“พันธสัญญาอันเป็นนิจ,” เลียโฮนา, ต.ค. 2022.
พันธสัญญาอันเป็นนิจ
ทุกคนที่ทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าได้เข้าสู่ความรักความเมตตาอันพิเศษเฉพาะ
โลกที่ฉีกขาดจากสงครามและข่าวลือเรื่องสงครามนี้จำเป็นต้องมีความจริง แสงสว่าง และความรักอันบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์มากกว่าที่เคย พระกิตติคุณของพระคริสต์นั้นน่าชื่นชมยินดี เราเป็นสุขที่ศึกษาและทำตามกฎเกณฑ์ของสิ่งนี้ เราชื่นชมยินดีที่มีโอกาสแบ่งปันพระกิตติคุณ—และเป็นพยานถึงความจริงของสิ่งนี้ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด
ข้าพเจ้ามักพูดถึงความสำคัญของพันธสัญญาแห่งอับราฮัมและการรวบรวมอิสราเอล เมื่อน้อมรับพระกิตติคุณและรับบัพติศมา เรารับพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ไว้กับตนเอง บัพติศมาเป็นประตูนำไปสู่การกลายเป็นทายาทร่วมในสัญญาทั้งปวงที่แต่โบราณกาลพระเจ้าทรงให้สัญญากับอับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และลูกหลานของท่านเหล่านั้น 1
“พันธสัญญาใหม่และเป็นนิจ”2 (หลักคำสอนและพันธสัญญา 132:6) และพันธสัญญาแห่งอับราฮัมโดยแก่นแท้แล้วเป็นเช่นเดียวกัน—เป็นวิธีสองแบบของการใช้ถ้อยคำกับพันธสัญญาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงทำกับชายและหญิงมรรตัยในเวลาที่ต่างกัน
คำวิเศษณ์ เป็นนิจ แสดงให้เห็นว่าพันธสัญญานี้มีมาตั้งแต่ก่อนการวางรากฐานของโลกนี้! แผนที่ทำโครงร่างกันในสภาใหญ่ในสวรรค์รวมถึงการตระหนักอย่างจริงจังว่าเราทุกคนจะถูกตัดขาดจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า อย่างไรก็ตาม พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงเตรียมพระผู้ช่วยให้รอดผู้จะทรงเอาชนะผลที่ตามมาของการตกนั้น หลังรับบัพติศมาพระผู้เป็นเจ้าทรงบอกอาดัมว่า:
“เจ้าเป็นคนในระเบียบของพระองค์ผู้ทรงปราศจากการเริ่มต้นของวันหรือการสิ้นสุดของปี, จากชั่วนิรันดรถึงชั่วนิรันดร.
“ดูเถิด, เจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา, บุตรคนหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า; และดังนั้นคนทั้งปวงจะเป็นบุตรของเรา. เอเมน” (โมเสส 6:67–68)
อาดัมกับเอวายอมรับศาสนพิธีบัพติศมาและเริ่มกระบวนการเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้เป็นเจ้า ท่านทั้งสองเข้าสู่เส้นทางพันธสัญญา
เมื่อท่านและข้าพเจ้าเข้าสู่เส้นทางนั้นเหมือนพวกท่าน เราจะมีวิถีชีวิตใหม่เช่นกัน โดยการนั้น เราสร้างความสัมพันธ์กับพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเปิดโอกาสให้พระองค์ทรงอวยพรและเปลี่ยนแปลงเรา เส้นทางพันธสัญญานำกลับไปหาพระองค์ หากเรายอมให้พระผู้เป็นเจ้าทรงมีชัยในชีวิต พันธสัญญานั้นจะนำเราเข้าใกล้พระองค์มากขึ้นทุกขณะ จุดประสงค์ของพันธสัญญาทุกอย่างคือการผูกมัด พันธสัญญาเหล่านั้นสร้างความสัมพันธ์พร้อมการผูกมัดอันเป็นนิจ
ความรักความเมตตาอันพิเศษเฉพาะ
ทันทีที่เราทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้า เราออกจากพื้นที่เป็นกลางตลอดกาล พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งความสัมพันธ์ของพระองค์กับผู้สร้างการผูกมัดเช่นนั้นกับพระองค์ อันที่จริง ทุกคนที่ทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าได้เข้าสู่ความรักความเมตตาอันพิเศษเฉพาะ ในภาษาฮีบรู ความรักในพันธสัญญานั้นเรียกว่า hesed (เฮเซด) (חֶסֶד).3
Hesed ไม่มีคำภาษาอังกฤษที่มีความหมายเทียบเท่าเพียงพอ ผู้แปลพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับคิงเจมส์ต้องพยายามอย่างหนักว่าจะใช้คำภาษาอังกฤษคำใดมาแทนคำว่า hesed พวกเขามักเลือก “ความรักมั่นคง” คำนี้จับใจความของ hesed ได้มากแต่ไม่ใช่ทั้งหมด การแปลโดยใช้คำอื่นก็มีอย่างเช่นคำว่า “เมตตา” และ “คุณความดี” Hesed เป็นคำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอธิบายถึงความสัมพันธ์แห่งพันธสัญญาซึ่งบุคคลทั้งสองฝ่ายถูกผูกมัดเข้าด้วยกันให้ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อกัน
การแต่งงานซีเลสเชียลคือความสัมพันธ์แห่งพันธสัญญาเช่นนั้น สามีภรรยาทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าและทำพันธสัญญาต่อกันที่จะซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อกัน
Hesed เป็นความรักความเมตตาอันพิเศษเฉพาะที่พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้สึกและประทานแก่ผู้ที่ทำพันธสัญญากับพระองค์ และเราถวาย hesed เป็นผลต่างตอบแทนแด่พระองค์
เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงมี hesed ให้ผู้ที่ทำพันธสัญญากับพระองค์ พระองค์จึงทรงรักพวกเขา จะทรงทำงานกับพวกเขาอย่างต่อเนื่องและจะทรงมอบโอกาสที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลง จะทรงให้อภัยเมื่อพวกเขากลับใจ และหากพวกเขาหลงทาง พระองค์จะทรงช่วยให้พวกเขาพบทางที่จะกลับมาหาพระองค์
ทันทีที่ท่านและข้าพเจ้าทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้า ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์กลับใกล้ชิดมากขึ้นกว่าก่อนทำพันธสัญญา ขณะนี้เราถูกผูกมัดไว้ด้วยกัน เนื่องจากพันธสัญญาของเรากับพระผู้เป็นเจ้า จึงไม่มีวันที่พระองค์จะทรงระอาในพระวิริยะที่จะทรงช่วยเหลือเรา และขันติธรรมแห่งพระเมตตาของพระองค์จะไม่มีวันสูญสิ้นไปจากเรา เราแต่ละคนมีที่อันพิเศษเฉพาะในพระหทัยพระผู้เป็นเจ้า ทรงตั้งความหวังในตัวเราไว้สูง
ท่านรู้ดีถึงข้อประกาศอันเป็นประวัติศาสตร์ที่พระเจ้าประทานแก่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ซึ่งมาโดยการเปิดเผย พระเจ้าตรัสกับโจเซฟว่า “สัญญานี้เป็นของเจ้าเช่นกัน, เพราะเจ้าเป็นของอับราฮัม, และสัญญาทำไว้กับอับราฮัม” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 132:31)
ด้วยเหตุที่พันธสัญญาอันเป็นนิจนี้ได้รับการฟื้นฟูโดยเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูพระกิตติคุณอันยิ่งใหญ่ในความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณ ลองนึกดู! พันธสัญญาการแต่งงานที่ทำในพระวิหารผูกมัดโดยตรงกับพันธสัญญาแห่งอับราฮัม ในพระวิหารคู่สามีภรรยาได้รับคำแนะนำให้รู้ถึงพร ทั้งหมด ที่สงวนไว้สำหรับพงศ์พันธุ์ที่ซื่อสัตย์ของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ
เช่นเดียวกับอาดัม ท่านและข้าพเจ้าแต่ละคนเข้าสู่เส้นทางพันธสัญญาเมื่อรับบัพติศมา จากนั้นเราเข้าสู่เส้นทางนั้นอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้นในพระวิหาร พรของพันธสัญญาแห่งอับราฮัมประสาทในพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ พรดังกล่าวทำให้เรา “ได้รับบัลลังก์ อาณาจักร พลังอำนาจ เขตปกครอง และการครอบครองไปสู่ ‘ความสูงส่งและรัศมีภาพในสิ่งทั้งปวง’ ของเราในการฟื้นคืนชีวิต [หลักคำสอนและพันธสัญญา 132:19]”4
ในข้อความสุดท้ายของพันธสัญญาเดิม เราอ่านพบสัญญาของมาลาคีที่ว่า เอลียาห์จะ “ทำให้จิตใจของพ่อหันไปหาลูก และจิตใจของลูกหันไปหาพ่อ” (มาลาคี 4:6) ในอิสราเอลยุคโบราณ การอ้างถึงบิดานั้นย่อมรวมถึงบิดาอับราฮัม อิสอัค และยาโคบด้วย สัญญานี้ชัดเจนขึ้นเมื่อเราอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ในอีกรูปแบบหนึ่งตามที่โมโรไนยกข้อความมาอ้างต่อศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธว่า: “ท่าน [เอลียาห์] จะปลูกสัญญาที่ทำกับบรรพบุรุษไว้ในใจของลูกหลาน, และใจของลูกหลานจะหันไปหาบรรพบุรุษของพวกเขา” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:39) แน่นอน บรรพบุรุษเหล่านั้นย่อมรวมถึง อับราฮัม อิสอัค และยาโคบด้วย (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 27:9–10)
พระเยซูคริสต์: ศูนย์กลางแห่งพันธสัญญา
การพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดช่วยให้พระบิดาทรงทำให้พระสัญญาที่ทำไว้กับบุตรธิดาของพระองค์เกิดสัมฤทธิผล เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็น “ทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” และเพราะว่า “ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทาง [พระองค์]” (ยอห์น 14:6) ความสำเร็จของพันธสัญญาแห่งอับราฮัมเป็นไปได้เนื่องจากการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ทรงอยู่ที่ ศูนย์กลาง ของพันธสัญญาแห่งอับราฮัม
พันธสัญญาเดิมไม่ได้เป็นเพียงพระคัมภีร์ แต่เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ด้วย ท่านคงจำได้ว่าเคยอ่านเรื่องการแต่งงานของซารายกับอับราม เพราะพวกท่านไม่มีบุตร ซารายจึงมอบฮาการ์หญิงรับใช้ให้เป็นภรรยาของอับรามด้วย ตามการชี้นำของพระเจ้า ฮาการ์ให้กำเนิดอิชมาเอล5 อับรามรักอิชมาเอล แต่เขาไม่ใช่บุตรที่พันธสัญญาจะส่งผ่านทางเขา (ดู ปฐมกาล 11:29–30; 16:1, 3, 11; หลักคำสอนและพันธสัญญา 132:34)
โดยเป็นพรจากพระผู้เป็นเจ้า และสนองตอบต่อศรัทธาของซาราย6 เธอมีบุตรในวัยชราเพื่อพันธสัญญาจะส่งผ่านทางอิสอัค บุตรชาย ของเธอ (ดู ปฐมกาล 17:19) เขาเกิดในพันธสัญญา
พระผู้เป็นเจ้าประทานชื่อใหม่แก่ซารายและอับราม—ซาราห์ และ อับราฮัม (ดู ปฐมกาล 17:5, 15) ชื่อใหม่ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานนั้นเป็นเครื่องหมายของการเริ่มต้นชีวิตใหม่และจุดหมายปลายทางใหม่สำหรับครอบครัวนี้
อับราฮัมรักทั้งอิชมาเอลและอิสอัค พระผู้เป็นเจ้าตรัสบอกอับราฮัมว่าอิชมาเอลจะขยายพงศ์พันธุ์และกลายเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ (ดู ปฐมกาล 17:20) ในเวลาเดียวกัน พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ชัดเจนว่าจะสถาปนาพันธสัญญาอันเป็นนิจผ่านอิสอัค(ดู ปฐมกาล 17:19)
ทุกคนที่ยอมรับพระกิตติคุณกลายเป็นส่วนหนึ่งของเชื้อสายของอับราฮัม ในกาลาเทียเราอ่านว่า:
“เพราะว่าพวกท่านทุกคนที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระคริสต์แล้ว
“… ท่านทั้งหลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระเยซูคริสต์
“และถ้าท่านทั้งหลายเป็นของพระคริสต์แล้ว ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม คือเป็นทายาทตามพระสัญญา” (กาลาเทีย 3:27–29)
ฉะนั้น เราสามารถเป็นทายาทตามพันธสัญญาได้โดยกำเนิดหรือโดยการเป็นบุตรบุญธรรม
ยาโคบ บุตรชายของอิสอัคและเรเบคาห์เกิดในพันธสัญญา นอกจากนี้ เขาเลือกที่จะเข้าสู่พันธสัญญาตัวยตนเอง ดังที่ท่านทราบ ยาโคบเปลี่ยนชื่อเป็น อิสราเอล (ดู ปฐมกาล 32:28) ซึ่งมีความหมายว่า “ให้พระผู้เป็นเจ้าทรงมีชัย” หรือ “ผู้มีชัยกับพระผู้เป็นเจ้า”7
ในอพยพเราอ่านได้ว่า “พระเจ้าทรงระลึกถึงพันธสัญญาที่พระองค์ได้ทรงทำไว้กับอับราฮัม อิสอัค และ ยาโคบ” (อพยพ 2:24) พระผู้เป็นเจ้าตรัสบอกลูกหลานอิสราเอลว่า “ถ้าพวกเจ้าฟังเสียงเราจริงๆ และรักษาพันธสัญญาของเราไว้ พวกเจ้าจะเป็นของล้ำค่าของเรา” (อพยพ 19:5)
วลี “ของล้ำค่า” แปลจากภาษาฮีบรู segullah (เซกูลลาห์) หมายถึงสมบัติที่มีคุณค่าสูง—“สมบัติ”8
หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติเล่าถึงความสำคัญของพันธสัญญา อัครสาวกของพันธสัญญาใหม่รู้เรื่องพันธสัญญานี้ หลังจากเปโตรรักษาชายง่อยที่บันไดพระวิหาร ท่านสอนผู้เห็นเหตุการณ์เรื่องพระเยซู เปโตรกล่าวว่า “พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ซึ่งเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเรา ได้ประทานพระเกียรตินี้แด่พระเยซู พระบุตรของพระองค์” (กิจการ 3:13)
เปโตรปิดท้ายข่าวสารของท่านโดยบอกผู้ฟังว่า “ท่านทั้งหลายเป็นลูกหลานของผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นและของพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกท่านคือได้ตรัสกับอับราฮัมว่า บรรดาพงศ์พันธุ์ของแผ่นดินโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า” (กิจการ 3:25) เปโตรทำให้ผู้ฟังได้รับข่าวสารที่ชัดเจนว่าส่วนหนึ่งของพระพันธกิจของพระคริสต์คือการทำให้พันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าสำเร็จ
พระเจ้าประทานเทศนาที่คล้ายกันแก่ผู้คนในอเมริกายุคโบราณ ที่นั่น พระคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ตรัสบอกว่าแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นใคร พระองค์ตรัสว่า:
“เจ้าเป็นลูกหลานของศาสดาพยากรณ์; และเจ้าเป็นของเชื้อสายแห่งอิสราเอล; และเจ้าอยู่ในพันธสัญญาซึ่งพระบิดาทรงทำกับบรรพบุรุษเจ้า, โดยตรัสกับอับราฮัม: และในพงศ์พันธุ์เจ้าทุกตระกูลของแผ่นดินโลกจะได้รับพร.
“พระบิดาโดยที่ทรงยกเราขึ้นมาให้แก่เจ้าก่อน, และทรงส่งเรามาให้พรเจ้าในการทำให้เจ้าทุกคนหันหลังให้ความชั่วช้าสามานย์ [ของตน]; และนี่เพราะเจ้าเป็นลูกหลานแห่งพันธสัญญา” (3 นีไฟ 20:25–26)
ท่านเห็นความสำคัญของเรื่องนี้หรือไม่? ผู้คนที่รักษาพันธสัญญาของตนกับพระผู้เป็นเจ้าจะกลายเป็นสายพันธุ์ของจิตวิญญาณที่ต้านบาป! ผู้คนที่รักษาพันธสัญญาของตนจะมีความแข็งแกร่งเพื่อต้านทานอิทธิพลโลกที่ต่อเนื่อง
งานเผยแผ่ศาสนา: การแบ่งปันพันธสัญญา
พระเจ้าทรงบัญชาให้เราเผยแผ่พระกิตติคุณและแบ่งปันพันธสัญญา นี่คือสาเหตุที่เรามีผู้สอนศาสนา พระองค์ทรงปรารถนาให้บุตรธิดาของพระองค์ทุกคนมีโอกาสเลือกพระกิตติคุณของพระผู้ช่วยให้รอดและเริ่มก้าวแรกบนเส้นทางพันธสัญญา พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ที่จะเชื่อมโยง คนทั้งปวง เข้ากับพันธสัญญาที่ทรงทำกับอัมราฮัมแต่โบราณกาล
ด้วยเหตุนี้ งานเผยแผ่ศาสนาจึงเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในการรวบรวมอิสราเอลที่สำคัญยิ่ง การรวบรวมนั้นเป็นงานสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินโลกในปัจจุบัน ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ในด้านมิติ ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ในด้านความสำคัญ ผู้สอนศาสนาของพระเจ้า—สานุศิษย์ของพระองค์—มีส่วนร่วมในงานนี้ซึ่งเป็นเรื่องท้าทาย เป็นอุดมการณ์ และเป็นงานซึ่งสำคัญที่สุดบนแผ่นดินโลกในปัจจุบัน
แต่ยังมีบางอย่างมากกว่านั้น—มากกว่ามาก เราจำเป็นต้องเผยแผ่พระกิตติคุณไปยังผู้คนจำนวนมหาศาลที่อยู่อีกด้านหนึ่งของม่าน พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ให้ทุกคนที่อยู่ทั้งสองด้านของม่านได้รับพรแห่งพันธสัญญาของพระองค์ เส้นทางพันธสัญญาเปิดให้กับทุกคน เราวิงวอนทุกคนให้เดินบนเส้นทางนั้นกับเรา ไม่มีงานอื่นครอบคลุมกว้างไกลเช่นนี้ เพราะ “พระเจ้าทรงเมตตาทุกคนผู้ที่จะ, เรียกหาพระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์, ด้วยความจริงใจของใจพวกเขา” (ฮีลามัน 3:27)
เพราะฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคได้รับการฟื้นฟู หญิงชายที่รักษาพันธสัญญาจึงสามารถเข้าถึง “พร ทางวิญญาณ ทั้งปวง” ของพระกิตติคุณ (หลักคำสอนและพันธสัญญา 107:18; เน้นตัวเอน)
ที่การอุทิศพระวิหารเคิร์ทแลนด์ในปี 1836 ภายใต้การกำกับดูแลของพระเจ้า เอลียาห์มาปรากฏ จุดประสงค์ของท่านคืออะไร? “เพื่อหัน … ลูกหลานมาหาบรรพบุรุษ” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 110:15) เอลีอัสมาปรากฏด้วย จุดประสงค์ของท่านคืออะไร? เพื่อให้คำมั่นสัญญากับโจเซฟ สมิธและออลิเวอร์ คาวเดอรี “การประทานพระกิตติคุณสมัยอับราฮัมโดยกล่าวว่า ในพวกเราและพงศ์พันธุ์ของเราคนทุกรุ่นต่อจากเราจะได้รับพร” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 110:12) ด้วยเหตุนี้ พระอาจารย์จึงทรงประสาทสิทธิอำนาจของฐานะปุโรหิตและสิทธิที่จะถ่ายทอดพรอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพันธสัญญาแห่งอับราฮัมให้กับผู้อื่น แก่โจเซฟ สมิธและออลิเวอร์ คาวเดอรี9
ในศาสนจักร เราเดินทางไปในเส้นทางพันธสัญญาทั้งแบบรายบุคคลและเป็นหมู่คณะ การแต่งงานและครอบครัวที่ให้การผูกพันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มา จากด้านข้าง ก่อให้เกิดความรักอันพิเศษเฉพาะขึ้นได้ฉันใด การสร้างความสัมพันธ์ใหม่ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราผูกมัดตนเองด้วยพันธสัญญา จากด้านบน ต่อพระผู้เป็นเจ้าก็ทำได้ฉันนั้น!
นี่อาจเป็นความหมายของคำพูดที่นีไฟกล่าวว่าพระผู้เป็นเจ้า “ทรงรักผู้เลือกพระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา.” (1 นีไฟ 17:40) นี่คือเหตุผลที่แจ้งชัดว่าทำไมความรักความเมตตาอันพิเศษเฉพาะ—หรือ hesed—อันเป็นส่วนหนึ่งของพันธสัญญา จึงมีให้กับทุกคนที่เข้ามาในความสัมพันธ์ที่ให้การผูกมัดและความใกล้ชิดนี้กับพระผู้เป็นเจ้า แม้ “ถึงพันชั่วอายุคน” (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:9)
การทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้า เปลี่ยนความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ตลอดกาล ซึ่งเป็นพรแก่เราด้วยความรักความเมตตาที่เกินจะวัดได้ อีกทั้งส่งผลต่อการที่เราจะเป็นใครและวิธีที่พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยให้เราเป็นสิ่งที่เราสามารถเป็นได้ด้วย เราได้รับสัญญาว่าเราจะเป็น “ของล้ำค่า” ของพระองค์อีกด้วย (สดุดี 135:4)
สัญญาและสิทธิพิเศษ
คนที่ทำและรักษาพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์มีสัญญาว่าจะได้รับชีวิตนิรันดร์และความสูงส่ง “ซึ่งของประทานนี้สำคัญที่สุดในบรรดาของประทานทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้า” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 14:7) พระเยซูคริสต์คือพระผู้ค้ำประกันพันธสัญญาเหล่านั้น (ดู ฮีบรู 7:22; 8:6) ผู้รักษาพันธสัญญาผู้รักพระผู้เป็นเจ้าและยอมให้พระองค์ทรงมีชัยเหนือสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดในชีวิตตนย่อมทำให้พระองค์ทรงเป็นอิทธิพลอันทรงพลังสูงสุดในชีวิตพวกเขา
ในยุคของเรา เรามีสิทธิพิเศษที่จะได้รับปิตุพรและเรียนรู้เกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างเรากับผู้ประสาทพรยุคโบราณ พรเหล่านั้นให้มุมมองเล็กๆ ในสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า
การเรียกของเราในฐานะอิสราเอลแห่งพันธสัญญาคือการทำให้แน่ใจว่าสมาชิกศาสนจักรทุกคนตระหนักถึงปีติและสิทธิพิเศษที่ควบคู่มากับการทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้า นี่คือการเรียกให้กระตุ้นชายและหญิง เด็กชายและเด็กหญิงทุกคนที่รักษาพันธสัญญาให้แบ่งปันพระกิตติคุณกับผู้ที่เข้ามาในขอบเขตอิทธิพลของพวกเขา นอกจากนี้ยังเป็นการเรียกให้สนับสนุนและให้กำลังใจผู้สอนศาสนาของเรา ผู้ถูกส่งไปพร้อมคำแนะนำการให้บัพติศมาผู้คนและช่วยรวบรวมอิสราเอล เพื่อเราจะเป็นผู้คนของพระผู้เป็นเจ้าด้วยกันและพระองค์จะทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าของเรา (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 42:9)
ชายและหญิงทุกคนที่มีส่วนร่วมในศาสนพิธีฐานะปุโรหิตและทำและรักษาพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าจะเข้าถึงเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าได้โดยตรง เรารับพระนามของพระเจ้าไว้กับตนเป็นรายบุคคล นอกจากนี้เรายังรับพระนามของพระองค์ไว้กับเราในฐานะผู้คนด้วย ความปรารถนาอันลึกซึ้งที่จะใช้ชื่อที่ถูกต้องของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายคือวิธีที่สำคัญยิ่งที่เราในฐานะผู้คนจะรับพระนามของพระองค์ไว้กับเรา โดยแท้แล้ว ทุกการกระทำแห่งความกรุณาของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายและสมาชิกศาสนจักรเป็นการแสดงออกซึ่ง hesed ของพระผู้เป็นเจ้า
เหตุใดอิสราเอลจึงกระจัดกระจาย? เพราะผู้คนละเมิดพระบัญญัติและใช้หินขว้างศาสดาพยากรณ์ พระบิดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยรักแม้โศกเศร้าทรงตอบสนองด้วยการทำให้อิสราเอลกระจัดกระจายออกไปไกลและกว้าง 11
อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปพร้อมสัญญาว่าวันหนึ่งอิสราเอลจะถูกรวบรวมเข้าสู่คอกของพระองค์อีกครั้ง
เผ่ายูดาห์ได้รับมอบความรับผิดชอบในการเตรียมโลกเพื่อรับการเสด็จมาครั้งแรกของพระเจ้า จากเผ่านั้น มารีย์ได้รับเรียกเป็นพระมารดาของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า
เผ่าโยเซฟ ผ่านเอฟราอิมและมนัสเสห์บุตรชายของท่านกับอาเสนัท (ดู ปฐมกาล 41:50–52; 46:20) ได้รับมอบความรับผิดชอบให้เป็นผู้นำในการรวบรวมอิสราเอล เตรียมโลกเพื่อรับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเจ้า
ในความสัมพันธ์แบบ hesed ซึ่งไร้กาลเวลาเช่นนั้น ย่อมเป็นเรื่องปกติที่พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการรวบรวมอิสราเอล พระองค์ทรงเป็นพระบิดาบนสวรรค์ของเรา! ทรงประสงค์ให้บุตรธิดาแต่ละคนของพระองค์—ทั้งสองด้านของม่าน—ได้ฟังข่าวสารพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์
เส้นทางแห่งความรัก
เส้นทางแห่งพันธสัญญาเป็นเส้นทางแห่งความรัก—ที่มี hesed อันเหลือเชื่อ มีการเอาใจใส่ด้วยความเมตตาสงสารและมีการเอื้อมออกไปหากัน ความรู้สึกว่าความรักเป็นอิสระและยกระดับจิตวิญญาณ ท่านจะประสบปีติสูงสุดเท่าที่ท่านเคยประสบมาคือเมื่อท่านถูกกลืนเข้าไปในความรักที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าและต่อบุตรธิดาทั้งหลายของพระองค์
การรักพระผู้เป็นเจ้าเหนือทุกคนหรือทุกสิ่งอื่นใดคือสภาวะที่นำสันติสุข การปลอบโยน ความมั่นใจและปีติที่แท้จริงมาให้
เส้นทางพันธสัญญาคือทุกสิ่งที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระผู้เป็นเจ้า —ความสัมพันธ์แบบ hesed ระหว่างเรากับพระองค์ เมื่อเราเข้าสู่พันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้า เราทำพันธสัญญากับพระองค์ผู้ทรงรักษาคำพูดของพระองค์เสมอ จะทรงทำทุกสิ่งที่ทรงทำได้ เพื่อช่วยให้เรารักษาคำพูดของเรา โดยไม่ลิดรอนสิทธิ์เสรีของเรา
พระคัมภีร์มอรมอนเริ่มและจบลงด้วยข้ออ้างอิงถึงพันธสัญญาอันเป็นนิจนี้ จากปกในถึงประจักษ์พยานปิดท้ายของมอรมอนและโมโรไน พระคัมภีร์มอรมอนมีข้ออ้างอิงถึงพันธสัญญานี้ (ดู มอรมอน 5:20; 9:37) “การออกมาของพระคัมภีร์มอรมอนเป็นเครื่องหมายต่อโลกว่าพระเจ้าทรงเริ่มรวบรวมอิสราเอลแล้วและทำให้พันธสัญญาที่ทรงทำไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบเกิดสัมฤทธิผล”12
พี่น้องที่รักทั้งหลาย เราได้รับเรียกมาในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งนี้ในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินโลกเพื่อสอนโลกเกี่ยวกับความงดงามและพลังอำนาจของพันธสัญญาอันเป็นนิจ พระบิดาบนสวรรค์วางพระทัยให้เราทำงานยิ่งใหญ่นี้โดยไม่ทรงสงสัย
ให้ข่าวสารนี้ในการประชุมผู้นำในการประชุมใหญ่สามัญเมื่อวันที่ 31 มี.ค. ค.ศ. 2022 ด้วย