ยนแปลง ดังที่พระองค์ทรงสอนไว้
เนื่องด้วยความเป็นจริงเกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ การกลับใจจากการฝ่าฝืนกฎและพระบัญญัติของพระองค์นั้นเป็นไปได้และเป็นเรื่องเร่งด่วน ปาฏิหาริย์ของพระผู้ช่วยให้รอดมีจริง ดังสัญญาที่ทรงให้ไว้แก่บรรดาสานุศิษย์ว่าพวกเขาจะทำได้เช่นเดียวกัน แม้กิจที่ยิ่งใหญ่กว่า32 ฐานะปุโรหิตของพระองค์ย่อมต้องเป็นพลังอำนาจจริงที่ “ดูแลพระกิตติคุณและถือกุญแจแห่งความลี้ลับของอาณาจักร, แม้กุญแจแห่งความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้า. ฉะนั้น, ในศาสนพิธีของฐานะปุโรหิตนี้, พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าจึงแสดงให้ประจักษ์.”33 เพราะความเป็นจริงของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ ความตายจึงไม่ใช่จุดจบของเรา แม้ “ผิวหนัง [ของร่างกายเรา] ถูกทำลายไปอย่างนี้ แล้วในเนื้อหนัง [ของเรา] [เรา] จะเห็นพระเจ้า”34
ประธานโธมัส เอส. มอนสันเล่าเรื่องของโรเบิร์ต แบลตช์ฟอร์ด เมื่อ 100 ปีที่แล้ว “ในหนังสือของเขาชื่อ God and My Neighbor เขาโจมตีอย่างรุนแรงต่อความเชื่อที่ชาวคริสต์ยอมรับ อาทิ พระผู้เป็นเจ้า พระคริสต์ การสวดอ้อนวอน และความเป็นอมตะ เขากล่าวอ้างอย่างอาจหาญว่า ‘ผมยืนยันว่าได้พิสูจน์ทุกสิ่งตามที่ผมต้องการแล้วอย่างเต็มที่และแน่นอนว่าไม่มีชาวคริสต์คนใด ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่หรือสามารถเพียงไร จะหักล้างข้อโต้แย้งหรือสะเทือนข้อสนับสนุนของผมได้’ เขาปิดล้อมตนเองไว้ในกำแพงแห่งความกังขา แล้วเรื่องที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น กำแพงของเขาพังทลายเป็นผงธุลี …เขาค่อยๆ เริ่มคลำทางกลับไปหาความเชื่อที่เขาเคยปฏิเสธและเย้ยหยัน อะไรเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลึกซึ้งเช่นนี้ในทัศนคติของเขา ภรรยาของเขาเสียชีวิต [แล้ว] ด้วยหัวใจแตกสลาย เขาเข้าไปในห้องที่ศพของเธอวางอยู่ เขามองใบหน้าแสนรักของเธออีกครั้ง เมื่อออกมา เขาบอกเพื่อนคนหนึ่งว่า ‘ร่างนั้นคือเธอ แต่ก็ไม่ใช่เธออยู่ดี ทุกอย่างเปลี่ยนไป บางอย่างที่เคยอยู่ในนั้นถูกพรากไปแล้ว เธอไม่เหมือนเดิม จะมีอะไรเล่าที่ถูกพรากไปได้นอกจากจิตวิญญาณ’”35
ในความเป็นจริงแล้วพระเจ้าสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์หรือไม่ ใช่ “หลักธรรมพื้นฐานของศาสนาเราคือประจักษ์พยานของอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ ทรงถูกฝัง ทรงคืนพระชนม์อีกครั้งในวันที่สาม และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เรื่องอื่นทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเราล้วนเป็นเพียงส่วนประกอบของเรื่องดังกล่าว”36
เมื่อการประสูติของพระเยซูตามคำพยากรณ์เริ่มใกล้เข้ามา มีผู้คนท่ามกลางชาวนีไฟและชาวเลมันสมัยโบราณที่เชื่อ แม้ส่วนมากจะสงสัย ในที่สุด เครื่องหมายการประสูติของพระองค์ก็มาถึง—หนึ่งวันหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวันที่ปราศจากความมืด—และทุกคนจึงได้รู้37 แม้ดังเช่นทุกวันนี้ บางคนเชื่อในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ตามความเป็นจริง หลายคนสงสัยหรือไม่เชื่อ แต่บางคนรู้ ในที่สุดทุกคนจะเห็นและทุกคนจะรู้ “ทุกเข่าจะย่อลง, และทุกลิ้นจะสารภาพต่อพระพักตร์พระองค์”38 แต่โดยดี
จนกว่าจะถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าเชื่อพยานทั้งหลายของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอด ประสบการณ์และประจักษ์พยานของพวกเขาอยู่ในพันธสัญญาใหม่—ทั้งของเปโตรกับเพื่อนในหมู่อัครสาวกสิบสองและมารีย์ชาวมักดาลาผู้บริสุทธิ์อันเป็นที่รัก ข้าพเจ้าเชื่อประจักษ์พยานที่พบในพระคัมภีร์มอรมอน—เช่นประจักษ์พยานของอัครสาวกนีไฟกับฝูงชนนิรนามในแผ่นดินอุดมมั่งคั่ง และข้าพเจ้าเชื่อประจักษ์พยานของโจเซฟ สมิธและซิดนีย์ ริกดัน ผู้ประกาศพยานอันยิ่งใหญ่แห่งสมัยการประทานสุดท้ายนี้หลังจากประจักษ์พยานอื่นๆ มากมาย “ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่! เพราะเราเห็นพระองค์”39 ภายใต้การชำเลืองมองด้วยพระเนตรที่เห็นทุกสิ่งของพระองค์ ข้าพเจ้ายืนเป็นพยานว่าพระเยซูแห่งนาซาเร็ธคือพระผู้ไถ่ที่ฟื้นคืนพระชนม์ และเป็นพยานถึงผลทุกสิ่งที่ตามมาจาก ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ ขอให้ท่านได้รับความเชื่อมั่นและความสบายใจจากการมีพยานเดียวกันนั้น ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน