เข้าใจเรื่อง การฆ่าตัวตาย: สัญญาณเตือนและการป้องกัน
เมื่อเควินอายุ 16 ปี พ่อแม่ของเขาหย่าร้าง ประมาณช่วงเดียวกันนั้นเขาเลิกใช้ยากันชัก ยาชนิดนี้ช่วยทำให้อารมณ์ของเขาคงที่ เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นโรคไบโพลาร์ (อารมณ์สองขั้ว) เขาเริ่มหวาดระแวง อารมณ์คึกคัก และซึมเศร้าอย่างรุนแรง ดูเหมือนยาไม่ช่วยเลย จนถึงจุดที่เขารู้สึกเบื่อทุกอย่าง เขาตัดสินใจจบชีวิตโดยไม่ให้ใครรู้เจตนาของเขา
เควินพูดถึงวันที่เขาพยายามฆ่าตัวตายว่า “ผมร้องไห้ ผมแค่เหนื่อยมาก จิตตก ผมได้แต่มองดูผู้คน อยากให้ใครสักคนพูดว่า ‘คุณเป็นอย่างไรบ้าง’ มากเท่าที่ผมอยากได้ยินคนพูดอย่างนั้นผมได้ยินเสียง [ในใจผม] บอกว่า ‘คุณต้องตาย’ … ผมพร่ำบอกตัวเองว่าอย่า [ทำอย่างนั้น] แต่เสียงเหล่านั้นรุนแรงเหลือเกิน ผมสู้ไม่ไหว”1
น่าเศร้าที่ไม่มีใครสังเกตเห็นความทุกข์ของเขา โดยเชื่อว่าไม่มีใครสนใจห่วงใยเขา เขาจึงพยายามฆ่าตัวตาย—แต่รอดชีวิตอย่างน่าอัศจรรย์
เรารู้สึกสักนิดไหมว่าเขาทุกข์และสิ้นหวังจนยากจะต้านไหว ร้องขอความช่วยเหลืออยู่เงียบๆ
การฆ่าตัวตายเป็นการทดลองอย่างหนึ่งที่ยากที่สุดในชีวิตมรรตัย ทั้งสำหรับคนที่ทนทุกข์กับความคิดจะฆ่าตัวตายและสำหรับสมาชิกครอบครัวที่ยังอยู่ เอ็ลเดอร์เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ดแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวว่า “ในความเห็นของข้าพเจ้า ไม่มีเวลาใดยากสำหรับครอบครัวมากไปกว่าเมื่อบุคคลที่พวกเขารักคิดสั้น การฆ่าตัวตายเป็นประสบการณ์ครอบครัวที่สูญสิ้น”2 ขณะพิจารณาความรุนแรงของการทดลองดังกล่าว ขอให้เราสนทนากันในเรื่องต่อไปนี้ (1) สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย รวมถึงสัญญาณเตือนและสิ่งที่เราจะทำได้เพื่อช่วยป้องกัน (2) สิ่งที่สมาชิกครอบครัวและชุมชนจะทำได้ และ (3) สิ่งที่เราทุกคนจำเป็นต้องทำเพื่อเพิ่มความหวังและพลังศรัทธาในพระคริสต์ทั้งนี้เพื่อเราจะไม่สิ้นหวัง
เข้าใจเรื่องการฆ่าตัวตาย
แต่ละปีมีคนจำนวน 800,000 กว่าคนทั่วโลกจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย3 นั่นหมายความว่ามีคนในโลกจบชีวิตของตนเองทุก 40 วินาที จำนวนนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและผิดกฎหมายในบางประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงมีรายงานต่ำกว่าที่เป็นจริง การฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุสำคัญอันดับสองของการเสียชีวิตในกลุ่มอายุระหว่าง 15 ถึง 29 ปี ในประเทศส่วนใหญ่ อัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดในกลุ่มอายุเกิน 70 ปี การฆ่าตัวตายส่งผลโดยตรงหรือไม่ก็โดยอ้อมต่อสังคมส่วนใหญ่ของเรา
สัญญาณเตือน
เมื่อเรื่องท้าทายของชีวิตเกินกำลังความสามารถที่เราจะเผชิญ เราจะเกิดความเครียดสุดขีด เมื่อทนกับความทุกข์ทางอารมณ์ไม่ไหว ระบบความคิดของบุคคลนั้นจะถูกบดบังและชักนำให้เขารู้สึกประหนึ่งความตายเป็นทางเลือกเดียว พวกเขาอาจรู้สึกว่าไม่มีใครช่วยได้ ซึ่งสามารถนำไปสู่การแยกตนเองจากสังคมและทุกข์หนักยิ่งกว่าเดิม รู้สึกอับจนหนทางและสิ้นหวัง สุดท้ายจึงชักนำให้คิดว่าการฆ่าตัวตายเป็นทางเลือกเดียว
เมื่อมีคนแสดงให้เห็นสัญญาณเตือนที่รุนแรง ใดก็ตาม ดังต่อไปนี้4 เราควรขอความช่วยเหลือทันทีจากผู้ดูแลสุขภาพจิตหรือหน่วยบริการฉุกเฉิน เช่น ตำรวจ
-
ขู่จะทำร้ายหรือฆ่าตัวตาย
-
พยายามหาวิธีฆ่าตัวตาย
-
พูดหรือเขียนเรื่องความตาย กำลังจะตาย หรือการฆ่าตัวตาย
สัญญาณต่อไปนี้อาจเป็นสถานการณ์เร่งด่วนน้อยกว่า แต่เราไม่ควรรีรอที่จะยื่นมือออกไปและขอความช่วยเหลือให้คนที่แสดงสัญญาณเตือนต่อไปนี้
-
แสดงความสิ้นหวังและสูญเสียจุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่
-
บันดาลโทสะ หรือโกรธ หรือหาทางแก้แค้น
-
มีพฤติกรรมบุ่มบ่าม
-
รู้สึกอับจนหนทาง
-
ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยามากขึ้น
-
ออกห่างเพื่อนฝูง ครอบครัว หรือสังคม
-
รู้สึกวิตกกังวลหรือกระวนกระวายหรืออารมณ์เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
-
นอนไม่หลับหรือหลับตลอดเวลา
-
รู้สึกว่าพวกเขาเป็นภาระของผู้อื่น
ใช่ว่าทุกคนที่พยายามฆ่าตัวตายจะยอมให้คนอื่นรู้เจตนาของพวกเขา แต่ส่วนใหญ่จะแสดงให้เห็นสัญญาณเตือนเหล่านี้ ฉะนั้นให้ระวังสัญญาณเหล่านี้!
แม้การขอความช่วยเหลือจากมืออาชีพจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เพื่อนและครอบครัวที่ห่วงใยอย่างแท้จริงมีพลังยิ่งนัก
การป้องกัน
เมื่อมีคนคิดจะฆ่าตัวตาย ครอบครัวและเพื่อนมีบทบาทสำคัญยิ่ง ตามที่แอลมาสอน เราต้อง “แบกภาระของกันและกัน, เพื่อมันจะได้เบา; … โศกเศร้ากับคนที่โศกเศร้า; แท้จริงแล้ว, และปลอบโยนคนที่ต้องการการปลอบโยน” (โมไซยาห์ 18:8, 9)
ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ครอบครัวและเพื่อนจะช่วยได้
หยิบยื่นความช่วยเหลือและฟังด้วยความรัก ตามที่เอ็ลเดอร์บัลลาร์ดแนะนำ “ไม่มีสิ่งใดทรงพลังเท่าแขนแห่งความรักที่สามารถโอบผู้กำลังประสบปัญหา”5 “เราต้องมองพวกเขา … ผ่านพระเนตรของพระบิดาบนสวรรค์” เอ็ลเดอร์เดล จี. เรนลันด์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอน “เมื่อนั้นเราจะรู้สึกถึงความอาทรห่วงใยของพระผู้ช่วยให้รอดที่มีต่อพวกเขา … มุมมองที่กว้างขึ้นนี้จะเปิดใจเรารับความผิดหวัง ความกลัว และความปวดร้าวใจของผู้อื่น”6
ช่วยอย่างเป็นรูปธรรม ถ้าบุคคลนั้นกำลังประสบวิกฤตอันส่งผลต่อความปลอดภัยและความจำเป็นพื้นฐานของเขา ให้เสนอความช่วยเหลือที่ชัดเจน แต่ให้บุคคลนั้นเลือกเองว่าจะยอมรับหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนคิดจะฆ่าตัวตายเพราะตกงาน การช่วยเขาหาตำแหน่งงานที่เปิดรับจะมีทางเลือกให้เขาเลือกและช่วยให้เขาไม่รู้สึกอับจนหนทาง
ถามว่าพวกเขาคิดจะฆ่าตัวตายหรือไม่ เมื่อท่านเป็นห่วงคนที่ทุกข์ใจและแสดงสัญญาณเตือนของการฆ่าตัวตาย ให้ถามว่าเขาคิดจะฆ่าตัวตายหรือไม่ การทำเช่นนี้อาจรู้สึกอึดอัด แต่จะทราบได้ดีที่สุดจากการถามตรงๆ ว่าเขาคิดจะฆ่าตัวตายหรือไม่ นั่นอาจเปิดประตูให้บุคคลนั้นพูดเรื่องทุกข์ใจและข้อกังวลของตน
ตัวอย่างของคำถามเช่นนั้นอาจได้แก่ “ฟังเหมือนมากเกินกว่าคนๆ หนึ่งจะจัดการไหว คุณคิดจะฆ่าตัวตายหรือเปล่า” หรือ “ด้วยความเจ็บปวดทั้งหมดนั้นที่คุณประสบ ผมสงสัยว่าคุณคิดจะฆ่าตัวตายหรือเปล่า” ถ้าพวกเขาไม่คิดจะฆ่าตัวตาย พวกเขาอาจจะบอกให้ท่านรู้
ถ้าท่านรู้สึกว่าพวกเขาไม่เปิดใจบอกท่านเกี่ยวกับความคิดจะฆ่าตัวตาย ให้อยู่ใกล้ชิดการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณเพื่อรู้ว่าต้องทำอะไร ท่านอาจได้รับการกระตุ้นเตือนให้อยู่กับเขาจนกว่าพวกเขาจะเปิดใจบอกท่าน
อยู่กับบุคคลนั้นและขอความช่วยเหลือ ถ้ามีคนบอกท่านให้รู้ว่าเขาคิดจะฆ่าตัวตาย ให้อยู่กับเขาและให้เขาพูดกับท่านเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เขาทุกข์ใจ ถ้าเขาพูดถึงวิธีการและเวลาที่จะฆ่าตัวตาย จงช่วยให้บุคคลนั้นติดต่อสายด่วนหรือแผนกฉุกเฉินด้านจิตเวชในท้องที่
ปฏิกิริยาต่อการฆ่าตัวตาย
ไม่ว่าเขาจะแสดงสัญญาณเตือนหรือไม่ บางคนก็ยังคิดสั้น เมื่อเผชิญกับประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากจากการฆ่าตัวตายของบุคคลที่พวกเขารัก สมาชิกครอบครัวและเพื่อนๆ ที่ยังอยู่มักประสบกับความทุกข์ระทมที่ลึกซึ้ง รุนแรง และซับซ้อน ปฏิกิริยาบางอย่างเหล่านั้นอาจได้แก่
-
อับอายและรู้สึกเสื่อมเสียชื่อเสียง
-
ตกใจมากและไม่เชื่อ
-
โกรธ โล่งอก หรือรู้สึกผิด
-
ปกปิดสาเหตุของการเสียชีวิต
-
แยกตนเองจากสังคมและสัมพันธภาพครอบครัวแตกสลาย
-
กระตือรือร้นและถึงกับหมกมุ่นกับการพยายามป้องกันการฆ่าตัวตาย
-
ปรารถนาจะเข้าใจอย่างยิ่งว่าเพราะอะไร
-
รู้สึกถูกทอดทิ้งและถูกปฏิเสธ
-
โทษผู้ตาย ตนเอง ผู้อื่น และพระผู้เป็นเจ้า
-
คิดจะฆ่าตัวตายมากขึ้นหรือรู้สึกอยากทำลายตนเอง
-
เครียดมากขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุดและวันครบรอบการสิ้นชีวิต7
สิ่งที่ครอบครัวและชุมชนทำได้
อย่าตัดสิน แม้การฆ่าตัวตายจะเป็นเรื่องร้ายแรง แต่เอ็ลเดอร์บัลลาร์ดเตือนเราเช่นกันว่า “เห็นได้ชัดว่าเราไม่รู้สภาวะแวดล้อมทั้งหมดของการฆ่าตัวตายทุกครั้ง เฉพาะพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบรายละเอียดทั้งหมด และพระองค์คือผู้ที่จะทรงตัดสินการกระทำของเราที่นี่บนแผ่นดินโลก เมื่อ [พระเจ้า] ทรงพิพากษาเรา ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระองค์จะทรงนำทุกอย่างมาพิจารณา อาทิ ลักษณะทางพันธุกรรมและทางเคมี สภาพจิตใจ ความสามารถทางปัญญา คำสอนที่เราได้รับ ประเพณีของบรรพบุรษ สุขภาพของเรา และอื่นๆ”8
ยอมรับและเคารพกระบวนการแสดงความโศกเศร้าของแต่ละคน คนเราโศกเศร้าต่างกันเพราะความสัมพันธ์ของพวกเขากับผู้ตายต่างจากคนอื่น ด้วยเหตุนี้จงยอมรับและให้เกียรติวิธีแสดงความโศกเศร้าของแต่ละคน
เมื่อบุคคลที่เรารักตายจากเรา อารมณ์รุนแรงและแม้อารมณ์ที่ยากจะต้านไหวย่อมเกิดกับเราได้ แต่การแสดงความโศกเศร้าไม่ได้หมายความว่าขาดศรัทธา พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “เจ้าจงอยู่ด้วยกันด้วยความรัก, ถึงขนาดที่เจ้าจะร่ำไห้เพราะการสูญเสียพวกเขาที่ตาย” (คพ. 42:45) ความโศกเศร้าเป็นเครื่องหมายแสดงว่าเรารักผู้ตายและความสัมพันธ์กับเขามีความหมายต่อเรา
ขอความช่วยเหลือ เมื่อท่านโศกเศร้า ท่านจะรู้สึกว่าสถานการณ์ยากจะต้านไหว การขอความช่วยเหลือจะเปิดโอกาสอันศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้อื่นได้รักและรับใช้ท่าน การยอมให้พวกเขาช่วยไม่เพียงเยียวยาท่านและเพิ่มพลังให้ท่านเท่านั้นแต่ให้พวกเขาด้วย
ติดต่อเสมอ บางคนทุกข์โศกอยู่คนเดียวและบางครั้งถึงกับแยกตนเอง ด้วยเหตุนี้จงติดต่อกับครอบครัวและเพื่อนเสมอ ติดต่อสมาชิกครอบครัวที่ยังอยู่ ญาติ และเพื่อนเป็นระยะๆ เสนอความช่วยเหลือเพราะพวกเขาอาจไม่มาหาท่าน
พึ่งพาพระผู้ช่วยให้รอด สุดท้ายแล้ว พระผู้ช่วยให้รอดคือแหล่งเยียวยาและสันติสุข “การชดใช้ของพระองค์ … ให้โอกาสเราเรียกหาพระองค์ผู้ทรงประสบความทุพพลภาพในมรรตัยทุกอย่างของเราเพื่อให้กำลังเราแบกรับภาระแห่งความเป็นมรรตัยได้ พระองค์ทรงรู้จักความทุกข์ทรมานของเรา และทรงอยู่ที่นั่นเพื่อเราเสมอ เช่นเดียวกับชาวสะมาเรียผู้ใจดี เมื่อพระองค์ทรงพบเราบาดเจ็บอยู่ข้างทาง พระองค์จะทรงพันแผลให้เราและดูแลเรา (ดู ลูกา 10:34)”9
ขอให้เราตระหนักว่าเราทุกคนต้องพึ่งพาพระเจ้าพระเยซูคริสต์และการชดใช้ของพระองค์อย่างสมบูรณ์ขณะที่เราพยายามทำส่วนของเรา เมื่อเราตระหนักด้วยความนอบน้อมถ่อมตน ขอให้เราพยายามเข้าใจครอบครัวเราและเพื่อนบ้านที่ทุกข์ใจ ยื่นมือช่วยเหลือพวกเขาด้วยความรัก ปลูกฝังศรัทธาและความวางใจมากขึ้นในพระผู้ช่วยให้รอดผู้จะเสด็จกลับมา “เช็ดน้ำตาทุกๆ หยดจากตาของเขาทั้งหลาย และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความโศกเศร้า การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป” (วิวรณ์ 21:4)