ยามทุกข์หรือสุข โปรดทรงสถิตกับข้า!
ดิฉันเป็นพยานว่า “ยามทุกข์หรือสุข” พระเจ้าจะทรงสถิตกับเรา “ความทุกข์ของเรา [สามารถ] ถูกกลืนเข้าไปในปีติของพระคริสต์”
เพลงสวดที่เรารักเพลงหนึ่งมีคำทูลวิงวอนว่า “ยามทุกข์หรือสุข ... โปรดทรงสถิตกับข้า!”1 ดิฉันเคยอยู่บนเครื่องบินขณะเข้าสู่พายุลูกใหญ่ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างดิฉันเห็นเมฆหนาทึบแผ่คลุมอยู่ด้านล่าง แสงแดดยามโพล้เพล้สะท้อนจากก้อนเมฆ ทำให้ส่องสว่างเจิดจ้ายิ่งนัก ไม่นานเครื่องบินก็ฝ่าเมฆหนาลงไป เราถูกห่อหุ้มอยู่ในความมืดมิดทันที จนเรามืดบอดต่อแสงสว่างเจิดจ้าที่เราเห็นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน2
เมฆดำเหล่านี้อาจตั้งเค้าในชีวิตเราเช่นกัน มันสามารถทำให้เรามืดบอดต่อแสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้า และถึงกับทำให้เราสงสัยว่าแสงนั้นยังมีให้เราอีกหรือไม่ เมฆบางก้อนเหล่านี้ได้แก่ ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล ตลอดจนความทุกข์ทางใจและทางอารมณ์ในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งสามารถบิดเบือนการรับรู้ตัวเราเอง ผู้อื่น และแม้แต่พระผู้เป็นเจ้า ทั้งยังมีผลกระทบต่อชายและหญิงทุกวัยในทุกมุมโลก
สิ่งที่ก่อความเสียหายเช่นกันคือเมฆของความสงสัยที่ลดทอนความรู้สึกซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อผู้ไม่เคยประสบการท้าทายเหล่านี้ เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย สมองอาจป่วย บาดเจ็บ และเกิดความไม่สมดุลทางเคมีได้ เมื่อเรามีความทรมานทางจิตใจ เป็นเรื่องเหมาะสมที่จะขอความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า จากคนรอบข้าง และจากแพทย์กับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
“มนุษย์ทั้งหลาย—ชายกับหญิง—ได้รับการสร้างในรูปลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า แต่ละคนเป็นปิยบุตรหรือปิยธิดาทางวิญญาณของพระบิดาพระมารดาบนสวรรค์ และ … แต่ละคนจึงมีลักษณะและจุดหมายปลายทางแห่งสวรรค์”3 เหมือนกับพระบิดาพระมารดาบนสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เรามีร่างกาย4 และอารมณ์ความรู้สึก5
พี่น้องสตรีที่รัก เป็นธรรมดาที่เราจะรู้สึกเศร้าหรือกังวลบ้างบางครั้ง ความเศร้าและความกังวลเป็นอารมณ์ของมนุษย์ปุถุชน6 แต่ถ้าเราเศร้าตลอดเวลาและถ้าความเจ็บปวดของเราปิดกั้นไม่ให้เรารู้สึกถึงความรักของพระบิดาบนสวรรค์กับพระบุตร และอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราอาจกำลังทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล หรือสภาพอารมณ์อื่น
ลูกสาวของดิฉันเขียนไว้ว่า “มีครั้งหนึ่ง … [ที่] ฉันรู้สึกเศร้ามากตลอดเวลา ฉันคิดเสมอว่าความเศร้าเป็นเรื่องน่าอับอาย และเป็นสัญญาณของความอ่อนแอ ฉันจึงเก็บความเศร้าไว้กับตัวเอง … ฉันรู้สึกไร้ค่าจริงๆ”7
เพื่อนคนหนึ่งอธิบายทำนองนี้: “ตั้งแต่เด็ก ฉันต่อสู้กับความรู้สึกสิ้นหวังมาโดยตลอด ทั้งความมืด ความเหงา ความกลัว และความรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวหรือบกพร่อง ฉันทำทุกอย่างเพื่อซ่อนความเจ็บปวด และไม่มีวันยอมให้ใครเห็นว่าฉันเป็นอะไรนอกจากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและเข้มแข็ง”8
เพื่อนที่รักทั้งหลาย สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเราได้—โดยเฉพาะเมื่อผู้เชื่อในแผนแห่งความสุขอย่างเราวางภาระที่ไม่จำเป็นไว้กับตนเองโดยคิดว่าเราต้องดีพร้อมตั้งแต่ตอนนี้ ความคิดเช่นนั้นจะทำให้เรารู้สึกหนักใจ การบรรลุถึงความดีพร้อมเป็นกระบวนการที่จะเกิดขึ้นตลอดชีวิตมรรตัยและหลังจากนั้น—และโดยผ่านพระคุณของพระเยซูคริสต์เท่านั้น9
ในทางกลับกัน เมื่อเราเปิดใจพูดถึงความท้าทายทางอารมณ์ของเรา โดยยอมรับว่าเราไม่ดีพร้อม เท่ากับเราอนุญาตให้ผู้อื่นบอกเล่าปัญหาของพวกเขา เราตระหนักด้วยกันว่าความหวังยังมีและเราไม่ต้องทุกข์ทรมานตามลำพัง10
ในฐานะสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์ เราได้ทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าว่าเรา “เต็มใจจะแบกภาระของกันและกัน” และ “โศกเศร้ากับคนที่โศกเศร้า”11 นี่อาจรวมถึงการรับรู้ความเจ็บป่วยทางอารมณ์ การหาแหล่งช่วยเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น และในที่สุด นำตัวเราและผู้อื่นมาหาพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระอาจารย์ผู้ทรงเยียวยา12 ถึงแม้เราไม่รู้ว่าจะเข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นกำลังประสบอย่างไร แต่การรู้อย่างแน่ชัดว่าพวกเขาเจ็บปวดจริงอาจเป็นก้าวสำคัญก้าวแรกไปสู่การเข้าใจและการเยียวยา13
ในบางกรณีเราจะทราบสาเหตุของภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวลได้ แต่ในหลายกรณีอาจมองไม่ออก14 สมองของเราอาจทรมานเพราะความเครียด15หรือความเหนื่อยล้าแสนสาหัส16 ซึ่งบางครั้งอาจดีขึ้นได้ด้วยการปรับอาหาร ปรับการนอน และปรับการออกกำลังกาย แต่บางครั้งอาจจำเป็นต้องบำบัดหรือรักษาด้วยยาภายใต้คำแนะนำของมืออาชีพผู้เชี่ยวชาญด้วย
ความเจ็บป่วยทางจิตใจหรือทางอารมณ์ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ความโดดเดี่ยวมากขึ้น ความเข้าใจผิด ความสัมพันธ์แตกหัก การทำร้ายตนเอง และแม้กระทั่งการฆ่าตัวตาย ดิฉันรู้จากประสบการณ์ตรงเพราะคุณพ่อของดิฉันฆ่าตัวตายเมื่อหลายปีก่อน การตายของท่านทำให้ดิฉันกับครอบครัวรู้สึกช็อกและเสียใจอย่างมาก ดิฉันใช้เวลาหลายปีกว่าจะทำให้ตัวเองหายเศร้า และเมื่อเร็วๆ นี้เอง ดิฉันเพิ่งเรียนรู้ว่าการพูดเรื่องการฆ่าตัวตายในวิธีที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันมากกว่ากระตุ้นให้เกิดขึ้น17 ดิฉันได้สนทนาอย่างตรงไปตรงมากับลูกๆ เกี่ยวกับการตายของคุณพ่อดิฉันและเป็นพยานถึงการเยียวยาที่พระผู้ช่วยให้รอดสามารถประทานให้ทั้งสองด้านของม่าน18
น่าเศร้าที่ผู้มีภาวะซึมเศร้ารุนแรงหลายคนปลีกตัวออกจากเพื่อนวิสุทธิชนเพราะรู้สึกว่าพวกเขาไม่พอดีกับเบ้าหลอมในจินตนาการบางอย่าง เราสามารถช่วยให้พวกเขารู้และรู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งกับเราจริงๆ สำคัญที่ต้องยอมรับว่าภาวะซึมเศร้าไม่ได้เกิดจากความอ่อนแอ และปกติแล้วไม่ได้เกิดจากบาป19 มัน “เฟื่องฟูในความลับและหดหายในความเห็นใจ”20 เราสามารถทลายเมฆแห่งความอ้างว้างและความรู้สึกอัปยศด้วยกันเพื่อยกภาระของความอับอายและทำให้ปาฏิหาริย์ของการเยียวยาเกิดขึ้นได้
ในช่วงการปฏิบัติศาสนกิจบนแผ่นดินโลก พระเยซูคริสต์ทรงรักษาคนป่วยและคนมีทุกข์ ทว่าแต่ละคนต้องใช้ศรัทธาในพระองค์และลงมือทำเพื่อรับการรักษาจากพระองค์ บางคนเดินทางมาไกล หลายคนยื่นมือมาแตะฉลองพระองค์ และอีกหลายคนต้องมีคนแบกมาหาพระองค์เพื่อรับการรักษา21 เมื่อมาสู่การรักษา เราทุกคนล้วนต้องพึ่งพาพระองค์สุดชีวิต “เราทั้งหลายไม่ได้เป็นขอทานหรอกหรือ?”22
ขอให้เราเดินตามเส้นทางของพระผู้ช่วยให้รอด เพิ่มความเมตตาสงสารของเรา ลดแนวโน้มที่จะตัดสิน และเลิกเป็นผู้สำรวจความเข้มแข็งทางวิญญาณของคนอื่น การฟังด้วยความรักคือของขวัญที่ดีที่สุดที่เราสามารถให้ได้ และอาจสามารถช่วยแบกหรือยกเมฆหนักๆ ที่กดทับคนที่เรารักและเพื่อนของเราได้23 เพื่อว่าโดยผ่านความรักของเรา พวกเขาจะรู้สึกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกครั้งและมองเห็นแสงสว่างที่มาจากพระเยซูคริสต์
ถ้า “หมอกแห่งความมืด”24 ห้อมล้อมตัวท่านตลอดเวลา จงหันไปพึ่งพระบิดาบนสวรรค์ ไม่มีสิ่งใดที่ท่านประสบจะเปลี่ยนความจริงนิรันดร์ที่ว่าท่านเป็นบุตรธิดาของพระองค์และพระองค์ทรงรักท่าน25 พึงจำไว้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของท่าน พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาของท่าน พระองค์เข้าพระทัย ให้นึกภาพว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้ท่าน ทรงกำลังฟังและให้กำลังใจท่านอยู่26 “[พระองค์] จะทรงปลอบประโลมท่านในความทุกข์ของท่าน”27 จงทำทุกอย่างที่ทำได้และวางใจพระคุณแห่งการชดใช้ของพระเจ้า
ปัญหาของท่านไม่ได้นิยามตัวท่าน แต่สามารถ ขัดเกลา ท่านได้28 เพราะ “หนามในเนื้อ”29 ท่านจึงอาจสามารถรู้สึกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ จงแบ่งปันเรื่องราวของท่านเพื่อ “ช่วยเหลือคนอ่อนแอ, ยกมือที่อ่อนแรง, และให้กำลังเข่าที่อ่อนล้า”30
สำหรับพวกเราที่กำลังประสบปัญหาหรือช่วยเหลือคนที่กำลังประสบปัญหา ขอให้เราเต็มใจทำตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเราจะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา31 ขอให้เราทำ “เรื่องเล็กและเรียบง่าย”32 ที่จะทำให้เรามีพลังทางวิญญาณ ดังที่ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดเปิดฟ้าสวรรค์เหมือนอย่างการผนวกกันของความบริสุทธิ์ที่เพิ่มพูน การเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด การแสวงหาอย่างจริงจัง การดื่มด่ำพระวจนะของพระคริสต์ในพระคัมภีร์มอรมอนทุกวัน และเวลาที่ทุ่มเทให้งานพระวิหารและประวัติครอบครัวเป็นประจำ”33
ขอให้เราทุกคนจดจำว่าพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ “ทรงรับเอาความทุพพลภาพของ [เรา], เพื่ออุทรของพระองค์จะเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา, ตามเนื้อหนัง, เพื่อพระองค์จะทรงรู้ … ว่าจะทรงช่วย [เรา] ตามความทุพพลภาพของ [เรา] ได้อย่างไร”34 พระองค์เสด็จมาเพื่อ “ปลอบโยนคนชอกช้ำใจ … ชูใจทุกคนที่ไว้ทุกข์ … ให้มงกุฎแทนขี้เถ้าแก่พวกเขา และให้น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์ เสื้อคลุมแห่งการสรรเสริญแทนจิตวิญญาณที่ท้อแท้”35
ดิฉันเป็นพยานต่อท่านว่า “ยามทุกข์หรือสุข” พระเจ้าจะทรงอยู่กับเรา “[ความทุกข์ของเราจะ] ถูกกลืนเข้าไปในปีติของพระคริสต์”36 และ “โดยพระคุณนั่นเองที่เราได้รับการช่วยให้รอด, หลังจากเราทำทุกสิ่งจนสุดความสามารถแล้ว”37 ดิฉันเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับแผ่นดินโลกพร้อมด้วย “ปีกรักษาโรคภัย” ของพระองค์38 สุดท้ายแล้วพระองค์ “จะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆ หยดจากตา [ของเรา] ทั้งหลาย และ … ความเศร้าโศก … จะไม่มีอีกต่อไป”39 สำหรับทุกคนที่จะ “มาหาพระคริสต์, และได้รับการทำให้ดีพร้อมในพระองค์”40 “ดวงอาทิตย์ … จะไม่ตกอีก … เพราะพระยาห์เวห์จะทรงเป็นความสว่างนิรันดร์ [ของเรา] และวันไว้ทุกข์ [ของเรา] จะสิ้นสุดลง”41 ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน