2019
การกระทำที่สมดุลของความอดทน
พฤษภาคม 2019


การกระทำที่สมดุล ของความอดทน

จากคำปราศรัยให้ข้อคิดทางวิญญาณเรื่อง “นี่คือวันเวลาของท่าน” ที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์–ไอดาโฮ วันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2015 ดูบทความเต็มเป็นภาษาอังกฤษที่ web.byui.edu/devotionalsandspeeches

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าเราสามารถ “เบิกบานใจจนกว่าชีวิตจะหาไม่” ขณะที่เราทำตามการกระตุ้นเตือนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เลือกสิ่งดีเหนือสิ่งชั่วร้าย และสร้างความสมดุลในหน้าที่รับผิดชอบของเรา

balancing act

เมื่อไม่นานมานี้ข้าพเจ้าพูดกับลูกหลานและเพื่อนวัยเยาว์เพื่อจะได้เข้าใจถึงคำถาม ความท้าทาย ความคับข้องใจ และชัยชนะที่คนหนุ่มสาวเผชิญทุกวันนี้ ข้าพเจ้าไตร่ตรองและสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับรู้และสรุปออกมาเป็นประเด็นที่ตอนนี้ข้าพเจ้าจะแบ่งปันโดยหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยตอบคำถามและความท้าทายเหล่านั้น

ฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์

ตรงข้ามกับความรู้สึกของพวกท่านบางคนในบางครั้ง ข้าพเจ้าประกาศว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงตอบคำสวดอ้อนวอนของเราในวิธีของพระองค์ พิจารณาพระคัมภีร์ต่อไปนี้:

“เพราะทุกคนที่ขอ, ย่อมได้รับ; และคนที่หา, ย่อมพบ; และแก่ผู้ที่เคาะ, มันจะเปิดให้” (3 นีไฟ 14:78)

“แต่ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ” (ยากอบ 1:5)

“ดูเถิด, เราจะบอกเจ้าในความนึกคิดเจ้าและในใจเจ้า, โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์, ซึ่งจะเสด็จมายังเจ้าและซึ่งจะสถิตอยู่ในใจเจ้า” (คพ. 8:2)

เราจะได้รับคำตอบและการเปิดเผยอย่างไร เราจะรู้ได้อย่างไรว่านี่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และไม่ใช่ความคิดของเราเอง ข้าพเจ้าแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตสองเรื่องที่กลายมาเป็นแบบแผน

หลังจากข้าพเจ้ากับซิสเตอร์เทห์ออกเดทกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว เริ่มเห็นชัดว่าข้าพเจ้าอยากใช้ชีวิตร่วมกับเธอชั่วนิรันดร โดยปรกติวิสัย ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนและอดอาหารอย่างจริงจัง แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในความรู้สึกของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่รู้สึกร้อนรุ่มในทรวงอก แต่ข้าพเจ้ารู้สึกดีเกี่ยวกับการตัดสินใจนั้น ข้าพเจ้าจึงมุมานะต่อไป ซิสเตอร์เทห์ได้รับคำตอบเดียวกัน และเราก็อยู่ที่นี่ ตั้งแต่ประสบการณ์ครั้งนั้น การตัดสินใจหลายอย่างของข้าพเจ้าเป็นแบบแผนคล้ายคลึงกัน (ดู คพ. 6:22–23)

เปรียบเทียบประสบการณ์นั้นกับประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้รับเวลานี้เกี่ยวกับงานมอบหมายเฉพาะอย่างจากโควรัมอัครสาวกสิบสองให้เรียกประธานสเตคคนใหม่ ขณะที่ข้าพเจ้าดำเนินงานมอบหมายนี้ด้วยเจตนารมณ์แห่งการสวดอ้อนวอนและอดอาหาร ข้าพเจ้าได้รับพรด้วยการกระตุ้นเตือนที่ชัดเจนซึ่งช่วยให้ข้าพเจ้ารู้ว่าควรจะเรียกใคร บางครั้งการกระตุ้นเตือนเกิดขึ้นก่อน บางครั้งเกิดขึ้นระหว่างดำเนินการ หรือบางครั้งเกิดขึ้นหลังจากขั้นตอนการสัมภาษณ์ ข้าพเจ้ารู้สึกร้อนรุ่มในทรวงอกเสมอ ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าตระหนักว่านั่นคือวิธีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำทางข้าพเจ้าในงานมอบหมายเช่นนั้น

เหตุใดพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสื่อสารกับข้าพเจ้าในวิธีที่แตกต่างกัน ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งสำคัญคือข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะตระหนักถึงแบบแผนเหล่านี้ว่าเป็นวิธีที่ข้าพเจ้าได้รับการเปิดเผยส่วนตัว ข้าพเจ้ารู้สึกถึงการปลอบโยนและความมั่นใจในคำตักเตือนต่อไปนี้ “เจ้าจงอ่อนน้อมถ่อมตน; และพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าจะทรงจูงมือนำเจ้าไป, และให้คำตอบคำสวดอ้อนวอนของเจ้าแก่เจ้า” (คพ. 112:10)

เลือกสิ่งดีเหนือสิ่งชั่วร้าย

บางคนคิดว่าเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะแยกแยะสิ่งถูกจากสิ่งผิด ดูเหมือนจะเริ่มมีพื้นที่สีเทามากขึ้นเรื่อยๆ ความเห็นที่ไม่ถูกต้องแต่เป็นที่นิยมชมชอบในสมัยนี้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลเมื่อมองผ่านเลนส์แคบเพียงอย่างเดียว แต่ขยะเก่าที่ห่อหุ้มด้วยบรรจุภัณฑ์ใหม่และหนุนหลังด้วยการโฆษณาที่สร้างสรรค์ก็ยังคงเป็นขยะอยู่

การแยกแยะระหว่างถูกกับผิดไม่จำเป็นต้องทำให้ซับซ้อนเลย แม้ว่าก่อนเราจะรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราได้รับพรด้วยแสงสว่างของพระคริสต์

“เพราะดูเถิด, พระวิญญาณของพระคริสต์ประทานให้มนุษย์ทุกคน, เพื่อเขาจะรู้ความดีจากความชั่ว; ดังนั้น, ข้าพเจ้าจึงแสดงวิธีตัดสินให้ท่าน; เพราะทุกสิ่งที่เชื้อเชิญให้ทำดี, และชักชวนให้เชื่อในพระคริสต์, ส่งมาโดยเดชานุภาพและของประทานของพระคริสต์; ดังนั้นท่านจะรู้ด้วยความรู้อันสมบูรณ์ว่านี่เป็นของพระผู้เป็นเจ้า.

“แต่สิ่งใดก็ตามที่ชักชวนให้มนุษย์ทำชั่ว, และไม่เชื่อในพระคริสต์, และปฏิเสธพระองค์, และไม่รับใช้พระผู้เป็นเจ้า, เมื่อนั้นท่านจะรู้ด้วยความรู้อันสมบูรณ์ว่านี่เป็นของมาร; เพราะมารทำงานตามวิธีนี้, เพราะเขาไม่ชักชวนผู้ใดให้ทำความดี” (โมโรไน 7:16–17)

การทดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งในสมัยของเราคือการสนับสนุนศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ พวกเราเกือบทุกคนจะบอกว่า “ง่ายมาก ฉันทำได้อยู่แล้ว ผ่าน”

แต่น่าประหลาดใจมากที่เห็นบางคนผู้ที่ควรจะสนับสนุนศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่มีปฏิกริยาต่อมตินิยมในปัจจุบัน เมื่อเผชิญกับอิทธิพลจากคนรอบข้าง พวกเราบางคนแสดงออกหรือให้ความคิดเห็นราวกับว่าเราไม่รู้ว่ามีศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่

จงหาความสมดุลที่เหมาะสม

ท่านมีหลายสิ่งหลายอย่างต้องทำจนท่านรู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงไปในทิศทางที่แตกต่างกันหรือไม่ ทายสิว่าอะไร สิ่งนี้จะแย่ลงเรื่อยๆ คำถามก็คือ ท่านจะหาความสมดุลที่เหมาะสมได้อย่างไร

จงสถาปนาลักษณะนิรันดร์ของวิญญาณเราและอัตลักษณ์ของท่านในฐานะบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าเป็นกระโจมไฟของท่าน ทุ่มเทพลังงานของท่านไปที่ความจริงนั้นและความหมายในนั้น สิ่งอื่นๆ ทั้งหมดจะหลุดออกไปจากชีวิตท่านหรือไม่ก็กลับเข้าไปอยู่ในที่ซึ่งควรเป็น1 พระคัมภีร์สองข้อใช้เป็นหลักธรรมนำทางได้

“แต่เจ้าจงแสวงหาอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน, และสิ่งทั้งหมดนี้จะมีเพิ่มเติมมาให้เจ้า” (3 นีไฟ 13:33)

“จงสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวพวกท่านเองไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยทะลวงลักเอาไปได้

“เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” (มัทธิว 6:20–21)

เชื่อหรือไม่ว่า ข้าพเจ้าเคยอยู่ในจุดที่ท่านอยู่ มีช่วงหนึ่งในชีวิตข้าพเจ้าเมื่อข้าพเข้ามีงานประจำ ไปโรงเรียนตอนกลางคืน และมีงานนอกเวลาหลังเลิกเรียนจนกระทั่งเช้าตรู่—ขณะที่ซิสเตอร์เทห์กับข้าพเจ้ากำลังเลี้ยงดูครอบครัววัยเยาว์ของเรา ข้าพเจ้ามีเวลานอนเพียงสองชั่วโมง สัปดาห์ละสองสามวันเป็นเวลาสองเดือน ยิ่งไปกว่านั้น ข้าพเจ้ารับใช้อยู่ในฝ่ายอธิการวอร์ดด้วย

feeding a baby

นั่นเป็นช่วงเวลาที่บังเกิดผลมากที่สุดในชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่าจะใช้เวลา 24 ชั่วโมงของวันได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับที่ทำไปในช่วงเวลานั้น

ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ (1910–2008) เตือนเราว่าเรามีหน้าที่รับผิดชอบต่อครอบครัว นายจ้าง พระเจ้า และตนเอง

เราจะหาความสมดุลในหน้าที่รับผิดชอบเหล่านั้นได้อย่างไร ประธานฮิงค์ลีย์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องยาก ข้าพเจ้ารับใช้ในการเรียกหลายอย่างในศาสนจักรนี้ ข้าพเจ้าเป็นบิดาของบุตรห้าคน ที่ยังเด็กและกำลังโตเมื่อข้าพเจ้ารับใช้ในหลากหลายการเรียกเหล่านั้น … เราเบิกบานใจกับชีวิต เรามีการสังสรรค์ในครอบครัว เราแค่ทำสิ่งที่ศาสนจักรคาดหวังให้เราทำ”2

เบิกบานใจจนกว่าชีวิตจะหาไม่

การอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่ไม่ใช่การทำตามรายการพระกิตติคุณจนครบถ้วนแล้วบอกว่า “ฉันทำเสร็จแล้ว ต่อไปนี้ก็แค่ทำตัวสบายๆ และพยายามรักษาไว้” แต่คือการเรียนรู้และการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์คือการกลับใจและการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา—คือการปีนขึ้นเขาไม่ใช่การเดินเล่นในสวน

กษัตริย์เบ็นจามินกล่าวว่า “และจงดูว่าทำสิ่งทั้งหมดนี้ด้วยปัญญาและระเบียบ; เพราะไม่จำเป็นที่คนจะวิ่งไปเร็วเกินกำลังของตน” (โมไซยาห์ 4:27)

วิสุทธิชนยุคสุดท้ายบางคนน้อมรับข้อพระคัมภีร์นี้ในฐานะข้ออ้างจากความไม่เต็มใจที่จะพยายามทำให้มากขึ้นหรือทำอย่างสุดความสามารถ ปัญหาคือพวกเขาเพียงให้ความสนใจไปที่ครึ่งแรกของข้อพระคัมภีร์

นี่คือครึ่งหลัง “และอนึ่ง, สมควรที่เขาจะขยันหมั่นเพียร, เพื่อโดยการนั้นเขาจะชนะรางวัล; ฉะนั้น, ทุกสิ่งต้องทำไปตามระเบียบ” ทั้งสองส่วนรวมกันขยายความว่าการทำสิ่งทั้งหมดนี้ด้วยปัญญาและระเบียบจริงๆ แล้วหมายความว่าอย่างไร

trophy

เพื่อนนักกีฬาหนุ่มคนหนึ่งบอกข้าพเจ้าถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า แรงฮึด ซึ่งเป็นความรู้สึกมีแรงขึ้นมาอีก ทำให้ท่านมีพละกำลังดำเนินต่อไปแม้เมื่อท่านเหนื่อยล้า

ส่วนเรื่องการหาแรงฮึดในด้านอื่นๆ ของชีวิตเขา เพื่อนข้าพเจ้าบอกว่า “ในฐานะนักศึกษาวิทยาลัย เป็นเรื่องง่ายมากที่จะกลับมาบ้านดึกดื่นและหาข้อแก้ตัวว่าเหนื่อยเกินกว่าจะสวดอ้อนวอนหรืออ่านพระคัมภีร์หรือไปพระวิหารเป็นประจำ อาจมีข้อแก้ตัวต่างๆ มากมายในการไม่ทำสิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะสำหรับนักศึกษาวิทยาลัย แต่สุดท้ายแล้ว เราต้องหาแรงฮึดของเราและทำสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้น”

แทนที่จะ อดทน จนกว่าชีวิตจะหาไม่ เราสามารถพบแรงฮึดของเราได้ นั่นคือ—พลังทางวิญญาณ—และ เบิกบานใจ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าเราสามารถทำเช่นนั้นได้ขณะที่เราทำตามการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เลือกสิ่งดีเหนือสิ่งชั่วร้าย และสร้างความสมดุลในหน้าที่รับผิดชอบของเรา

อ้างอิง

  1. ดู Ezra Taft Benson, “The Great Commandment—Love the Lord,” Ensign, May 1988, 4.

  2. Teachings of Gordon B. Hinckley (1997), 33.