การให้ข้อคิดทางวิญญาณทั่วโลก
การดำเนินชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมาย: ความสำคัญของ “เจตนาแท้จริง”


66:31

การดำเนินชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมาย: ความสำคัญของ “เจตนาแท้จริง”

ยามค่ำกับบราเดอร์แรนดัลล์แอล. ริดด์ การให้ข้อคิดทางวิญญาณทั่วโลกสำหรับคนหนุ่มสาว • 11มกราคม 2015 • มหาวิทยาลัยบริคัมยังก์–ไอดาโฮ

ช่างเป็นโอกาสดีมากที่ได้อยู่กับพวกท่านค่ำคืนนี้ เป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับข้าพเจ้ากับภรรยาที่ได้อยู่ที่นี่ค่ำวันนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าน่าสนใจมากที่โทรศัพท์ข้าพเจ้ารู้ว่าในปฏิทินข้าพเจ้าจะเดินทางมาเร็กซ์เบิร์กวันนี้ โทรศัพท์บอกข้าพเจ้าว่าอากาศจะเป็นอย่างไรพร้อมให้รายชื่อโรงแรมและร้านอาหารในเมือง แม้แต่บอกข้าพเจ้าว่ามีกิจกรรมท่องเที่ยวให้ทำมากมายสุดสัปดาห์นี้ที่เร็กซ์เบิร์ก

แต่เมื่อลองมาคิดดูแล้ว—โทรศัพท์ไม่ได้บอกว่าคำปราศรัยของข้าพเจ้าเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวอย่างหนึ่ง พวกท่านคงเรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนจริงๆ!

แม้ว่าสมาร์ทโฟนของท่านจะไม่ได้แนะนำไว้ แต่ท่านทั้งหลายเลือกจะใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกับข้าพเจ้าคืนนี้—หนึ่งชั่วโมงที่ท่านจะไม่ได้ทำอย่างอื่น ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงรู้สึกรับผิดชอบอย่างยิ่งที่จะทำให้ชั่วโมงนี้คุ้มค่า แต่ข้าพเจ้าทราบเช่นกันว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดจะไม่สำคัญเท่าสิ่งที่พระวิญญาณสอนท่าน และสิ่งนั้นจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อท่านให้คำมั่นสัญญาที่จะกระทำตามการกระตุ้นเตือนเหล่านั้น

ข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงจะเห็นด้วยว่านี่เป็นช่วงเวลาอัศจรรย์ที่จะมีชีวิตอยู่ นักสังคมวิทยาเรียกคนในรุ่นข้าพเจ้าว่าเบบี้บูมเมอร์ (ลูกดก) แม้ว่าตอนนี้จะไม่จริงเท่าไรนัก พวกเขาเรียกรุ่นถัดไปว่าเจเนอเรชั่นเอ็กซ์ และเรียกคนในรุ่นพวกท่านว่าเจเนอเรชั่นวายหรือมิลเลเนียล ซึ่งใช้เทคโนโลยีได้คล่องแคล่วและเข้าหาสื่อสังคมออนไลน์ พวกท่านฉลาดและมีการศึกษามากกว่าคนรุ่นก่อนๆ คุณลักษณะเหล่านี้ทำให้ท่านมีคุณค่ามากในสังคมทุกวันนี้และในการทำงานของพระเจ้าเช่นกัน

ท่านมีทางเลือกและโอกาสมากกว่าที่เคยมีมา เช่นเดียวกับหลายๆ สิ่งในชีวิต สิ่งนี้เป็นทั้งพรและคำสาป การมีทางเลือกมากเกินไปและความกลัวการตัดสินใจผิดมักจะนำไปสู่ภาวะตัดสินใจไม่ได้ ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในยุคของท่าน เป็นเรื่องยากขึ้นที่จะจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหมือนเดิม! ด้วยเทคโนโลยี ทันทีที่ท่านซื้ออะไรบางอย่าง มีโอกาสสูงว่ามันจะตกรุ่นไม่นานหลังจากท่านออกจากร้าน มีหลายคนมากเกินไปกลัวที่จะให้คำมั่นสัญญาต่อสิ่งใดก็ตามเพราะพวกเขาคิดว่าอาจมีทางเลือกที่ดีกว่าโผล่มาเร็วๆ นี้ พวกเขาจึงรอ—และสุดท้ายก็ไม่ได้เลือกอะไร ในสภาวะเช่นนี้พวกเขาตกเป็นเป้าของสิ่งรบกวน พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากจะพูดกับท่านค่ำคืนนี้ถึงวิธีเยียวยาสิ่งนั้น—คือการดำเนินชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมาย: ความสำคัญของเจตนาแท้จริง

I. จุดมุ่งหมาย

ลองวาดมโนภาพสักชั่วขณะหนึ่งว่าท่านอยู่ในเรือชูชีพกลางมหาสมุทรเวิ้งว้างที่มีแต่เกลียวคลื่นสุดลูกหูลูกตา บนเรือมีไม้พาย แต่ท่านจะพายไปทางไหน ลองนึกภาพว่าเพียงแว่บเดียวที่ท่านเห็นแผ่นดิน ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าต้องไปทางไหน การมองเห็นแผ่นดินให้ทั้งแรงจูงใจและจุดมุ่งหมายแก่ท่านไหม คนที่ไม่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนคือคนเลื่อนลอย คนเลื่อนลอยปล่อยให้กระแสโลกตัดสินใจว่าพวกเขาจะไปทางไหน

เลโอ ตอลสตอย

ชีวิตของนักเขียนชาวรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่ เลโอ ตอลสตอย ผู้เขียน War and Peace (สงครามและสันติภาพ) สะท้อนให้เห็นประเด็นนี้ เลโอ ตอลสตอยมีชีวิตวัยเด็กที่ไม่ราบรื่น พ่อแม่สิ้นชีวิตเมื่อเขาอายุ 13 ปี พี่ชายเสี้ยมสอนเขาด้วยเรื่องแอลกอฮอล์ การพนัน และความสำส่อน เลโอจึงไม่ใส่ใจการศึกษา เมื่อเขาอายุ 22 ปี เขาเริ่มรู้สึกว่าชีวิตไร้จุดหมายที่แท้จริง และเขาเขียนในบันทึกของเขาว่า “ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตราวกับสัตว์ป่า” สองปีต่อมาเขาเขียนว่า “ข้าพเจ้าอายุ 24 ปีแล้วยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ความไม่พึงพอใจของตอลสตอยกระตุ้นให้เขาเริ่มภารกิจชั่วชีวิตในการออกตามหาจุดมุ่งหมายของชีวิต ส่วนใหญ่ผ่านความทุกข์ยากและความผิดพลาด—สาเหตุ ของสิ่งนั้นๆ ก่อนเขาสิ้นชีวิตเมื่ออายุ 82 ปี เขาจบบันทึกของเขาว่า “‘ความหมายและปีติทั้งหมดแห่งชีวิต’  …มีอยู่ในการแสวงหาความดีพร้อมและความเข้าใจพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า”1—และข้าพเจ้าขอเสริมด้วย การทำตาม พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า

กล่าวกันว่า “วันสำคัญที่สุดสองวันในชีวิตของท่านคือวันที่ท่านเกิดและวันที่ท่านค้นพบว่าเหตุใด” ท่านจึงเกิดมา2 เพราะเรามีพระกิตติคุณ เราจึงไม่ต้องใช้เวลาชั่วชีวิตในการค้นหาจุดมุ่งหมาย แต่เราสามารถมุ่งเน้นไปที่การทำให้จุดมุ่งหมายนั้นเกิดสัมฤทธิผล

ใน มัทธิว 5:48 เราอ่านว่า “เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเป็นคนดีพร้อม เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม”

ข้าพเจ้าคิดว่าเราแต่ละคนมีความปรารถนาอยู่ในใจที่จะปรับปรุงตนเอง แต่เพราะเราทุกคนทำผิดพลาด เราหลายคนจึงเชื่อว่าเป้าหมายแห่งความดีพร้อมนั้นไม่อาจบรรลุผลสำเร็จได้ และจะเป็นเช่นนั้นจริงหากไม่ใช่เพราะการชดใช้ การพลีพระชนม์ชีพของพระผู้ช่วยให้รอดทำให้ความดีพร้อมนั้นเป็นไปได้ “แท้จริงแล้ว, จงมาหาพระคริสต์, และได้รับการทำให้ ดีพร้อม ในพระองค์, และปฏิเสธตนจากความไม่เป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าทุกอย่าง; และหากท่านจะปฏิเสธตนจากความไม่เป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าทุกอย่าง, และรักพระผู้เป็นเจ้าด้วยสุดพลัง, ความนึกคิด, และพละกำลังของท่าน, เมื่อนั้นพระคุณของพระองค์จึงเพียงพอสำหรับท่าน, เพื่อโดยพระคุณของพระองค์ท่านจะ ดีพร้อม ในพระคริสต์” (โมโรไน 10:32; เน้นตัวเอน)

พระผู้ช่วยให้รอดของเราประทานความหวังซึ่งดลใจเราให้เป็นเหมือนพระบิดาในสวรรค์ ดังที่เลโอ ตอลสตอยพบ ท่านทั้งหลายทราบว่ามีปีติในการเดินทางสู่ความดีพร้อม จุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่มาสู่ชีวิตท่านเมื่อท่านมุ่งที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า

เอ็ลเดอร์แทด อาร์. คอลลิสเตอร์ถามว่า “เหตุใดจึงสำคัญมากที่ต้องมีวิสัยทัศน์ที่ถูกต้องของจุดหมายแห่งสวรรค์ของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าซึ่งพระคัมภีร์และพยานอื่นๆ เป็นพยานอย่างชัดเจน เพราะวิสัยทัศน์ที่เพิ่มขึ้นนำมาซึ่งการจูงใจที่เพิ่มขึ้น”3

งานเผยแผ่

สมัยข้าพเจ้าเป็นเด็กหนุ่ม ข้าพเจ้าเกือบตัดสินใจไม่ไปรับใช้งานเผยแผ่ หลังจากหนึ่งปีในวิทยาลัยและหนึ่งปีในกองทัพ ข้าพเจ้าได้งานดี เป็นเจ้าหน้าที่แผนกเอ็กซ์เรย์ในโรงพยาบาลของท้องที่ วันหนึ่งนายแพทย์เจมส์ พิงกรี ศัลยแพทย์คนหนึ่งที่โรงพยาบาลชวนข้าพเจ้าไปรับประทานอาหารกลางวัน ระหว่างที่เราพูดคุยกัน นายแพทย์พิงกรีพบว่าข้าพเจ้าไม่มีแผนจะไปรับใช้งานเผยแผ่ และเขาถามเหตุผลว่าทำไม ข้าพเจ้าบอกว่าข้าพเจ้าแก่เกินวัยและคงไม่ทันแล้ว เขาบอกข้าพเจ้าว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่ดีและบอกว่าเขาไปรับใช้งานเผยแผ่หลังจากเรียนจบแพทย์ จากนั้นเขาแสดงประจักษ์พยานถึงความสำคัญในงานเผยแผ่ของเขา

ประจักษ์พยานของเขามีผลต่อข้าพเจ้าอย่างมาก ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนอย่างที่ไม่เคยสวดอ้อนวอนมาก่อนเลย—ด้วยเจตนาแท้จริง ข้าพเจ้ามีเหตุผลมากมายที่จะไม่ไปรับใช้งานเผยแผ่ ข้าพเจ้าเขินอาย—อายมากแม้จนความคิดที่ว่าต้องพูดร่ำลาในการประชุมศีลระลึกเป็นเหตุผลมากพอที่จะไม่ไปรับใช้ ข้าพเจ้ามีงานที่ถูกใจ มีทุนการศึกษาซึ่งจะไม่มีให้อีกหลังจบงานเผยแผ่ แต่ที่สำคัญที่สุด ข้าพเจ้ามีคนรักที่เฝ้ารอข้าพเจ้าขณะประจำการกองทัพ—และข้าพเจ้ารู้ว่าเธอจะไม่รออีกสองปี! ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อขอการยืนยันว่าเหตุผลเหล่านั้นดีและว่าข้าพเจ้าถูกต้อง

ด้วยความผิดหวัง ข้าพเจ้าไม่ได้รับคำตอบง่ายๆ ที่หวังไว้อย่างใช่หรือไม่ใช่ จากนั้นข้าพเจ้าเกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง “พระเจ้าทรงต้องการให้ท่านทำอะไร” ข้าพเจ้าต้องตระหนักว่าพระองค์ทรงต้องการให้ข้าพเจ้ารับใช้งานเผยแผ่ และนี่กลายเป็นช่วงเวลาชี้ขาดในชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะทำในสิ่งที่ ตนเอง ต้องการหรือจะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า นั่นคือคำถามที่เราทุกคนควรถามตนเองบ่อยๆ ช่างเป็นแบบแผนที่ดีมากสำหรับเราแต่ละคนที่จะเสริมสร้างไว้แต่แรกเริ่มในชีวิต หลายครั้งเรามีเจตคติที่ว่า “พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะไปที่พระองค์บัญชา และข้าพระองค์จะทำสิ่งที่พระองค์บัญชา—ตราบเท่าที่ข้าพเจ้าอยากไปที่นั่นและข้าพเจ้าอยากทำสิ่งนั้น”

ข้าพเจ้าเลือกรับใช้งานเผยแผ่ด้วยความสำนึกคุณและได้รับมอบหมายให้ไปที่คณะเผยแผ่เม็กซิโกเหนือ เพื่อบรรเทาความสนใจใคร่รู้ที่พวกท่านบางคนอาจรู้สึก—ข้าพเจ้าบอกท่านได้ว่าคนรักของข้าพเจ้าไม่รอ แต่ข้าพเจ้าก็ได้แต่งงานกับเธอ! เธอคือพรพิเศษสุดประการหนึ่งในชีวิตข้าพเจ้า โดยที่รู้ว่าจุดมุ่งหมายของชีวิตเราคือการเป็นเหมือนพระบิดาในสวรรค์ ข้าพเจ้าค้นพบว่าไม่มีมหาวิทยาลัยใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้แต่งงานและมีครอบครัวที่สอนเราถึงความรักที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อบุตรธิดาของพระองค์ ถ้าข้าพเจ้าเป็นพวกท่าน โดยรู้อย่างที่ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าจะทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อให้ใด้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยนั้นถ้าข้าพเจ้าเป็นท่าน ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเริ่มลงทะเบียนเรียนได้แล้วตอนนี้

II. เจตนาแท้จริง

เมื่อลูกชายของเราเพิ่งหัดพูด เขามีความสนใจใคร่รู้มาก ในคำศัพท์อันมีจำนวนจำกัดของเขา คำที่เขาชอบที่สุดคือ “ทำไม” ถ้าข้าพเจ้าบอกว่า “ถึงเวลาเตรียมเข้านอนแล้ว” เขาจะตอบกลับมาว่า “ทำไม”

“พ่อจะไปทำงาน”

“ทำไม”

“สวดอ้อนวอนกันเถอะ”

“ทำไม”

“ถึงเวลาไปโบสถ์แล้ว”

“ทำไม”

น่ารักจริงๆ —500 ครั้งแรกที่เขาพูดคำนี้ แต่แม้หลังจากความน่ารักหายไปและกลายเป็นสิ่งน่ารำคาญเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็ขอบพระทัยสำหรับการย้ำเตือนบ่อยครั้งให้ศึกษา สาเหตุ เบื้องหลังของทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าทำ

ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่ามีความสำคัญในตัว Y (วาย) ในฐานะชื่อยุคของพวกท่านไหม แต่ข้าพเจ้าคิดว่ามีคุณค่าในการนึกถึงตนเองว่าเป็นยุค “วาย” (ทำไม) เป็นเรื่องสำคัญในโลกทุกวันนี้ที่จะคิดรอบคอบถึงสาเหตุว่า ทำไม ท่านจึงทำในสิ่งที่ท่านทำ

การดำเนินชีวิตด้วยเจตนาแท้จริงหมายถึงความเข้าใจ “สาเหตุ” (ทำไม) และตระหนักถึงแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของท่าน โสกราตีสกล่าวไว้ว่า “ชีวิตที่ปราศจากการตรวจสอบคือชีวิตที่ปราศจากคุณค่า”4 จงไตร่ตรองว่าท่านใช้เวลาอย่างไร และถามตนเองเป็นประจำว่า “ทำไม” สิ่งนี้จะช่วยท่านเสริมสร้างความสามารถในการมองการณ์ไกล เป็นการดีกว่าที่จะมองไปข้างหน้าและถามตนเองว่า “ฉันจะทำอย่างนั้นทำไม” แทนที่จะมองย้อนกลับไปและบอกว่า “โอ้ ทำไมฉันถึงทำอย่างนั้น” ถ้าเหตุผลเพียงอย่างเดียวคือพระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้ท่านทำ แค่นั้นก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้ว

ดาว

ข้าพเจ้าเรียนรู้ความสำคัญของเจตนาแท้จริงเมื่อสมัยเป็นนักเรียนเซมินารี ครูของเราท้าทายให้เราอ่านพระคัมภีร์ เพื่อจะช่วยบันทึกความก้าวหน้าของเรา ครูสร้างแผนภูมิโดยมีชื่อเราไล่ลงมาทางซ้ายและมีรายชื่อหนังสือในพระคัมภีร์เรียงอยู่ด้านบน ทุกครั้งที่เราอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง จะมีดาวดวงหนึ่งติดอยู่ข้างชื่อเรา ทีแรกข้าพเจ้าไม่ได้พยายามจะอ่านมากนัก และไม่นานข้าพเจ้าก็พบว่าตนเองล้าหลังลงเรื่อยๆ ด้วยแรงกระตุ้นจากความรู้สึกอับอายกับความชอบแข่งขันที่มีมาแต่กำเนิด ข้าพเจ้าจึงเริ่มอ่าน ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้ดาว ข้าพเจ้ารู้สึกดี และยิ่งได้ดาวมากเท่าไร ข้าพเจ้ายิ่งมีแรงจูงใจที่จะอ่านมากขึ้น—ในระหว่างชั้นเรียน หลังเลิกเรียน ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง

คงจะเป็นเรื่องที่ดีมากถ้าข้าพเจ้าบอกพวกท่านได้ว่าข้าพเจ้าอ่านจบเป็นคนแรกในชั้นเรียน—แต่ไม่ใช่ (แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนสุดท้าย) แต่ท่านทราบไหมว่าข้าพเจ้าได้อะไรจากการอ่านพระคัมภีร์มอรมอน พวกท่านคงคิดว่าข้าพเจ้าได้รับ “ประจักษ์พยาน” ใช่ไหม แต่ไม่ใช่เลย ข้าพเจ้าได้ดาว ข้าพเจ้าได้ดาวเพราะว่านั่นคือ สาเหตุ ว่าทำไมข้าพเจ้าจึงอ่าน นั่นคือ เจตนาแท้จริง ของข้าพเจ้า

โมโรไนบอกไว้อย่างชัดเจนถึงวิธีค้นพบความจริงของพระคัมภีร์มอรมอนว่า “และเมื่อท่านจะได้รับเรื่องเหล่านี้, ข้าพเจ้าจะแนะนำท่านให้ทูลถามพระผู้เป็นเจ้า, พระบิดานิรันดร์, ในพระนามของพระคริสต์, ว่าเรื่องเหล่านี้จริงหรือไม่; และหากท่านจะทูลถามด้วยใจจริง, ด้วย เจตนาแท้จริง, โดยมีศรัทธาในพระคริสต์, พระองค์จะทรงแสดงความจริงของเรื่องให้ประจักษ์แก่ท่าน, โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์” (โมโรไน 10:4; เน้นตัวเอน)

เมื่อมองย้อนกลับไป ข้าพเจ้าเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงยุติธรรมกับข้าพเจ้า ทำไมข้าพเจ้าคาดหวังจะค้นพบสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากสิ่งที่ข้าพเจ้าค้นหา ข้าพเจ้าไม่เคยหยุดถามตนเองว่า ทำไม ข้าพเจ้าจึงอ่านพระคัมภีร์มอรมอน ข้าพเจ้าระหกระเหินไป ปล่อยให้แรงจูงใจทางโลกนำ เพียงเพื่อจะพบว่าข้าพเจ้าอ่านหนังสือที่ถูกต้องด้วยเหตุผลที่ผิด เจตนาแท้จริงคือการทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง

หลายปีต่อมาขณะที่ข้าพเจ้าว้าวุ่นกับการตัดสินใจว่าจะไปรับใช้งานเผยแผ่หรือไม่นั้น ข้าพเจ้าจึงเริ่มอ่านพระคัมภีร์มอรมอนด้วยเจตนาแท้จริง ถ้าข้าพเจ้าจะไปใช้เวลาสองปีแบ่งปันประจักษ์พยานถึงพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าต้องมี ประจักษ์พยานก่อน

ข้าพเจ้าทราบว่าพระคัมภีร์มอรมอนบรรลุจุดมุ่งหมายแห่งสวรรค์ของการเป็นพยานถึงพระชนม์ชีพและพระพันธกิจของพระเยซูคริสต์เพราะข้าพเจ้าได้อ่านด้วยเจตนาแท้จริง

อุปมาเรื่องส้ม

ข้าพเจ้าอยากจะแบ่งปันอุปมาสมัยใหม่ซึ่งข้าพเจ้าจะเรียกว่า “อุปมาเรื่องส้ม” ขณะที่ท่านฟัง จงพิจารณาว่าเรื่องนี้สอนอะไรท่านเกี่ยวกับพลังของเจตนาแท้จริง

มีชายหนุ่มคนหนึ่งผู้ใฝ่ฝันจะทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งเพราะให้เงินเดือนดีและมีชื่อเสียงมาก เขาเตรียมใบประวัติการทำงานและเข้ารับการสัมภาษณ์หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้รับตำแหน่งระดับล่าง จากนั้นเขาเปลี่ยนความใฝ่ฝันไปยังเป้าหมายถัดไปของเขา—ตำแหน่งหัวหน้างานที่จะให้เงินเดือนและชื่อเสียงกับเขามากกว่าเดิม เขาจึงทำภารกิจทุกอย่างที่ได้รับมอบหมาย บางวันเขามาทำงานแต่เช้าและอยู่ดึกเพื่อให้เจ้านายเห็นว่าเขามาทำงานหลายชั่วโมง

ห้าปีผ่านไปตำแหน่งหัวหน้างานก็ว่างแล้ว แต่ชายหนุ่มคนนั้นตกใจอย่างยิ่ง เมื่อพนักงานอีกคนหนึ่งซึ่งทำงานในบริษัทเป็นเวลาแค่หกเดือน กลับได้รับตำแหน่งนั้น เขาโกรธมากและไปหาเจ้านายเพื่อเรียกร้องหาคำตอบ

เจ้านายที่ชาญฉลาดพูดว่า “ก่อนที่ผมจะตอบคำถามคุณ ช่วยทำอะไรให้ผมอย่างหนึ่งได้ไหม”

“ได้ครับ” พนักงานคนนั้นตอบ

“คุณช่วยไปซื้อส้มที่ร้านขายของมาหน่อยได้ไหม ภรรยาผมต้องการ”

ชายหนุ่มรับคำและไปที่ร้าน เมื่อเขากลับมา เจ้านายถามว่า “ซื้อส้มชนิดไหนมา”

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ” ชายหนุ่มตอบ “คุณแค่บอกให้ไปซื้อส้ม และนี่ก็คือส้ม นี่ครับ”

“ราคาเท่าไร” เจ้านายถาม

“ผมไม่แน่ใจครับ” เขาตอบ “คุณให้มาสามสิบเหรียญ ใบเสร็จอยู่นี่ และนี่เงินทอน”

“ขอบคุณ” เจ้านายบอก “เชิญนั่งและตั้งใจฟังผมนะครับ”

จากนั้นเจ้านายเรียกพนักงานผู้ได้รับการเลื่อนตำแหน่งและขอให้เขาทำอย่างเดียวกัน เขารับคำและไปที่ร้าน

เมื่อเขากลับมา เจ้านายถาม “ซื้อส้มชนิดไหนมา”

เขาตอบว่า “ที่ร้านมีหลายชนิดครับ—มีส้มไร้เมล็ด ส้มวาเลนเซีย ส้มเลือด ส้มจีน และอีกหลายอย่าง ผมไม่ทราบจะซื้ออย่างไหนดี แต่ผมจำได้ว่าคุณบอกว่าภรรยาต้องการส้ม ผมจึงโทรไปหาเธอ เธอบอกว่าจะจัดงานเลี้ยงและต้องการทำน้ำส้มคั้น ผมจึงถามคนขายว่าส้มชนิดไหนทำน้ำส้มคั้นได้ดีที่สุด เขาบอกว่าส้มวาเลนเซียมีน้ำส้มที่หวานฉ่ำ ผมจึงซื้อมา ผมแวะไปส่งให้ที่บ้านคุณก่อนกลับมาที่ทำงาน ภรรยาคุณชอบมาก”

“ราคาเท่าไร” เจ้านายถาม

“นั่นก็อีกปัญหาหนึ่ง ผมไม่ทราบว่าต้องซื้อเท่าไร ผมจึงโทรไปหาภรรยาคุณอีกครั้งและถามว่าจะมีแขกมางานประมาณกี่คน เธอบอกว่า 20 คน ผมถามคนขายว่าต้องใช้ส้มจำนวนเท่าไรที่จะทำน้ำส้มคั้นสำหรับ 20 คน ซึ่งก็เยอะมาก ผมขอให้คนขายลดราคาให้หน่อยเพราะซื้อจำนวนมาก และเขาก็ลดให้! ปกติส้มราคาผลละ 75 เซ็นต์ แต่ผมจ่ายแค่ 50 เซ็นต์ นี่ครับเงินทอนกับใบเสร็จ”

เจ้านายยิ้มและบอกว่า “ขอบคุณครับ ไปได้แล้ว”

เขามองไปที่ชายหนุ่มซึ่งกำลังเฝ้าดู ชายหนุ่มยืนขึ้น ห่อไหล่พลางกล่าวว่า “ผมทราบแล้วครับว่าคุณหมายถึงอะไร” เขาเดินอย่างเศร้าใจออกไปจากห้องทำงาน

ชายหนุ่มสองคนนี้แตกต่างกันอย่างไร เจ้านายขอให้ทั้งสองออกไปซื้อส้มและพวกเขาก็ทำ ท่านอาจบอกว่าคนหนึ่งทำมากกว่าที่คาดหมาย หรือคนหนึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า หรือคนหนึ่งใส่ใจในรายละเอียดมากกว่า แต่ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดเกี่ยวข้องกับเจตนาแท้จริง ไม่ใช่สักแต่จะทำ แรงจูงใจของชายหนุ่มคนแรกคือเงิน ตำแหน่ง และชื่อเสียง ส่วนแรงจูงใจของคนที่สองคือความปรารถนาแรงกล้าที่จะทำให้เจ้านายพอใจรวมถึงคำมั่นสัญญาต่อตนเองที่จะเป็นพนักงานที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้—และผลก็ออกมาอย่างชัดเจน

ท่านจะนำอุปมานี้ไปใช้ในชีวิตท่านอย่างไร ความพยายามของท่านในครอบครัว โรงเรียน ที่ทำงาน และที่โบสถ์ จะแตกต่างไปอย่างไรหากท่านพยายามที่จะทำให้พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยและทำตามพระประสงค์ของพระองค์เสมอ โดยมีแรงจูงใจจากความรักที่ท่านมีต่อพระองค์

III. การนำไปใช้

การหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวน—ความสำคัญของการจดจ่อกับงาน

มีกี่ครั้งที่ท่านนั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์เพื่อจะทำการบ้านหรืองานมอบหมายเมื่อทันใดมีโฆษณาขายสินค้าซึ่งท่านกำลังมองหาอยู่ปรากฎขึ้นมา จากนั้นขณะที่ท่านเลือกดูร้านค้าออนไลน์ ท่านสังเกตเห็นว่าเพื่อนๆ บางคนก็ออนไลน์ด้วย ท่านจึงเริ่มคุยกับพวกเขา แล้วท่านก็ได้รับข้อความแจ้งเตือนว่าเพื่อนท่านโพสต์อะไรบางอย่างลงเฟสบุ๊ค และท่านก็ต้องไปดูว่าโพสต์อะไร กว่าจะรู้ตัว ท่านสูญเสียเวลาอันมีค่าไปมากและลืมไปแล้วว่ากำลังใช้คอมพิวเตอร์เพื่อทำสิ่งใดตั้งแต่แรก มีหลายครั้งที่เราถูกรบกวนเวลาที่ควรจะทำอย่างอื่น สิ่งรบกวนขโมยเวลาซึ่งท่านอาจนำไปใช้ทำสิ่งที่ดีได้ ความสามารถในการจดจ่อกับงานช่วยเราหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวน

ข้าพเจ้าทราบว่าพวกท่านชอบทำข้อสอบ ดังนั้นคืนนี้ข้าพเจ้าจะทดสอบท่านสั้นๆ ถึงความสามารถในการจดจ่อของท่าน ท่านจะเห็นนักกีฬาสองทีม ทีมเสื้อขาวกับทีมเสื้อดำ พวกเขาจะส่งลูกบาสเก็ตบอล และข้าพเจ้าอยากให้ท่านเพียงนับจำนวนครั้งที่ทีมเสื้อขาวส่งลูก

[แสดงวีดิทัศน์ทดสอบการรับรู้]

ท่านนับจำนวนครั้งที่ส่งลูกได้เท่าไร

ยกมือขึ้นถ้าท่านนับได้ 19 ครั้ง มีกี่คนนับได้ 20 ครั้ง มีกี่คนนับได้ 21 ครั้ง มีกี่คนนับได้ 22 ครั้ง

คำตอบที่ถูกคือ 21 ครั้ง

ทุกคนที่ตอบถูกว่า 21 ครั้ง ยกมือขึ้น ยกมือไว้ถ้าท่านยังเห็นหญิงชราเดิน แล้วเต้นมูนวอล์คกลางสนามด้วย ยกมือไว้ถ้าท่านเห็นนักรบนินจาเข้ามาแทนที่ผู้เล่นทีมเสื้อดำคนหนึ่ง ท่านเห็นผู้เล่นทีมเสื้อดำสวมหมวกไหม

ลองดูอีกครั้ง และจดจ่อไปที่บางสิ่งซึ่งท่านไม่เห็นในครั้งแรก

[เล่นวีดิทัศน์ทดสอบการรับรู้อีกครั้ง]

เราจะแชร์วีดิทัศน์นี้กับพวกท่านอีกภายหลังในสื่อสังคมออนไลน์

การจดจ่อในชีวิตของเราเป็นสิ่งสำคัญ ดังที่การทดสอบนี้แสดงให้เห็น ปกติเราจะพบสิ่งที่เรากำลังมองหา หรือตามที่พระคัมภีร์กล่าว “จงหาแล้วจะพบ” (ลูกา 11:9)

ถ้าเราจดจ่ออยู่ที่สิ่งต่างๆของโลก เราก็จะพลาดโลกทางวิญญาณทั้งหมดที่อยู่รอบข้างเรา เราอาจจะไม่สามารถรับรู้ถึงการกระตุ้นเตือนทางวิญญาณที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานแก่เราอย่างห่วงใยเพื่อนำทางชีวิตเราและเป็นพรให้ผู้อื่นได้ ในทางกลับกัน ถ้าเราจดจ่ออยู่กับเรื่องทางวิญญาณและสิ่งซึ่ง “เป็นคุณธรรม, งดงาม, หรือกล่าวขวัญกันว่าดีหรือควรค่าแก่การสรรเสริญ” (หลักแห่งความเชื่อข้อ 13) เราก็จะถูกการล่อลวงหรือสิ่งรบกวนของโลกดึงเราออกนอกทางได้น้อยลง วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนคือมีใจจดจ่อแน่วแน่ไปที่จุดมุ่งหมายของเราและทำงานอย่างทุ่มเทในอุดมการณ์ดี จงระวังความสนใจของท่าน—อย่าใช้เวลาจดจ่ออยู่กับการปีนภูเขาเพียงเพื่อจะค้นพบว่าท่านปีนภูเขาผิดลูก

พลังของสิ่งเล็กๆ

สามสิบห้าปีหลังจากข้าพเจ้า “ปรับจุดสนใจ” ของข้าพเจ้าและตัดสินใจรับใช้งานเผยแผ่ ลูกชายข้าพเจ้ากระตุ้นให้ข้าพเจ้าไปเยี่ยมเม็กซิโกกับเขา หวังว่าจะพบผู้คนที่ข้าพเจ้าเคยสอน เราเข้าร่วมการประชุมศีลระลึกในเมืองเล็กๆ ที่ข้าพเจ้าเริ่มต้นรับใช้ คิดว่าจะจำใครสักคนได้—แต่ไม่เลย หลังจากการประชุม เราถามอธิการว่าเขารู้จักผู้คนจากรายชื่อที่ข้าพเจ้าสอนและให้บัพติศมาบ้างไหม ไม่เลยสักคน เขาอธิบายว่าเขาเพิ่งเป็นสมาชิกมาได้ห้าปี เขาแนะนำให้เราคุยกับชายอีกคนผู้เป็นสมาชิกมานานกว่า 27 ปี—ยังคงเป็นไปได้ยาก แต่ก็ต้องลองดู ข้าพเจ้าไล่ตามรายชื่อกับเขาและไม่ประสบความสำเร็จเลยจนเรามาถึงชื่อสุดท้าย เลโอนอร์ โลเปซ เด เอ็นริเกซ

“โอ้ ใช่แล้ว” เขาบอก “ครอบครัวนี้อยู่อีกวอร์ด แต่เข้าโบสถ์ในอาคารเดียวกันนี้ การประชุมศีลระลึกของพวกเขาจะเริ่มต่อจากนี้ พวกเขาควรจะมาในอีกไม่นาน”

เรารอประมาณ 10 นาทีเท่านั้นเมื่อเลโอนอร์เดินเข้ามาในอาคาร แม้ว่าตอนนี้เธอจะอายุ 70 กว่าแล้ว แต่ข้าพเจ้าจำเธอได้ทันที และเธอก็จำข้าพเจ้าได้ เราร้องให้กอดกันนานมาก

เธอบอกว่า “เราสวดอ้อนวอนมากว่า 35 ปีให้คุณกลับมาเพื่อเราจะได้ขอบคุณที่นำพระกิตติคุณมาสู่ครอบครัวของเรา”

เมื่อสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ เข้ามาในอาคาร พวกเราก็ร้องให้กอดกัน ในหางตาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นลูกชายยืนอยู่กับผู้สอนศาสนาเต็มเวลาสองคนผู้กำลังเช็ดน้ำตาด้วยเน็คไทของตนเอง

เมื่อเราเข้าร่วมการประชุมศีลระลึก เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากที่พบว่าอธิการคือลูกชายคนหนึ่งของเลโอนอร์ ผู้เล่นเปียโนคือหลานชายของเธอ ผู้นำเพลงคือหลานสาว และมีเยาวชนชายหลายคนในฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนเป็นหลานชายของเธอ ลูกสาวคนหนึ่งแต่งงานกับที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสเตค ลูกสาวอีกคนแต่งงานกับอธิการของวอร์ดใกล้เคียง ลูกของเลโอนอร์เกือบทุกคนรับใช้งานเผยแผ่ และตอนนี้หลานๆ ก็รับใช้งานเผยแผ่เช่นกัน

เราเรียนรู้ว่าเลโอนอร์เป็นผู้สอนศาสนาดีกว่าที่เราเป็น ทุกวันนี้ ลูกๆ ของเธอเล่าอย่างสำนึกคุณถึงความพยายามอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยของเธอในการสอนพระกิตติคุณแก่พวกเขา สอนความสำคัญของส่วนสิบ พระวิหาร และการศึกษาพระคัมภีร์ สอนการสวดอ้อนวอนและมีศรัทธาที่จะวางใจ เธอสอนพวกเขาว่าการตัดสินใจเล็กๆ เมื่อเวลาผ่านไปจะส่งผลเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ ชอบธรรม และมีความสุข และพวกเขาก็สอนสิ่งเหล่านั้นแก่ผู้อื่น ผลลัพธ์ก็คือมีมากกว่า 500 คนที่เข้ามาในศาสนจักรเพราะครอบครัวแสนวิเศษครอบครัวเดียวนี้ นั่นคือสาเหตุหนึ่งที่ทำไมพระเจ้าทรงต้องการให้ข้าพเจ้าไปรับใช้งานเผยแผ่ สิ่งนี้สอนข้าพเจ้าถึงผลลัพธ์นิรันดร์ของความพยายามทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า

ทุกอย่างเริ่มจากบทสนทนาเรียบง่ายระหว่างอาหารกลางวัน ข้าพเจ้าคิดบ่อยครั้งว่าถ้านายแพทย์พิงกรีจดจ่ออยู่กับอาชีพการงานของเขาหรือการแสวงหาทางโลกอื่นๆ เขาอาจไม่ถามข้าพเจ้าว่าทำไมถึงไม่ไปรับใช้งานเผยแผ่ แต่ความสนใจของเขาอยู่ที่ผู้อื่นและอยู่ที่การผลักดันงานของพระเจ้าให้รุดหน้า เขาปลูกเมล็ดซึ่งเติบโตออกผลและสะสมต่อไป หรือเพิ่มจำนวนอย่างทวีคูณ ความคิดที่ได้รับการดลใจเกิดผลเป็นการกระทำที่ดี การกระทำที่ดีเกิดผลเป็นการกระทำที่ดีอื่นๆ และดำเนินต่อไปเป็นนิรันดร์

มาระโก 4:20 บอกว่า “ส่วนพืชที่หว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้น และรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง”

แนวคิดที่ว่าการกระทำที่เล็กและเรียบง่าย แต่มีจุดมุ่งหมายสามารถทำให้เกิดผลอย่างใหญ่หลวงได้ มีการสนับสนุนไว้อย่างดีในพระคัมภีร์ แอลมาสอนฮีลามันลูกชายของท่านว่า

“โดยเรื่องเล็กและเรียบง่ายสิ่งสำคัญจะเกิดขึ้น …

“… โดยวิธีเล็กๆ น้อยๆ พระเจ้าทรงทำให้ผู้มีปัญญาจำนนและทรงทำให้ความรอดเกิดแก่จิตวิญญาณเป็นอันมาก” (แอลมา 37:6–7)

บทเรียนหนึ่งในช่วงเริ่มต้นของชีวิตควรเป็นบทเรียนที่มีพลังยิ่งใหญ่ในผลรวมสะสมของสิ่งเล็กๆ ที่เราทำทุกวัน สิ่งเล็กและเรียบง่ายกำลังทำงานในชีวิตของท่านขณะนี้—ไม่ว่าจะช่วยท่านหรือต่อต้านท่าน เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงใช้สิ่งเหล่านั้นเสริมสร้างท่าน ซาตานก็ใช้สิ่งเหล่านั้นชักจูงให้ท่านหลงทางและนำท่านออกจากทางอย่างช้าๆ เกือบจะไม่รู้สึกเลย

ความท้าทายของเราคือเมื่อเราเห็นครอบครัวที่ดีเยี่ยมหรือบุคคลที่ประสบความสำเร็จด้านการเงินหรือมีจิตวิญญาณที่แข้มแข็งมาก เราไม่ได้เห็นการกระทำเล็กๆ และเรียบง่ายทั้งหมดที่สร้างสิ่งเหล่านั้น เราเฝ้ามองนักกีฬาโอลิมปิก แต่เราไม่เห็นเวลาหลายปีของการฝึกฝนทุกวันซึ่งทำให้พวกเขาได้แชมป์ เราไปซื้อผลไม้ที่ร้าน แต่เราไม่เห็นการเพาะเมล็ด การเอาใจใส่บำรุงเลี้ยงและเก็บเกี่ยวอย่างปราณีต เรามองไปที่ประธานมอนสันและเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ เราสัมผัสถึงความเข้มแข็งและความดีทางวิญญาณ แต่ที่เราไม่เห็นคือวินัยเรียบง่ายประจำวันที่ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งเหล่านี้ง่ายที่จะทำ แต่ก็ง่ายที่จะไม่ทำ—โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะผลลัพธ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในทันที

เราอาศัยอยู่ในโลกที่ฉับพลันทันด่วน เราต้องการมุ่งตรงจากการเพาะปลูกไปยังการเก็บเกี่ยวทันที เราคุ้นเคยกับการได้รับผลลัพธ์โดยฉับพลัน—เมื่อใดที่เราต้องรอมากกว่าสองสามวินาทีที่จะให้กูเกิ้ลตอบทุกคำถามของเรา เราก็หงุดหงิด—แต่เราลืมไปว่าผลลัพธ์เหล่านี้คือผลรวมสะสมจากหลายยุคของงานและการเสียสละ

แอลมาให้คำแนะนำแก่ฮีลามันซึ่งเหมาะสมกับเรามากในทุกวันนี้ โดยพูดถึงเลียโฮนาและ “ปาฏิหาริย์อื่นๆ อีกมากมาย” ที่นำทางครอบครัวของลีไฮ “วันแล้ววันเล่า” ท่านกล่าวว่า

“เพราะปาฏิหาริย์เหล่านี้ทำงานโดยวิธีเล็กๆ น้อยๆ เครื่องชี้ทางนี้แสดงงานน่าอัศจรรย์แก่พวกเขา. พวกเขาจึงเกียจคร้าน, และลืมใช้ศรัทธาและความขยันหมั่นเพียรของตนและแล้วงานอัศจรรย์เหล่านั้นก็หยุด, และพวกเขาจึงไม่ก้าวหน้าในการเดินทางของตน …

“โอ้ลูกพ่อ, ขอเราอย่าได้เกียจคร้านเพราะความง่ายของทาง; เพราะเป็นมาแล้วเช่นนั้นกับบรรพบุรุษของเรา, เพราะสิ่งนี้ได้รับการเตรียมไว้ดังนั้นสำหรับพวกเขา, ว่าหากพวกเขาจะมองดูพวกเขาจะมีชีวิต; มันก็เป็นเช่นนั้นกับเรา. ทางเตรียมไว้แล้ว, และหากเราจะมองดูเราจะมีชีวิตตลอดกาล.

“และบัดนี้, ลูกพ่อ, จงดูว่าลูกรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้, แท้จริงแล้ว, จงดูว่าลูกพึ่งพาพระผู้เป็นเจ้าและมีชีวิต” (แอลมา 37:40–41,46–47)

เรื่องเล็กและเรียบง่ายสามอย่าง

ข้าพเจ้าขอเน้นวิธีที่เล็กและเรียบง่ายสามวิธีที่จะ “พึ่งพาพระผู้เป็นเจ้า” ซึ่งจะช่วยให้เรายังคงจดจ่ออยู่กับจุดมุ่งหมายอันเป็นนิรันดร์ ท่านจะไม่แปลกใจกับสิ่งเหล่านี้เลย— ท่านเคยได้ยินมาก่อนหลายครั้ง แต่ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าการทำสิ่งเหล่านี้ อย่างสม่ำเสมอ และด้วย เจตนาแท้จริง จะไม่ใช่แค่สร้างความแตกต่างเท่านั้น แต่จะสร้างความแตกต่างใหญ่หลวง ถ้าท่านเข้าใจ—เข้าใจจริงๆ—ถึง สาเหตุ ที่อยู่เบื้องหลังวินัยเรียบง่ายเหล่านี้ โดยไม่สงสัยเลย ท่านจะให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้เป็นอันดับต้นๆ ในชีวิตท่าน

อย่างแรก เมื่อเรารับส่วนศีลระลึก บ่อยครั้งเราแค่ทำไปอย่างนั้น ขณะที่ท่านชมวีดิทัศน์นี้ โปรดสังเกตความจดจ่อไปที่การระลึกถึง และพิจารณาดูว่าทำไมจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์: “เมื่อปัสกามื้อสุดท้ายที่เตรียมมาพิเศษกำลังจะสิ้นสุดลง พระเยซูทรงหยิบขนมปัง ทรงอวยพรและทรงหักส่งให้อัครสาวกของพระองค์ พลางตรัสว่า”

พระเยซูคริสต์: “นี่เป็นกายของเราซึ่งให้ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย: จงทำอย่างนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา ถ้วยนี้ที่เทออกเพื่อท่านทั้งหลาย เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเรา: จงทำอย่างนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา”

เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์: “นับตั้งแต่ประสบการณ์ในห้องชั้นบนครั้งนั้นในคืนก่อนเสด็จไปเกทเสมนีและกลโกธา บุตรธิดาแห่งคำสัญญาล้วนอยู่ภายใต้พันธสัญญาให้ระลึกถึงการพลีบูชาของพระคริสต์ในวิธีที่ใหม่กว่า สูงกว่า ศักดิ์สิทธิ์กว่า และเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น ด้วยถ้วยน้ำขนาดเล็กเราระลึกถึงการหลั่งพระโลหิตของพระคริสต์และความลึกซึ้งแห่งทุกขเวทนาทางวิญญาณของพระองค์

“ด้วยชิ้นขนมปังที่หักออก ได้รับพร และมอบให้ก่อนเสมอ เราระลึกถึงพระวรกายที่ฟกช้ำและพระทัยที่แตกสลายของพระองค์

“ในภาษาที่เรียบง่ายและไพเราะของคำสวดอ้อนวอนศีลระลึกที่ปุโรหิตหนุ่มเหล่านั้นกล่าว คำหลักที่เราได้ยินดูเหมือนเป็นคำว่า ระลึกถึง

“ถ้าการระลึกถึงคือภารกิจหลักต่อหน้าเรา สิ่งใดจะเข้ามาสู่ความทรงจำของเราเมื่อเราได้รับเครื่องหมายอันเรียบง่ายและมีค่าเหล่านั้น”

พระเยซูคริสต์: “และสิ่งนี้เจ้าจงทำ และมันจะเป็นประจักษ์พยานต่อพระบิดาว่าเจ้าระลึกถึงเราตลอดเวลา และหากเจ้าระลึกถึงเราตลอดเวลาเจ้าจะมีพระวิญญาณของเราอยู่กับเจ้า”

ตัวหนังสือบนจอภาพ: ท่านจะ “ระลึกถึง” พระองค์ “ตลอดเวลา” อย่างไร5

ขณะที่เราระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลาและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ลองคิดดูว่าผลรวมสะสมจากการมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลาจะส่งผลต่อทุกด้านของชีวิตเราอย่างไร ลองนึกดูว่าจะมีอิทธิพลกับเราต่อการตัดสินใจประจำวันและต่อการรับรู้ถึงความต้องการของผู้อื่นอย่างไร

มีหลายวิธีนับไม่ถ้วนที่เราสามารถรักษาสัญญาที่จะระลึกถึงพระผู้ช่วยให้รอดตลอดเวลาในตลอดวันได้ ท่านจะระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลาได้อย่างไร

ส่วนใหญ่จะตอบว่า “สวดอ้อนวอนและศึกษาพระคัมภีร์” และท่านก็ตอบถูกต้องถ้า ขอย้ำ ถ้า ทำด้วยเจตนาแท้จริง

การสวดอ้อนวอนและศึกษาพระคัมภีร์คือเรื่องเล็กและเรียบง่ายสองอย่างที่ข้าพเจ้าอยากจะเน้น

พระเจ้าตรัสอย่างชัดเจนว่าคำสวดอ้อนวอนของเราไร้ประสิทธิภาพอย่างไรเมื่อเราสวดอ้อนวอนไปตามประเพณี “ถือว่าเป็นการชั่ว…สำหรับมนุษย์, หากเขาสวดอ้อนวอนและไม่ใช่ด้วยเจตนาอันแท้จริงจากใจ; แท้จริงแล้ว, และย่อมไม่เป็นประโยชน์กับเขาเลย, เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงรับคนเช่นนั้น” (โมโรไน 7:9)

เจตนาแท้จริงของการสวดอ้อนวอนคือการเปิดการสื่อสารสองฝ่ายกับพระบิดาบนสวรรค์ของเรา ด้วยเจตนาที่จะทำตามคำแนะนำที่พระองค์ประทาน “จงปรึกษาพระเจ้าในการกระทำทั้งหมดของลูก, และพระองค์จะทรงชี้ทางให้ลูกเพื่อความดี; แท้จริงแล้ว, เมื่อลูกลงนอนตอนกลางคืนจงลงนอนอยู่กับพระเจ้า, เพื่อพระองค์จะทรงดูแลลูกในการหลับของลูก; และเมื่อลูกลุกขึ้นตอนเช้าขอให้ใจลูกเต็มไปด้วยความขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้า; และหากลูกทำสิ่งเหล่านี้, พระองค์จะทรงยกลูกขึ้นในวันสุดท้าย” (แอลมา 37:37)

โดยธรรมชาติแล้ว การสวดอ้อนวอนและศึกษาพระคัมภีร์ไปด้วยกัน เมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์และถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ยุคปัจจุบัน เป็นการเตรียมเราสำหรับการเปิดเผยส่วนตัว แบบอย่างและคำเตือนที่พบในพระคัมภีร์สั่งสอนความปรารถนาของเรา นี่คือวิธีที่เราเริ่มรู้จักพระดำริและพระประสงค์ของพระเจ้า

ศาสดาพยากรณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันได้วิงวอนให้เราทำสิ่งเล็กและเรียบง่ายเช่นการสวดอ้อนวอนและศึกษาพระคัมภีร์ ทำไมจึงไม่มีใครทำเล่า บางทีเหตุผลหนึ่งคือเราไม่เห็นผลลัพธ์ในแง่ลบอย่างใหญ่หลวงถ้าเราไม่ได้ทำไปหนึ่งหรือสองวัน—เหมือนกับที่ฟันของท่านไม่ได้ผุและหลุดออกมาครั้งแรกที่ท่านลืมแปรงฟัน ผลลัพธ์ส่วนใหญ่ ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ จะเกิดขึ้นภายหลัง อาจใช้เวลา แต่ จะ เกิดขึ้น

หลายปีมาแล้วข้าพเจ้าปลูกต้นไม้พันธ์เดียวกันและสูงเท่ากันสองต้นในสนามหลังบ้าน ข้าพเจ้าปลูกต้นหนึ่งในบริเวณที่ได้รับแสงแดดรำไรทุกวัน และปลูกอีกต้นในบริเวณที่ได้รับแสงแดดจัด หนึ่งปีผ่านไปข้าพเจ้าไม่สังเกตเห็นความแตกต่างมากนักระหว่างต้นไม้สองต้น แต่แล้วข้าพเจ้ากับภรรยาจากไปรับใช้งานเผยแผ่สามปี เมื่อเรากลับมา ข้าพเจ้าตกใจกับความแตกต่างอย่างมาก! ผลรวมสะสมของการรับแสงแดดมากกว่าเล็กน้อยทุกวันสร้างความแตกต่างใหญ่หลวง—โดยใช้เวลา—ในการเติบโตของต้นไม้ สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นในชีวิตเราเมื่อเราแสดงตนทุกวันต่อต้นกำเนิดแห่งแสงสว่างทั้งปวง เราอาจไม่สังเกตการเปลี่ยนแปลงในทันที แต่รับรองว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นกำลังเกิดขึ้นข้างในท่าน และจะเห็นผลเมื่อถึงเวลา

แนวคิดเรียบง่ายของผลรวมสะสมของวินัยประจำวัน ด้วยจุดมุ่งหมายและเจตนาแท้จริงนี้ สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากใน ทุก ด้านของชีวิตท่าน อาจหมายถึงความแตกต่างระหว่างการดิ้นรนผ่านชีวิตธรรมดาหรือการประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงและทำให้จุดประสงค์ของการสร้างของท่านเกิดสัมฤทธิผล

บ่อยครั้งข้าพเจ้ามองย้อนกลับไปในชีวิตและสงสัยว่าทำไมจึงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจไปรับใช้งานเผยแผ่ เป็นเรื่องยากเพราะข้าพเจ้าถูกรบกวน—ข้าพเจ้าไม่เห็นจุดมุ่งหมายนิรันดร์ของข้าพเจ้า ความปรารถนาและความตั้งใจของข้าพเจ้าไม่ตรงกับพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่เช่นนั้น การตัดสินใจคงจะง่ายกว่านี้ และทำไมถึงไม่ตรงกัน ข้าพเจ้าไปโบสถ์ และรับส่วนศีลระลึกในวันอาทิตย์—แต่ไม่ได้จดจ่อที่ความหมายของศาสนพิธีนั้น ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอน แต่ส่วนใหญ่ทำไปตามน้ำ ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์ แต่ทำเพียงบางช่วงและไม่มีเจตนาแท้จริง

เมื่อท่านได้ฟังวันนี้ ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะรู้สึกได้ ผ่านเสียงกระซิบของพระวิญญาณ ว่าท่านควรทำอย่างไรที่จะดำเนินชีวิตอย่างรอบคอบและมุ่งมั่น ข้าพเจ้าสนับสนุนให้ท่านทำตามการกระตุ้นเตือนเหล่านั้น อย่าท้อแท้ใจด้วยการคิดถึงสิ่งที่ท่านทำไปแล้วหรือยังไม่ได้ทำ ขอให้พระผู้ช่วยให้รอดประทานการเริ่มต้นใหม่แก่ท่าน จงจำสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “แต่บ่อยเท่าที่พวกเขากลับใจและแสวงหาการให้อภัย, ด้วย เจตนาอันแท้จริง, พวกเขาได้รับการให้อภัย” (โมโรไน 6:8; เน้นตัวเอน)

จงเริ่มเดี๋ยวนี้ ดำเนินชีวิตอย่างมีจุดประสงค์ จงใช้พลังแห่งการสะสมวินัยประจำวันในด้านสำคัญของชีวิตท่าน ข้าพเจ้าสัญญว่าหนึ่งปีจากนี้ไปท่านจะดีใจที่ได้เริ่มต้นวันนี้หรือไม่ก็เสียใจที่ไม่ได้ทำ

ข้าพเจ้าขอให้ท่านพิจารณาคำถามสามข้อนี้ ข้าพเจ้าเชื้อเชิญท่านให้แบ่งปันคำตอบของท่านในสื่อสังคมออนไลน์โดยใช้ #ldsdevo

คำถามแรก: ท่านทำได้ไหม เป็นไปได้ไหมที่ท่านจะทำสิ่งเล็กและเรียบง่ายทั้งสามอย่างเหล่านี้ ท่านพยายามรักษาพันธสัญญาของท่านที่จะ “ระลึกถึงพระองค์คลอดเวลา” (คพ. 20:77, 79) ได้ไหม ท่านหาเวลาที่จะสวดอ้อนวอนด้วยเจตนาแท้จริงและศึกษาพระคัมภีร์ทุกวันได้ไหม

คำถามที่สอง: จะได้ผลไหม ท่านเชื่อคำสัญญาของพระเจ้าจริงๆ ไหม ท่านเชื่อไหมว่าผลรวมสะสมของการมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับท่านตลอดเวลาจะมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งในทุกแง่มุมของชีวิตท่าน

คำถามสุดท้าย: คุ้มค่าไหม

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าคุ้มค่า จริงๆ และสร้างความแตกต่างอย่างยิ่ง เมื่อท่านทำสิ่งเหล่านี้ ท่านจะพบว่า “สาเหตุ”สำคัญที่สุดเบื้องหลังทุกสิ่งที่ท่านทำคือท่านรักพระเจ้าและรับรู้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงมีให้ท่าน ขอให้ท่านทั้งหลายพบปีติใหญ่หลวงในการแสวงหาความดีพร้อม เข้าใจและทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. Leo Tolstoy, ใน Peter T. White, “The World of Tolstoy,” National Geographic, June 1986, 767, 790.

  2. พิจารณาว่าเขียนโดยมาร์ค ทเวน.

  3. แทด อาร์. คอลลิสเตอร์, “Our Identity and Our Destiny” (Brigham Young University Campus Education Week devotional, Aug. 14, 2012), 9; speeches.byu.edu.

  4. “Apology,” The Dialogues of Plato, trans. Benjamin Jowett, 38a.

  5. ดัดแปลงจากวีดิทัศน์ “ระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา”; lds.org/media-library; ดู Jeffrey R. Holland, “This Do in Remembrance of Me,” Ensign, Nov. 1995, 67–68 ด้วย.