หลังการทดลองศรัทธาของเรา
เมื่อเราทำตามสุรเสียงของพระผู้เป็นเจ้าและเดินตามเส้นทางพันธสัญญาของพระองค์ พระองค์จะทรงทำให้เราเข้มแข็งขึ้นในการทดลองของเรา
เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก แฟรงค์ แทลลีย์ สมาชิกคนหนึ่งของศาสนจักรเสนอช่วยครอบครัวข้าพเจ้าบินจากเปอร์โตริโกไปซอลท์เลคซิตี้เพื่อผนึกในพระวิหาร แต่ไม่นานอุปสรรคก็เริ่มปรากฏขึ้น มาริวิดพี่สาวคนหนึ่งของข้าพเจ้าป่วย ด้วยใจที่ว้าวุ่น คุณพ่อคุณแม่ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าควรทำอย่างไรและยังรู้สึกถึงการกระตุ้นเตือนให้เดินทาง พวกท่านวางใจว่าเมื่อทำตามการกระตุ้นเตือนของพระเจ้าด้วยศรัทธา ครอบครัวเราจะได้รับการดูแลและได้รับพร—และก็เป็นเช่นนั้น
ไม่ว่าเราเผชิญอุปสรรคใดในชีวิต เราสามารถวางใจว่าพระเยซูคริสต์จะทรงเตรียมทางไว้ข้างหน้าเมื่อเราเดินด้วยศรัทธา พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาว่าทุกคนที่ดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาที่ทำไว้กับพระองค์ จะได้รับพรที่พระองค์สัญญาไว้ทุกประการตามเวลาของพระองค์ เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์สอนว่า “พรบางอย่างมาเร็ว บางอย่างมาช้า และบางอย่างไม่มาจนวาระสุดท้ายของชีวิต แต่สำหรับผู้ที่ยอมรับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ พรจะมา”1
โมโรไนสอนว่า “ศรัทธาคือสิ่งที่หวังไว้และมองไม่เห็น; ดังนั้น, จงอย่าเถียงกันเลยเพราะท่านไม่เห็น, เพราะท่านไม่ได้รับพยานจนหลังการทดลองศรัทธาของท่าน”2
คำถามของเราคือ เราควรทำอย่างไรเพื่อรับมือกับการทดลองที่เกิดขึ้นกับเราให้ดีที่สุด?
ในคำปราศรัยต่อสาธารณชนครั้งแรกในฐานะประธานศาสนจักร ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนว่า “ในฐานะฝ่ายประธานชุดใหม่ เราต้องการให้ท่านเริ่มโดยมีเป้าหมายในใจ เพราะเหตุผลนี้ เราจึงพูดกับท่านวันนี้จากพระวิหาร เป้าหมายที่เราแต่ละคนพยายามทำคือรับเอ็นดาวเม้นท์ด้วยพลังอำนาจในพระนิเวศน์ของพระเจ้า ผนึกเป็นครอบครัว ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาที่ทำไว้ในพระวิหารเพื่อให้เราคู่ควรรับของประทานสำคัญที่สุดของพระผู้เป็นเจ้า—นั่นคือชีวิตนิรันดร์ ศาสนพิธีของพระวิหารและพันธสัญญาที่ท่านทำที่นั่นเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชีวิตท่าน ชีวิตแต่งงานและครอบครัวท่าน และความสามารถในการต่อต้านการโจมตีของปฏิปักษ์ การนมัสการในพระวิหารและการรับใช้บรรพชนของท่านที่นั่นจะเป็นพรให้ท่านได้รับการเปิดเผยส่วนตัวและสันติสุขเพิ่มขึ้น ทั้งจะเสริมความมุ่งมั่นให้ท่านอยู่บนเส้นทางพันธสัญญา”3
เมื่อเราทำตามสุรเสียงของพระผู้เป็นเจ้าและเดินตามเส้นทางพันธสัญญาของพระองค์ พระองค์จะทรงทำให้เราเข้มแข็งขึ้นในการทดลองของเรา
การเดินทางไปพระวิหารของครอบครัวข้าพเจ้าเมื่อหลายปีก่อนยากลำบาก แต่เมื่อเราไปถึงพระวิหารในซอลท์เลคซิตี้ ยูทาห์ คุณแม่ข้าพเจ้ากล่าวด้วยปีติและศรัทธาเต็มเปี่ยมว่า “เราจะไม่เป็นไร พระเจ้าจะทรงคุ้มครองเรา” เราได้รับการผนึกเป็นครอบครัว และพี่สาวข้าพเจ้าหายจากอาการป่วย สิ่งนี้เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อหลังจากการทดลองศรัทธาของคุณพ่อคุณแม่และในการทำตามการกระตุ้นเตือนของพระเจ้า
แบบอย่างของคุณพ่อคุณแม่ข้าพเจ้ายังคงมีอิทธิพลต่อชีวิตเราจนถึงปัจจุบัน แบบอย่างนี้สอนเราถึง เหตุผล ของหลักคำสอนพระกิตติคุณและช่วยให้เราเข้าใจความหมาย จุดประสงค์ และพรที่พระกิตติคุณนำมาให้ การเข้าใจถึง เหตุผล ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์สามารถช่วยให้เราเผชิญการทดลองด้วยศรัทธาได้เช่นกัน
ท้ายที่สุด ทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเชื้อเชิญและทรงบัญชาให้เราทำเป็นการแสดงออกถึงความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเราและพระประสงค์ของพระองค์ที่จะประทานพรซึ่งสงวนไว้เพื่อคนซื่อสัตย์ เราไม่สามารถคิดเอาเองว่าลูกๆ ของเราจะเรียนรู้วิธีรักพระกิตติคุณด้วยตนเอง นี่คือความรับผิดชอบของเราที่จะสอนพวกเขา เมื่อเราช่วยลูกๆ ของเราให้เรียนรู้วิธีใช้สิทธิ์เสรีอย่างฉลาด แบบอย่างของเราจะสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาเลือกอย่างชอบธรรมด้วยตนเอง แล้วการดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์ของพวกเขาจะช่วยให้ลูกๆ ของพวกเขารู้ความจริงของพระกิตติคุณด้วยตัวเองต่อไป
เยาวชนชายและเยาวชนหญิง จงฟังศาสดาพยากรณ์ยุคปัจจุบันที่กำลังพูดกับท่าน จงแสวงหาที่จะเรียนรู้ความจริงแห่งสวรรค์และแสวงหาความเข้าใจในพระกิตติคุณด้วยตัวท่านเอง เมื่อไม่นานมานี้ประธานเนลสันแนะนำว่า “ท่านขาดปัญญาเรื่องใด? … จงทำตามแบบอย่างของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ หาที่เงียบๆ … นอบน้อมถ่อมตนต่อพระผู้เป็นเจ้า ระบายความในใจต่อพระบิดาบนสวรรค์ของท่าน หันไปขอคำตอบจากพระองค์”4 เมื่อท่านแสวงหาการนำทางจากพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักท่าน ฟังคำแนะนำของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต และเฝ้าดูแบบอย่างของบิดามารดาที่ชอบธรรม ท่านจะเป็นห่วงโซ่ที่แข็งแรงแห่งศรัทธาในครอบครัวท่านได้เช่นกัน
ถึงบิดามารดาที่ลูกๆ อาจออกนอกเส้นทางพันธสัญญาไปแล้ว จงค่อยๆ กลับไป ช่วยให้พวกเขาเข้าใจความจริงของพระกิตติคุณ จงเริ่มเดี๋ยวนี้ ไม่มีคำว่าสายเกินไป
แบบอย่างการดำเนินชีวิตที่ชอบธรรมของเราจะส่งผลดีได้มากมาย ประธานเนลสันกล่าวไว้ว่า “พวกเราวิสุทธิชนยุคสุดท้ายคุ้นเคยกับการคิดว่า ‘ศาสนจักร’ เป็นบางอย่างที่เกิดขึ้นในอาคารประชุมของเรา และให้สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านคอยสนับสนุน เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะให้ ศาสนจักรมีครอบครัวเป็นศูนย์กลาง โดยมีสิ่งที่เกิดขึ้นในอาคารของสาขา วอร์ด และสเตคคอยสนับสนุน”5
พระคัมภีร์สอนว่า “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเติบใหญ่เขาจะไม่พรากจากทางนั้น”6
พระคัมภีร์กล่าวด้วยว่า “และบัดนี้, เนื่องจากการสั่งสอนพระวจนะมีแนวโน้มอย่างยิ่งที่จะนำผู้คนให้ทำสิ่งซึ่งเที่ยงธรรม—แท้จริงแล้ว, บังเกิดผลอันมีพลังแก่จิตใจผู้คนยิ่งกว่าดาบ, หรือสิ่งใด, ที่ได้เกิดกับพวกเขา—ฉะนั้นแอลมาจึงคิดว่าสมควรที่พวกเขาจะลองอานุภาพแห่งพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า”7
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสตรีผู้หนึ่ง เธอกลุ้มใจที่ลูกชายกินลูกกวาดมากเกินไป ไม่ว่าเธอจะพร่ำบอกให้เขาหยุดกินแค่ไหน เขาก็ยังกินหวานเหมือนเดิม ด้วยความท้อใจ เธอจึงตัดสินใจพาลูกชายไปพบนักปราชญ์ที่เขาเคารพ
เธอเข้าไปหานักปราชญ์และพูดว่า “ท่านคะ ลูกชายดิฉันกินลูกกวาดมากเกินไป ท่านจะกรุณาบอกให้เขาเลิกกินได้ไหมคะ?”
นักปราชญ์ตั้งใจฟังแล้วหันไปพูดกับบุตรชายของเธอว่า “กลับบ้านไปก่อน อีกสองสัปดาห์ค่อยมาใหม่”
เธอพาลูกชายกลับบ้าน รู้สึกฉงนว่าทำไมนักปราชญ์จึงไม่ขอให้ลูกชายเธอเลิกกินลูกกวาดเยอะแบบนี้
สองสัปดาห์ให้หลังพวกเขากลับมา นักปราชย์มองหน้าเด็กชาย และพูดว่า “พ่อหนู เธอควรเลิกกินลูกกวาดเยอะเสียที มันไม่ดีต่อสุขภาพ”
เด็กชายพยักหน้าและสัญญาว่าจะทำตาม
คุณแม่ของเด็กชายถามว่า “ทำไมท่านจึงไม่บอกเขาเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วเล่า?”
นักปราชญ์ยิ้ม “สองสัปดาห์ก่อนตัวฉันยังกินลูกกวาดเยอะเกินไปอยู่เลย”
ชายผู้นี้ดำเนินชีวิตซื่อตรงมากถึงขนาดที่เขารู้ว่าคำแนะนำของเขาจะมีพลังก็ต่อเมื่อเขาทำตามคำแนะนำของตนเอง
อิทธิพลที่เรามีต่อลูกๆ ของเรามีพลังมากขึ้นเมื่อพวกเขาเห็นเราเดินอย่างซื่อสัตย์บนเส้นทางพันธสัญญา เจคอบศาสดาพยากรณ์ในพระคัมภีร์มอรมอนเป็นแบบอย่างของความชอบธรรมเช่นนั้น อีนัสบุตรชายท่านเขียนถึงอิทธิพลจากคำสอนของบิดาดังนี้:
“ข้าพเจ้า, อีนัส, โดยที่รู้จักบิดาข้าพเจ้าว่าท่านเป็นคนเที่ยงธรรม—เพราะท่านสอนข้าพเจ้าเกี่ยวกับภาษาของท่าน, และตามการเลี้ยงดูและการตักเตือนของพระเจ้าด้วย—และขอพระนามพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงเจริญด้วยพระสิริเพราะการนี้เถิด …
“… และคำพูดซึ่งข้าพเจ้าได้ยินจากบิดาข้าพเจ้าบ่อย ๆ เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์, และปีติของวิสุทธิชน, ฝังลึกอยู่ในใจข้าพเจ้า”8
มารดาของเหล่านักรบหนุ่มดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ บรรดาบุตรของนางจึงเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ผู้นำของพวกเขารายงานว่า:
“พวกเขาได้รับการสอนจากมารดา, ว่าหากพวกเขาไม่สงสัย, พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปลดปล่อยพวกเขา.
“และพวกเขาทบทวนถ้อยคำของมารดากับข้าพเจ้า, มีความว่า : เราไม่สงสัยเลยว่ามารดาของเรารู้เรื่องนี้”9
อีนัสและเหล่านักรบหนุ่มเข้มแข็งขึ้นเพราะศรัทธาของบิดามารดาซึ่งช่วยให้พวกเขารับมือกับการทดลองศรัทธาของตนเอง
เราได้รับพรด้วยพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์ในสมัยของเรา ซึ่งยกเราขึ้นเมื่อเรารู้สึกท้อแท้หรือมีปัญหา เรามั่นใจมากขึ้นว่าความพยายามของเราจะออกผลตามเวลาของพระเจ้าถ้าเรามุ่งหน้าผ่านการทดลองศรัทธาของเรา
เมื่อเร็วๆ นี้ข้าพเจ้ากับภรรยาและฝ่ายประธานภาคติดตามเอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์ไปอุทิศพระวิหารปอร์โตแปรงซ์ เฮติ ฮอร์เฮลูกชายของเราที่ไปด้วยเล่าประสบการณ์ของเขาว่า “อัศจรรย์มากเลยครับพ่อ! ทันทีที่เอ็ลเดอร์เบดนาร์เริ่มสวดอ้อนวอนอุทิศ ผมรู้สึกว่าห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสว่าง คำสวดอ้อนวอนทำให้ผมเข้าใจจุดประสงค์ของพระวิหารมากขึ้นเยอะเลย นั่นเป็นพระนิเวศน์ของพระเจ้าจริงๆ”
ในพระคัมภีร์มอรมอน นีไฟสอนว่าถ้าเราปรารถนาจะรู้ถึงพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงเสริมพลังเรา ท่านเขียนว่า “ข้าพเจ้า, นีไฟ, โดยที่อายุน้อยยิ่งนัก … และมีความปรารถนามากด้วยที่จะรู้ความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้า, ดังนั้น, ข้าพเจ้าร้องทูลพระเจ้า; และดูเถิดพระองค์เสด็จเยือนข้าพเจ้า, และทรงทำให้ใจข้าพเจ้าอ่อนลงจนข้าพเจ้าเชื่อคำทั้งปวงซึ่งพูดโดยบิดาข้าพเจ้า; ดังนั้น, ข้าพเจ้ามิได้กบฏต่อต้านท่านเหมือนดังพี่ ๆ ข้าพเจ้า.”10
พี่น้องทั้งหลาย ขอให้เราช่วยลูกๆ ของเราและทุกคนรอบข้างให้เดินตามเส้นทางพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อพระวิญญาณจะทรงสอนพวกเขาและทำให้ใจของพวกเขาอ่อนลงและปรารถนาจะทำตามพระองค์ไปตลอดชีวิต
เมื่อข้าพเจ้าไตร่ตรองถึงแบบอย่างของคุณพ่อคุณแม่ ข้าพเจ้าตระหนักว่าศรัทธาของเราในพระเจ้าพระเยซูคริสต์จะบอกทางเรากลับบ้านบนสวรรค์ ข้าพเจ้ารู้ว่าปาฏิหาริย์มาหลังการทดลองศรัทธาของเรา
ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานถึงพระเยซูคริสต์และการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์ ข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ปลดปล่อยของเรา พระองค์และพระบิดาบนสวรรค์เสด็จมาหาเด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธ ศาสดาพยากรณ์แห่งการฟื้นฟู ในเช้าวันนั้นของฤดูใบไม้ผลิปี 1820 ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันเป็นศาสดาพยากรณ์ในยุคของเรา ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน