2019
จงมีศรัทธากล้า มิใช่ไร้ศรัทธา
พฤศจิกายน 2019


จงมีศรัทธากล้า มิใช่ไร้ศรัทธา

ในแต่ละวันเราต้องตั้งใจหาเวลาตัดการเชื่อมต่อกับโลกแล้วเชื่อมต่อกับสวรรค์

เมื่อไม่นานมานี้ ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาเตรียมศึกษาพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าหยิบโทรศัพท์มือถือมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง ตั้งใจจะเปิดแอปพลิเคชันคลังค้นคว้าพระกิตติคุณ ข้าพเจ้าปลดล็อกโทรศัพท์และกำลังจะเริ่มศึกษา แต่เห็นการแจ้งเตือนครึ่งโหลจากข้อความและอีเมลที่ส่งมาตั้งแต่เมื่อคืน ข้าพเจ้าคิดว่า “ดูข้อความพวกนั้นสักหน่อย แล้วค่อยศึกษาพระคัมภีร์” แต่สองชั่วโมงต่อมาข้าพเจ้ายังอ่านข้อความ อีเมล สรุปข่าว และโพสต์ในโซเชียลมีเดียอยู่เลย พอรู้เวลา ข้าพเจ้าก็รีบลนลานเตรียมพร้อมสำหรับวันนั้น เช้าวันนั้นข้าพเจ้าพลาดการศึกษาพระคัมภีร์ ผลก็คือข้าพเจ้าไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยงทางวิญญาณที่หวังจะได้รับ

การบำรุงเลี้ยงทางวิญญาณ

ข้าพเจ้าแน่ใจว่าหลายท่านเคยเป็นเช่นนี้ เทคโนโลยียุคใหม่เป็นพรแก่เรามากมาย ช่วยเราเชื่อมความสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัว กับข้อมูล และข่าวสารทันเหตุการณ์ทั่วโลก แต่ก็สามารถล่อใจให้เราเขวไปจากการเชื่อมต่อสำคัญที่สุดได้ด้วย นั่นคือ การเชื่อมต่อระหว่างเรากับสวรรค์

ข้าพเจ้าขอทบทวนสิ่งที่ศาสดาพยากรณ์ของเรา ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกล่าวไว้ดังนี้: “เราอยู่ในโลกที่ซับซ้อนและขัดแย้งกันมากขึ้นเรื่อยๆ สภาพพร้อมใช้ตลอดเวลาของโซเชียลมีเดียและวัฏจักรข่าว 24 ชั่วโมงกระหน่ำเราด้วยข่าวสารอย่างไร้เมตตา ถ้าเราปรารถนาจะกรองเสียงและปรัชญามากมายของมนุษย์ที่โจมตีความจริง เราต้องฝึกรับการเปิดเผย”

ประธานเนลสันเตือนต่อไปว่า “ในวันข้างหน้า เราจะรอดทางวิญญาณไม่ได้หากปราศจากการนำทาง การกำกับดูแล การปลอบโยน และอิทธิพลอันยั่งยืนของพระวิญญาณบริสุทธิ์”1

หลายปีก่อน ประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์เล่าเรื่องฝูงกวางที่ติดอยู่นอกถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติเนื่องจากหิมะตกหนัก พวกมันอาจตายเพราะขาดอาหาร ผู้หวังดีบางคนพยายามจะช่วยให้กวางรอดโดยนำฟางหลายคันรถมาทิ้งไว้ในบริเวณนั้น—เป็นฟางที่ปกติแล้วกวางไม่กิน แต่พวกเขาหวังว่าอย่างน้อยจะช่วยให้กวางผ่านฤดูหนาวนั้นไปได้ น่าเศร้าเมื่อพบในภายหลังว่ากวางส่วนใหญ่ตาย พวกมันกินฟางนั้น แต่ฟางไม่ได้บำรุงเลี้ยงพวกมัน พวกมันอดตายทั้งที่มีอาหารเต็มกระเพาะ2

ข่าวสารหลายอย่างที่กระหน่ำเราในยุคข้อมูลข่าวสารนี้เปรียบทางวิญญาณเสมือนฟางที่ให้กวางกิน—เรากินได้ทั้งวัน แต่มันไม่บำรุงเลี้ยงเรา

เราพบการบำรุงเลี้ยงทางวิญญาณที่แท้จริงจากที่ใด? สิ่งนี้แทบจะไม่ได้รับความนิยมในโซเชียลมีเดีย เราพบเมื่อเรา “มุ่งหน้าไปในทางของ [เรา]” บนเส้นทางพันธสัญญา “โดยยึดราวเหล็กไว้แน่นตลอดเวลา” และรับส่วนผลของต้นไม้แห่งชีวิต3 นี่หมายความว่าในแต่ละวันเราต้องตั้งใจหาเวลาตัดการเชื่อมต่อกับโลกแล้วเชื่อมต่อกับสวรรค์

ในความฝันของลีไฮ ท่านเห็นผู้คนที่รับส่วนผลแล้วละทิ้งเสียด้วยอิทธิพลของอาคารใหญ่และกว้าง ซึ่งคือความหยิ่งจองหองของโลก4 เป็นไปได้ที่คนรุ่นเยาว์ซึ่งได้รับการเลี้ยงดูมาในบ้านวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ร่วมการประชุมและชั้นเรียนที่ถูกต้องของศาสนจักร แม้กระทั่งมีส่วนร่วมในศาสนพิธีพระวิหาร แต่ก็ยังเดินออกไป “ในทางที่ต้องห้ามแล้ว [กลับ] หายไป”5 เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? หลายกรณีเป็นเพราะขณะพวกเขาทำสิ่งต่างๆ ที่ดูเหมือนเป็นความเข้มแข็งทางวิญญาณ แต่พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างแท้จริง พวกเขากินอาหารแต่ไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยง

กิจกรรมเยาวชน

ในทางกลับกัน ข้าพเจ้าพบวิสุทธิชนยุคสุดท้ายรุ่นเยาว์หลายคนที่ฉลาด เข้มแข็ง และมีศรัทธากล้า ท่านรู้ว่าท่านเป็นบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ทรงมีงานให้ท่านทำ ท่านรักพระผู้เป็นเจ้าด้วยสุด “ใจ, พลัง, ความนึกคิด และพละกำลัง” ของท่าน6 ท่านรักษาพันธสัญญาของท่านและรับใช้ผู้อื่นเริ่มจากที่บ้าน ท่านใช้ศรัทธา กลับใจ และปรับปรุงตนเองทุกวัน การทำเช่นนี้นำมาซึ่งปีติอันยั่งยืน ท่านกำลังเตรียมรับพรพระวิหารและโอกาสอื่นๆ ที่ท่านจะมีในฐานะผู้ติดตามที่แท้จริงของพระผู้ช่วยให้รอด และท่านกำลังช่วยเตรียมโลกรับการเสด็จมาครั้งที่สอง โดยเชื้อเชิญให้ทุกคนมาหาพระคริสต์และรับพรแห่งการชดใช้ของพระองค์ ท่านเชื่อมต่อกับสวรรค์

การเดินทางไปพระวิหารของเยาวชน

ใช่ ท่านเผชิญการท้าทาย แต่เป็นเช่นนั้นกับคนทุกรุ่น นี่คือยุคสมัยของเรา และเราต้องมีศรัทธากล้า มิใช่ไร้ศรัทธา ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเจ้าทรงทราบความท้าทายของเรา และโดยผ่านการนำของประธานเนลสัน พระองค์ทรงเตรียมเราให้พร้อมเผชิญ ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่ศาสดาพยากรณ์เรียกร้องให้ศาสนจักรมีบ้านเป็นศูนย์กลางโดยให้สิ่งที่เราทำในอาคารประชุมสนับสนุนนั้น7 ออกแบบมาเพื่อช่วยให้เรามีชีวิตรอด—แม้เจริญเติบโตได้—ในยุคขาดอาหารทางวิญญาณนี้

บ้านเป็นศูนย์กลาง

ศาสนจักรที่มีบ้านเป็นศูนย์กลางหมายความว่าอย่างไร? บ้านทั่วโลกอาจดูแตกต่างกันมาก ท่านอาจอยู่ในครอบครัวที่อยู่ในศาสนจักรมาหลายรุ่น หรือท่านอาจเป็นสมาชิกศาสนจักรเพียงคนเดียวในครอบครัว ท่านอาจแต่งงานแล้วหรือเป็นโสด ที่บ้านอาจมีหรือไม่มีเด็ก

ไม่ว่าสภาวการณ์ของท่านจะเป็นเช่นไร ท่านสามารถทำให้บ้านเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณได้ นั่นหมายถึงความรับผิดชอบส่วนตัวต่อการเปลี่ยนใจเลื่อมใสและการเติบโตทางวิญญาณของท่านเอง หมายถึงการทำตามคำแนะนำของประธานเนลสันที่จะ “เปลี่ยนบ้านของท่านให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งศรัทธา”8

ปฏิปักษ์จะพยายามชักชวนท่านว่าการบำรุงเลี้ยงทางวิญญาณไม่จำเป็น หรือแยบยลกว่านั้นคือ ยังรอได้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญสิ่งล่อใจและเป็นต้นคิดเรื่องการผัดวันประกันพรุ่ง เขาจะทำให้ท่านสนใจสิ่งต่างๆ ที่ดูเหมือนเร่งด่วนแต่แท้จริงแล้วไม่สำคัญขนาดนั้น เขาจะทำให้ท่าน “ร้อนใจหลายอย่างเหลือเกิน” จนท่านละเลย “สิ่ง [ที่] จำเป็น … เพียงสิ่งเดียว”9

ข้าพเจ้าสำนึกคุณอย่างยิ่งสำหรับ “บิดามารดาผู้ประเสริฐ”10 ผู้เลี้ยงดูครอบครัวเราในบ้านที่มีการบำรุงเลี้ยงทางวิญญาณ มีสายสัมพันธ์จากความรัก และกิจกรรมนันทนาการที่ดีงามอยู่เสมอ สิ่งที่พวกท่านสอนข้าพเจ้าในวัยเยาว์ส่งผลดีต่อข้าพเจ้ามาโดยตลอด บิดามารดาทั้งหลาย โปรดสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับบุตรธิดาของท่าน พวกเขาต้องการเวลาจากท่านมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง

ศาสนจักรสนับสนุน

ขณะท่านทำเช่นนั้น ศาสนจักรจะคอยสนับสนุนท่าน ประสบการณ์ที่โบสถ์จะช่วยเสริมการบำรุงเลี้ยงทางวิญญาณที่บ้านได้ ที่ผ่านมาในปีนี้ เราได้เห็นการสนับสนุนของศาสนจักรเช่นนี้ในโรงเรียนวันอาทิตย์และปฐมวัย เราจะเห็นมากขึ้นในการประชุมฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนและเยาวชนหญิงด้วย ตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้เป็นต้นไป หลักสูตรสำหรับการประชุมเหล่านี้จะปรับเปลี่ยนเล็กน้อย หลักสูตรจะยังคงเน้นหัวข้อพระกิตติคุณ แต่หัวข้อเหล่านั้นจะสอดคล้องกับ จงตามเรามา—สำหรับบุคคลและครอบครัว นี่คือการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่จะส่งผลมากมายต่อการบำรุงเลี้ยงทางวิญญาณของเยาวชน

มีอะไรอีกบ้างที่ศาสนจักรให้การสนับสนุน? ที่โบสถ์เรารับส่วนศีลระลึก ซึ่งช่วยให้เราทบทวนคำมั่นสัญญาที่มีต่อพระผู้ช่วยให้รอดอีกครั้งในแต่ละสัปดาห์ และที่โบสถ์เราร่วมชุมนุมกับผู้เชื่อคนอื่นๆ ที่ทำพันธสัญญาแบบเดียวกัน สายสัมพันธ์ความรักที่เราสร้างขึ้นในหมู่เพื่อนสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์สามารถเป็นแรงสนับสนุนอันทรงพลังต่อความเป็นสานุศิษย์ของเราที่มีบ้านเป็นศูนย์กลาง

เมื่ออายุ 14 ปี ครอบครัวข้าพเจ้าย้ายที่อยู่ใหม่ ดูเหมือนเรื่องนี้คงไม่น่าเศร้าใจนักสำหรับท่าน แต่ในความคิดข้าพเจ้าขณะนั้นเป็นเรื่องร้ายแรงมาก นั่นหมายถึงรอบข้างจะมีแต่คนที่ข้าพเจ้าไม่รู้จัก นั่นหมายถึงเยาวชนชายคนอื่นๆ ในวอร์ดจะไปคนละโรงเรียนกับข้าพเจ้า และในความคิดของเด็กอายุ 14 ปี ข้าพเจ้าคิดว่า “พ่อแม่ทำกับฉันแบบนี้ได้อย่างไร?” ข้าพเจ้ารู้สึกประหนึ่งชีวิตพังพินาศ

แต่โดยผ่านกิจกรรมเยาวชนชาย ข้าพเจ้าสามารถผูกมิตรกับสมาชิกคนอื่นๆ ในโควรัม และพวกเขากลายเป็นเพื่อนข้าพเจ้า นอกจากนี้ สมาชิกในฝ่ายอธิการและผู้ให้คำปรึกษาฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนเริ่มให้ความสนใจชีวิตข้าพเจ้าเป็นพิเศษ พวกเขาไปดูข้าพเจ้าแข่งกีฬา พวกเขาเขียนข้อความให้กำลังใจที่ข้าพเจ้าเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้ พวกเขาติดต่อข้าพเจ้าเรื่อยมาจนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยและไปเป็นผู้สอนศาสนา มีคนหนึ่งถึงกับไปรับที่สนามบินเมื่อข้าพเจ้ากลับบ้าน ข้าพเจ้าจะสำนึกคุณบราเดอร์ผู้ประเสริฐเหล่านี้ตลอดไป รวมทั้งความรักที่มาพร้อมกับความคาดหวังสูงของพวกเขา พวกเขาชี้นำข้าพเจ้าไปสู่สวรรค์ ชีวิตข้าพเจ้าจึงสว่างไสว เป็นสุข และเปี่ยมปีติ

ในฐานะบิดามารดาและผู้นำ เราจะช่วยให้เยาวชนรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่โดดเดี่ยวขณะเดินตามเส้นทางพันธสัญญา? นอกจากสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัว เราเชิญพวกเขามาการชุมนุมทั้งใหญ่และเล็ก—ตั้งแต่การประชุมเพื่อความเข้มแข็งของเยาวชนและค่ายเยาวชน จนถึงกิจกรรมโควรัมและกิจกรรมชั้นเรียนประจำสัปดาห์ อย่าประมาทความเข้มแข็งที่มาจากการร่วมชุมนุมกับคนที่พยายามเข้มแข็งเช่นเดียวกับเรา อธิการและผู้นำอื่นๆ ทั้งหลาย จงมุ่งเน้นการบำรุงเลี้ยงเด็กและเยาวชนในวอร์ดของท่าน พวกเขาต้องการเวลาจากท่านมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง

ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้นำ เพื่อนบ้าน สมาชิกโควรัมหรือเป็นเพียงเพื่อนวิสุทธิชน ถ้าท่านมีโอกาสสัมผัสชีวิตของคนรุ่นเยาว์จงช่วยให้เขาเหล่านั้นเชื่อมต่อกับสวรรค์ อิทธิพลดีของท่านอาจเป็น “การสนับสนุนของศาสนจักร” ที่คนรุ่นเยาว์ต้องการ

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์คือองค์พระประมุขของศาสนจักรนี้ พระองค์ทรงดลใจผู้นำของเราและนำทางเราไปสู่การบำรุงเลี้ยงทางวิญญาณที่จำเป็นต่อการมีชีวิตรอดและการเติบโตในยุคสุดท้ายนี้ การบำรุงเลี้ยงทางวิญญาณนั้นจะช่วยให้เรามีศรัทธากล้า มิใช่ไร้ศรัทธา ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน