2020
นิมิตแรก: แบบแผนสำหรับการเปิดเผยส่วนตัว
กุมภาพันธ์ 2020


นิมิตแรก: แบบแผนสำหรับการเปิดเผยส่วนตัว

ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธสอนจากประสบการณ์ของท่านในป่าศักดิ์สิทธิ์ว่าเราจะรับการเปิดเผยส่วนตัวอันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันได้อย่างไร

ภาพ
painting of First Vision

นิมิตแรก โดย วอลเตอร์ เรน

การฉลองครบรอบ 200 ปีของสิ่งที่เราเรียกว่า “นิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ” เป็นโอกาสอันดียิ่งที่เราจะได้เพิ่มพูนศรัทธาของเราในพันธกิจการเป็นศาสดาพยากรณ์ของท่านและเรียนรู้จากแบบอย่างของท่านว่าเราจะเพิ่มพูนความสามารถในการรับการเปิดเผยส่วนตัวจากพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร

เมื่อโจเซฟ สมิธวัย 14 ปีเดินออกจากป่าในเมืองพอลไมรา รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาท่านรู้ด้วยตัวท่านเองว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงสื่อสารกับบุตรธิดาของพระองค์ในความเป็นมรรตัย ท่านเชื่อถ้อยคำที่ท่านอ่านในพระคัมภีร์ไบเบิลของท่านว่า

“ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ

แต่จงขอด้วยความเชื่อและไม่สงสัย เพราะว่าคนที่สงสัยนั้นเป็นเหมือนคลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปมา” (ยากอบ 1:5–6)

โจเซฟ สมิธทำตามสัญญานั้นโดยไม่หวั่นเกรง เราทุกคนทำได้เช่นกัน ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกล่าวเกี่ยวกับโอกาสของเราดังนี้ “ถ้าประสบการณ์อันล้ำเลิศของโจเซฟสมิธในป่าศักดิ์สิทธิ์สอนเราบางอย่าง แสดงว่าสวรรค์เปิดและพระผู้เป็นเจ้าตรัสกับบุตรธิดาของพระองค์”1

พระผู้เป็นเจ้าทรงรักษาสัญญาว่าจะสื่อสารกับบุตรธิดาของพระองค์ในความเป็นมรรตัยถ้าพวกเขาทูลขอและมีคุณสมบัติคู่ควรรับการสื่อสารนั้น ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธสอนจากประสบการณ์ของท่านในนิมิตแรก และจากการเปิดเผยมากมายที่หลั่งไหลมาถึงท่านผ่านการฟื้นฟูว่าเราจะรับการเปิดเผยส่วนตัวอันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันได้อย่างไร

“เมื่อเราพร้อมจะมาหาพระองค์” โจเซฟสอน “พระองค์ย่อมทรงพร้อมจะมาหาเรา”2

สวรรค์เปิด

ความท้าทายของเราคือปฏิบัติตนให้สามารถรับข่าวสารแห่งความจริงที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงพร้อมจะส่งให้เราเป็นการเปิดเผยและรับรู้สิ่งที่พระองค์ทรงส่งมาให้แล้ว ประสบการณ์ของโจเซฟ สมิธให้ตัวอย่างเรื่องนี้ ท่านคงจะอ่านหนังสือของยากอบและหนังสืออื่นในพระคัมภีร์ไบเบิลมาแล้วหลายรอบ เราก็เหมือนกัน แต่วันหนึ่ง โดยอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านรับรู้ข่าวสารที่นำท่านเข้าไปในป่าศักดิ์สิทธิ์ เรื่องราวการค้นพบข่าวสารจากพระผู้เป็นเจ้าที่ส่งมานานแล้วมีดังนี้

“ขณะที่ข้าพเจ้าหนักอึ้งอยู่ด้วยความลำบากใจแสนสาหัสอันเกิดจากการแข่งขันของกลุ่มนักศาสนาเหล่านี้, วันหนึ่งข้าพเจ้าอ่านสาส์นของยากอบ, บทที่หนึ่งและข้อที่ห้า, ซึ่งอ่านว่า : ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา, ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า, ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณา, และมิได้ทรงตำหนิ; แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ.

“ไม่เคยมีข้อความใดในพระคัมภีร์มาสู่จิตใจมนุษย์ด้วยพลังได้มากไปกว่าข้อความนี้ที่ขณะนั้นมาสู่จิตใจข้าพเจ้า. ดูเหมือนจะเข้าถึงความรู้สึกทุกอย่างของจิตใจข้าพเจ้าด้วยพลังอันแรงกล้า ข้าพเจ้าครุ่นคิดถึงข้อความนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า, โดยรู้ว่าหากมีผู้ใดต้องการปัญญาจากพระผู้เป็นเจ้า, ผู้นั้นคือข้าพเจ้า; เพราะจะกระทำอย่างไรข้าพเจ้าไม่ทราบ, และเว้นแต่ข้าพเจ้าจะได้ปัญญามากกว่าที่ข้าพเจ้ามีอยู่เวลานั้น, ข้าพเจ้าก็ไม่อาจรู้ได้เลย; เพราะครูสอนศาสนาของนิกายต่าง ๆ เข้าใจข้อความเดียวกันในพระคัมภีร์แตกต่างกันมากจนทำลายความมั่นใจทั้งหมดในการหาคำตอบโดยค้นหาจากพระคัมภีร์ไบเบิล” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:11–12)

ประสบการณ์ของโจเซฟ สมิธเป็นแบบแผนที่พึงปฏิบัติตามเพื่อเราจะรับรู้ข่าวสารส่วนตัวจากพระผู้เป็นเจ้า เหตุใดข้อความในพระคัมภีร์ข้อนั้นจึงมาสู่และเข้าถึงความรู้สึกทุกอย่างของจิตใจโจเซฟด้วยพลังอันแรงกล้า และเหตุใดโจเซฟจึงครุ่นคิดถึงข้อความนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

อาจมีหลายเหตุผลที่พระผู้เป็นเจ้าสามารถตรัสอย่างมีพลังเช่นนั้นกับเด็กหนุ่มโจเซฟ แต่เหตุผลเบื้องต้นคือใจท่านพร้อมรับ

ใจที่ชอกช้ำคือใจที่พร้อม

โจเซฟมีใจที่ชอกช้ำด้วยเหตุผลอย่างน้อยสองประการ ท่านต้องการให้พระองค์ทรงอภัยบาปและความอ่อนแอของท่าน ซึ่งท่านรู้ว่าจะมาโดยผ่านพระเยซูคริสต์เท่านั้น และท่านปรารถนาจะรู้ว่านิกายที่โต้เถียงกันอยู่นั้นนิกายใดถูกต้องและท่านควรนับถือนิกายใด

โจเซฟได้รับการเตรียมพร้อมด้วยศรัทธาว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ด้วยศรัทธานั้นและด้วยใจนอบน้อม ท่านจึงพร้อม ท่านพูดถึงความรู้สึกของท่านในครั้งนั้นว่า “ข้าพเจ้าร้องขอพระเมตตาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครอื่นอีกแล้วที่ข้าพเจ้าจะไปขอความเมตตาจากเขาได้”3

ท่านได้รับการเตรียมเช่นที่เราสามารถรับการเตรียมให้พร้อมรับสัญญาของยากอบ การเปิดเผยที่หลั่งไหลมาทำให้พระเจ้าเปลี่ยนชีวิตของโจเซฟและเป็นพรแก่ชีวิตบุตรธิดาทุกคนของพระบิดาบนสวรรค์ตลอดจนครอบครัวของพวกเขาผู้มาแล้วหรือจะมาในความเป็นมรรตัย

พรอันล้ำเลิศสำหรับท่านและข้าพเจ้าคือเราสามารถเรียนรู้จากแบบอย่างของโจเซฟเกี่ยวกับวิธีรับความสว่างและความรู้จากพระผู้เป็นเจ้า เมื่อเราดำเนินตามแบบอย่างของโจเซฟเราจะสามารถนำปีติอันยั่งยืนมาให้คนที่เรารักและรับใช้แทนพระเจ้า และจากนั้นแบบอย่างของพวกเขาจะส่งต่อพรแห่งการเปิดเผยส่วนตัวไปตามสายโซ่ที่เรามองไม่เห็นปลายสายแต่พระบิดาบนสวรรค์ทรงเห็น

ภาพ
painting of young Joseph Smith

ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา โดย วอลเตอร์ เรน

การเตรียมตัวรับการเปิดเผย

แบบแผนเตรียมรับการเปิดเผยส่วนตัวของโจเซฟเป็นแบบแผนที่เรียบง่ายและเลียนแบบได้ง่าย แต่ไม่จำเป็นว่าต้องขั้นตอนเดียว ขั้นหนึ่งไปอีกขึ้นหนึ่ง ท่านเป็นบุตรธิดาผู้มีลักษณะเฉพาะตัวของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงมีความสามารถในการเรียนรู้ต่างกันและมีวิธีเรียนรู้ความจริงต่างกัน ทว่าจากแบบอย่างของโจเซฟ ท่านจะเห็นว่าการเปิดเผยบางประการของความสว่างและความจริงจำเป็นต่อการเตรียมรับการเปิดเผยส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง พระเจ้าทรงทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวเมื่อพระองค์ประทานคำสวดศีลระลึกให้เราแต่ละคนใช้เป็นแม่แบบสำหรับเตรียมรับการเปิดเผยส่วนตัวผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์

ท่านอาจจะต่างจากข้าพเจ้า แต่เมื่อข้าพเจ้าได้ยินคำว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า, พระบิดานิรันดร์” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 20:77, 79) ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกอบอุ่นและความรัก คำสวดอ้อนวอนศีลระลึกทำให้ข้าพเจ้านึกถึงความรู้สึกขณะขึ้นจากอ่างบัพติศมาในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกาเมื่อข้าพเจ้าอายุแปดขวบ ข้าพเจ้ารู้ในขณะนั้นว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า และข้าพเจ้ารู้สึกเบิกบานใจที่ตนสะอาด บางครั้งข้าพเจ้านึกถึงภาพวาดของพระองค์บนกางเขนและกำลังออกจากอุโมงค์ ส่วนใหญ่สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าคือความสำนึกคุณและรักพระองค์

เมื่อได้ยินคำว่าข้าพเจ้าต้องเป็นพยานว่าข้าพเจ้าเต็มใจ “ระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลาและรักษาพระบัญญัติของพระองค์” ข้าพเจ้ารู้สึกว่าต้องกลับใจและต้องได้รับการให้อภัย จากนั้นเมื่อข้าพเจ้าได้ยินคำสัญญาว่าข้าพเจ้าจะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับข้าพเจ้า (หลักคำสอนและพันธสัญญา 20:77) ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสัญญานั้นเป็นความจริง และทุกครั้ง ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความสว่าง ความสงบ และความเชื่อมั่นว่าข้าพเจ้าจะได้ยินข่าวสารที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผย

โจเซฟ สมิธวัยสิบสี่ปีไม่มีคำสวดอ้อนวอนศีลระลึกเมื่อท่านเตรียมรับการเปิดเผยส่วนตัวที่มาในป่าศักดิ์สิทธิ์และในช่วงชีวิตที่เหลือของท่าน แต่ท่านปฏิบัติตามแบบแผนหนึ่งซึ่งเราทุกคนสามารถปฏิบัติตามได้เพื่อให้คู่ควรรับการเปิดเผยส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง:

  • ท่านศึกษาพระวจนะที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยไว้แล้วในพระคัมภีร์

  • ท่านไตร่ตรองสิ่งที่ท่านอ่านและรู้สึก

  • ท่านกลับไปศึกษาพระคัมภีร์อย่างละเอียดถี่ถ้วนบ่อยๆ

  • จากศรัทธาที่ท่านได้รับโดยการศึกษาและไตร่ตรอง ท่านตัดสินใจสวดอ้อนวอน

  • เมื่อการเปิดเผยมา ท่านได้รับความจริงและความสว่าง ดำเนินชีวิตตามความจริงที่ท่านได้รับ และแสวงหาความจริงมากขึ้น

  • ท่านกลับไปศึกษาพระคัมภีร์อีกครั้งและได้รับการเปิดเผยเพิ่มเติมจากพระผู้เป็นเจ้าซึ่งท่านจดไว้

  • ท่านยังคงสวดอ้อนวอนและเชื่อฟังต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงได้รับความสว่างและคำแนะนำสั่งสอนเพิ่มมากขึ้น

ประธานเนลสันกล่าวถึงโอกาสวิเศษสุดที่มีมาเมื่อเราทำตามแบบอย่างของโจเซฟ สมิธว่า “ในทำนองเดียวกัน การแสวงหาของท่านจะเปิดอะไรให้ท่าน” ท่านขาดปัญญาเรื่องใด? ท่านรู้สึกว่าท่านต้องรู้หรือเข้าใจอะไรโดยด่วน? จงทำตามแบบอย่างของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ หาที่เงียบๆ ที่ท่านจะไปเป็นประจำได้ นอบน้อมถ่อมตนต่อพระผู้เป็นเจ้า ระบายความในใจต่อพระบิดาบนสวรรค์ของท่าน หันไปขอคำตอบและการปลอบโยนจากพระองค์”4

ภาพ
young adult reading scriptures

ซาตานต่อต้านการเปิดเผย

ขณะท่านทำตามแบบอย่างของโจเซฟ สมิธ ท่านจะศึกษาแบบอย่างความกล้าหาญและความมานะบากบั่นของโจเซฟอย่างละเอียด ท่านอาจไม่เผชิญการต่อต้านที่โจเซฟประสบในป่าศักดิ์สิทธิ์ขณะท่านสวดอ้อนวอน แต่ท่านควรจดจำประสบการณ์นี้ โจเซฟพูดถึงการต่อต้านนั้นดังนี้

“หลังจากไปถึงสถานที่ซึ่งข้าพเจ้าหมายไว้ก่อนแล้วว่าจะไป, โดยมองไปรอบๆ, และพบว่าตนเองอยู่ตามลำพัง, ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าลงและเริ่มตั้งจิตปรารถนาต่อพระผู้เป็นเจ้า. เมื่อข้าพเจ้าเพิ่งเริ่มทำเช่นนั้น, ในทันทีทันใด ข้าพเจ้าก็ถูกอำนาจบางอย่างมาตรึงไว้ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสิ้นเรี่ยวแรง, และมีอิทธิพลที่น่าประหลาดเช่นนั้นเหนือข้าพเจ้าเพื่อจะผูกลิ้นข้าพเจ้าไว้จนพูดไม่ได้. ความมืดมิดเข้ามารายล้อมข้าพเจ้า, และเพียงอึดใจเดียวสำหรับข้าพเจ้าดูราวกับว่าชะตาข้าพเจ้าจะถึงฆาตโดยพลัน.

“แต่, โดยใช้พลังทั้งหมดของข้าพเจ้าเรียกหาพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงปลดปล่อยข้าพเจ้าหลุดพ้นจากอำนาจของศัตรูนี้ซึ่งตรึงข้าพเจ้าไว้, และชั่วขณะนั้นเองที่ข้าพเจ้ากำลังจะจมลงสู่ความสิ้นหวังและยอมตนต่อความพินาศ—มิใช่ต่อหายนะที่เป็นมโนภาพ, แต่ต่ออำนาจของสัตภาวะหนึ่งที่มีอยู่จริงจากโลกซึ่งมองไม่เห็น, ผู้ที่มีอำนาจอันน่าอัศจรรย์เช่นนั้นดังที่ข้าพเจ้าไม่เคยพบในสัตภาวะใดมาก่อน—ชั่วขณะของความตื่นตระหนกใหญ่หลวงนี้, ข้าพเจ้าเห็นลำแสงอยู่เหนือศีรษะข้าพเจ้าพอดี, เหนือความเจิดจ้าของดวงอาทิตย์, ซึ่งค่อย ๆ เลื่อนลงมาจนตกต้องข้าพเจ้า” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:15–16)

การต่อต้านรุนแรงเช่นนั้น ซึ่งดำเนินต่อเนื่องตลอดชีวิตของโจเซฟ เกิดขึ้นเพราะลูซิเฟอร์ต้องการหยุดยั้งการเปิดเผยที่จะนำไปสู่การฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ การสวดอ้อนวอนของท่านเพื่อขอการเปิดเผยจากพระผู้เป็นเจ้าจะเผชิญการต่อต้านน้อยกว่า แต่ท่านต้องทำตามแบบอย่างความกล้าหาญและความมานะบากบั่นของโจเซฟ

ซาตานจะใช้วิธีแยบยลขึ้นเพื่อต่อต้านท่านขณะท่านพยายามรับและรักษาการเปิดเผยส่วนตัวไว้ วิธีหนึ่งที่เขาจะใช้คือตั้งใจส่งคำโป้ปดมดเท็จให้ท่าน นั่นเป็นการเปิดเผยเท็จในวิธีของเขา เขาจะพยายามเข้าถึงท่านด้วยข่าวสารที่จงใจจะทำให้ท่านเชื่อว่าไม่มีพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีพระเยซูคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ ไม่มีศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่หรือการเปิดเผย เชื่อว่าโจเซฟ สมิธถูกหลอกให้หลงเชื่อ เชื่อว่าความรู้สึกของท่านและสุรเสียงกระซิบจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นอาการหลงผิดของ “จิตใจที่ไร้สติ” (แอลมา 30:16)

เขาจะจู่โจมท่านด้วยคำโป้ปดมดเท็จเหล่านั้น ดังที่เขาจู่โจมโจเซฟ สมิธ ขณะที่ท่านกำลังจะสวดอ้อนวอนและอีกครั้งหลังจากท่านได้รับการเปิดเผย ข้าพเจ้าพบวิธีหนีพ้นการโจมตีเหล่านั้นสองวิธี

หนึ่ง อย่าถ่วงเวลาทำตามการกระตุ้นเตือนให้สวดอ้อนวอน อย่าเปิดช่องให้เกิดความสงสัย ประธานบริคัม ยังก์ (1801–1877) กล่าวว่าคนที่รอให้รู้สึกอยากสวดอ้อนวอนมักไม่อยากสวดอ้อนวอน5

สอง จดข่าวสารที่ท่านได้รับจากพระผู้เป็นเจ้าทันที ข้าพเจ้าพบว่าการกระตุ้นเตือนทางวิญญาณที่ชัดเจนหนึ่งนาทีจะเลือนหายไปในอีกไม่กี่นาทีต่อมา ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าแม้กระทั่งกลางดึกก็ต้องตื่นขึ้นมาจดการกระตุ้นเตือนเหล่านั้น หาไม่แล้วมันจะหายไป

ในกรณีนี้โจเซฟให้บทเรียนเราอีกหนึ่งบท ท่านจดประสบการณ์นิมิตแรกของท่านหลายครั้ง และท่านเล่าเรื่องนี้ให้หลายคนฟังตลอดหลายปี เฉกเช่นศาสดาพยากรณ์ท่านอื่น แม้แต่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟก็ยังเรียนรู้ความสำคัญและความยากของการบันทึกความจริงที่ได้รับการเปิดเผยให้เป็นข้อความ

ภาพ
young adult praying

การเปิดเผยเป็นพรแก่ลูกหลานของเรา

เฉกเช่นโจเซฟ สมิธ เราสามารถเป็นพรแก่บุตรหลานของเราด้วยถ้อยคำแห่งการเปิดเผยที่เราได้รับจากพระผู้เป็นเจ้า เพราะเราเป็นปัจเจกมีความต้องการเฉพาะตัว บางทีการเปิดเผยบางอย่างที่เราได้รับสำหรับตัวเราเองจึงอาจจะประยุกต์ใช้ได้กับคนที่เราต้องรับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรที่ยืนยันว่าพระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเราสามารถยืนยันต่อพวกเขาถึงพรเดียวกันกับที่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟมอบให้เรา

นิมิตแรกแสดงให้เราเห็นว่าสวรรค์เปิด พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังคำสวดอ้อนวอนของเรา พระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เองและพระบุตรของพระองค์ต่อเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับใจคนที่พร้อมจะฟังและรู้สึกถึงสุรเสียงสงบแผ่วเบา เราสามารถส่งต่อบทเรียนเหล่านั้นและข่าวสารนั้นไปให้คนที่เรารักและคนที่จะตามเรามา

ขอบพระทัยพระบิดาในสวรรค์ผู้ทรงพระกรุณา ทรงรักเรา ทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของเรา และตรัสถึงพระผู้ช่วยให้รอดในสมัยของเราว่า “นี่คือบุตรที่รักของเรา จงฟังท่าน!” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:17) ขอบพระทัยพระเจ้าพระเยซูคริสต์ผู้ทรงฟื้นฟูศาสนจักรของพระองค์ผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ และขอบพระทัยพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงปรารถนาจะเป็นเพื่อนที่ยั่งยืนของเรา

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าคำตอบสำหรับการสวดอ้อนวอนของเด็กคือ “ใช่”

พระบิดาสวรรค์ ทรงอยู่ที่นั่นไหม?

พระทรงได้ยินและตอบคำสวดของเด็กๆ ไหม?6

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เรายอมรับพระดำรัสเชื้อเชิญจากพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเรา จากพระผู้ช่วยให้รอดของเรา และจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เรารับความสว่างและความจริงของการเปิดเผยส่วนตัวทุกวันในชีวิตเรา เฉกเช่นท่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธและศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ยอมรับมาแล้ว

อ้างอิง

  1. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน,“การเปิดเผยสำหรับศาสนจักร การเปิดเผยสำหรับชีวิตเรา,” เลียโฮนา, พ.ค. 2018, 95.

  2. คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ (2007), 41.

  3. โจเซฟ สมิธ ใน “First Vision Accounts,” 1832 Account, Gospel Topics Essays, ChurchofJesusChrist.org/topics/essays; ปรับเครื่องหมายวรรคตอนให้ทันสมัย.

  4. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “การเปิดเผยสำหรับศาสนจักร การเปิดเผยสำหรับชีวิตเรา,” 95.

  5. ดู คำสอนของประธานศาสนาจักร: บริคัม ยังก์ (1997), 51.

  6. “การสวดอ้อนวอนของเด็กๆ,” หนังสือเพลงสำหรับเด็ก, 6–7.

ภาพพื้นหลังจาก Getty Images

พิมพ์