การให้ข้อคิดทางวิญญาณทั่วโลก
เหมือนสวนมีน้ำชุ่ม


เหมือนสวนมีน้ำชุ่ม

ยามค่ำกับเอ็ลเดอร์แอล. วิทนีย์เคลย์ตัน

การให้ข้อคิดทางวิญญาณทั่วโลกสำหรับคนหนุ่มสาว•13 กันยายน2015•นิวยอร์กรัฐนิวยอร์ก

พี่น้องที่รักข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้อยู่กับท่านค่ำนี้ข้าพเจ้ากับเคธีขอแสดงความรักต่อท่านคำสวดอ้อนวอนของเราทั้งสองคือขอให้สิ่งที่เราพูดกับท่านค่ำนี้ปลุกศรัทธาของท่านในพระผู้เป็นเจ้าและในพระบุตรของพระองค์พระเจ้าพระเยซูคริสต์ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนอีกครั้งเวลานี้ขอให้สวรรค์ดลใจข้าพเจ้าและท่านในช่วงไม่กี่นาทีต่อจากนี้

ท่านเพิ่งได้ยินจากเคธีผู้เป็นความรักและความสว่างของชีวิตข้าพเจ้าข้าพเจ้าซาบซึ้งต่อปีติและความหมายที่เธอนำมาให้ข้าพเจ้าอย่าว่าแต่ลูก7คนที่เธอมอบให้เราและลูกๆก็ได้นำหลานๆมาให้เรา19คนอีกไม่นานจะมี21คนเคธีเป็นหัวใจของบ้านและครอบครัวเมื่อเราแต่งงานกันข้าพเจ้าไม่รู้ว่าชีวิตจะหวานชื่นได้ขนาดนี้คุณงามความดีของเธอมีความหมายทุกอย่างต่อข้าพเจ้าข้าพเจ้าดีใจมากที่ท่านได้ฟังเธอ

เราขอต้อนรับท่านผู้อยู่ที่นี่ค่ำคืนนี้ในนิวยอร์กซิตี้และเราทักทายพวกท่านส่วนใหญ่ในอีกหลายพื้นที่หลายเขตเวลาและหลายประเทศเราขอต้อนรับทุกท่านที่กำลังรับฟังหรือรับชม—ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใดในโลกการรวมกันเช่นนี้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

ท่านมาจากหลายชาติหลายวัฒนธรรมความหลากหลายของสภาวการณ์ทำให้ชีวิตท่านไม่ธรรมดาบางท่านมีชีวิตอยู่กับพรทุกอย่างของการศึกษาและความบริบูรณ์ทางโลกหลายท่านเผชิญกับความดิ้นรนทุกวันเพื่อหาอาหารบางท่านเป็นลูกหลานของผู้บุกเบิกที่ข้ามทุ่งราบของสหรัฐหลายท่านเป็นผู้บุกเบิกในประเทศของท่านเองบางท่านรับใช้งานเผยแผ่มาแล้วหลายท่านเพิ่งรับบัพติศมาโดยผู้สอนศาสนาหรืออาจจะยังไม่ได้รับบางท่านมาจากครอบครัวที่ทุกคนเป็นสมาชิกแข็งขันของศาสนจักรหลายท่านเป็นสมาชิกคนเดียวในครอบครัวและอาจจะในชุมชนบางท่านมาจากครอบครัวเข้มแข็งที่พ่อแม่เป็นแบบอย่างได้ยอดเยี่ยมหลายท่านมาจากครอบครัวที่ไม่เป็นเช่นนั้น

ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เรามีร่วมกันในฐานะบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าสำคัญยิ่งกว่าความต่างที่สถานการณ์ในชีวิตยัดเยียดให้เราพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า“เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์”1พระองค์ไม่ทรงจำกัดพรของชีวิตที่ครบบริบูรณ์ด้วยเวลาหรือสถานที่พรนี้มีให้เราทุกคนไม่ว่าสภาวการณ์ของเราจะต่างกันเพียงใดจุดประสงค์ของพระองค์คือช่วยให้เรามีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดหรือเวลาใดข้าพเจ้ารู้สึกต้องพูดเกี่ยวกับว่าเราจะมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ได้อย่างไรและตั้งชื่อคำพูดในวันนี้ว่า“เหมือนสวนมีน้ำชุ่ม”

ข้าพเจ้าจะเริ่มโดยพูดถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในวันตรึงกางเขนพระผู้ช่วยให้รอดซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีพลังมหาศาลในการสั่งสอนจากนั้นจะใช้ตัวอย่างสองเรื่องอธิบายวิธีบรรลุชีวิตที่ครบบริบูรณ์

หนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนใจที่สุดในพระคัมภีร์ทั้งหมดบันทึกไว้ในหนังสือของยอห์นเกิดขึ้นหลังจากพระผู้ช่วยให้รอดทรงทนรับความปวดร้าวที่ยากจะเข้าใจเพราะบาปและความอ่อนแอของเราในสวนเกทเสมนีเราได้รับการสอนว่าความทุกขเวทนาของพระองค์“แสนสาหัส”“ยากเหลือจะทน”—“ยากเหลือจะทนเพียงใด[เรา]หารู้ไม่”2และสาหัสเพียงใดเราหาเข้าใจไม่เหตุการณ์นี้ตามด้วยการทรยศการจับกุมและคืนแห่งการเหยียดหยามและการทำร้ายร่างกายด้วยน้ำมือของผู้นำชาวยิวนั่นเกิดขึ้นหลังจากพระองค์ถูกทหารโรมันภายใต้การนำของปอนเทียสปีลาตโบยพระองค์อย่างเหี้ยมโหดเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากพวกเขากดมงกุฎหนามลงบนพระเศียรของพระองค์

ปีลาตได้สรุปว่าพระเยซูมิได้กระทำสิ่งใดที่สมควรถูกตรึงกางเขนเขาสั่งให้โบยพระเยซูอันเป็นรูปแบบหนึ่งของการลงโทษขั้นหนักที่สุดแต่ไม่ถึงตายบางทีปีลาตอาจหวังว่าการทรมานและทำให้พระผู้ช่วยให้รอดเสียเกียรติเช่นนั้นน่าจะโน้มน้าวผู้นำชาวยิวให้เชื่อว่าพระเยซูทรงได้รับบทเรียนอันแสนเจ็บปวดไปแล้วและทำให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่สาธารณชนการตรึงกางเขนจึงไม่จำเป็นบางทีเขาอาจหวังจะปลุกสำนึกของความเมตตาในคนเหล่านั้นด้วยเหตุนี้หลังจากการโบยปีลาตจึงสั่งให้นำตัวพระเยซูมาให้สาธาณชนดูเขาคงหวังว่าความทุกข์ทรมานทางกายของพระเยซูคงจะทำให้คนเหล่านั้นพอใจพอสมควร

แต่เปล่าเลย

ยอห์นบันทึกว่า

“ปีลาตจึงให้เอาพระเยซูไปโบยตี

“และพวกทหารก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรของพระองค์และให้พระองค์สวมเสื้อสีม่วง

“แล้วพวกเขาก็มาหาพระองค์ทูลว่า‘ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิวขอทรงพระเจริญ’แล้วพวกเขาก็ตบพระพักตร์พระองค์

“ปีลาตก็ออกไปอีกและกล่าวกับพวกเขาว่า‘นี่แน่ะเราพาคนนี้ออกมามอบให้พวกท่านเพื่อให้พวกท่านรู้ว่าเราไม่พบความผิดอะไรในตัวเขาเลย

“พระเยซูจึงเสด็จออกมาทรงสวมมงกุฎทำด้วยหนามและทรงสวมเสื้อสีม่วงปีลาตกล่าวกับพวกเขาว่า‘คนนี้ไงล่ะ’

“เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกเจ้าหน้าที่เห็นพระองค์พวกเขาก็ร้องอื้ออึงว่า‘ตรึงเขาเสียตรึงเขาเสีย’ปีลาตกล่าวกับเขาว่า‘พวกท่านจงพาเขาไปตรึงเอาเองเพราะเราไม่เห็นว่าเขามีความผิดเลย’”3

เรื่องราวที่เหลือสำคัญอย่างยิ่งและมีสาระอย่างมากข้าพเจ้าสะดุดคำพูดของปีลาตที่ว่า“คนนี้ไงล่ะ”

คนนี้ไงล่ะเป็นคำวิงวอนเชิงเหน็บแนมของปีลาตถึงแม้รูปกายภายนอกของพระเยซูเวลานั้นมีแต่รอยแผลแต่ก่อนหน้านั้นและนับแต่นั้นไม่เคยมีชายหรือหญิงคนใดสมควรถูกคน“มองดู”มากเช่นนั้นพระชนม์ชีพของพระองค์ดีพร้อมทรงหาที่เปรียบมิได้ไม่เคยมีใครดำเนินชีวิตเฉกเช่นพระองค์อารมณ์ความรู้สึกของพระองค์ดีพร้อมเช่นเดียวกับความคิดความเข้าใจของพระองค์ไร้ขีดจำกัดพระองค์ทรงคู่ควรจะถูกมองจากทุกมุมมองทรงถูกคนไต่สวนประเมินและนมัสการพระองค์ไม่มีทัศนะใดในพระดำริพระทัยและความรู้สึกของพระองค์จะหรืออาจจะทำให้ผิดหวังถึงแม้รูปกายภายนอกไม่สะท้อนให้เห็นเช่นนั้นแต่พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของชีวิตที่ครบบริบูรณ์

ดังนั้นรูปกายภายนอกของพระองค์ในชั่วขณะของความทุกขเวทนาจึงไม่ใช่สิ่งที่เราควรจดจำเป็นอย่างแรก“มนุษย์ไม่ได้ปรารถนาพระองค์ที่ความงดงาม”4สิ่งที่อยู่ในพระทัยพระองค์ในพระวรกายที่ทุกข์ทรมานของพระองค์และมีความหมายอย่างแท้จริงต่อเราทุกคนต่างหากที่เราควรจดจำสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นทำให้เกิดสิ่งที่พระองค์ทรงทำความงดงามของสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นเชื้อเชิญให้เราสนใจสิ่งที่เราควรเห็นขณะ“มองดูพระองค์”คือชัยชนะที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเหนือพลังของความชั่วร้ายแม้เวลานั้นจะดูไม่เหมือนชัยชนะเลยก็ตามความสงบนิ่งของพระองค์ท่ามกลางพายุรุนแรงที่สุดต่างหากที่เราควรจดจำเครื่องมือโฉดชั่วทุกอย่างที่ศัตรูคิดค้นเคยเกิดหรือจะเกิดผลรุนแรงต่อพระองค์ในไม่ช้าแต่พระองค์ทรงเอาชนะมาแล้วทั้งสิ้นพระองค์ทรงยืนต่อหน้าปีลาตในความสุขุมและสงบเยือกเย็น

ลองพิจารณาเพิ่มเติมพระองค์ทรงแสดงให้เห็นโดยไม่มีข้อกังขาว่าทรงควบคุมธาตุต่างๆของโลกและสภาพของมนุษย์พระองค์ทรงบัญชาวิญญาณร้ายได้ทรงรักษาคนป่วยทรงทำให้คนตาบอดมองเห็นคนหูหนวกได้ยินทรงคืนชีพให้คนตายและคืนเด็กที่สิ้นชีวิตให้พ่อแม่พระองค์ทรงทราบความนึกคิดและความรู้สึกของทุกคนทรงยกโทษบาปและชำระคนโรคเรื้อนทรงแบกภาระของบาปความเจ็บปวดความป่วยไข้และความอ่อนแอของมนุษย์ทุกคนในคืนก่อนเกิดเหตุการณ์นี้น่าแปลกที่พระองค์ทรงทนทุกข์แม้กระทั่งบาปของคนที่กำลังปฏิบัติไม่ดีต่อพระองค์ในขณะนั้น

“คนนี้ไงล่ะ”พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ทรงเป็นแบบอย่างของชีวิตพระบิดาทรงส่งพระองค์มาแสดงหนทางและทรงเป็นทางนั้นพระองค์ทรงเป็นความจริงและชีวิตสำหรับเราทุกคนด้วยถ้อยคำที่ว่า“คนนี้ไงล่ะ”ปีลาตได้บอกสูตรเรียบง่ายสำหรับบรรลุจุดประสงค์สูงสุดของชีวิตโดยไม่รู้ตัวและไม่ตั้งใจเมื่อเขาขอให้ชาวยิวมองดูพระองค์ปีลาตชี้ให้พวกเขาและเรามองดูพระองค์พระองค์เดียวเท่านั้นผู้ทรงสามารถทำให้ชีวิตเราครบบริบูรณ์และ“ความรอด[ของเรา]สมบูรณ์”5พระบัญชาจึงเป็นดังนี้“พึ่งพาพระผู้เป็นเจ้าและมีชีวิต”6

สิ่งที่เราควรจดจำเมื่อเรามองดูพระองค์คือเพราะพระองค์และทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำและทั้งหมดที่ทรงเป็นมาและเป็นอยู่เราสามารถชนะได้เช่นกันเราเอาชนะได้เราสามารถมีชีวิตครบบริบูรณ์ท่ามกลางการทดลองถ้าเราเลือก“มองดู”พระองค์ยอมรับและประยุกต์ใช้พระกิตติคุณที่ช่วยให้รอดของพระองค์พระองค์จะทรงช่วยให้เรารอดจะทรงช่วยเราจากผลของธรรมชาติที่ตกแล้วและความบกพร่องและช่วยให้เรารอดจากบาปจากความธรรมดาทางวิญญาณจากความล้มเหลวถึงที่สุดชั่วนิรันดร์จะทรงชำระขัดเกลาทำให้เราสวยงามและดีพร้อมในที่สุดพระองค์จะประทานปีติและสันติสุขแก่เราพระองค์ทรงเป็นกุญแจไขชีวิตที่ครบบริบูรณ์

ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างให้ท่านอีกสองเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำได้เพื่อ“มองดูพระองค์”หันไปพึ่งพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อบรรลุชีวิตที่ครบบริบูรณ์

คำสอนเรื่องต้นอ่อน

หนึ่งคำสอนเรื่องต้นอ่อน

เคธีกับข้าพเจ้าอาศัยอยู่บนเนินเขาทางฝั่งตะวันออกของซอลท์เลคซิตี้ในบ้านที่พ่อแม่ของเธอสร้างต้นไม้ชนิดหนึ่งเติบโตตามธรรมชาติตรงเชิงเขารอบซอลท์เลคซิตี้—เราเรียกต้นไม้เหล่านั้นว่าโอ๊กแคระต้นโอ๊กแคระไม่เหมือนต้นโอ๊กใหญ่มหึมาทั่วไปในหลายภูมิภาคของโลกต้นไม้พวกนี้ไม่สูงใหญ่แต่ทนหนาวและสวยงามแถวบ้านเราเต็มไปด้วยต้นโอ๊กแคระ

หลายปีก่อนเราวางกระถางดอกไม้ใบใหญ่บนทางเดินที่พาไปถึงประตูหน้าบ้านใต้กิ่งต้นโอ๊กแคระเราปลูกดอกไม้หลากสีในกระถางและชื่นชมความงามของมันในช่วงฤดูร้อนเมื่อฤดูเปลี่ยนและเริ่มฤดูใบไม้ร่วงเมล็ดหรือผลของต้นโอ๊กแคระเริ่มหล่นและบางส่วนร่วงลงไปในกระถางดอกไม้

วันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงขณะกำลังดูแลดอกไม้ข้าพเจ้าสังเกตเห็นต้นอ่อนบางต้นงอกมาจากเมล็ดที่ร่วงลงในกระถางแม้จะเป็นช่วงปลายฤดูดอกไม้แต่เราไม่ต้องการให้อะไรอยู่ในกระถางนอกจากดอกไม้ข้าพเจ้าจึงเริ่มถอนต้นอ่อนออกจากดินในกระถางขณะที่ถอนต้นอ่อนพวกนั้นหลุดออกจากดินโดยง่ายยังความประหลาดใจแก่ข้าพเจ้าที่ต้นอ่อนมีรากแล้วซึ่งยาวยิ่งกว่าตัวต้นอ่อนเสียอีกรากยาวกว่าต้นอ่อนที่โผล่พ้นดินราวสามถึงสี่เท่าธรรมชาติได้ออกแบบให้เมล็ดโอ๊กแคระใช้พลังงานเกือบทั้งหมดทำให้รากเติบโต

เห็นได้ชัดว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะถึงแม้ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงในซอลท์เลคซิตี้จะสบายแต่ฤดูร้อนก็ร้อนมีฝนเล็กน้อยส่วนฤดูหนาวก็หนาวมีลมและหิมะมากรากลึกช่วยให้ต้นอ่อนงอกงามโดยหยั่งรากลงดินอย่างรวดเร็วทำให้รากดึงความชื้นและสารอาหารจากดินได้มากขึ้นรากลึกยึดลำต้นให้ตั้งตรงและตั้งมั่นในสายลมโดยเริ่มเมื่อต้นยังอ่อนมากรากช่วยให้ลำต้นที่แข็งแกร่งเหล่านั้นทนได้ทั้งพายุฤดูหนาวและความร้อนของฤดูร้อนรากลึกทำให้ต้นโอ๊กแคระอยู่รอดได้ง่ายขึ้นเมื่อต้นอ่อนสูงเต็มที่แล้วรากของมันยังคงบำรุงเลี้ยงป้องกันและยึดลำต้นเอาไว้

เรารับบทเรียนได้จากต้นโอ๊กแคระเราควรชื่นชมฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงามแต่จำไว้เสมอว่าสภาพอากาศที่เลวร้ายกว่าจะมาถึงในไม่ช้าฤดูร้อนตามหลังฤดูใบไม้ผลิอย่างเลี่ยงไม่ได้และฤดูหนาวยะเยือกตามหลังฤดูใบไม้ร่วงนั่นเป็นแบบแผนของธรรมชาติและเป็นแบบแผนของชีวิตเราเช่นกันขณะที่เราชื่นชมช่วงเวลาของความสะดวกสบายและความสุขเราควรเตรียมรับการทดลองของชีวิตที่อยู่ข้างหน้าด้วย

ไม่ว่าบ้านของเราจะอยู่ที่ใดเราล้วนมีประสบการณ์บางอย่างที่เหมือนฤดูร้อนและเหมือนฤดูหนาวเรามีเวลาสบายและเวลาลำบากความสำเร็จและความล้มเหลวเวลาของสุขภาพดีและความเจ็บป่วยช่วงเวลาของความสุขและชั่วขณะของความทุกข์โศกชีวิตไม่ใช่สถิติไม่ราบรื่นเราล้วนมีชั่วขณะที่ทำให้ผิดหวังและอีกหลายช่วงทำให้เบิกบานใจ

ชีวิตเราทุกคนคล้ายกันในเรื่องอื่นด้วยเราทุกคนรายล้อมไปด้วยวัฒนธรรมขนบประเพณีของชุมชนและบ้านเกิดเมืองนอนอิทธิพลเหล่านั้นดีบ้างไม่ดีบ้างบางอย่างจรรโลงใจเราหลายอย่างบั่นทอนจิตใจและลดคุณค่าเราบ้านเราอาจได้รับพรด้วยแสงสว่างของพระกิตติคุณหรือถูกทำลายเพราะการไม่รักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าตัวอย่างของเพื่อนอาจยอดเยี่ยมหรือย่ำแย่เราไม่รู้ว่าชีวิตจะพาเราไปทางใดเราไม่สามารถทำนายสุขภาพหรือความมั่งคั่งในอนาคตของเราเราไม่สามารถบอกอิทธิพลของสงครามหรือสภาพอากาศล่วงหน้าได้มีวัฏจักรและฤดูกาลของชีวิตสภาวการณ์ที่ผันแปรเกินควบคุมก่อให้เกิดความท้าทายสำหรับเราทุกคน

เราไม่เหมือนต้นไม้เราเลือกได้และพัฒนาโครงสร้างของรากทางวิญญาณของชีวิตเราได้เราตัดสินใจว่าจะหยั่งรากตรงไหนและหยั่งลึกลงในดินมากเท่าใดการตัดสินใจประจำวันสร้างความแตกต่างจนแทบมองไม่เห็นในรากแห่งศรัทธาของเราซึ่งผลของมันกลายเป็นฐานรากเพราะเราไม่รู้ว่าความท้าทายจะเกิดขึ้นเมื่อใดหรืออย่างไรหรือฤดูหนาวหรือฤดูร้อนของตัวเราจะยาวนานเท่าใดเราจึงควรหยั่งรากให้ลึกที่สุดเพื่อเราจะสามารถลงไปถึงแหล่งบำรุงเลี้ยงแท้จริงสำหรับจิตวิญญาณของเราได้นั่นคือพระเจ้าพระเยซูคริสต์พระองค์ทรงต้องการให้ชีวิตเราครบบริบูรณ์ทรงเชื้อเชิญเราให้มาหาพระองค์พระองค์ตรัสว่า“จงเรียนรู้จากเรา,และฟังถ้อยคำของเรา;จงเดินด้วยความสุภาพอ่อนน้อมแห่งพระวิญญาณเรา,และเจ้าจะมีสันติสุขในเรา”7

เราสร้างความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณเพื่อต้านมรสุมชีวิตโดยเรียนรู้จากพระองค์เราเรียนรู้โดยการศึกษาและการสวดอ้อนวอนเราเรียนรู้โดยดูแบบอย่างที่ชอบธรรมเราเรียนรู้ขณะรับใช้ผู้อื่นเพื่อรับใช้พระองค์8เราเรียนรู้ขณะพยายามเลียนแบบพระองค์ในทุกๆด้านที่เราทำได้

การฟังหมายถึงเอาใจใส่และตั้งใจฟังไม่ใช่แค่ได้ยินเราฟังพระองค์ในการศึกษาพระคัมภีร์เป็นส่วนตัวเราฟังในการประชุมศีลระลึกและในพระวิหารเราได้ยินพระองค์ใน“เสียงเบาๆ”9เราฟังพระองค์ในเสียงของศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่ยังมีชีวิตการตั้งใจฟังเตือนเราว่า“มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”10เราทำให้รากแข็งแรงด้วยการเติบโตเพิ่มขึ้นทีละขั้นขณะที่เราฟังเราเดินตามเส้นทางที่พระองค์ทรงดำเนินพระองค์ทรงเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเส้นทางที่พาไปถึงชีวิตที่ครบบริบูรณ์พระองค์ทรงเป็นเส้นทางและแสงสว่างส่องทางนั้น11พระองค์ทรงเป็น“ทางนั้นเป็นความจริงและเป็นชีวิต”12

ไม่มีความลับไม่มีความประหลาดใจเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำได้และควรทำเพื่อพัฒนารากของเรานั่นคือเรารักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าแม้เราบอกสิ่งที่เราควรทำได้อย่างรวดเร็วแต่เราทุกคนพบว่าแจกแจงง่ายกว่าทำเราสามารถทำตามพระประสงค์ได้มากขึ้นเมื่อเราทำตามพระประสงค์ที่ง่ายขึ้นเพราะเรามีความเชื่อมั่นและศรัทธามากขึ้นเมื่อเรายืนหยัดอย่างซื่อสัตย์ในการประยุกต์ใช้หลักพื้นฐานของพระกิตติคุณในชีวิตเราพระเจ้าจะประทานพรให้เรามีพลังภายในมากขึ้น

การนมัสการอย่างมีค่าควรเอื้อประโยชน์สำคัญต่อความลึกของรากทางวิญญาณการเข้าร่วมประชุมศีลระลึกด้วยความคารวะและรับส่วนศีลระลึกด้วยเจตนาแท้จริงทำให้วันสะบาโตเป็นมากกว่าวันอาทิตย์ธรรมดาเราไม่สามารถหยั่งรากลึกได้เลยแว้นเต่เรา“ระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา”13เมื่อเราเตรียมตัวก่อนการประชุมสะบาโตจะกลายเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากขึ้นสำหรับเราขณะตรึกตรองการให้อภัยที่เราต้องการและพรของการมีพระวิญญาณอยู่กับเราตลอดเวลาเราเริ่มเห็นว่าห้องนมัสการเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และศีลระลึกเป็นเวลาของการชำระให้ศักดิ์สิทธิ์

ด้วยเหตุนี้จึงมีบางอย่างที่เราควรนำไปด้วยเสมอเมื่อเราไปโบสถ์สำคัญสุดคือใจที่ชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิดเราควรไปเพราะอยากแสวงหาและรู้สึกถึงพรของการชดใช้ทำนองเดียวกันเราควรทิ้งบางอย่างไว้ที่บ้านเสมอความคิดเรื่องกีฬางานความบันเทิงและการจับจ่ายควรเก็บใส่ตู้ล็อคกุญแจไว้ในบ้านเราเพื่อเปิดในวันอื่นที่ไม่ใช่วันสะบาโตการนมัสการที่แท้จริงส่งเสริมการเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่แท้จริงอีกทั้งช่วยให้รากศรัทธาของเราหยั่งลึกจนเราพบแอ่งน้ำทางวิญญาณซึ่ง“จะกลายเป็นบ่อน้ำพุใน[ตัวเรา]พลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์”14

เปาโลเขียนว่า

“เพราะฉะนั้นในเมื่อพวกท่านรับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าไว้แล้วก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ด้วย

“จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว”15

รากได้ประโยชน์จากการตรงกันข้ามเช่นกันลมต้องพัดและสภาพอากาศต้องย่ำแย่บางครั้งถ้าเราต้องการพัฒนาความเข้มแข็งที่แท้จริงเราต้องพยายามจับให้แน่นต้านลมและสภาพอากาศถ้าเราอยากเข้มแข็งเมื่อลมพัดแรงต้นไม้ที่ไม่ติดแน่นอยู่ในดินจะล้มได้ง่ายทำนองเดียวกันจะต้องมีช่วงร้อนบ้างหรือรากไม่ยอมลงลึกเพื่อรับน้ำในทางกลับกันถ้าน้ำมากเกินไปต้นไม้จะอ่อนแอทำให้รากอยู่ใกล้ผิวดินไม่หยั่งลึกเท่าที่ควร

ถ้าเราไม่ประสบมรสุมและความแห้งแล้งส่วนตัวบ้างรากของเราย่อมไม่มีโอกาสแข็งแรงรากไม่โตเต็มที่ถ้าทุกอย่างง่ายดายน่าแปลกที่การแล่นเรือราบรื่นเป็นการทดสอบในตัวมันเองและยากด้วยการไม่มีปัญหาทำให้เราอ่อนลงได้ถ้าเราไม่ระวังเราอาจไม่“ระวังตน,และความนึกคิด[ของเรา],และคำพูด[ของเรา],และการกระทำ[ของเรา],และไม่ยึดถือพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า,และไม่ดำเนินต่อไปด้วยความเชื่อ”16หากปราศจากการทดลองที่ทำให้เราคุกเข่าและทำงานกับใจของเรา

อีกนัยหนึ่งเราไม่จำเป็นต้องวิ่งไปมาเพื่อมองหาการทดลองและความทุกข์ยากชีวิตมีวิธีนำความทุกข์มาให้เราทุกคนแม้เมื่อเราทำดีที่สุดหากเราไม่ทำการเลือกที่เลวร้ายซึ่งส่งผลให้เกิดเรื่องเศร้าเสมอเรามักไม่เลือกว่าจะให้ปัญหาของชีวิตมาเคาะประตูบ้านเราเมื่อใดหรืออย่างไรแต่เราตัดสินใจแน่นอนในแต่ละวันว่าเราจะเตรียมรับปัญหาเหล่านั้นอย่างไรคำเตือนสติของโยชูวามีดังนี้“จงเลือกเสียในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติใคร”17

คำเตือนสติอีกอย่างหนึ่งคือ

“จงเข้าไปทางประตูแคบเพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศและคนทั้งหลายที่เข้าไปทางนั้นมีมาก

“เพราะประตูที่แคบและทางที่ลำบากนั้นนำไปสู่ชีวิตและพวกที่หาพบก็มีน้อย”18

เราไม่ควรประหลาดใจเมื่อเราทนทุกข์กับความล้มเหลวของศรัทธาถ้าเราเดินบนขอบของทางคับแคบและแคบสิ่งที่เราทำและไม่ทำสำคัญอย่างยิ่งเพราะการกระทำมีผลและการไม่กระทำก็มีผลเมื่อเราไม่สนใจการกระทำเล็กๆน้อยๆประจำวันแต่จำเป็นอย่างยิ่งของความเชื่อเท่ากับเราทำให้รากอ่อนแอเราออกห่างจากพระผู้เป็นเจ้าทีละน้อยดังนั้นวิธีที่เราพูดกันหนังสือและบทความที่เราอ่านรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ที่เราดูสิ่งที่เราไม่อ่านและจะไม่มีวันดูเรื่องขำขันที่เราเล่าหรือเลือกไม่ฟังอย่าว่าแต่จะนำมาเล่าซ้ำทั้งหมดล้วนสะท้อนว่าเราอยู่ที่ใดบนทางคับแคบและแคบ—ตรงกลางหรือริมทางเราไม่สามารถทวงสิทธิ์รับการบำรุงรากของเราได้ถ้าสิ่งที่เราทำและไม่ทำไม่นับว่าทำให้เราเป็นวิสุทธิชนที่ดีขึ้นเราพบความปลอดภัยเมื่อเราอยู่ตรงกลางของทางคับแคบและแคบเท่านั้น

ไม่มีรูปแบบชีวิตใดดีกว่าไม่มีวิธีใดที่จะพบสันติสุขและเส้นทางข้างหน้าแน่นอนกว่าการทำตามพระเจ้าพระเยซูคริสต์พระนามของพระองค์เป็นพระนามเดียวที่ประทานด้วยอำนาจภายใต้ฟ้าสวรรค์ที่จะทำให้ชีวิตเราเป็นสุขมากขึ้นไม่มีใครให้เรา“มองดู”อีกแล้วที่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนใหม่และช่วยให้รอดเฉกเช่นพระผู้ช่วยให้รอด

เราได้รับการเตือนแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราหันไปพึ่งคนอื่นหรือสิ่งอื่นเพื่อหาความหมายและจุดประสงค์สูงสุดคำพูดของยูดาจับประเด็นความว่างเปล่าของชีวิตที่สุดท้ายแล้วจะโอบล้อมคนที่เลือกสิ่งอื่นหรือคนอื่นแทนพระผู้ช่วยให้รอดพวกเขา“เป็นเมฆที่ไม่มีน้ำที่ถูกพัดลอยไปตามลมเป็นต้นไม้ที่ไร้ผลในฤดูที่ออกผลและตายมาสองหนแล้วเพราะถูกถอนออกทั้งราก”19

จิตวิญญาณของเราควรหยั่งรากลึกในพระคริสต์จนเราสามารถอดทนต่อความท้าทายมีชัยชนะเหนือความทุกข์ต้านการโจมตีศรัทธาของเราและเป็นเหมือนต้นโอ๊ก—มั่นคงไม่ขยับเขยื้อนและตั้งมั่นไม่หวั่นแม้ความร้อนของวันหรือความแรงของพายุการหยั่งรากเช่นนั้นอยู่เหนือกาลเวลาและทนทานกว่าศัตรูทั้งหมดแม้ศัตรูที่ร้ายกาจมองไม่เห็นและเจ้าเล่ห์ที่สุด

เราเรียนรู้บทเรียนหนึ่งจากฮีลามันเกี่ยวกับว่าคำสัญญาของความแข็งแกร่งเหมือนศิลาขึ้นอยู่กับการสร้างชีวิตเราบนพระผู้ไถ่อย่างไร“และบัดนี้,ลูกพ่อ,จงจำ,จงจำไว้ว่าบนศิลาของพระผู้ไถ่ของเรา,ผู้ทรงเป็นพระคริสต์,พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า,ที่ลูกต้องสร้างรากฐานของลูก;เพื่อเมื่อมารจะส่งลมอันมีกำลังแรงของเขามา,แท้จริงแล้ว,ลูกศรของเขาในลมหมุน,แท้จริงแล้ว,เมื่อลูกเห็บของเขาและพายุอันมีกำลังแรงของเขาทั้งหมดจะกระหน่ำมาบนลูก,มันจะไม่มีพลังเหนือลูกเพื่อลากเอาลูกลงไปสู่ห้วงแห่งความเศร้าหมองและวิบัติอันหาได้สิ้นสุดไม่,เพราะศิลาซึ่งบนนั้นลูกได้รับการสร้างขึ้น,ซึ่งเป็นรากฐานอันแน่นอน,รากฐานซึ่งหากมนุษย์จะสร้างบนนั้นแล้วพวกเขาจะตกไม่ได้”20

ความงามของสวนบุทชาร์ท

เราพิจารณาเรื่องรากไปแล้วตอนนี้เราจะพูดเรื่องดอกไม้ขณะนึกถึงตัวอย่างที่สองความงามของสวนบุทชาร์ท

ในปี1904โรเบิร์ตบุทชาร์ทกับเจนนีภรรยาย้ายไปอยู่ใต้สุดของเกาะแวนคูเวอร์ในบริติชโคลัมเบียแคนาดาโรเบิร์ตบุทชาร์ททำธุรกิจซีเมนต์และต้องการหินปูนมาทำซีเมนต์เขาเปิดเหมืองหินปูนใกล้เมืองที่ปัจจุบันคือวิคตอเรียจากหินปูนเขาผลิตปูนซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของซีเมนต์ครอบครัวบุทชาร์ทสร้างบ้านและสนามเทนนิสปลูกกุหลาบและสวีทพีใกล้ๆเหมือง

เวลาผ่านไปหินปูนที่ถมทับอยู่ในเหมืองก็หมดไม่นานเหมืองก็ไม่มีประโยชน์อีกสิ่งที่เหลือคือหลุมใหญ่น่าเกลียดในดินเต็มไปด้วยเศษหินแตกหักเป็นรอยหยักเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเจนนีบุทชาร์ทจึงตัดสินใจเปลี่ยนหลุมหินในดินให้เป็นสวนเธอให้รถม้าขนดินชั้นบนหลายตันมาถมก้นเหมืองเธอเริ่มปลูกไม้ดอกไม้พุ่มและไม้ยืนต้นบริเวณนั้นและได้สร้างสวนมีชื่อที่สุดในโลกชื่อว่า“สวนซุนเค็น”แต่เธอไม่หยุดแค่นั้น

เจนนียังคงขยายและเพิ่มความหลากหลายให้สวนครอบครัวบุทชาร์ทเดินทางไปทั่วโลกและช่วงเดินทางเได้รวบรวมไม้พุ่มไม้ยืนต้นและไม้ดอกหลากหลายจากต่างแดนมาปลูกที่สวนระหว่างปี1906ถึง1929ครอบครัวบุทชาร์ทสร้างสวนญี่ปุ่นสวนอิตาลีสวนเมดิเตอร์เรเนียนและสวนกุหลาบที่สวยงามเพิ่มจากสวนซุนเค็นสวนของพวกเขากว้างกว่า50เอเคอร์และปัจจุบันเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติของแคนาดา

สวนเหล่านั้นเป็นผลพวงอันน่ายินดีของความอดทนและตั้งใจทำงานนานหลายปีอีกทั้งเป็นประจักษ์พยานถึงสิ่งที่ทำสำเร็จเมื่อคนๆหนึ่งมีวิสัยทัศน์มองเห็นว่าจะสร้างสิ่งอุจาดตาให้สวยงามได้อย่างไรเว็บไซต์ของสวนซึ่งให้ข้อมูลนี้รายงานว่ามีผู้มาเยี่ยมชมสวนเกือบล้านคนทุกปี21

มีเหมืองหินปูนนิดๆหน่อยๆในตัวเราทุกคนเรามาจากโลกก่อนเกิด“ตามรอยเมฆแห่งรัศมีภาพ”22เรามาพร้อมความเข้มแข็งและความสามารถทางวิญญาณซึ่งพัฒนาที่นั่นแต่เรากำลังถูกดึงไปตามความอ่อนแอบางอย่างเช่นกันเราไม่ดีพร้อมที่นั่นและเราไม่ถึงความดีพร้อมที่นี่—ไร้เดียงสาแต่ไม่ดีพร้อม

ขอให้เรานึกถึงเหมืองถ่านหินของตัวเราสักนิดเราเกิดมาในโลกที่ตกแล้วและมีธรรมชาติวิสัยที่ตกแล้ว“เพราะมนุษย์ปุถุชนเป็นศัตรูต่อพระผู้เป็นเจ้า,และเป็นมาแล้วนับแต่การตกของอาดัม”23ตัวตนของเราชายหรือหญิงที่เป็นตัวเรามีความอ่อนแอและข้อบกพร่องบางอย่างเรามีคุณสมบัติอันไม่พึงประสงค์ที่เราไม่ได้กำราบเต็มที่และข้อตำหนิที่ไม่ได้เอาชนะเราทำผิดพลาดบางอย่างตลอดเส้นทางของชีวิตเราและเรายังคงผิดพลาดทุกวันอาจมีชั่วขณะของบาปร้ายแรงที่ทำให้การเติบโตทางวิญญาณหยุดชะงักอาจมีชั่วขณะที่เราไร้เมตตาไม่อดทนหรือเกียจคร้านเราอาจให้ความสำคัญผิดที่หรือมีโอกาสที่เราไม่ได้ไขว่คว้าเราทุกคนมีความขาดตกบกพร่องส่วนตัว

เหมืองหินปูนแบบอื่นอาจอยู่ในตัวเราเช่นกันซึ่งสามารถทำให้เกิดความท้าทายใหญ่หลวงบางท่านที่นี่ทนทุกข์กับการกระทำทารุณกรรมที่ไม่อาจบอกได้ซึ่งสามารถฝากรอยแผลเหวอะหวะทางอารมณ์ที่หายช้าและความทรงจำที่คอยหลอกหลอนหลายท่านอาจมีปัญหากับยาเสพติดหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรืออาจดูสื่อลามกบางท่านทนทุกข์จากภาวะซึมเศร้าความเจ็บป่วยหรือโรคภัยอื่นๆ

ชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเสนอจะให้การเยียวยาเหมืองหินปูนทั้งหมดของจิตวิญญาณเราไม่ว่าก้อนหินจะขรุขระเพียงใดจิตวิญญาณเราบกพร่องเพียงใดและภายในตัวเราไม่ดึงดูดเพียงใดเราสามารถรับการเยียวยาและสวยงามได้ความงามที่สมบูรณ์แบบของจิตวิญญาณของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นแบบอย่างของเรา

ยอดเยี่ยมเพียงใดที่บุตรแห่งพระมหาบุรุษผู้ซึ่งจิตวิญญาณของพระองค์เป็นสวนแห่งคุณธรรมได้ทรงทนทุกข์ในสวนเพื่อให้เราได้หว่านเมล็ดแห่งคุณธรรมในจิตวิญญาณเราไม่ว่าเราจะทนทุกข์อะไรมาหรือเรายอมให้ตัวเราลงลึกเพียงใดเราสามารถพัฒนาความงามของจิตวิญญาณได้นั่นคือความงามของ“ขี้เถ้า”24นั่นคือดอกไม้ที่เบ่งบานในเหมืองหินปูนนั่นคือการได้รับคุณลักษณะของพระคริสต์ทีละน้อยในจิตวิญญาณที่เป็นรอยแผลขรุขระจากปัญหาและภยันตรายของชีวิตทั้งหมดนั้นสำเร็จลุล่วงเนื่องจากความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเราและผ่านพระคุณของพระองค์ประสบผลสำเร็จผ่านอำนาจการชดใช้ของพระองค์และตามเงื่อนไขของการกลับใจอย่างต่อเนื่องจริงใจ

น่าประหลาดที่เราสามารถหายได้เราเป็นสิ่งสวยงามและมีค่าได้เราได้รับสัญญาว่าเราสามารถเป็นรูปแบบภายในของสวนบุทชาร์ทของตัวเราเองการทำเช่นนั้นเป็นองค์ประกอบจำเป็นในแผนแห่งความรอด—การเตรียมกลับไปที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า

ถ้าทั้งหมดนี้ค่อนข้างอัศจรรย์นั่นเพราะมันน่าอัศจรรย์แอลมาบุตรของแอลมาเคยเป็น“คนชั่วมากและนับถือรูปเคารพ”25บิดาท่านเป็นศาสดาพยากรณ์และมหาปุโรหิตดูแลศาสนจักรแต่แอลมากับเพื่อนๆพวกบุตรของกษัตริย์โมไซยาห์“หาทางทำลายศาสนจักร,และเพื่อนำผู้คนของพระเจ้าให้หลงผิด”26ขณะพวกเขากำลังเดินทางด้วยจุดประสงค์ดังกล่าวเทพมาปรากฏต่อพวกเขาประสบการณ์นั้นเปลี่ยนพวกเขาตลอดกาล

แอลมาประสบการเปลี่ยนใจเลื่อมใสอันน่าอัศจรรย์และสอนว่า“มนุษย์ทั้งปวง,แท้จริงแล้ว,ชายและหญิง,ประชาชาติ,ตระกูล,ภาษาและผู้คนทั้งปวง,ต้องเกิดใหม่;แท้จริงแล้ว,เกิดจากพระผู้เป็นเจ้า,เปลี่ยนจากสภาพทางเนื้อหนังและสภาพที่ตกของพวกเขา,มาสู่สภาพแห่งความชอบธรรม,โดยได้รับการไถ่จากพระผู้เป็นเจ้า,กลายเป็นบุตรและธิดาของพระองค์;

“และดังนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นคนใหม่;และหากพวกเขาไม่ทำดังนี้,พวกเขาก็ไม่มีทางสืบทอดอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าเป็นมรดก”27

เมื่อเรารับบัพติศมาเท่ากับเราฝังชายหญิงคนเดิมที่มีบาปด้วยการลงไปในน้ำทั้งตัวแล้วขึ้นมาจากน้ำเป็นคนใหม่ในชีวิตใหม่กษัตริย์เบ็นจามินสอนว่า“เพราะพันธสัญญาที่ท่านทำไว้จะเรียกท่านว่าลูกๆของพระคริสต์,บุตรของพระองค์,และธิดาของพระองค์;เพราะดูเถิด,วันนี้พระองค์ทรงให้กำเนิดท่านทางวิญญาณ;เพราะท่านกล่าวว่าใจท่านเปลี่ยนแปลงแล้วโดยผ่านศรัทธาในพระนามของพระองค์;ฉะนั้น,ท่านจึงถือกำเนิดจากพระองค์และกลายเป็นบุตรของพระองค์และธิดาของพระองค์”28

ผู้คนสามารถรับและมักจะรับประจักษ์พยานอย่างรวดเร็วนอกจากนี้ยังมีหลายตัวอย่างที่บุคคลและกลุ่มบุคคลได้ยินพระกิตติคุณและเกิด“การเปลี่ยนแปลงอันลึกล้ำ”ในใจพวกเขาในช่วงเวลาสั้นๆจนพวกเขา“ไม่มีใจที่จะทำความชั่วอีก,แต่จะทำความดีโดยตลอด”29การเปลี่ยนแปลงอันลึกล้ำนี้คือการ“กำเนิด”ทางวิญญาณ

แต่โดยปกติแล้วการได้รับประจักษ์พยานและการเปลี่ยนแปลงอันลึกล้ำเป็นขั้นตอนในกระบวนการชั่วชีวิตของการเติบโตและการขัดเกลาการปรับปรุงในตัวเราในเนื้อแท้ของจิตวิญญาณเราเกิดขึ้นทีละน้อย30เจนนีบุทชาร์ททำงานในสวนนาน25ปีเพื่อให้เกิดความงามเขียวชอุ่มซึ่งก่อนหน้านี้เป็นความยุ่งเหยิงและน่าเกลียดนั่นใช้เวลาชั่วชีวิตและเลยไปถึงการขัดเกลาชายหรือหญิงในตัวเราอย่างเต็มที่

พระผู้ช่วยให้รอดทรงเติมเต็มหลุมในจิตวิญญาณเราทีละน้อยและเยียวยาบาดแผลที่เราก่อขึ้นกับตัวเราเองหรือมีสาเหตุจากผู้อื่นพระเจ้าประทานแก่เรา“บรรทัดมาเติมบรรทัด,กฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์,ที่นี่นิดและที่นั่นหน่อย;และคนที่ฟังกฎเกณฑ์ของเรา,และเงี่ยหูฟังคำแนะนำของเราย่อมเป็นสุข,เพราะพวกเขาจะเรียนรู้ปัญหา;เพราะแก่เขาที่รับไว้เราจะให้อีก”31พระองค์ทรงเพิ่มคุณธรรมมาเติมคุณธรรมให้จิตวิญญาณเราและประทานพระคุณมาเติมพระคุณแก่เรา32ขณะที่เราพยายามเป็นคนสะอาดและได้รับคุณลักษณะเหมือนพระคริสต์

สำคัญที่ต้องไม่ชะล่าใจกับการปรับปรุงภายในที่เราทำสำเร็จแล้วทั้งเราไม่ควร“เบื่อหน่ายในการทำดี”33แต่ให้เรามุ่งหน้าอยู่เสมอ

เปโตรกระตุ้นให้เราดำเนินต่อไปจากพระคุณสู่พระคุณในขั้นตอนต่อเนื่องประหนึ่งเรากำลังวางซ้อนกันทีละชั้นท่านเขียนว่า

“จงพยายามอย่างที่สุดที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อของพวกท่านเอาความรู้เพิ่มคุณธรรม

“เอาการควบคุมตัวเองเพิ่มความรู้เอาความทรหดอดทนเพิ่มการควบคุมตัวเองและเอาความยำเกรงพระเจ้าเพิ่มความทรหดอดทน

“เอาความรักฉันพี่น้องเพิ่มความยำเกรงพระเจ้าและเอาความรักเพิ่มความรักฉันพี่น้อง

“ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นคุณลักษณะของพวกท่านและเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆก็จะทำให้พวกท่านเป็นคนไม่ไร้ประโยชน์และไม่ไร้ผลในการรู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”34

กระบวนการเติบโตและการขัดเกลาจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ“เพราะความรู้แจ้งแนบสนิทกับความรู้แจ้ง;ปัญญายอมรับปัญญา;ความจริงน้อมรับความจริง;คุณธรรมรักคุณธรรม;ความสว่างแนบสนิทกับความสว่าง;ความเมตตามีความสงสารต่อความเมตตาและอ้างสิทธิ์ในคนของนางเอง;ความยุติธรรมดำเนินต่อไปตามวิถีของมันและอ้างสิทธิ์ในคนของมันเอง”35

นั่นคือสาเหตุที่ภาพการทำงานสร้างสวนเป็นเวลา25ปีของเจนนีบุทชาร์ทจึงเป็นประโยชน์มากท่านจะเห็นเธอและคนที่ทำงานกับเธอปลูกไม้พุ่มตรงนี้ปักกิ่งไม้เลื้อยตรงนั้นและปลูกไม้ยืนต้นตลอดทางเรานึกภาพได้ง่ายว่าเธอวางแผนและจัดระเบียบโดยแน่ใจว่าดอกใหม่แต่ละดอกและพุ่มใหม่แต่ละพุ่มจะอยู่ถูกที่กระบวนการเติบโตในคุณลักษณะของพระคริสต์เทียบเท่าทางวิญญาณกับการเพิ่มไม้ยืนต้นไม้พุ่มและไม้ดอกเข้าไปในสวนทีละต้นแล้วบำรุงเลี้ยงจนโตเต็มที่ผลทันตาเห็นของการปลูกคุณธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในจิตวิญญาณเราอาจไม่น่าตื่นใจแต่ถ้าเราปลูกและบำรุงเลี้ยงในศรัทธาต่อไปสวนของจิตวิญญาณเราจะเติบโตงดงามทีละน้อยตามเวลาที่ผ่านไปชีวิตเราเริ่มครบบริบูรณ์ในความชอบธรรมทุกประการ

ข้าพเจ้าอยากให้ท่านไตรตรองคำถามนี้:วันนี้ท่านจะปลูกอะไรเพื่อเพิ่มความงามให้สวนแห่งจิตวิญญาณของท่านโปรดแบ่งปันคำตอบของท่านในสื่อสังคมออนไลน์โดยใช้#LDSdevoข้าพเจ้าอยากฟังคำตอบของท่าน

อิสยาห์ใช้คำเพียงไม่กี่คำอธิบายว่าการหยั่งรากในพระเจ้าพระเยซูคริสต์และทำให้คุณลักษณะบางอย่างของพระผู้ช่วยให้รอดเกิดผลในจิตวิญญาณเราหมายความว่าอย่างไรท่านเขียนว่า“และพระยาห์เวห์จะทรงนำเจ้าอย่างต่อเนื่องและทำให้ตัวเจ้าอิ่มเอิบในที่แห้งแล้งและทำให้กระดูกของเจ้าแข็งแรงและเจ้าจะเป็นเหมือนสวนมีน้ำชุ่มเหมือนน้ำพุที่น้ำของมันจะไม่ขาด”36

พระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างของคุณธรรมทุกประการพระองค์ทรงเป็นคนดีพร้อมคนเดียวทรงชดใช้บาปของเราเราสามารถเป็นชายหญิงของพระคริสต์ผ่านการชดใช้ของพระองค์พระองค์ทรงชำระเราให้สะอาดเปลี่ยนแปลงเยียวยาและขัดเกลาเราได้จิตวิญญาณเราสามารถเป็นสิ่งสวยงาม

ขอให้เรา“มองดูพระองค์”อย่างถี่ถ้วนมากขึ้นขอให้เราเลียนแบบพระองค์ด้วยความเลื่อมใสมากขึ้นขอให้เราทำตามพระองค์ด้วยความกระตือรือร้นมากขึ้นขอให้เราหยั่งรากลึกลงไปอีกในดินแห่งความรอดจนกว่าเราพำนักบนพระองค์“ศิลาแห่งพระผู้ไถ่ของเรา”37ขอให้เราชื่นชมพรของชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระองค์ทรงมอบให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆและเป็นเหมือนสวนมีน้ำชุ่มในพระนามของพระเยซูคริสต์เอเมน

พิมพ์