ด้วยความระลึกถึง
ประธานโธมัส เอส. มอนสัน: ศาสดาพยากรณ์และเพื่อน
“อย่ากลัว จงรื่นเริงเถิด อนาคตสดใสเท่าศรัทธาของท่าน”1
ผู้ป่วยห้องฉุกเฉินดูเหมือนพร้อมจะออกจากโรงพยาบาล แต่แพทย์ในซอลท์เลคซิตี้และเจ้าหน้าที่ของเขารู้สึกลังเล แม้การรักษาเสร็จสิ้นและผู้ป่วยฟื้นตัวเต็มที่ แต่สภาพภายนอกที่ดูรุงรังไม่เรียบร้อยและสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่มั่นคงทำให้แพทย์เป็นห่วง “คุณมีใครในครอบครัว หรือเพื่อนคนไหนที่พอจะช่วยดูแลคุณต่อไปหรือเปล่า” แพทย์ถาม “ไม่มีเลยครับ” คนไข้ตอบ จนกระทั่งเขานึกออก “ที่จริงผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ดูแลผมบางครั้งครับ เขาชื่อทอม มอนสัน”2
ประธานโธมัส สเป็นเซอร์ มอนสันเป็น “เพื่อนพิเศษของคนด้อยโอกาส” และเป็นเพื่อนชั่วชีวิตของ “คนสิ้นเนื้อประดาตัว”3 ตลอดชีวิตท่าน รวมทั้งสามสิบกว่าปีของความรับผิดชอบอันหนักหน่วงในฐานะสมาชิกในฝ่ายประธานสูงสุด ท่านทำให้การเยี่ยมเยียนเพื่อนสูงวัยและคนแปลกหน้ามีความสำคัญมากกว่าอย่างอื่น แม้ถึงกับออกจากการประชุมครั้งสำคัญ เมื่อได้รับการกระตุ้นเตือนจากพระวิญญาณไปให้พรฐานะปุโรหิตแก่เด็กที่เจ็บป่วย เมื่อท่านไปดูการแข่งขันกีฬาระดับอาชีพ แทนที่จะชวนมิตรสหายที่มีชื่อเสียงหรือข้าราชการไปด้วย ท่านกลับพาเพื่อนที่โตมาด้วยกันในละแวกยากจนไปแทน ท่านติดป้ายชื่อ “ทอม มอนสัน” ไปร่วมงานคืนสู่เหย้าโรงเรียนมัธยมปลายเวสต์ทุกครั้ง ตามคำกล่าวของบุตรชายคนหนึ่งของโธมัส มอนสัน ท่าน “ไม่เลือกปฏิบัติตามสถานภาพทางสังคม ความมีหน้ามีตา หรือความสำเร็จที่โดดเด่นของบุคคลนั้น เพื่อนผู้ยากจนตั้งแต่ 50 ปีก่อนจะได้รับความสนใจเท่าเทียมกัน—หรือมากกว่า—ผู้ว่าการ วุฒิสมาชิก หรือนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง”4
ผู้คนในสถานภาพชั้นสูงและคนทั่วไปตลอดจนมิตรสหายและผู้สนับสนุนหลายล้านคนทั้งในและนอกศาสนจักรต่างสูญเสียเพื่อนที่ภักดีอันเนื่องด้วยมรณกรรมของประธานศาสนจักรคนที่ 16 ของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ประธานมอนสันยืนยันว่า “ข้าพเจ้าต้องการความช่วยเหลือของพระเจ้าเสมอ และข้าพเจ้าทูลขอความช่วยเหลือนั้นตลอดเวลา”5 ท่านฝากงานบริหารไว้เบื้องหลัง ที่เห็นเด่นชัดคือการยื่นมือช่วยเหลือชาวโลกผ่านความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรม เว็บเพจศาสนจักรที่สร้างความโปร่งใสมากขึ้นและช่วยให้สมาชิกเข้าใจประเด็นที่ซับซ้อน การรณรงค์ด้านประชาสัมพันธ์ที่มุ่งช่วยเหลือชาวโลกให้เข้าใจศาสนจักร และการสร้างสรรค์นวัตกรรมมากมายที่มุ่งขยายงานแห่งความรอด หนึ่งในนั้นคือการลดอายุที่ชายหนุ่มและหญิงสาวจะสามารถรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลา การเพิ่มวิธีที่ผู้สอนศาสนาจะติดต่อกับผู้อื่นได้ (รวมถึงการใช้เทคโนโลยี) และการประชุมเชิงอภิปรายทางออนไลน์เพื่อให้ผู้นำศาสนจักรและสมาชิกทั่วโลกได้สนทนากันตรงหน้าจริงๆ ในช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่ง ศาสนจักรจัดพิมพ์หนังสือคู่มือเล่มใหม่ที่เน้นการเป็นสานุศิษย์แบบชาวคริสต์ งานประวัติครอบครัวซับซ้อนน้อยลง ทำให้การค้นคว้าและการส่งชื่อไปพระวิหารเพื่อทำพิธีบัพติศมาและศาสนพิธีแห่งความรอดอื่นๆ แทนผู้วายชนม์ง่ายขึ้น
แม้ประธานมอนสันจะบรรลุผลสำเร็จในการทำงานสำคัญมากมาย แต่แทบไม่มีใครแย้งว่ามรดกสำคัญที่สุดของท่านคือแบบอย่างอันทรงพลังของท่านเอง พระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่ท่านชื่นชอบเป็นพิเศษอยู่ใน กิจการของอัคร-ทูต 10:38 กล่าวว่าเยซูแห่งนาซาเร็ธคือผู้ “เสด็จไปทำคุณประโยชน์” เรามักจะพบประธานมอนสันทำคุณประโยชน์ในวิธีที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงชักชวนให้เราทำเสมอ อาทิ ให้อาหารคนหิวโหย ต้อนรับคนแปลกหน้า ให้เสื้อผ้าคนเปลือยกาย เยี่ยมคนเจ็บป่วย และเข้าไปในคุกของความอ้างว้างสิ้นหวังที่มักจะกักขังคนไร้ญาติขาดมิตร (ดู มัทธิว 25:34–40) ความมีมนุษยธรรมของท่าน การเน้นที่คนมากกว่าโปรแกรม และการอุทิศตนทำตามพระวิญญาณทำให้นักข่าวคนหนึ่งผู้เขียนบทความเกี่ยวกับประธานมอนสันมาหลายทศวรรษเขียนว่า “ผมแทบจะไม่เคยพบใครที่พยายามมากขนาดนั้นเพื่อหนุนใจ ปลอบใจ ปลอบขวัญ และให้กำลังใจผู้อื่น”6 ชั่วชีวิตที่เต็มไปด้วยครอบครัว ความยากลำบาก โอกาส และที่แน่ๆ คือการรับใช้ช่วยสร้างมรดกตกทอดที่พึงยึดถือเป็นแบบอย่างของการปฏิบัติศาสนกิจเหมือนพระคริสต์ของโธมัส เอส. มอนสัน
บ้านที่โอบอ้อมอารี
ตรงมุมถนน 500 เซาธ์และ 200 เวสต์ ไม่ไกลจากรางรถไฟที่แล่นผ่านซอลท์เลคซิตี้ จอร์จ สเป็นเซอร์และเกลดีส คอนดี มอนสันเลี้ยงดูครอบครัวในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ห้อมล้อมไปด้วยญาติๆ ของเกลดีสซึ่งเป็นลูกหลานของผู้บุกเบิกจากสกอตแลนด์ ปู่ย่าตายายของจอร์จเข้าร่วมศาสนจักรในสวีเดนและอังกฤษก่อนอพยพมาอเมริกาและตั้งรกรากในซอลท์เลคซิตี้ วันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1927 โธมัส สเป็นเซอร์ มอนสัน บุตรชายคนแรกและลูกคนที่สองของจอร์จกับเกลดีสเกิด พวกเขาตั้งชื่อท่านตามโธมัส ชาร์ป คอนดีคุณตาและบิดาของท่าน
ครอบครัวมอนสันแสดงความรักต่อคนรอบข้างและคนอื่นๆ อีกมากมายเช่นกัน การมาเยือนของคนหิวโหยที่เร่ร่อนอยู่ทั่วเมืองไม่ใช่เรื่องแปลกในละแวกนั้น เกลดีส มอนสันต้อนรับและเลี้ยงอาหารคนเหล่านั้น “ประหนึ่งแต่ละคนเป็นแขกรับเชิญ” ประธานมอนสันเล่าในเวลาต่อมา7 ทุกวันอาทิตย์ เธอส่งอาหารเย็นไปให้ “ลุงบ็อบ” ซึ่งอยู่บ้านใกล้กันด้วย ทุกครั้งที่ทอมนำอาหารไปส่ง เขามักจะหยิบเงินมาให้ทอมสิบเซ็นต์ “ผมรับเงินไม่ได้หรอกครับ” ทอมตอบอย่างใช้ความคิด “คุณแม่จะได้เฆี่ยนผมปะไร”8 ในวันอาทิตย์บางครั้งบิดาของทอมจะแบกลุงเอเลียสพี่ชายที่ทุพพลภาพจากโรคไขข้ออักเสบไปขึ้นรถยนต์คันเก่าปี 1928 ของเขาโดยมีทอมเดินตามหลัง และขับพาเขาไปรอบๆ เมือง
“ในช่วงนี้ของชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าประทับใจมากกับการกระทำของคุณพ่อคุณแม่” ประธานมอน-สันกล่าว “ข้าพเจ้าทราบว่าพวกท่านแทบไม่เคยขาดโบสถ์”9 ท่านนึกถึงความใจกว้างและความมีไมตรีจิตเช่นกัน “ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินคุณพ่อพูดถึงคนอื่นในแง่ลบ อันที่จริง ท่านจะไม่อยู่ในห้องนั้นถ้ามีคนพูดดูหมิ่นหรือพูดถึงคนอื่นในแง่ลบ”10
ไม่แปลกที่เจตคติและการกระทำเหล่านี้เริ่มมีผลดีต่อทอม แม้จะดีใจที่ได้รับรถไฟอิเล็กทรอนิกส์ในวันคริสต์มาส แต่ท่านขอคุณแม่—และได้รับ—ตู้รถพ่วงจากชุดรถไฟที่น่าเล่นน้อยกว่าซึ่งตั้งใจจะให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายของหญิงม่ายที่อยู่บ้านใกล้กัน ต่อมา เมื่อทอมกับมารดานำของขวัญไปให้และทอมเห็นความตื่นเต้นดีใจของเด็กชายเมื่อได้ชุดรถไฟที่มีตู้ไม่ครบ ท่านก็เริ่มรู้สึกผิด ท่านวิ่งกลับบ้านไม่เพียงไปเอาตู้รถที่ท่านดึงออกเท่านั้น แต่เอารถไฟของท่านมาให้เขาด้วย11 ต่อมาทอมให้กระต่ายสองตัวที่ท่านเลี้ยงไว้ สำหรับเป็นอาหารคริสต์มาสแก่ครอบครัวของเพื่อนคนหนึ่งผู้ไม่เคยลิ้มรถไก่งวงหรือเนื้อไก่มาก่อน12 เมื่อสตรีคนหนึ่งเอาเรื่องทอมกับเพื่อนๆ ที่ตีเบสบอลเข้าไปในสวนของเธอระหว่างแข่งกันแถวบ้าน (เธอมักจะยึดลูกเบสบอลไปเก็บไว้) ทอมตัดสินใจทำให้สถานการณ์ตึงเครียดน้อยลง แม้ไม่เคยพูดจากันเลย แต่ท่านรดน้ำต้นไม้ให้เธอในฤดูร้อนและกวาดใบไม้ในสวนให้เธอในฤดูใบไม้ร่วงเป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอเชิญท่านมาดื่มนมและกินคุกกี้—เธอยื่นกล่องที่มีลูกเบสบอลเต็มกล่องให้ท่าน13
ประธานมอนสันยังคงยอมรับบ่อยครั้งว่าการทำดีในวัยเด็กของท่านมีความซุกซนที่บางครั้งทำให้ท่านถูกดุรวมอยู่ด้วย ครั้งหนึ่งทอมกับลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งรวบรวมสุนัขจรจัดของเพื่อนบ้านมาไว้ในโรงถ่านหลังบ้าน สุนัขหกตัวกระโจนใส่คุณพ่อของท่านขณะเปิดประตู14 บ่ายวันหนึ่งประธานปฐมวัยดึงทอมออกมาพูดว่าเธอเสียใจกับพฤติกรรมเอะอะโวยวายของเด็กหลายคนในช่วงพิธีเปิดปฐมวัย ทอมออกตัวว่าจะช่วย “ปัญหาเรื่องวินัยของปฐมวัย” ท่านเล่า “ยุติทันที”15 แต่การล่อลวงยังคงอยู่ ครั้งหนึ่งท่านชวนเพื่อนคนหนึ่งหนีชั้นเรียนปฐมวัยช่วงบ่ายไปกับท่าน พวกท่านจะหนีเรียนหลังจากทอมควักเหรียญหนึ่งเซ็นต์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วหย่อนลงในกล่องบริจาคให้โรงพยาบาลเด็กปฐมวัย ต่อมาพวกท่านตั้งใจจะใช้เหรียญสิบเซ็นต์ที่มีอยู่ในกระเป๋ากางเกงของท่านไปซื้อไอศกรีมที่ร้านแฮทช์เดรีย์ แต่ผิดแผนเมื่อพวกท่านพบว่าทอมพลั้งเผลอบริจาคเหรียญสิบเซ็นต์แทนเหรียญหนึ่งเซ็นต์ ทั้งคู่จึงกลับมาเรียนและทอมบริจาคเหรียญหนึ่งเซ็นต์นั้นด้วยอย่างเศร้าใจ “ข้าพเจ้ารู้สึกอยู่นาน” ท่านกล่าวในภายหลัง “ว่าข้าพเจ้าอาจจะมีเงินลงทุนมากที่สุดในโรงพยาบาลเด็กปฐมวัย”16
การไปกระท่อมครอบครัวในโพรโวแคนยอนบ่อยครั้งทำให้ท่านชอบการล่าเป็ด การตั้งค่ายพักแรม การตกปลา และการว่ายน้ำในแม่น้ำตลอดชีวิต ทอมเคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกกระแสน้ำพัดเข้าไปในบริเวณน้ำวนซึ่งเป็นอันตราย17 ท่านเล่าประสบการณ์ครั้งหนึ่งเมื่อท่านกับเพื่อนคนหนึ่งจุดไฟเผาวัชพืชใกล้กระท่อมของครอบครัวด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ท่านมักจะใช้เรื่องเล่าเป็นกรอบความคิดเพื่อแบ่งปันหลักธรรมสำคัญของพระกิตติคุณเสมอ18
การเดินจากบ้านซอลท์เลคซิตี้ไปห้องสมุดประชาชนแชปแมนสัปดาห์ละหลายครั้งทำให้ท่านรักหนังสือและนักเขียน ซึ่งต่อมาทำให้ท่านสามารถอ้างอิงข้อความจากกวีคนโปรดอย่างเวิร์ดสเวิร์ธ ลองเฟลโล ไบรอันท์ เทนนีสัน และเชคสเปียร์ได้ละเอียดลออ19
ความสนใจเป็นพิเศษอย่างหนึ่งซึ่งเริ่มต้นในวัยเยาว์และดำเนินต่อเนื่องจนถึงวัยผู้ใหญ่คือการเลี้ยงนกพิราบ ความสนใจดังกล่าวสอนบทเรียนเรื่องการเป็นผู้พิทักษ์แก่เด็กชายทอมเมื่อผู้ให้คำปรึกษาโควรัมฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนยกนกพิราบตัวหนึ่งให้ท่านและนกตัวนี้กลับไปบ้านของผู้ให้คำปรึกษาตลอด ด้วยเหตุนี้จึงสร้างโอกาสให้เขาได้สัมภาษณ์ฐานะปุโรหิตกับเด็กชายทุกสัปดาห์20 อย่างไรก็ตาม ลูซี เกิร์ทช์ครูโรงเรียนวันอาทิตย์ที่รักยิ่งก็ยังเป็นคนที่ทอมถือว่าให้รากฐานสำหรับประจักษ์พยานของท่านในพระเยซูคริสต์ ความรักของซิสเตอร์เกิร์ทช์ต่อเด็กที่ชอบเอะอะโวยวายในชั้นเรียนเปลี่ยนความประพฤติเหลือขอของพวกเขาเมื่อพวกเขาฟังบทเรียนที่เปี่ยมด้วยพระวิญญาณของเธอเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิล21
การเติบโตสู่ความเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว
ข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่บีบบังคับให้ทอมวัย 12 ปีต้องเริ่มทำงานให้บิดาของท่านผู้บริหารจัดการสำนักพิมพ์22 ทว่าเมฆหมอกของสงครามโลกครั้งที่สองยังแผ่กว้างกว่าความตกต่ำทางเศรษฐกิจขณะที่ทอมเข้าเรียนมัธยมปลาย “เยาวชนชายแต่ละคนรู้ว่าถ้า [สงคราม] ดำเนินต่อไป เขาจะต้องเป็นทหาร” ประธานมอนสันพูดถึงช่วงวัยรุ่นของท่าน23 ท่านเป็นนักเรียนดีเด่นที่รักประวัติศาสตร์ และท่านสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งยูทาห์เมื่ออายุ 17 ปี24 ท่านคิดจริงจังว่าจะเป็นครูสอนประวัติศาสตร์ แต่ท่านกลับเรียนปริญญาธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ชอบชั้นเรียนสถาบันที่ ดร. โลเวลล์ เบนเนียน และดร. ที. เอ็ดการ์ ลีอองสอนด้วย25
ขณะเรียนที่มหาวิทยาลัยท่านพบคนรักของชีวิตท่าน หลังจากรู้จักฟรานเซส จอห์นสันที่งานเต้นรำเฮลโลเดย์ ทอมก็เริ่มไปมาหาสู่กับเธอ ท่านใคร่ครวญในเวลาต่อมาว่า “ข้าพเจ้าไม่พร้อมรับความเรียบร้อยและความเงียบที่มีอยู่ [ในบ้านของเธอ]” ขณะเปรียบเทียบบ้านที่หนวกหูไร้ระเบียบของท่านกับบ้านของครอบครัวจอห์นสัน26 บิดาของฟรานเซสสังเกตเห็นชื่อมอน-สันและสวมกอดทอมด้วยน้ำตาคลอหลังจากทั้งสองทราบว่าลุงเอเลียสของทอมแนะนำครอบครัวจอห์นสันให้รู้จักพระกิตติคุณในสวีเดน27 ทั้งทอมกับฟรานเซสชอบวงดนตรีวงใหญ่และเต้นรำเป็นประจำกับหัวหน้าวงอย่างเช่นทอมมี ดอร์-ซีย์และเกลนน์ มิลเลอร์28
คริสต์ศักราช 1945 ทอมเข้าสมทบกองหนุนทัพเรือสหรัฐ ช่วงสามสัปดาห์แรกของค่ายฝึกทหารใหม่ ท่านพูดติดตลกในภายหลังว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงว่าชีวิตข้าพเจ้าอยู่ในอันตราย กองทัพเรือไม่ได้พยายามฝึกข้าพเจ้า แต่กำลังพยายามฆ่าข้าพเจ้า” แต่ประสบการณ์ทางวิญญาณมาคู่กับความยากลำบาก หลังจากหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการให้ทุกคนเข้าแถวในวันอาทิตย์วันหนึ่งและสั่งคนนับถือคาทอลิก ยิว และโปรเตสแตนท์ให้ไปสถานที่ประชุมของตน เขาเดินเข้ามาหาทอมและถามว่า “แล้วพวกคุณเรียกตัวเองว่าอะไร”
“ข้าพเจ้าไม่ทราบจนถึงวินาทีนั้น“ ประธานมอนสันเล่าในเวลาต่อมา “ว่ามีคนยืนอยู่ข้างข้าพเจ้าหรือหลังข้าพเจ้าในสนามฝึก เราแต่ละคนตอบเกือบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘มอรมอน!’”29
คืนหนึ่งก่อนคริสต์มาส เลอแลนด์ เมอร์ริลล์เพื่นอแอล-ดีเอสของทอมผู้อยู่ในโรงนอนติดกันเริ่มครวญครางด้วยความเจ็บปวด เขากระซิบด้วยความสิ้นหวังว่า “มอนสัน มอนสัน คุณเป็นเอ็ลเดอร์ไม่ใช่หรือ” และขอพรฐานะปุโรหิต—ซึ่งทอมไม่เคยให้พรฐานะปุโรหิตมาก่อน ทอมได้รับคำตอบขณะสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลืออย่างเงียบๆ ว่า “ดูก้นถุงทะเลสิ” ตอนนั้นตีสอง ท่านพบคู่มือผู้สอนศาสนาซึ่งให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีให้พรผู้ป่วย “ท่านดำเนินการให้พรโดยมีทหารเรือที่สนใจใคร่รู้ 60 นายมองดูอยู่” ท่านกล่าวในเวลาต่อมา “เลอแลนด์ เมอร์ริลล์นอนหลับเหมือนเด็กๆ ไปแล้วก่อนข้าพเจ้าจะเก็บของใส่ถุง30 ทอมเรียนรู้จากคนอื่นๆ ระหว่างเป็นทหารเช่นกันและชื่นชมหนุ่มคาทอลิกคนหนึ่งที่คุกเข่าสวดอ้อนวอนทุกคืนขณะ “พวกเราชาวมอรมอนจะสวดอ้อนวอนขณะนอนอยู่บนเตียง”31
ทอมเป็นทหารหนึ่งปีและกลับบ้านไปเรียนจนจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยแห่งยูทาห์ ท่านเริ่มทำงานเป็นนักบริหารงานโฆษณาให้ Deseret News ของศาสนจักร หลายเดือนหลังจากสำเร็จการศึกษา ท่านแต่งงานกับฟรานเซส จอห์นสันในพระวิหารซอลท์เลคเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1948 “ดิฉันรู้แต่แรกว่าต้องยืนด้วยลำแข้งของตนเอง” ซิสเตอร์มอนสันกล่าวถึงช่วงที่ท่านอยู่ด้วยกันปีแรกๆ32 พระเจ้าทรงขอแทบจะทันทีให้บราเดอร์และซิส-เตอร์มอนสันที่ยังหนุ่มสาวเริ่มมีส่วนร่วมไม่หยุดยั้งในการสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า
การปฏิบัติศาสนกิจส่วนตัว
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1950 จอห์น อาร์. เบิร์ทอธิการของทอมกับฟรานเซสได้รับเรียกให้อยู่ในฝ่ายประธานสเตค เมื่อถามว่าใครควรเป็นอธิการแทนเขา อธิการเบิร์ทนิ่งอยู่หลายนาที “ผมพยายามคิดหาวิธีอธิบายให้ [ประธานสเตค] ฟังว่าทำไมผมจึงคิดว่าควรให้เด็กหนุ่มอายุ 22 ปีมาเป็นอธิการแทนผม”33 การปฏิบัติศาสนกิจของเด็กหนุ่มโธมัส เอส. มอนสันจึงเริ่มต้นที่วอร์ดเทมเปิลวิวที่หกและที่เจ็ดซึ่งมีหญิงม่าย 85 คนและความต้องการความช่วยเหลือด้านสวัสดิการมากที่สุดในศาสนจักรเวลานั้น การรับใช้เป็นอธิการในวอร์ดที่ไม่ธรรมดานี้เสริมและเพิ่มสัญชาตญาณจิตกุศลที่แรงกล้าอยู่แล้วของทอมให้แรงกล้าขึ้นไปอีก ท่านไปเยี่ยมหญิงม่ายทุกคนช่วงคริสต์มาส โดยนำของขวัญเป็นขนม หนังสือ หรือไก่ย่างไปให้34 ท่านสนิทกับ “หญิงม่ายของท่าน” มากถึงขนาดไปเยี่ยมพวกเธอหลายคนทุกปีหลังปลดจากการเป็นอธิการ แม้ถึงกับพยายามพูดที่งานศพของทั้ง 85 คนระหว่างท่านเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่35 “ความไม่ดีพอของข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้าเจียมตน” ท่านเล่าถึงช่วงห้าปีที่ท่านรับใช้เป็นอธิการ แต่ท่านสำนึกคุณที่ “ข้าพเจ้าเริ่มมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้ที่อาจตกทุกข์ได้ยากโดยไม่คำนึงถึงอายุหรือสภาวการณ์ของพวกเขาตั้งแต่ข้าพเจ้ายังอายุน้อยมาก”36 ท่านปฏิบัติศาสนกิจต่อทุกคนในเขตวอร์ดของท่าน รวมทั้งคนที่นับถือศาสนาอื่น และเสาะหาสมาชิกแข็งขันน้อยแม้ต้องไปที่ปั๊มน้ำมันตอนเช้าวันอาทิตย์เพื่อกระตุ้นเยาวชนชายที่ทำงานอยู่ในหลุมถ่ายน้ำมันเครื่องให้กลับมาการประชุมโควรัมของเขา37
การเรียกที่ไม่ธรรมดานี้ให้บทเรียนที่ยากบทหนึ่งเช่นกัน ขณะเข้าร่วมการประชุมผู้นำสเตค อธิการมอนสันรู้สึกถึงการกระตุ้นเตือนแรงกล้าให้ออกจากที่นั่นเดี๋ยวนั้นเพื่อไปเยี่ยมสมาชิกวอร์ดสูงวัยคนหนึ่งซึ่งกำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยตรงที่ประธานสเตคกำลังพูด อธิการวัยหนุ่มจึงต้องรออย่างกระวนกระวายให้เขาพูดจบก่อนแล้วรีบไปโรงพยาบาล ขณะวิ่งไปที่ห้องของชายคนนั้น พยาบาลรั้งท่านไว้ เธอถามว่า “คุณคืออธิการมอนสันหรือคะ” และบอกท่านว่า “ผู้ป่วยขอพบคุณก่อนเขาจะสิ้นใจ”38 อธิการมอนสันขับรถกลับบ้านคืนนั้นพลางตั้งปณิธานว่าจะไม่มีวันเพิกเฉยต่อการทำตามการกระตุ้นเตือนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกเด็ดขาด นั่นเป็นคำมั่นสัญญาที่ท่านใคร่ครวญหลายต่อหลายครั้งตลอดการรับใช้ที่เหลือของท่านในศาสนจักร
ท่านรับใช้เป็นที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสเตคเมื่ออายุ 27 ปี และเป็นประธานคณะเผยแผ่ในแคนาดาปี 1959 เมื่ออายุ 31 ปี ผู้สอนศาสนาภายใต้การนำทางของท่านจำได้ว่าผู้นำคนนี้กลมเกลียวกับพระวิญญาณมากจนท่านทำตามการกระตุ้นเตือนบ่อยครั้งให้ไปที่อพาร์ตเมนต์ของผู้สอนศาสนาก่อนผู้สอนศาสนาคนนั้นจะทำผิดบางอย่าง39 ท่านใส่ใจกับผู้สอนศาสนาโดยเรียนรู้ชื่อของทุกคน หารือกับพวกเขาเกี่ยวกับปัญหาและข้อกังวลของพวกเขา ท่านทำทุกสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อป้องกันการกลับบ้านก่อนกำหนดและสภาวินัย ช่วงนี้ครอบครัวมอนสันขยายใหญ่ขึ้นจนมีลูกเล็กๆ สองคนคือโธมัส ลีกับแอน ฟรานเซส คลาร์ก สเป็นเซอร์ลูกคนที่สามเกิดในแคนาดา ครอบครัวมีความสุขกับเวลาที่ได้อยู่ทำงานมอบหมายครั้งนี้ด้วยกันมากกว่าแต่ก่อน และทอมมีความภักดีต่อแคนาดาซึ่งยังคงประจักษ์ชัดในปี 2010 เมื่อท่านเป็นประธานศาสนจักรและไปอุทิศพระวิหารแวนคูเวอร์ แคนาดาโดยติดธงชาติแคนาดาที่ปกเสื้อและเปลี่ยนเพลงเปิดเป็น “O Canada”40
เมื่อกลับถึงบ้านในซอลท์เลคซิตี้ ทอมเป็นผู้จัดการทั่วไปของ Deseret Press ฟรานเซสยุ่งอยู่กับการเลี้ยงดูลูกๆ รับใช้การเรียกต่างๆ ที่วอร์ด และสนับสนุนสามีเมื่อท่านรับใช้ในคณะกรรมการฐานะปุโรหิตสามัญของศาสนจักรหลายคณะ
การเข้าไปมีส่วนในคณะกรรมการต่างๆ ของศาสนจักรอย่างมากมาย เช่น ความสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ ผู้สอนศาสนา หรือการสืบลำดับเชื้อสาย ทำให้ทอมเชื่อว่าการเชิญมาห้องทำงานของประธานเดวิด โอ. แมคเคย์คงจะเกี่ยวกับงานมอบหมายปัจจุบันของท่านเป็นแน่ แต่ไม่ใช่ ประธานแมคเคย์ให้การเรียกท่านรับใช้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง แทนเอ็ลเดอร์เอ็น. เอลดัน แทนเนอร์ผู้ได้รับเรียกเป็นที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสูงสุด ทอมรู้สึกหนักใจมากและประหลาดใจจนพูดไม่ออก ท่านยืนยันกับประธานแมคเคย์ในท้ายที่สุดว่า “ผมจะใช้พรสวรรค์ทุกอย่างที่มีในการรับใช้พระอาจารย์ รวมทั้งการสละชีวิตหากจำเป็น”41
ประธานมอนสันรับปากว่าจะไม่บอกใครนอกจากภรรยาท่านเรื่องการเรียกอันศักดิ์สิทธิ์นี้และท่านนอนไม่หลับทั้งคืนก่อนการประชุมใหญ่สามัญวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1963 เมื่อมาถึงการประชุมใหญ่ ท่านนั่งอยู่ในหมู่สมาชิกคณะกรรมการการสอนประจำบ้านของฐานะปุโรหิตที่ท่านรับใช้ ฮิวจ์ สมิธเพื่อนที่นั่งข้างท่านเล่าให้ท่านฟังเรื่องความบังเอิญแปลกๆ ว่าสองครั้งที่ผ่านมาคนที่นั่งข้างฮิวจ์จะได้รับเรียกเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่42 หลังจากเรียกชื่อโธมัส มอนสัน “ฮิวจ์มองข้าพเจ้าและพูดเพียงว่า ‘สายฟ้าฟาดรอบที่สาม’ ข้าพเจ้าเชื่อว่าการเดินจากกลุ่มผู้ฟังไปบนยกพื้นเป็นการเดินที่ยาวนานที่สุดของชีวิตข้าพเจ้า”43
การรับใช้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง
โธมัส เอส. มอนสันวัย 36 ปีกลายเป็นคนอายุน้อยสุดที่ได้รับเรียกสู่โควรัมอัครสาวกสิบสองตั้งแต่ปี 1910 เมื่อโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธเข้าร่วมโควรัมเมื่ออายุ 33 ปี การรับใช้ของท่านกับอัครสาวกสิบสองยาวนาน 22 ปีตั้งแต่ปี 1963 จนถึงการเรียกสู่ฝ่ายประธานสูงสุดภายใต้ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสันในปี 1985 และรวมถึงการรับใช้ในคณะกรรมการหลักทุกคณะของศาสนจักรด้วย บ่อยครั้งท่านจะเป็นประธานคณะกรรมการ44 ระหว่างนี้ สมาชิกภาพของศาสนจักรพัฒนาจากกลุ่มเดียวที่มีศูนย์กลางอยู่ในสหรัฐตะวันตกเข้าไปในชุมชนทั่วไปที่มีความหลากหลายอย่างมากทั่วโลก45 ท่านได้รับเรียกเป็นอัครสาวกโดยประธานเดวิด โอ. แมคเคย์แต่รับใช้ต่อไปภายใต้ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธตั้งแต่ปี 1970 ถึงปี 1972 และภายใต้ฮาโรลด์ บี. ลี ตั้งแต่ปี 1972 ถึงปี 1973 ช่วงที่ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 1973 ถึงปี 1985 ประธานมอนสันเป็นหัวหน้าคณะกรรมการจัดพิมพ์พระคัมภีร์ซึ่งในปี 1979 ผลิตพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับคิงเจมส์ 2,400 หน้าโดยมี Topical Guide, Bible Dictionary รวมอยู่ด้วยและบุกเบิกระบบเชิงอรรถขึ้นมา ประธานมอน-สันมีส่วนกับประธานคิมบัลล์เช่นกันในการเปิดเผยครั้งประวัติศาสตร์ให้สมาชิกชายที่มีค่าควรทุกคนได้รับฐานะปุโรหิต46
แต่กับสมาชิกที่ถูกจำกัดให้อยู่หลังม่านเหล็กช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ความสำเร็จครั้งใหญ่ที่สุดของประธานมอนสันในฐานะสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองคือการควบคุมดูแลวิสุทธิชนในยุโรปตะวันออก “พรแท้จริงที่ท่านนำมาให้ประเทศเราและยุโรป” ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟสมาชิกในฝ่ายประธานสูงสุดชาวเยอรมันตั้งข้อสังเกต “มีอยู่จริง สำคัญ และมีค่าล้ำเลิศจนข้าพเจ้าเชื่ออย่างยิ่งว่าพระเจ้าทรงเตรียมท่านให้เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของเยอรมนี”47 รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมันปราบปรามการถือปฏิบัติศาสนาอย่างจริงจัง ทว่าสมาชิกศาสนจักรยังคงซื่อสัตย์แม้มีการเลือกปฏิบัติ การสูญเสียงานและโอกาสด้านการศึกษา และการตรวจตราถี่ยิบขณะพวกเขาประชุมกัน ประธานมอนสันไปเยี่ยมพวกเขาบ่อยครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านศึกษาหนังสือคู่มือศาสนจักรทั้งเล่มโดยตั้งใจจะให้พิมพ์ทั้งเล่มใหม่หลังจากข้ามไปเยอรมนีตะวันออก เพราะประเทศนั้นไม่อนุญาตให้นำสื่อการเรียนการสอนของศาสนจักรเข้าไป ท่านไปที่ห้องทำงานของสาขาและเริ่มทำงานนี้ หลังจากทำไปได้หลายหน้า ท่านมองไปรอบๆ และพบหนังสือคู่มือเล่มหนึ่งอยู่บนชั้นด้านหลังท่าน48 ท่านทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยกับข้าราชการเยอรมนีตะวันออกเพื่อให้วิสุทธิ-ชนบางคนได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่สามัญและไปพระวิหารนอกประเทศ แต่วิสุทธิชนเยอรมันตะวันออกยังคงโหยหาโอกาสแบบเดียวกับสมาชิกคนอื่นๆ ทั่วโลก
ต่อจากนั้นในปี 1978 ประธานคิมบัลล์สัญญากับประธานมอนสันว่า “พระเจ้าจะไม่ทรงปฏิเสธที่จะให้พรพระวิหารกับสมาชิก [ชาวเยอรมันตะวันออก] ที่มีค่าควรเหล่านั้น” และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหาวิธีก็แล้วกัน”49 ขณะที่ประธานมอนสันและเฮนรีย์ บวร์คฮาร์ทผู้นำศาสนจักรชาวเยอรมันตะวันออกยื่นคำร้องต่อรัฐบาลขออนุญาตให้ชายหญิงหกคู่ไปพระวิหารสวิสสักครั้ง พวกท่านได้รับข้อเสนอแนะจากผู้นำรัฐบาลที่ทำให้พวกท่านประหลาดใจ “ทำไมพวกคุณไม่สร้างพระวิหารที่นี่” ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1982 ฝ่ายประธานสูงสุดประกาศว่าจะสร้างพระวิหารในเมืองไฟรบูร์ก สาธารณรัฐประชาติธิปไตยเยอรมัน พระวิหารแห่งแรกที่ก่อสร้างในประเทศคอมมิวนิสต์ การประกาศครั้งนี้เหลือเชื่อเท่าๆ กับข้อตกลงอันน่าพิศวงที่ประธานมอนสัน เอ็ลเดอร์รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง และผู้นำศาสนจักรชาวเยอรมันตะวันออกได้ทำต่อจากนั้นกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลและเอริค โฮเนกเคอร์ประมุขแห่งรัฐให้ผู้สอนศาสนาเข้าออกประเทศก่อนการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน50 “ข้าพเจ้าเป็นพยานที่มีชีวิตอยู่” ประธานมอนสันเขียน “ผู้เห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าประจักษ์ชัดในการดูแลสมาชิกของศาสนจักรในประเทศซึ่งเคยปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์”51
ทว่าท่ามกลางเหตุการณ์เปลี่ยนโลกและหน้าที่บริหารที่มีงานล้นมือ การปฏิบัติศาสน-กิจของประธานมอนสันยังคงเน้นเรื่องการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์และการยื่นมือช่วยเหลือแต่ละบุคคล หลังจากให้พรเพื่อนในโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ประธานมอนสันรู้สึกว่าท่านได้ “ทำความดีในการเยี่ยมครั้งนั้นมากกว่าในการประชุมหนึ่งสัปดาห์ที่สำนักงานใหญ่ของศาสนจักร”52 มีหลายครั้งที่ประธานมอนสันต้องออกจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่กลับไปเยี่ยมผู้ป่วยและคนหงอยเหงาที่รอท่านอยู่ในโรงพยาบาล บ้านพักคนชรา และข้างเตียงอันโดดเดี่ยว เมื่อกำหนดการประชุมสเตคในเมืองชรีฟฟอร์ต รัฐลุยเซียนาไม่มีเวลาให้ประธานมอนสันไปเยี่ยมเด็กหญิงที่ป่วยระยะสุดท้ายผู้ขอพรจากท่าน แต่ท่านก็พร้อมเมื่อ “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหนึ่งพูดกับวิญญาณข้าพเจ้า” ระหว่างการประชุมภาคผู้นำเย็นวันเสาร์ “ข่าวสารสั้นๆ และคำพูดคุ้นหูบอกว่า ‘จงยอมให้เด็กเล็กๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนอย่างพวกเขา’ (มาระโก 10:14)”53 ท่านเดินทาง 80 ไมล์ไปบ้านของคริสตอล เมธวินตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ให้พรเธอในการชุมนุมครอบครัวที่เปี่ยมด้วยพระวิญญาณก่อนเธอสิ้นชีวิตสี่วันต่อมา
เมื่อประชุมกับสมาชิกที่ยากไร้ชาวเยอรมันตะวันออก ประธานมอนสันจะแจกสูท รองเท้า เครื่องคิดเลข และแม้แต่พระคัมภีร์ของท่านที่ทำ เครื่องหมายไว้แล้ว54 ท่านไม่เคยลืมเพื่อนสมาชิกจากวอร์ดที่หกและที่เจ็ด คอยมองหาเพื่อนสูงวัยที่มีรายได้น้อยอย่างเอ็ด เอริคสันผู้ซึ่งประธานมอนสันเชิญมาร่วมงานชุมนุมครอบครัว จัดฉลองวันเกิดให้ ในคำพูดปี 2009 ท่านสอนว่า “จงกล้าละเว้นการตัดสินและวิพากษ์วิจารณ์คนรอบข้าง และกล้ารวมทุกคนเข้ามาในกลุ่ม ทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีคนรักและเห็นคุณค่าของพวกเขา“55
ความซื่อสัตย์และความเป็นมิตรของประธานมอนสันทำให้ศาสนจักรได้เชื่อมสัมพันธไมตรีกับศาสนาต่างๆ รวมทั้งองค์กรพลเรือน และผู้นำชุมชน ท่านเติบโตในละแวกที่มีเพื่อนบ้านหลากหลายประเภท รู้สึกสนิทกับญาติที่นับถือศาสนาอื่น และยืนยันอย่างจริงใจว่า “ข้าพเจ้าคิดว่ามีคนดีอยู่ทุกที่”56 ท่านปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ง่าย “หลายคนไม่เป็นสมาชิกของศาสนจักร” ท่านตั้งข้อสังเกต “แต่เป็นคนมีจิตสาธารณะและใส่ใจประชาชน”57 หัวหน้าชุมชนทั้งหลายอย่างเช่นอดีตผู้จัดพิมพ์ Salt Lake Tribune ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งของโบสถ์คาทอลิก ต่างกล่าวชื่นชมว่า “ถ้าเขาเคยพบคุณ ทอม มอนสันคือเพื่อนของคุณ … ศาสนจักรสร้างเอกภาพพิเศษให้ชุมชนนี้ผ่านความสัมพันธ์ฉันมิตรเมื่อยกทอม มอนสันขึ้นสู่ฝ่ายประธานสูงสุด”58 ผู้ให้การสนับสนุนชุมชนซอลท์เลคเคยตั้งข้อสังเกตว่า “ผมไม่ทราบว่าคนทั่วไปรู้หรือไม่ว่าศาสนจักรแอลดีเอสเกี่ยวข้องมากเพียงใดกับโลกที่ไม่หวังผลกำไร ประธานมอนสันทราบดีว่าความต้องการคืออะไร”59 ผู้นำอีกศาสนาหนึ่งเขียนถึงประธานมอนสันว่า “ท่านเปิดใจขานรับความต้องการและข้อเรียกร้องขององค์กร Salvation Army เสมอ ที่แน่ๆ คือท่านกับเพื่อนร่วมงานของท่านทำให้เราท่วมท้นด้วยความอบอุ่นและจิตใจที่งดงามของท่าน”60 ท่านเข้าร่วมและพูดที่กิจกรรมซึ่งจัดพร้อมพิธีอุทิศโบสถ์แมเดลีนที่ได้รับการบูรณะในซอลเลคซิตี้เมื่อปี 1993 และพูดในพิธีศพคาทอลิกของเพื่อนสนิทด้วย61
งานอดิเรกอย่างการเลี้ยงนกพิราบทำให้ประธานมอนสันได้พักผ่อนชั่วคราวจากความกดดันของหน้าที่และส่งผลให้เหลนๆ เรียกท่านว่า “คุณตานกน้อย” ความหลงใหลการเลี้ยงนกพิราบสะท้อนอยู่ในเหรียญตราความดีความชอบที่สมาคมลูกเสือแห่งอเมริกามอบให้ท่าน การรับใช้ของท่านในคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1969 และดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีเมื่อท่านได้รับรางวัล Silver Beaver รางวัล Silver Buffalo และ Broze Wolf ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของการลูกเสือสากลในปี ค.ศ. 1993 อย่างไรก็ตาม รอย วิลเลียมส์อดีตหัวหน้าผู้บริหารลูกเสือคนหนึ่งก็ยังพูดเล่นว่าประธานมอนสันทำใจไม่ได้ที่การลูกเสือยกเลิกเหรียญตราความดีความชอบด้านการเลี้ยงนกพิราบ62
ความสนใจของประธานมอนสันกว้างมาก ขณะเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง ท่านได้รับปริญญามหาบัณฑิตสาขาการบริหารธุรกิจ และตลอดการเดินทางท่านชอบไปเยือนสุสานทหาร—อนุสรณ์สถานที่ท่านกล่าวว่าทำให้นึกถึง “ความฝันที่พังทลาย ความหวังที่ไม่สมหวัง ใจที่เปี่ยมด้วยความเศร้า และชีวิตที่ถูกคมเคียวของสงครามบั่นให้สั้นลง”63 ท่านชอบศึกษาเรื่องสงครามโลกครั้งที่สอง และในเรื่องที่เบาสมองกว่านั้นคือชอบดู เพอร์รีย์เมสัน รายการทีวีที่นำมาฉายซ้ำตอนกลางคืน แม้บางครั้งท่านจะหลับไปและพลาดตอนจบก็ตาม64 ท่านชอบละครเวทีด้วย “ข้าพเจ้าเป็นอย่างที่ฟรานเซสภรรยาข้าพเจ้าเรียกว่า ‘พวกคลั่งการแสดง’” ท่านเคยบอกผู้ฟังที่การประชุมใหญ่สามัญ65 ท่านชอบมีส่วนในเกมการแข่งขันฟุตบอลวันปีใหม่เช่นกันซึ่ง “ข้าพเจ้าจะเริ่มจากการดูทีมฟุตบอลสองทีมอย่างเป็นกลางก่อน แต่ภายในไม่กี่นาทีข้าพเจ้าก็เข้าข้างทีมที่คิดว่าน่าจะชนะ”66 ท่านสามารถคุยเรื่องไก่กับคนที่นั่งข้างๆ ได้ตลอดเที่ยวบิน และในงานเลี้ยงอาหารเช้าของสมาคมลูกเสือแห่งอเมริกาที่ทำเนียบขาวในปี 1989 ท่านพบว่าท่านชอบสุนัขพันธุ์สแปเนียลสปริงเกอร์ของอังกฤษเหมือนจอร์จ บุชประธานาธิบดีสหรัฐ67
แน่นอนว่าสิ่งที่ท่านสนใจมากที่สุดคือครอบครัว ซึ่งขยายใหญ่ขึ้นจนมีหลานแปดคนและเหลนสิบสองคน [ข้อมูลใหม่ล่าสุด ณ วันที่ท่านถึงแก่กรรม] แม้ท่านจะมีเวลาอยู่บ้านจำกัด แต่ลูกๆ ของท่านจำได้ว่าได้เล่นเกม ตกปลา ล่าเป็ด ถอนวัชพืชในสวน ไปดูภาพยนตร์ ว่ายน้ำ และนั่งแคร่เลื่อนหิมะกับบิดาของพวกเขา68 ความทรงจำสองเรื่องที่ฝังใจทอมบุตรชายคือการเล่นหมากรุกเมื่อยังเด็กกับบิดาและการที่บิดาบินไปเมืองลุย-วิลล์ รัฐเคนทักกีเพื่อให้พรเขาเพราะเขาเป็นโรคปอดบวมระหว่างการฝึกทหารขั้นพื้นฐาน69 แอนบุตรสาวชื่นชอบรายงานช่วงค่ำวันอาทิตย์เมื่อบิดาเล่าให้ครอบครัวฟังหลังกลับจากงานมอบหมายของศาสนจักร และคลาร์กจดจำวันนั้นเป็นพิเศษเมื่อบิดาขับรถออกนอกทาง 40 ไมล์เพื่อให้ท่านกับคลาร์กได้สำรวจรังนกเหยี่ยวใกล้เมืองแรนดอล์ฟ ยูทาห์70 ประธานมอนสันชอบตัดหญ้าและชอบเข้าร่วมการแข่งขันปิงปองกับครอบครัวในห้องใต้ดินของบ้าน71
สมาชิกในฝ่ายประธานสูงสุด
โธมัส เอส. มอนสันรับใช้ในฝ่ายประธานสูงสุดนาน 22 ปี โดยเริ่มเป็นที่ปรึกษาที่สองของประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสันในปี 1985 และดำรงตำแหน่งเดิมในสมัยประธานฮา-เวิร์ด ดับเบิลยู. ฮันเตอร์ในปี 1994 ตลอดสิบสามปีนั้น ตั้งแต่ปี 1995 ถึงปี 2008 ท่านอยู่เคียงข้างประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ ผู้เรียกประธานมอนสันเป็นที่ปรึกษาที่หนึ่ง72 การดำรงตำแหน่งในฝ่ายประธานสูงสุดของประธานมอนสันอาศัยภูมิหลังหลากหลายของท่านในการบริหารงานศาสนจักร และทำให้ท่านต้องรับผิดชอบงานหนักจนยากที่จะออกจากสำนักงานได้ ประธานฮิงค์ลีย์เป็นประธานศาสนจักรที่เดินทางมากที่สุดในประวัติศาสนจักร และการบริหารงานที่ไม่ธรรมดานี้ทำให้ท่านมีงานยุ่งมาก พระวิหารขนาดเล็กทำให้อัตราการสร้างพระวิหารเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ศาสนจักรสร้างศูนย์การประชุมใหญ่แห่งใหม่ให้สมาชิกหลายพันคนได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่สามัญและงานในด้านอื่นๆ อาทิ เริ่มการประชุมอบรมทั่วโลกโดยการถ่ายทอดผ่านดาวเทียม และจัดวันเฉลิมฉลองในสนามกีฬา Rice-Eccles ที่มหาวิทยาลัยแห่งยูทาห์เพื่อรำลึกชาตกาล 200 ปีของศาสดาพยากรณ์โจ-เซฟ สมิธพร้อมด้วยการแสดงของเยาวชน 42,000 คนจากซอลท์เลควัลเลย์และไวโอมิง73
เอ็ลเดอร์ โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวว่า แม้ประธานมอนสันจะมีงานยุ่งตลอดเวลาแต่ท่าน “ไม่เคยยุ่งเกินกว่าจะให้เวลาผู้คน”74 ในฤดูหนาวปี 2000 บุคคลหนึ่งที่ท่านให้เวลาคือภรรยาของท่าน หลังจากเธอป่วยเพราะล้มอย่างแรง ท่านใช้เวลาหลายสัปดาห์นำงานเอกสารมาทำที่ห้องในโรงพยาบาล จนกระทั่งฟรานเซสรู้สึกตัวมากพอจะพูดประโยคแรกออกมาว่า “ฉันลืมส่งเอกสารชำระภาษีประจำไตรมาส”75 อีกคนหนึ่งที่ได้รับความกรุณาจากท่านคือเจอร์รีย์ อแวนท์นักข่าว Church News ผู้เขียนข่าวการเดินทางของประธานมอนสันบ่อยครั้งและเคยได้รับเชิญให้ไปเที่ยวกับครอบครัวมอนสันเพราะประธานมอนสันบอกเธอว่า “คุณทำงานหนักมาตลอด”76
ประธานศาสนจักร
ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2008 ฝ่ายประธานสูงสุดหมดวาระและประธานมอนสันกลับสู่ตำแหน่งประธานโควรัมอัครสาวกสิบสองของท่าน บุรุษผู้เติบใหญ่ใกล้รางรถไฟ ก่อความวุ่นวายปั่นป่วนในปฐมวัย และยินดีแบ่งปันสมบัติส่วนตัวที่มีเพียงน้อยนิดแม้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ อีกไม่นานจะกลายเป็นผู้นำของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายหลายล้านคนทั่วโลก “ข้าพเจ้าไม่เคยคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตข้าพเจ้า” ท่านกล่าวในการให้สัมภาษณ์ก่อนรับการสนับสนุนเป็นประธานศาสนจักรในการชุมนุมศักดิ์สิทธิ์ระหว่างการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน ค.ศ. 2008 “ข้าพเจ้าทราบเพียงว่าประธานฮิงค์ลีย์จะมีชีวิตยืนยาวกว่าข้าพเจ้า” ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทำตามปรัชญานี้เสมอ ‘รับใช้ตรงที่ท่านได้รับการเรียก ไม่ใช่ในการเรียกที่ท่านเคยอยู่หรืออาจจะอยู่ รับใช้ตรงที่ท่านได้รับการเรียก’”77
โธมัส เอส. มอนสันได้รับการวางมือมอบหน้าที่และแต่งตั้งเป็นประธานศาสนจักรคนที่ 16 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 โดยเลือกประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ให้รับใช้เป็นที่ปรึกษาที่หนึ่งของท่าน ส่วนที่ปรึกษาที่สอง ท่านเลือกประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสชาวเยอรมันที่พูดได้หลายภาษาและเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองตั้งแต่ ค.ศ. 2004 ฝ่ายประธานสูงสุดชุดใหม่เป็นสัญลักษณ์ความเป็นสากลของศาสนจักรที่กำลังเจริญรุ่งเรือง78 ณ การประชุมแถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ประธานมอนสันบอกนักข่าวว่า “ในฐานะศาสนจักร เราไม่เพียงยื่นมือช่วยเหลือคนของเราเท่านั้น แต่เราช่วยเหลือผู้มีมิตรไมตรีทั่วโลกเช่นกัน ด้วยเจตนารมณ์ของความเป็นพี่น้องซึ่งมาจากพระเจ้าพระเยซูคริสต์”79
เจตนารมณ์ของความเป็นพี่น้องและการยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นกลายเป็นตราสัญลักษณ์การบริหารงานของประธานมอนสัน ผู้นำศาสนจักรทำงานเป็นประจำกับศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก นิกายอีแวนเจลิก ศาสนาอื่น ตลอดจนกลุ่มชุมชนในงานเพื่อมนุษยธรรมและสนับสนุนอุดมการณ์ทางศีลธรรมอื่นๆ ผู้นำศาสนจักรเชิญผู้นำศาสนาอื่นมาพูดที่มหาวิทยาลัยแอลดีเอส และส่งเสริมสนับสนุนเสรีภาพทางศาสนาด้วยแหล่งข้อมูลออนไลน์80 ประธานมอนสันและสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองยังได้กระตุ้นให้สมาชิกศาสนจักรยื่นมือช่วยเหลือศาสนาอื่นในการบำเพ็ญประโยชน์และการสร้างชุมชน ตลอดจนการยกระดับความสัมพันธ์ด้านมนุษยธรรมที่มีอยู่แล้วกับสถาบันอื่นเพื่อบรรเทาความต้องการของผู้ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติและภัยจากน้ำมือมนุษย์ทั่วโลก ในช่วงดำรงตำแหน่งเจ็ดปีแรกของประธานมอนสัน ศาสนจักรช่วยบรรเทาทุกข์หลังเกิดแผ่นดินไหวในเฮติและเนปาล สึนามิในญี่ปุ่น และอุทกภัยในประเทศไทย นอกจากนี้ยังให้ความช่วยเหลือเรื่องการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันให้คนในประเทศด้อยพัฒนา จัดหาน้ำสะอาดให้หมู่บ้านห่างไกล บรรเทาวิกฤตอาหารระหว่างประเทศ และบรรเทาทุกข์จากภัยพิบัติในสหรัฐ ความช่วยเหลือและอิทธิพลระดับโลกดังกล่าวบันทึกโดย Slate.com ซึ่งในปี ค.ศ. 2009 จัดอันดับให้ประธานมอนสันเป็นคนแรกจาก 80 คนในรายชื่อผู้มีอายุระหว่าง 80 ถึง 89 ปีที่มีอิทธิพลมากที่สุดในอเมริกา บทความเขียนว่า “บุคคลเดียวในรายชื่อที่ปกครองคนหลายล้านคนในฐานะศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า”81
นอกจากนี้ ภายใต้การนำของประธานมอนสัน งานประชาสัมพันธ์ของศาสนจักรเริ่มขยายผลเพื่อช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจความหลากหลายของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายมากขึ้น การรณรงค์ “ฉันเป็นมอรมอน” บอกเล่าความโดดเด่นของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้ทำงานให้องค์กรต่างๆ เช่น ฮาร์เลย์เดวิดสัน หอสมุดสภาครองเกรส และวงดนตรีร็อค สำนักงานใหญ่ของศาสนจักรเปิดเว็บไซต์สำหรับเยาวชนและคนอื่นๆ เช่นกัน ช่องบีวายยูทีวีและเว็บไซต์ของศาสนจักรเริ่มผลิตโปรแกรมที่ได้รับการสรรเสริญมากเพื่อดึงดูดผู้ชมกว้างขึ้น ชุดวีดิทัศน์คุณภาพสูงเริ่มปรากฏบนเว็บไซต์ศาสนจักร โดยแสดงให้เห็นเหตุการณ์จากพันธสัญญาใหม่ซึ่งผู้นับถือศาสนาต่างๆ จะเห็นคุณค่า แหล่งข้อมูลออนไลน์อื่นๆ ได้แก่การตีพิมพ์บทความหัวข้อพระกิตติคุณหลายบทความซึ่งจัดทำขึ้นเพื่ออธิบายประเด็นซับซ้อนอย่างตรงไปตรงมาและมีหลักการ เว็บไซต์ Mormon and Gay ระบุคำสอนของศาสนจักรเกี่ยวกับเรื่องนี้และบอกเล่าเรื่องราวส่วนตัวจากวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่เป็นเกย์และครอบครัวของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดซึ่งอุบัติขึ้นในช่วงประธานมอนสันดำรงตำแหน่งน่าจะเกิดขึ้นในความก้าวหน้าด้านการบริหารที่ผ่านๆ มา การเปลี่ยนแปลงเรื่องสำคัญต่างๆ ส่งผลต่อวิธีที่ศาสนานำ ดำเนินงาน สอน และเผยแผ่ศาสนา ในปี 2009 ศาสนจักรแจกดีวีดีและจุลสารเกี่ยวกับหลักสวัสดิการและในปี 2010 ออกหนังสือคู่มือคำแนะนำเล่มใหม่สำหรับผู้นำศาสนจักร ควบคู่กับการถ่ายทอดการอบรมทั่วโลกสองครั้ง หนังสือคู่มือเล่มใหม่เน้นการทำงานในสภาผ่านการสนทนาแบบเปิดกว้างและตรงไปตรงมา การแบ่งเบาภาระของอธิการผ่านการมอบหมายงาน และสำคัญที่สุดคือการช่วยให้สมาชิกศาสนจักรเป็นสานุศิษย์ที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ ในปี 2010 การอบรมระหว่างประเทศโดยสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองเริ่มนำมาใช้กับการประชุมผู้นำฐานะปุโรหิตและการทบทวนระดับภาคที่รวมเอาสาระโดยสังเขปซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อมนุษยธรรม ความต้องการด้านสวัสดิการ งานเผยแผ่ศาสนา และงานพระวิหารไว้ในนั้นด้วย
หนึ่งในความก้าวหน้าที่เด่นชัดที่สุดเกิดขึ้นภายใต้การกำกับดูแลของประธานมอนสันเมื่อท่านประกาศในการประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 ว่าผู้ชายจะเริ่มรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลาเมื่ออายุ 18 ปีและผู้หญิงอายุ 19 ปี การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่คาดไม่ถึงครั้งนี้เพื่อลดข้อกำหนดเรื่องอายุก่อให้เกิดความกระตือรือร้นในงานเผยแผ่ศาสนาอันส่งผลให้มีจำนวนผู้ชายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลาสูงเป็นประวัติการณ์ การตั้งศูนย์ฝึกอบรมผู้สอนศาสนาแห่งใหม่และคณะเผยแผ่ใหม่ๆ เกิดขึ้นตามจำนวนผู้สอนศาสนาที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 85,000 คนเมื่อปลายปี 2014 สมาชิกกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “การเร่งงาน” เช่นกัน โดยเตรียมบุตรธิดาภายในบ้านให้พร้อมทำงานเผยแผ่มากขึ้นและมีส่วนร่วมเต็มที่มากขึ้นในโปรแกรมผู้สอนศาสนาระดับท้องที่ เทคโนโลยีและการเผยแผ่ทางออนไลน์ รวมทั้งการตั้ง “ซิส-เตอร์หัวหน้าฝ่ายอบรม”—บทบาทการเป็นผู้นำของซิส-เตอร์ผู้สอนศาสนา—ยังได้เพิ่มความรู้สึกยินดีอันเนื่องจากความก้าวหน้าและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่การประกาศเปลี่ยนอายุผู้สอนศาสนาทำให้เกิดขึ้น
การทำให้หญิงสาวได้รับใช้งานเผยแผ่เมื่ออายุยังน้อยนับว่าสอดคล้องกับความพยายามอย่างต่อเนื่องในช่วงประธานมอนสันดำรงตำแหน่งที่จะให้สตรีมีส่วนมากขึ้นในบทบาทของความเป็นผู้นำ การตัดสินใจ และการมีส่วนร่วมในสภาสเตคและสภาวอร์ด เพื่อช่วยให้ชายหญิงวิสุทธิชนยุคสุดท้ายยกย่องบทบาทอันสำคัญยิ่งที่เคยมีในพระกิตติคุณในทุกสมัยการประทาน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างการปฏิบัติศาสนกิจของพระผู้ช่วยให้รอดและในช่วงการฟื้นฟูตั้งแต่ปี 1830 จนถึงปัจจุบัน—ศาสนจักรจึงจัดพิมพ์ Daughters in My Kingdom และกระตุ้นให้ใช้หนังสือเล่มนี้ในบ้าน ในสมาคมสงเคราะห์และเยาวชนหญิง ตลอดจนในโควรัม ปี 2014 ศาสนจักรจัดภาคการประชุมใหญ่ของสตรีในการประชุมใหญ่สามัญแทนการประชุมสมาคมสงเคราะห์สามัญและการประชุมเยาวชนหญิงสามัญ โดยเชิญสตรีทุกคนที่อายุ 8 ปีขึ้นไปเข้าร่วมการประชุมนี้ปีละสองครั้ง
วิธีสอนที่โต้ตอบกันมากขึ้นและดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการช่วยให้เยาวชนมีส่วนเต็มที่ในพระกิตติคุณ กลายเป็นความสำคัญอันดับแรกของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในการบริหารงานของประธานมอนสัน การนำหลักสูตร จงตามเรามา มาใช้ในปี 2013 อันเป็นหลักสูตรที่จัดทำขึ้นเพื่อ “เป็นพรแก่เยาวชนขณะพวกเขาพยายามเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์อย่างเต็มที่”82 ทำให้ครูและเยาวชนมีวิธีสอนเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้น หลักสูตรนี้ใช้แหล่งข้อมูลออนไลน์ การมีส่วนร่วมของเยาวชน และการสนทนาตามการดลใจของพระวิญญาณในการสร้างศรัทธาและความเข้าใจพระกิตติคุณ ความพยายามในการปรับปรุงการสอนทั้งหมดในศาสนจักรเกิดขึ้นทำนองเดียวกันในปี 2016 กับแหล่งข้อมูลใหม่ชื่อ การสอนในวิธีของพระผู้ช่วยให้รอด และคำแนะนำให้จัดประชุมสภาครูเดือนละหนึ่งครั้งในวอร์ด
ในช่วงการบริหารงานของประธานมอนสันมีการประกาศสร้างพระวิหารแห่งใหม่ทั่วโลกอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ประธานมอนสันเดินทางไปร่วมการอุทิศและการอุทิศซ้ำพระวิหารหลายแห่งทั่วโลก อาทิ เซบูซิตี ฟิลิปปินส์; กู-รีตีบา บราซิล; คีเอฟ ยูเครน; ปานามาซิตี ปานามา; และแคนซัสซิตี มิสซูรี ในปี 2013 การแนะนำให้ใช้แหล่งข้อมูลออนไลน์ช่วยสมาชิกค้นหาบรรพชนของตนส่งผลให้สมาชิกส่งชื่อครอบครัวไปทำศาสนพิธีพระวิหารเพิ่มขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์ เราเรียกปีนั้นว่า “ปีที่ประวัติครอบครัวประสบผลสำเร็จ”83
แม้จะมีงานต้องทำอีกมาก แต่ประธานมอนสันยังคงเป็นโธมัส มอนสัน ผู้นำศาสนจักรที่เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์แห่งโควรัมอัครสาวกกล่าวว่า “จะปรากฏตัวโดยไม่บอกล่วงหน้าที่งานศพของลูกจ้างทั่วไปที่ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โต ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่ามีสิ่งใดแสดงให้เห็นแบบอย่างการปฏิบัติศาสนกิจของประธานมอนสันได้มากไปกว่าความเอาใจใส่เป็นรายบุคคลแบบนั้น”84
วันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 ท่านเป็นประธานที่งานศพของฟรานเซส ภรรยาสุดที่รักของท่านเอง หลังจากเธอถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่โรงพยาบาลในซอลท์เลค “เธอสนับสนุนข้าพเจ้าตั้งแต่วันที่เราแต่งงานกัน” ประธานมอนสันกล่าวในพิธี ท่านเรียกเธอว่า “ภรรยาและมารดาในอุดมคติ”85 ท่านทำหน้าที่ฝ่ายประธานที่เหลือในฐานะพ่อม่าย โดยมักจะมีแอนบุตรสาวของท่านติดตามมาร่วมงานพิเศษต่างๆ ด้วย
ในช่วงที่ประธานมอนสันดำรงตำแหน่ง ศาสนจักรเน้นว่าการถือปฏิบัติวันสะบาโตให้ดีขึ้นเป็นวิธีเพิ่มพูนศรัทธาในพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ในยามสงสัยและหวาดกลัว ตั้งแต่ต้นปี 2015 ทุกระดับของศาสนจักรและในบ้านพยายามประสานงานกันอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้สมาชิกทำ “วันสะบาโตเป็นวันปีติยินดี” (ดู อิสยาห์ 58:13) โดยมีใจจดจ่อที่พระเจ้าและพันธสัญญาของพวกเขากับพระองค์ทั้งนี้เพื่อเก็บเกี่ยวพรที่สัญญาไว้กับคนซื่อสัตย์
ประธานมอนสันยังคงนึกถึงคนที่เหินห่างจากศาสนจักร ท่านไม่เคยมองว่าพวกเขาไม่เหมาะสมกับอาณาจักร เมื่อชายสูงวัยผู้ไม่ได้มีส่วนร่วมในศาสนจักรนาน 20 ปีมาขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งเรื่องการกลับมา เขาดึงจดหมายฉบับหนึ่งออกมา จดหมายฉบับนั้นเป็นเหตุให้เขาปรารถนาจะกลับมา “คุณไปนานพอแล้ว กลับมาเถอะ ทอม”86 ตามคำกล่าวของประธานมอนสัน “ข้าพเจ้าพบว่ามีความเป็นวิสุทธิชนนิดๆ หน่อยๆ อยู่ในทุกคน และข้าพเจ้ามองหา”87
แม้เมื่อเป็นประธานศาสนจักร ท่านยังคงรู้สึกเป็นเพื่อนกับคนอื่นๆ เอ็ลเดอร์แอล. ทอม เพอร์รีย์ (1922–2015) กล่าว “ท่านจะพูดเรื่องการแข่งขันของบีวายยูหรือยูทาห์แจ๊สเพราะท่านเป็นแฟนกีฬาตัวยง และจากนั้นท่านจะเริ่มพูดเรื่องธุรกิจ”88 ท่านมักจะมีอารมณ์ขันเสมอ ที่การชุมนุมปี 2009 กับสมาชิกคณะนักร้องประสานเสียงมอรมอนแท-เบอร์นาเคิล ท่านนั่งที่ออร์แกนตัวมหึมาและบรรเลงเพลง “งานวันเกิด” จากหนังสือเปียโนของคนที่เพิ่งหัดเล่น89 ในปี 2013 ศาสนจักรเชิญลูกเสือผู้ใหญ่ทุกคน ไม่ว่าจากศาสนาใดก็ตาม เข้าร่วมงานเฉลิมฉลอง “100 ปีของการลูกเสือ” โดยมีโปรแกรมหนึ่งที่เชิดชูการสนับสนุนลูกเสือมาตลอดชีวิตของประธานมอนสัน—ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในความสนใจมากมายที่ทำให้ท่านเชื่อมสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ผู้ที่ท่านชอบปลอบโยนและทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้น
ประธานมอนสันกล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อปี 1997 ว่า “การรู้สึกถึงการกระทุ้งเบาๆ ของพระเจ้า การกระตุ้นเตือน” ทำให้ท่านเกิดปีติมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นคราวที่ท่านไปเยี่ยมบิดาท่านในโรงพยาบาล และรู้สึกว่าควรรออยู่ใกล้ๆ ลิฟต์ขณะรีบไปให้ทันอีกการประชุมหนึ่ง ครอบครัวหนึ่งขอให้ท่านให้พรมารดาของพวกเขาผู้กำลังต่อสู้ระหว่างความเป็นกับความตาย และท่านยอมให้พร สายวันนั้น ท่านได้รับข่าวว่าสมาชิกครอบครัวแต่ละคนจูบมารดาของพวกเขาและกล่าวลาอย่างสงบหลังจากท่านให้พรและก่อนที่เธอจะสิ้นใจ90
“เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าตลอดชีวิตถึงขนาดว่าข้าพเจ้าพยายามฟังการกระตุ้นเตือนเหล่านั้นเสมอ” ประธานมอนสันตั้งข้อสังเกต คนนับไม่ถ้วน—เรื่องราวของพวกเขาบางคนถูกเล่าขาน แต่เรื่องราวของอีกมากมายหลายคนที่พบเจอประธานมอนสันยังไม่เป็นที่รู้—สามารถยืนยันได้ถึงการเชื่อมสัมพันธ์ของบุรุษผู้น่าทึ่งท่านนี้กับสวรรค์ “ท่านพึงตระหนักว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงทราบว่าท่านเป็นใคร” ประธานมอนสันสะท้อนให้เห็น “พระองค์ตรัสว่า ‘นี่ ไปทำสิ่งนี้ให้เรา’ ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระองค์เสมอ”91
และพยานของท่านต่อโลกเชื่อถือได้เสมอ “ด้วยสุดจิตสุดใจและด้วยความรู้สึกแรงกล้าในจิตวิญญาณของข้าพเจ้า” ประธานมอนสันกล่าว “ข้าพเจ้าขอเปล่งเสียงแสดงประจักษ์พยานในฐานะพยานพิเศษและขอประกาศว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์ พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระองค์ พระบุตรองค์เดียวผู้ถือกำเนิดจากพระบิดาในเนื้อหนัง พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเรา พระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นสื่อกลางของเรากับพระบิดา พระองค์คือผู้ที่สิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อชดใช้บาปของเรา พระองค์ทรงเป็นผลแรกของการฟื้นคืนชีวิต เพราะพระองค์สิ้นพระชนม์ คนทั้งปวงจะมีชีวิตอีกครั้ง ‘โอ จงชื่นชมกับปีติจากข้อความนี้ “ฉันรู้พระผู้ไถ่ทรงพระชนม์!”’ [เพลงสวด, บทเพลงที่ 59] ขอให้คนทั้งโลกรู้เรื่องนี้และดำเนินชีวิตด้วยความรู้ดังกล่าว”92