2016
การรู้จักพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์
มกราคม 2016


การรู้จัก พระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์

จากคำปราศรัยเรื่อง “พระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์” ในการสัมมนาประธานคณะเผยแผ่คนใหม่ที่ศูนย์ฝึกอบรมผู้สอนศาสนาโพรโวเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 2013

เราต้องรู้จักองค์สัตภาวะอันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ในทุกๆ ด้านเท่าที่เราจะทำได้ เราต้องรักพระองค์ ใกล้ชิดพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ และพยายามเป็นเหมือนพระองค์

Painting of the first vision by Walter Rane.  The Father and Son appear to Joseph Smith in the sacred grove.

นิมิตแรก โดย วอลเตอร์ เรน

ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “หลักธรรมข้อแรกของพระกิตติคุณคือการรู้แน่ชัดถึงพระลักษณะนิสัยของพระผู้เป็นเจ้า”1 ท่านกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ “ข้าพเจ้าต้องการให้ทุกท่านรู้จักพระองค์ และคุ้นเคยกับพระองค์”2 เราต้องมี “แนวคิดที่ ถูกต้อง เกี่ยวกับ … ความดีพร้อมและพระคุณลักษณะของพระองค์” และชื่นชม “ความเป็นเลิศในพระลักษณะนิสัยของพระองค์”3

ข้าพเจ้าประสงค์จะให้คำท้าทายของท่านศาสดาพยากรณ์กับเราและกล่าวว่าเราและผู้สอนศาสนา สมาชิกของเรา และผู้สนใจของเราพึงรู้แน่ชัดถึงพระลักษณะนิสัยของสมาชิกใน พระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ เราพึงมีแนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับความดีพร้อมตลอดจนพระคุณลักษณะของแต่ละพระองค์ และชื่นชมความเป็นเลิศในพระอุปนิสัยส่วนพระองค์ ของพระองค์

ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หลักแห่งความเชื่อข้อแรกกล่าวว่า “เราเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า,พระบิดานิรันดร์, และในพระบุตรของพระองค์, พระเยซูคริสต์, และในพระวิญญาณบริสุทธิ์” (หลักแห่งความเชื่อ ข้อ 1) ข่าวสารต้องชัดเจนสำหรับทุกคนที่สอนพระกิตติคุณ ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงความจริงอื่นที่เราเชื่อถ้าใจเราไม่จดจ่ออยู่กับบทบาทสูงสุดของพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ในหลักคำสอนและจุดหมายปลายทางนิรันดร์ของเรา เราต้องรู้จักองค์สัตภาวะอันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ในทุกๆ ด้านเท่าที่เราจะทำได้ เราต้องรักพระองค์ ใกล้ชิดพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ และพยายามเป็นเหมือนพระองค์

เมื่อเรานำผู้คนเข้ามาในศาสนจักร เราไม่ได้ให้บัพติศมาพวกเขาเข้ามาในศาสนจักรของมนุษย์ ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเป็นโจเซฟ สมิธ หรือบริคัม ยังก์ หรือโธมัส เอส. มอนสัน—แม้เราจะเคารพนับถือศาสดาพยากรณ์เหล่านั้นก็ตาม และเราไม่ได้ให้บัพติศมาพวกเขาเข้ามาในศาสนจักรของครอบครัวที่มีความสุขหรือของคณะนักร้องประสานเสียงมอรมอนแทเบอร์นาเคิล

เมื่อเรานำผู้คนเข้ามาในศาสนจักร เราให้บัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในการทำเช่นนั้น เรากำลังนำพวกเขากลับไปที่ประทับของพระบิดาผ่านการปฏิบัติศาสนกิจ การชดใช้ และพระคุณของพระบุตร โดยมีอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์นำทางพวกเขาไปถึงเป้าหมายนี้ เราพึงจำไว้สูงสุดเสมอว่าความมีอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์เป็นวิธีบรรลุจุดประสงค์ขณะที่เราทำงานแห่งความรอด

ตามที่กษัตริย์เบ็นจามินแนะนำ ถ้าเรารู้จักองค์สัตภาวะอันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ผู้ที่เรารับใช้ อย่างแท้จริง และทำให้มั่นใจว่าพระองค์ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเรา และอยู่ไม่ไกลจากความนึกคิดและเจตนาของใจเรา (ดู โมไซยาห์ 5:13) เมื่อนั้นเราอาจจะมีผลลัพธ์เช่นเดียวกับกษัตริย์เบ็นจามิน และผลลัพธ์เหล่านั้นคืออะไร ผู้คนของเขาประสบ “การเปลี่ยนแปลงอันล้ำลึก” “ไม่มีใจที่จะทำความชั่วอีก, แต่จะทำความดีโดยตลอด” และ “เต็มใจที่จะเข้าสู่พันธสัญญา … เพื่อจะทำตามพระประสงค์ [ของพระผู้เป็นเจ้า], และเพื่อจะเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์, ตลอดวันเวลาที่เหลืออยู่ [ของพวกเขา] ในทุกเรื่องซึ่งพระองค์จะทรงบัญชา [พวกเขา]” (โมไซยาห์ 5:2, 5)

Large out door scene with a market square/campsite in the foreground and green hills in the background.  In the right foreground there is the side of alarge stuped  tent;  the tent has an awning supported by ropes and poles.  Hanging from the awning is a series of poles.  Underneath the awning is a mother with several children all in highly colored tunics and skirts.  In the left foreground is another family.  This family has a father with a daughter in hi lap, two women beside him (one with a child in her lap) and a young boy with no shirt.  Behind the man is another figure with a bowed head.  Threre are several other figures and tents in the picture, but they are across the ones in the foreground.  A large tower is the focus of the painting.  The tower appears like scaffolding with a shaded top.  On top of the tower are three men.  One wears a blue robe and speaks with outstretched arms.  The other two seem to be recording his words.  Behind the tower is a stone building with step shapped sides.  "Walter Ranes '03" appears in the lower right corner in red.   The Reverse side reads, "Walter Rane 2003/ In the Service of Your God Mosiah 2:17/ King Benjamin Addresses his People".

ซ้าย: ในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าของท่าน, โดย วอลเตอร์ เรน เอื้อเฟื้อโดยพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศาสนจักร; ขวา: ส่วนหนึ่งจากภาพ บัพติศมา โดยเจ. เคิร์ค ริชาร์ดส์

นั่นคือผลจากคำสอนของกษัตริย์เบ็นจามินต่อที่ประชุมของเขา และนั่นคือนิยามพระคัมภีร์ที่ สมบูรณ์ ของ การเติบโตอย่างแท้จริง ในผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสของเราที่เรากำลังเน้นย้ำขณะสถาปนาศาสนจักร “ทั่วโลก” (มาระโก 16:15)

ตามที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอน งานเผยแผ่ศาสนา—งานแห่งความรอด—เปรียบเสมือนแหที่เรากำลังเหวี่ยงออกไปในโลกของประชาชาติ วัฒนธรรม และผู้คนกว้างขึ้นเรื่อยๆ ดังอุปมากล่าว เราจะรวบรวมปลา “ทุกชนิด” (มัทธิว 13:47) “ปลา” จำนวนมากเหล่านั้นในแนวเขตที่เรากำลังขยายไม่รู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นใครหรือความเป็นพระบิดาของพระองค์เป็นเช่นไร พวกเขาไม่รู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นใครหรือเหตุใดพระนามของพระองค์จึงเป็นพระนามเดียวภายใต้ฟ้าสวรรค์ที่เราจะได้รับการช่วยให้รอด (ดู กิจการของอัครทูต 4:12) พวกเขาไม่รู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นใครหรือเหตุใดสมาชิกองค์นี้ในพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์จึง “ส่งออกไปสอนความจริง” (คพ. 50:14)

ความรู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์

แน่นอนว่ามีมากมายหลายเรื่องซึ่งปลาทุกชนิดที่เรารวบรวมไว้ไม่รู้ แต่ถ้าพวกเขาจะน้อมรับพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูและพบความรอดสำหรับจิตวิญญาณของตนเองจริงๆ พวกเขาจะต้องเริ่มด้วยความรู้ความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับสมาชิกในพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ สุดท้าย “การนมัสการที่แท้จริงและช่วยให้รอดมีเฉพาะในหมู่คนที่รู้จักความจริงเกี่ยวกับ … พระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์และเข้าใจความสัมพันธ์แท้จริงที่มนุษย์ควรมีกับสมาชิกแต่ละองค์ใน [สิ่งที่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเรียกว่า] ฝ่ายประธานนิรันดร์”4

เอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกี (1915-1985) แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองเตือนเราว่าลูซิเฟอร์เข้าใจความสำคัญของหลักคำสอนดังกล่าว แม้เราไม่เข้าใจ ท่านกล่าวว่า

“ไม่มีความรอดในการเชื่อ … หลักคำสอนเท็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนะผิดๆ หรือไม่ฉลาดเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์หรือสมาชิกแต่ละองค์ในพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ …

“ด้วยเหตุนี้มารจึงแพร่หลักคำสอนเท็จเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ และทำให้เกิดความรู้สึกผิดๆ เกี่ยวกับพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แทนที่จะแพร่เรื่องอื่นที่พระองค์ทรงทำได้”5

เพราะฉะนั้นจึงไม่มีผู้สนใจคนใดเข้ามาในศาสนจักรนี้ด้วยประจักษ์พยาน แท้จริง ด้วยการเปลี่ยนใจเลื่อมใส แท้จริง ด้วยสิ่งที่เรากำลังแสวงหาและเรียกว่าการเติบโตอย่างแท้จริงในผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสแต่ละคน เว้นแต่เขาอย่างน้อยที่สุดเคยมีประสบการณ์ส่วนตัวทางวิญญาณจริงๆ กับพระผู้เป็นเจ้ามาบ้าง ประสบการณ์จริงแบบนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความตระหนักว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริง เป็นบุคคลจริงๆ เป็นพระบิดาจริงๆ ทรงมีเนื้อหนังและกระดูก ผู้ตรัส ทอดพระเนตร และทรงรู้สึก ผู้ทรงรู้จักชื่อบุตรธิดาทุกคนของพระองค์และความต้องการทั้งหมดของพวกเขา ผู้ทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนทั้งหมดของพวกเขา และผู้ทรงต้องการบุตรธิดาทุกคนของพระองค์ในศาสนจักรของพระองค์ ผู้สนใจเหล่านี้จำเป็นต้องรู้ว่าพระองค์ทรงมีแผนสำหรับความรอดของพวกเขาและพระองค์ได้ประทานพระบัญญัติเกี่ยวกับวิธีพบหนทางกลับไปหาพระองค์

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงห่วงใยพวกเขาเฉกเช่นบิดามารดาห่วงใยบุตรธิดาไม่สามารถเป็นหมอกบางหรือหลักปรัชญาที่คลุมเครือหรือเจ้าของจักรวาลที่ไม่สนใจคนในจักรวาล ผู้สนใจต้องรู้จักพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นจริงๆ—พระบิดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ ลูกทุกคนของพระองค์ได้รับการสร้างตามรูปลักษณ์ของพระองค์และสักวันหนึ่งเราทุกคนจะยืนอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์อีกครั้ง—และจากนั้นเราจะคุกเข่าลง ผู้สนใจส่วนน้อยจะรู้จักพระผู้เป็นเจ้าแบบ นั้น ตอนนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะนับถือศาสนาคริสต์หรือไม่

ด้วยเหตุนี้จึงสำคัญที่สุดที่บทที่ 1 ใน สั่งสอนกิตติคุณของเรา ต้องเริ่มด้วยคำประกาศที่เรียบง่ายว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาบนสวรรค์ของเรา”6 ในบทนั้นความตั้งใจแรกที่ผู้สอนศาสนาต้องทำคือสอนให้แต่ละคนเข้าใจเกี่ยวกับพระลักษณะแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้า

ถ้าผู้สอนศาสนาสามารถทำให้ผู้สนใจของพวกเขามีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าในความคิดและในใจพวกเขาตั้งแต่เริ่มสอน เรื่องอื่นทั้งหมดที่สอนหลังจากนั้นจะเข้าใจง่ายขึ้นมาก

พระพันธกิจและข่าวสารของพระเยซูคริสต์

Jesus Christ being baptized by John the Baptist.

ซ้าย: ในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าของท่าน, โดย วอลเตอร์ เรน เอื้อเฟื้อโดยพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศาสนจักร; ขวา: ส่วนหนึ่งจากภาพ บัพติศมา โดยเจ. เคิร์ค ริชาร์ดส์

ในทำนองเดียวกัน เอ็ลเดอร์ ซิสเตอร์ และผู้สนใจพึงเห็นคุณค่าความสง่างามแห่งพระพันธกิจและข่าวสารของพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้น พระองค์ผู้เสด็จลงมาจากพระบิดาและทรงสอนสิ่งที่พระบิดาทรงสอนพระองค์ ทุกคนพึงตระหนักว่าพระเยซูเสด็จมาในความเป็นมรรตัยเพื่อแสดงให้เราเห็นทาง ความจริง และชีวิต โดยแท้แล้ว พระองค์ ทรงเป็น ทาง เดียว ความจริง ทั้งมวล และชีวิตที่ ดีพร้อม ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงทรงเป็นบุตรคนเดียวในครอบครัวมนุษย์ที่พระบิดาทรงสามารถตรัสได้อย่างสมบูรณ์เต็มที่ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” (มัทธิว 17:5)

เราต้องมีศรัทธาในพระคริสต์ วางใจว่าพระองค์ได้ทรงไถ่เราจากความตายทางร่างกายและนรกทางวิญญาณ ยอมรับว่าการชดใช้เป็นหนทาง เดียว ของการทำให้ตัวเราคืนดีกับพระผู้เป็นเจ้า และยอมรับว่าไม่มีทางอื่นสู่ความรอด ชาวโลกต้องคุกเข่าหากจะรับการไถ่และกล่าวสารภาพว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระบุตรผู้ทรงพระชนม์ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ เราจำเป็นต้องสอน “หลักคำสอนของพระคริสต์” ด้วยศรัทธาและความกระตือรือร้น (ฮีบรู 6:1; 2 ยอห์น 1:9; 2 นีไฟ 31:2, 21; 32:6; เจคอบ 7:2, 6) ดังประกาศไว้ในพระคัมภีร์และดังสรุปไว้ในบทที่ 3 ของ สั่งสอนกิตติคุณของเรา

ปลาจากแหที่เราเหวี่ยงออกไปไกลจำเป็นต้องรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นสมาชิกในพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ผู้ซึ่งพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุดและบ่อยที่สุดกับพระองค์เมื่อพวกเขาต้อนรับผู้สอนศาสนาและสวดอ้อนวอนขอการนำทางจากสวรรค์เกี่ยวกับข่าวสารของคนเหล่านั้น สมาชิกองค์นี้ในพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์จะทรง นำ ผู้สนใจไปพบความจริงและจากนั้นจะทรง เป็นพยาน ถึงความจริงเมื่อพวกเขาพบ ผู้สนใจต้องได้รับการสอนให้รู้จักพระวิญญาณเมื่อทรงแสดงให้ประจักษ์ระหว่างเรียนบทเรียน แน่นอนว่าผู้สอนศาสนาต้องเข้าใจบทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในกระบวนการเปลี่ยนใจเลื่อมใสและต้องพยายามมีพระวิญญาณสถิตอยู่กับพวกเขาตลอดเวลา

“เจ้าได้รับแต่งตั้งเพื่ออะไรเล่า?” พระเจ้าตรัสถาม “เพื่อสั่งสอนกิตติคุณของเราโดยพระวิญญาณ, แม้พระผู้ปลอบโยนซึ่งเราส่งออกไปสอนความจริง. …

“ดังนั้น, คนที่สั่งสอนและคนที่รับ [โดยพระวิญญาณ], เข้าใจกัน, และทั้งสองได้รับการจรรโลงใจและชื่นชมยินดีด้วยกัน” (คพ. 50:13–14, 22)

เราแน่ใจได้เลยว่าผู้สอนศาสนาและผู้สนใจ— จะไม่ ประสบความสำเร็จ—ถ้าเราไม่สอนคำสอนเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า เราต้องไม่สอนเกี่ยวกับผู้นำทางศีลธรรมก่อนเราสอนและเป็นพยานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องไม่พยายามสอนความจริงที่เป็นส่วนประกอบก่อนเราสอนความจริงพื้นฐาน เราต้องไม่เร่งรัดเรื่องบัพติศมาและเป้าหมายของผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ก่อนเราสอนให้มีศรัทธาแท้จริงในพระผู้เป็นเจ้า อธิบายความจำเป็นของการกลับใจจริงในพระคริสต์ และแน่ใจว่าเรื่องสำคัญที่เราสอนตั้งแต่แรกนั้นทำให้ประจักษ์พยานของผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสเติบโตเข้มแข็งต่อเนื่องผ่านอิทธิพลการบำรุงเลี้ยงของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

ความสับสนเกี่ยวกับศาสนาคริสต์

เกี่ยวกับพระลักษณะที่แตกต่างกันชัดเจนขององค์สัตภาวะทั้งสาม การเปิดเผยยุคสุดท้ายของเราสอนว่า “พระบิดาทรงมีพระวรกายเป็นเนื้อหนังและกระดูกสัมผัสได้ดังของมนุษย์; พระบุตรก็เช่นกัน; แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงมีพระวรกายเป็นเนื้อหนังและกระดูก, แต่เป็นรูปกายที่เป็นวิญญาณ” (คพ. 130:22)

Jesus Christ depicted standing with His arms outstretched as an invitation for people to come to Him. Several people are gathered around Christ. Most of the people are looking up at Christ. An elderly man is kneeling on the ground. The man is clasping the robe of Christ and resting his head against Christ's side. Another elderly man is seated by Christ. He is resting his head on Christ's other side.

ส่วนหนึ่งจากภาพ การรักษาคนตาบอด, โดย คาร์ล ไฮน์ริค บลอค

ไม่มีข้อความใดเป็นบรรทัดฐานชัดเจนกว่านี้อีกแล้ว! แต่น่าเสียดายที่ประวัติศาสตร์ราวสองพันปีของศาสนาคริสต์ได้หว่านความสับสนมากมายและความผิดพลาดที่ก่อให้เกิดความเสียหายในเรื่องนี้ วิวัฒนาการและข้อบัญญัติทางศาสนาหลายฉบับได้บิดเบือนความชัดเจนอันเรียบง่ายของหลักคำสอนที่แท้จริงไปมาก โดยประกาศว่าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นนามธรรม บริสุทธิ์ เหนือธรรมชาติ ดำรงอยู่ทุกหนแห่งในร่างเดียวชั่วนิรันดร์ และไม่มีใครรู้จัก ปราศจากร่างกาย อวัยวะ หรืออารมณ์ความรู้สึก อยู่นอกอวกาศและเวลา

ในข้อบัญญัติเหล่านั้น สมาชิกทั้งสามพระองค์เป็นคนละองค์ แต่ทรงเป็นสัตภาวะเดียว หรือที่พูดถึงกันบ่อยๆ ว่า “ความลี้ลับเรื่องตรีเอกานุภาพ” ทั้งสามพระองค์แยกจากกันชัดเจน ทว่าไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์แต่เป็นหนึ่งองค์ ทั้งสามพระองค์ไม่สามารถเข้าใจ ทว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้าองค์หนึ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้

เราเห็นด้วยกับนักวิจารณ์ของเราอย่างน้อยในประเด็นนั้น—ว่าการกำหนดแนวคิดสำหรับความเป็นพระผู้เป็นเจ้าเช่นนั้นไม่สามารถเข้าใจได้เลย เนื่องด้วยนิยามที่สับสนของพระผู้เป็นเจ้ากำลังถูกยัดเยียดให้ศาสนจักร จึงไม่แปลกที่พระในศตวรรษที่สี่ร้องออกมาว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า! พวกเขาพาพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปจากข้าพเจ้า … และข้าพเจ้าไม่ทราบจะบูชาใครหรือสวดอ้อนวอนถึงใคร”7 เราจะวางใจ รัก และนมัสการ หรือแม้แต่พยายามเป็นเหมือนพระองค์ผู้ที่เราไม่สามารถเข้าใจได้และไม่รู้จักได้อย่างไร เราควรเข้าใจคำสวดอ้อนวอนของพระเยซูที่ว่า “และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขา รู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จัก พระเยซูคริสต์ ที่ พระองค์ ทรงใช้มา” ได้อย่าง (ยอห์น 17:3; เน้นตัวเอน)

จุดประสงค์ของเราไม่ใช่เพื่อดูหมิ่นความเชื่อของใครหรือหลักคำสอนของศาสนาใด เราแสดงความเคารพหลักคำสอนของพวกเขาเช่นที่เราขอให้พวกเขาเคารพหลักคำสอนของเรา (นั่นเป็นหลักแห่งความเชื่อของเราด้วย) แต่ Harper’s Bible Dictionary ที่เชื่อถือได้และนับเป็นมาตรฐานทองคำในแขนงนั้นบันทึกว่า “หลักคำสอนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพตามที่สภาคริสตจักรนิยามไว้เมื่อศตวรรษที่สี่และห้าไม่มีอยู่ [สักที่เดียว] ใน [พันธสัญญาใหม่]”8

ด้วยเหตุนี้เราจึงสบายใจมากที่จะบอกให้รู้กันทั่วไปว่าเรายึดถือทัศนะเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ที่ได้รับอิทธิพลจากคนนอกศาสนาของศตวรรษที่สี่หรือห้า อีกทั้งวิสุทธิชนชาวคริสต์รุ่นแรกเหล่านั้นที่เห็นพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์ด้วยตาตนเองก็ไม่ได้มีทัศนะเช่นนั้น9 เราเป็นชาวคริสต์เหมือนคนในพันธสัญญาใหม่—ไม่ใช่ ผู้ทำตามข้อบัญญัติไนซีน

ความเป็นหนึ่งเดียวของพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์

อย่างไรก็ดี ตอนนี้ข้าพเจ้าจะเน้นอย่างเร็วว่าเมื่อเราเข้าใจความแตกต่างของทั้งสามพระองค์ สำคัญเท่ากันที่ต้องเน้นว่าพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกันและทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ที่เป็น หนึ่งเดียว อย่างแท้จริงอย่างไร ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าปลอดภัยในการพูดว่าเหตุผลส่วนหนึ่งที่คนอื่นๆ ในศาสนาคริสต์เข้าใจเราผิดเพราะในการเน้นความเป็นปัจเจกของพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์นั้น เราไม่เพียงยอมรับความเป็นหนึ่งเดียวของพระองค์เท่านั้น แต่เรา ยืนกราน ในเรื่องนี้ทุกด้านเท่าที่เราจะนึกออก เพราะเหตุนี้เราจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่จำเป็น และเราได้ทำให้จุดยืนในการเป็นแอลดีเอสของเราเข้าใจได้ยากกว่าที่จำเป็นต้องเข้าใจ

โดยแท้แล้วข้อความ “หลักคำสอนของพระคริสต์”ใน 2 นีไฟ 31 จบลงด้วยคำประกาศนี้ “นี่คือหลักคำสอนของพระคริสต์, และคือหลักคำสอนเดียวและแท้จริงของพระบิดา, และของพระบุตร, และของพระวิญญาณบริสุทธิ์, ซึ่งคือพระผู้เป็นเจ้าเดียว, ไม่มีที่สุด” (2 นีไฟ 31:21)

เราทุกคนเคยอ่านคำสวดอ้อนวอนอันทรงพลังของพระผู้ช่วยให้รอดแทนสานุศิษย์ใน ยอห์น 17 เรารู้ว่านั่นเป็นการประกาศความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างพระบิดากับพระบุตรและระหว่างทั้งสองพระองค์กับเราเหล่าสานุศิษย์ของพระองค์บนแผ่นดินโลก จงอ่านคำสวดอ้อนวอนของพระองค์บ่อยๆ เนื่องจากเป็นคำสวดอ้อนวอนที่ประธานเดวิด โอ. แมคเคย์ (1873-1970) เคยเรียกว่า “คำสวดอ้อนวอนครั้งสำคัญที่สุด … เท่าที่เคยเอ่ยในโลกนี้”10 เราควรพยายามเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังที่พระเยซูทรงสวดอ้อนวอนขอให้เราเป็นเช่นนั้น

พยานของอัครสาวก

ข้าพเจ้าทิ้งท้ายด้วยประจักษ์พยานของข้าพเจ้าเกี่ยวกับองค์สัตภาวะอันศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์ผู้ทรงประกอบเป็น “ฝ่ายประธานนิรันดร์” ตามที่พูดถึง ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยวิญญาณ ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ว่าพระองค์ทรงเป็นพยานถึงบทบาทอันสำคัญยิ่งของสองพระองค์ ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นครู พระผู้ปลอบโยน และตัวแทนของการเปิดเผยส่วนตัว ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงนำทุกสิ่งมาสู่ความทรงจำของเรา—นี่เป็นพรพิเศษเนื่องด้วยการระลึกถึงเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ข้อหนึ่งที่ประทานแก่เรา รวมทั้งในคำสวดอ้อนวอนศีลระลึก (ดู คพ. 20:77, 79)

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าโดยผ่านอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราสามารถขับไล่ความมืดออกจากท่ามกลางพวกเราและได้รับการเตือนให้ระวังอันตรายและความเท็จ ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งคำสัญญาเช่นกัน โดยทรงยืนยันและรับรองพันธสัญญาและศาสนพิธี และทรงผนึกพรแห่งความรอดทั้งหมดที่นำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ข้าพเจ้ารู้สึกครั่นคร้ามที่เราได้เข้าถึงสมาชิกองค์หนึ่งในพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์และมีพระองค์อยู่ด้วยตลอดเวลาถ้าเราดำเนินชีวิตอย่างมีค่าควร ข้าพเจ้าแสดงความสำนึกคุณจนเกือบสุดจะพรรณนาต่อของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์

ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานถึงพระเยซูคริสต์ พระบุตรผู้ทรงพระชนม์ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้ทรงชำระค่าไถ่เพื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณของท่านและข้าพเจ้า จิตวิญญาณของชาย หญิง และเด็กทุกคนตั้งแต่อาดัมจนถึงอวสานของโลก ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าหลักธรรมข้อแรกของพระกิตติคุณคือ ศรัทธา ในพระเจ้าพระเยซูคริสต์และนั่นคือรากฐานและข่าวสารหลักของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย

Jesus Christ depicted leaning on a rock in the Garden of Gethsemane. The image depicts the Atonement of Christ.

ซ้าย: อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด โดย แฮร์รีย์ แอนเดอร์สัน; ขวา: ส่วนหนึ่งจากภาพ Christus the Consolator, โดยคาร์ล ไฮน์ริค บลอค

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนเกิดมาพร้อมแสงสว่างของพระคริสต์ในจิตวิญญาณของเขา ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานว่าพระองค์ทรงเป็นต้นและปลาย ปฐมและอวสาน อัลฟาและโอเมกาของความรอดของเรา ข้าพเจ้าประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระเยโฮวาห์ผู้ยิ่งใหญ่ เราเป็นผู้ทรงไถ่ พระเมษโปดกของพระผู้เป็นเจ้าที่ถูกสังหารนับแต่ก่อนการวางรากฐานของโลก ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าในพระองค์มีความบริบูรณ์ พระองค์ประสูติ ทรงพระชนม์ และสิ้นพระชนม์ในฐานะมหาบุรุษผู้ทรงดีพร้อมไร้บาป ปราศจากตำหนิและจุดด่างพร้อย

ข้าพเจ้าสำนึกคุณต่อสิทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์ ซึ่งควบคุมทุกสิ่งที่มีความสำคัญนิรันดร์ในจักรวาล และมีพระนามของพระองค์—ฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ตามระเบียบของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่จนอายุหนึ่งพันปี ข้าพเจ้าคงไม่สามารถแสดงความพิศวงและความไม่คู่ควรได้มากพอต่อการได้รับเรียกเป็นอัครสาวกคนหนึ่งของพระองค์ พยานถึงพระนามของพระองค์ไปทั่วโลก

ฉันเฝ้าพิศวงต่อความรักพระเยซูให้ฉัน

ทั้งงงงันต่อพระคุณท่วมท้นที่พระองค์ประทาน11

ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานถึงพระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์ เอโลฮิมที่ยิ่งใหญ่ พระบิดาของข้าพเจ้าและพระบิดาของท่าน ผู้ประทานชีวิตทางวิญญาณแก่เรา ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระองค์ทรงเป็นมหาบุรุษแห่งความบริสุทธิ์ พระเมตตา พระคุณความดี ความรัก และความเห็นอกเห็นใจเป็นเพียงการเริ่มต้นพูดถึงพระลักษณะสำคัญและเป็นนิรันดร์ส่วนหนึ่งของพระองค์เท่านั้น ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระคริสต์เสด็จมาเพื่อแสดงให้เราเห็นพระบิดาและด้วยเหตุนี้จึงสมควรเรียกพระองค์ว่าพระบุตรของมหาบุรุษ (แห่งความบริสุทธิ์)

ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานว่าพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ลิขิตแผนแห่งความรอดอันสำคัญยิ่งและสิ่งที่รู้กันว่าเป็นพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ต่างรู้กันว่าเป็น “พระกิตติคุณของพระผู้เป็นเจ้า” ด้วย (โรม 1:1; ดู ข้อ 2-3ด้วย) ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานว่าพระบิดาทรงเป็นพระผู้สร้างสิ่งทั้งปวง โดยทรงทำงานผ่านพระเยโฮวาห์และตัวแทนคนอื่นๆ จากสวรรค์เพื่อให้การสร้างสำเร็จและทรงใช้พระนามพระผู้สร้างร่วมกับพระบุตรที่รักของพระองค์ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่า เราต้อง รับใช้ พระบิดาในพระนามของพระบุตรเฉกเช่นเราต้อง สวดอ้อนวอน พระบิดาในพระนามของพระบุตร

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระบิดา ทรงสอนหลักคำสอนของพระบิดา และทรงทำให้ความรอดของพระองค์เองเกิดขึ้นผ่านพระบิดา ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานจริงจังที่สุดว่าพระบิดาทรงรักโลก ทรงรักบุตรธิดาของพระองค์ จนได้ประทานพระบุตรที่ดีที่สุดของพระองค์ พระบุตรที่ดีพร้อมของพระองค์ พระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระองค์ เพื่อใครก็ตามที่เชื่อในพระนามของพระองค์จะมีชีวิตอันเป็นนิจ (ดู ยอห์น 3:36; 6:47; ฮีลามัน 14:8)

ข้าพเจ้าสำนึกคุณต่อพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ซึ่งเราประกอบศาสนพิธีแห่งความรอดและศักดิ์สิทธิ์ในพระนามของพระองค์ในศาสนจักรนี้ตั้งแต่บัพติศมาไปจนถึงการผนึกในพระวิหาร ข้าพเจ้าเชื้อเชิญทุกท่านให้รู้จักองค์สัตภาวะทั้งสามอย่างลึกซึ้ง

อ้างอิง

  1. โจเซฟ สมิธ, ใน History of the Church, 6:305.

  2. โจเซฟ สมิธ, ใน History of the Church, 6:305.

  3. Lectures on Faith (1985), 38, 42.

  4. บรูซ อาร์. แมคคองกี, “Our Relationship with the Lord” (Brigham Young University devotional, Mar. 2, 1982), 1, speeches.byu.edu.

  5. บรูซ อาร์. แมคคองกี, “Our Relationship with the Lord,” 1–2.

  6. สั่งสอนกิตติคุณของเรา: แนวทางการรับใช้งานเผยแผ่ศาสนา (2004), 31.

  7. ใน Owen Chadwick, ed., Western Asceticism (1958), 235.

  8. Paul J. Achtemeier, ed., Harper’s Bible Dictionary (1985), 1099.

  9. เพื่อสนทนาประเด็นนี้อย่างละเอียด ให้ดู สเทเฟน อี. โรบินสัน, Are Mormons Christians? (1991), 71–89; ดู โรเบิร์ต แอล. มิลเล็ต, Getting at the Truth: Responding to Difficult Questions about LDS Beliefs (2004), 106–22 ด้วย.

  10. เดวิด โอ. แมคเคย์ ใน Conference Report ต.ค. 1967 หน้า 5.

  11. “ฉันเฝ้าพิศวง” เพลงสวด บทเพลงที่ 89.