การประชุมใหญ่สามัญ
ลำแสงและรังสี
การประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2024


11:17

ลำแสงและรังสี

เราเองก็มีลำแสงเป็นของตนเองได้—ทีละหนึ่งรังสี

ข่าวสารของข้าพเจ้าสำหรับคนที่กำลังกังวลเกี่ยวกับประจักษ์พยานของตนเนื่องจากยังไม่มีประสบการณ์ทางวิญญาณอันท่วมท้น ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้ข้าพเจ้าสามารถมอบสันติสุขและความมั่นใจได้

การฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เริ่มต้นด้วยการปะทุของแสงสว่างและความจริง! เด็กหนุ่มคนหนึ่งทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ก ซึ่งมีชื่อธรรมดาๆ ว่าโจเซฟ สมิธ เข้าไปในป่าเพื่อสวดอ้อนวอน เขากังวลเรื่องจิตวิญญาณและจุดยืนของเขาต่อพระผู้เป็นเจ้า เขาแสวงหาการอภัยบาป และเขาสับสนว่าควรเข้าร่วมกับศาสนจักรใด เขาต้องการความกระจ่างและสันติสุข—เขาต้องการความสว่างและความรู้

ขณะโจเซฟคุกเข่าสวดอ้อนวอน และ “ตั้งจิตปรารถนา [ของเขา] ต่อพระผู้เป็นเจ้า” ความมืดมิดเข้ามารายล้อมเขา บางสิ่งที่ชั่วร้าย กดขี่ และมีตัวตนจริงๆ พยายามหยุดยั้งเขา—ผูกลิ้นเขาไว้จนพูดไม่ได้ พลังแห่งความมืดรุนแรงเสียจนโจเซฟคิดว่าเขากำลังจะตาย แต่เขา “ใช้พลังทั้งหมด [ของเขา] เรียกหาพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงปลดปล่อย [เขา] หลุดพ้นจากอำนาจของศัตรูนี้ซึ่งตรึง [เขา] ไว้” และจากนั้น “ชั่วขณะนั้นเองที่ [เขา] กำลังจะจมลงสู่ความสิ้นหวังและยอมตนต่อความพินาศ” เมื่อเขาไม่รู้ว่าเขาจะยืนหยัดต่อไปได้อีกหรือไม่ แสงสุกใสอันรุ่งโรจน์ก็ปกคลุมทั่วผืนป่า ทำให้ความมืดมิดและศัตรูแห่งจิตวิญญาณกระจัดพลัดพรายไป

“ลำแสง” หนึ่งเจิดจ้ากว่าดวงอาทิตย์ค่อยๆ เลื่อนลงมาบนเขา พระอติรูปองค์หนึ่งปรากฏ แล้วก็มีอีกองค์หนึ่ง “ความเจิดจ้าและรัศมีภาพของทั้งสองพระองค์เกินกว่าจะพรรณนาได้” พระองค์แรก พระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงเรียกชื่อเขา “พลางชี้พระหัตถ์ไปที่อีกองค์หนึ่ง—[โจเซฟ!] นี่คือบุตรที่รักของเรา จงฟังท่าน!

และด้วยการปะทุอันท่วมท้นนั้นของแสงสว่างและความจริง การฟื้นฟูได้เริ่มขึ้น การเปิดเผยและพรจากสวรรค์อันเอ่อล้นจะตามมา: พระคัมภีร์ใหม่ กุญแจฐานะปุโรหิตที่ได้รับการฟื้นฟู อัครสาวกและศาสดาพยากรณ์ ศาสนพิธีและพันธสัญญา และการสถาปนาขึ้นอีกครั้งของศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่ของพระเจ้า ซึ่งสักวันหนึ่งจะเติมเต็มแผ่นดินโลกด้วยแสงสว่างและพยานของพระเยซู และพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระองค์

ทั้งหมดนั้นและอีกมาก เริ่มต้นจากการสวดอ้อนวอนอย่างสุดชีวิตของเด็กหนุ่มและลำแสงหนึ่ง

เราเองก็มีความต้องการอย่างสุดชีวิต เราเองก็ต้องการอิสรภาพจากความสับสนทางวิญญาณและความมืดมนทางโลก เราต่างต้องรู้ด้วยตัวเราเอง นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน เชื้อเชิญให้เรา “จดจ่อความคิด [ของเรา] อยู่ในแสงสว่างอันรุ่งโรจน์ของการฟื้นฟู”

ความจริงอันสำคัญยิ่งประการหนึ่งของการฟื้นฟูคือสวรรค์เปิดอยู่—เราเองก็รับความสว่างและความรู้จากเบื้องบนได้ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่านี่เป็นความจริง

แต่เราต้องระวังกับดักทางวิญญาณ บางครั้งสมาชิกศาสนจักรที่ซื่อสัตย์กลับท้อแท้และเหินห่างไปเพราะพวกเขาไม่มีประสบการณ์ทางวิญญาณที่ท่วมท้น—เพราะพวกเขาไม่เคยประสบกับลำแสงของตนเอง ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์เตือนว่า “การคาดหวังความน่าตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอ ทำให้หลายคนพลาดการสื่อสารที่เปิดเผยมาอย่างต่อเนื่อง”

ประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธเล่าเช่นเดียวกันว่า “พระเจ้าทรงระงับเรื่องอัศจรรย์จากข้าพเจ้า [เมื่อข้าพเจ้ายังเด็ก] และแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นความจริง บรรทัดมาเติมบรรทัด กฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์ ที่นี่นิดและที่นั่นหน่อย”

นั่นคือแบบแผนของพระเจ้า พี่น้องทั้งหลาย แทนที่จะส่งลำแสงมาให้เรา พระเจ้าทรงส่งรังสีมาให้เราทีละรังสี ทีละรังสี และทีละรังสี

รังสีเหล่านั้นสาดส่องมาที่เราอย่างต่อเนื่อง พระคัมภีร์สอนว่าพระเยซูคริสต์ “ทรงเป็นแสงสว่างและชีวิตของโลก” ว่า “พระวิญญาณ [ของพระองค์] ทรงให้ความสว่างแก่มนุษย์ทุกคนที่มาในโลก” และว่าแสงสว่างของพระองค์ “เติมเต็มความกว้างใหญ่ไพศาลของที่ว่าง” ซึ่งให้ “ชีวิตแก่สิ่งทั้งปวง” แสงสว่างของพระคริสต์อยู่รอบตัวเราจริงๆ

หากเราได้รับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และพยายามใช้ศรัทธา กลับใจ และให้เกียรติพันธสัญญาของเรา เมื่อนั้นเราก็มีค่าควรได้รับรังสีจากสวรรค์เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ในวลีที่น่าจดจำของเอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์ “เรากำลัง ‘ดำเนินชีวิตอยู่ในการเปิดเผย’”

แต่ถึงกระนั้น เราทุกคนก็แตกต่างกัน ไม่มีคนสองคนที่ประสบกับแสงสว่างและความจริงของพระผู้เป็นเจ้าในลักษณะเดียวกันทุกประการ โปรดใช้เวลาสักครู่คิดว่าท่านประสบกับแสงสว่างและพระวิญญาณของพระเจ้าอย่างไร

ท่านอาจเคยประสบกับการปะทุออกมาของแสงสว่างและประจักษ์พยานเหล่านี้เมื่อ “ความสงบ [พูด] แก่จิตใจของท่านเกี่ยวกับเรื่อง” ที่ทำให้ท่านกังวลอยู่

หรือเป็นการดลใจ—เสียงเบาๆ—ที่ฝังแน่น “อยู่ในความนึกคิดและในใจท่าน” และกระตุ้นให้ท่านทำดี เช่น การช่วยเหลือใครสักคน

บางทีท่านอาจเคยอยู่ในชั้นเรียนที่โบสถ์—หรือที่ค่ายเยาวชน—และรู้สึกปรารถนาแรงกล้าที่จะติดตามพระเยซูคริสต์และซื่อสัตย์ต่อไป บางทีท่านอาจยืนแบ่งปันประจักษ์พยานที่ท่านหวังว่าจะเป็นความจริงแล้วรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น

หรือบางทีท่านอาจสวดอ้อนวอนและรู้สึกมั่นใจอย่างเปี่ยมปีติว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักท่าน

ท่านอาจเคยได้ยินบางคนแสดงประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ และประจักษ์พยานนั้นกินใจและเติมเต็มความหวังให้ท่าน

บางทีท่านอาจกำลังอ่านพระคัมภีร์มอรมอนและมีข้อหนึ่งพูดแก่จิตวิญญาณท่าน ราวกับว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเตรียมไว้ตรงนั้นเพื่อท่านโดยเฉพาะ—แล้วท่านก็ตระหนักว่าพระองค์ทรงทำเช่นนั้น

ท่านอาจรู้สึกถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้าต่อผู้อื่นขณะรับใช้พวกเขา

หรือบางทีท่านอาจประสบปัญหาในการรู้สึกถึงพระวิญญาณในขณะนั้นเพราะความหดหู่หรือความวิตกกังวล แต่มีของประทานอันล้ำค่าและศรัทธาที่จะมองย้อนกลับไปและรับรู้ถึง “พระเมตตาอันละเอียดอ่อนของพระเจ้า” ในอดีต

ประเด็นของข้าพเจ้าคือมีหลายวิธีที่จะได้รับรังสีแห่งประจักษ์พยานจากสวรรค์ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงบางส่วน อาจไม่ใช่เรื่องเร้าใจ แต่ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของประจักษ์พยานของเรา

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นลำแสง แต่เหมือนกับพวกท่าน ข้าพเจ้ามีประสบการณ์กับรังสีจากสวรรค์มามากมาย หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าพเจ้าพยายามทะนุถนอมประสบการณ์เหล่านั้น ข้าพเจ้าพบว่าเมื่อทำเช่นนั้น ข้าพเจ้ารับรู้และจดจำสิ่งเหล่านั้นได้มากขึ้น นี่คือตัวอย่างบางส่วนจากชีวิตข้าพเจ้าเอง อาจดูไม่น่าทึ่งสำหรับบางคน แต่มีคุณค่ามากสำหรับข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าจำได้ว่าเคยเป็นวัยรุ่นที่ชอบเอะอะโวยวายในพิธีบัพติศมา ขณะที่การประชุมกำลังจะเริ่ม ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระวิญญาณทรงกระตุ้นให้ข้าพเจ้านั่งลงและอยู่ในความคารวะ ข้าพเจ้านั่งลงและเงียบตลอดทั้งการประชุม

ก่อนเป็นผู้สอนศาสนา ข้าพเจ้ากลัวว่าประจักษ์พยานจะไม่เข้มแข็งพอ ไม่มีใครในครอบครัวข้าพเจ้าเคยรับใช้งานเผยแผ่ และข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าจะทำได้หรือไม่ ข้าพเจ้าจำได้ว่ากำลังศึกษาและสวดอ้อนวอนอย่างสุดชีวิตเพื่อให้ได้รับพยานที่แน่นอนมากขึ้นถึงพระเยซูคริสต์ วันหนึ่ง ขณะวิงวอนพระบิดาบนสวรรค์ ข้าพเจ้ารู้สึกถึงแสงสว่างและความอบอุ่นอันทรงพลัง และข้าพเจ้าก็รู้ ข้าพเจ้าแค่รู้

หลายปีต่อมา ข้าพเจ้าจำได้ว่าคืนหนึ่งถูกปลุกให้ตื่นด้วยความรู้สึกถึง “ปัญญาอันบริสุทธิ์” ที่บอกว่าข้าพเจ้าจะได้รับเรียกให้รับใช้ในโควรัมเอ็ลเดอร์ สองสัปดาห์ต่อมาข้าพเจ้าก็ถูกเรียก

ข้าพเจ้าจำได้ว่าที่การประชุมใหญ่สามัญครั้งหนึ่ง สมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองผู้เป็นที่รักท่านหนึ่งแสดงประจักษ์พยานตรงกับคำพูดที่ข้าพเจ้าบอกเพื่อนคนหนึ่งว่าข้าพเจ้าหวังจะได้ยิน

ข้าพเจ้าจำได้ว่าคุกเข่ากับพี่น้องชายหลายร้อยคนเพื่อสวดอ้อนวอนให้เพื่อนรักคนหนึ่งที่นอนหมดสติอยู่โดยใช้เครื่องช่วยหายใจในโรงพยาบาลเล็กๆ ที่ห่างไกล หลังจากหัวใจเขาหยุดเต้น ขณะที่เรารวมใจกันร้องขอชีวิตเขา เขาก็ตื่นขึ้นมาและดึงเครื่องช่วยหายใจออกจากลำคอของเขาเอง ปัจจุบันเขารับใช้เป็นประธานสเตค

ข้าพเจ้าจำได้ว่าตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกทางวิญญาณอันแรงกล้าหลังจากความฝันอันสดใสถึงเพื่อนและพี่เลี้ยงผู้เป็นที่รักที่ด่วนจากไปและทิ้งหลุมมหึมาไว้ในชีวิตข้าพเจ้า เขายิ้มและมีความสุข ข้าพเจ้ารู้ว่าเขาสบายดี

นี่คือรังสีบางส่วนของข้าพเจ้า ท่านเคยมีประสบการณ์ของตนเอง—ประจักษ์พยานของท่านเองที่ปะทุไปด้วยแสงสว่าง เมื่อเรารับรู้ จดจำ และรวบรวมรังสีเหล่านี้ “รวบรวมทุกสิ่ง” สิ่งอัศจรรย์และทรงพลังก็เริ่มเกิดขึ้น “ความสว่างแนบสนิทกับความสว่าง”—“ความจริงน้อมรับความจริง” ความเป็นจริงและพลังของรังสีแห่งประจักษ์พยานรังสีหนึ่งเสริมและรวมเข้ากับอีกรังสีหนึ่ง และจากนั้นอีกรังสีหนึ่ง และก็อีกรังสีหนึ่ง บรรทัดมาเติมบรรทัด กฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์ รังสีที่นี่นิดและรังสีที่นั่นหน่อย—ช่วงเวลาสั้นๆ ทางวิญญาณอันล้ำค่าทีละช่วง นั่นคือแก่นแท้ของประสบการณ์ทางวิญญาณที่เต็มไปด้วยแสงสว่างที่เติบโตขึ้นภายในเรา บางทีไม่มีรังสีใดแรงพอหรือสว่างพอที่จะสร้างประจักษ์พยานที่สมบูรณ์ได้ แต่เมื่อมารวมกันแล้วรังสีเหล่านั้นจะกลายเป็นแสงสว่างที่ความมืดแห่งความสงสัยไม่สามารถเอาชนะได้

“โอ้ดังนั้นแล้ว, นี่ไม่จริงหรือ?” แอลมาถาม “ข้าพเจ้ากล่าวแก่ท่าน, ถูกแล้ว, เพราะมันคือความสว่าง”

“สิ่งซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้าเป็นความสว่าง” พระเจ้าสอนเรา “และคนที่รับความสว่าง, และดำเนินอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าต่อไป, รับความสว่างมากขึ้น; และความสว่างนั้นเจิดจ้ายิ่งขึ้นๆ จนถึงวันที่สมบูรณ์.”

พี่น้องทั้งหลาย นั่นหมายความว่าด้วยเวลาและโดย “ความขยันหมั่นเพียรยิ่ง” เราเองก็มีลำแสงเป็นของตนเองได้—ทีละหนึ่งรังสี และท่ามกลางลำแสงนั้น เราเองก็จะพบพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเรา ทรงเรียกชื่อเรา พลางชี้พระหัตถ์ไปที่พระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ และเชื้อเชิญให้เรา “ฟังพระองค์!”

ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงเป็นความสว่างและชีวิตของทั้งโลกนี้—ทั้งโลกส่วนตัวของท่านและของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรองค์จริงและทรงพระชนม์อยู่ของพระผู้เป็นเจ้าองค์จริงและทรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นประมุขของศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่แห่งนี้ ซึ่งได้รับการนำทางและกำกับดูแลโดยศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่แท้จริงและมีชีวิตอยู่ของพระองค์

ขอให้เรารับรู้และรับความสว่างอันรุ่งโรจน์ของพระองค์แล้วเลือกพระองค์เหนือความมืดมนของโลก—เสมอและตลอดไป ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:10–13

  2. ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:14–16

  3. ดู Joseph Smith, Journal, Nov. 9–11, 1835, 24, josephsmithpapers.org.

  4. โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:17

  5. ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:20 เมื่อโจเซฟ สมิธกลับมาบ้านหลังนิมิตแรก มารดาของท่านถามว่าท่านสบายดีหรือไม่ เขาตอบว่า “ผมสบายดี … ผมเรียนรู้ด้วยตนเองว่า นิกายเพรสไบทีเรียนไม่จริง” (เน้นตัวเอน)

  6. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “คำปราศรัยปิดการประชุม,” เลียโฮนา, พ.ย. 2019, 122.

  7. Spencer W. Kimball, in Conference Report, Munich Germany Area Conference, 1973, 77; อ้างอิงใน Graham W. Doxey, “The Voice Is Still Small,” Ensign, Nov. 1991, 25.

  8. คำสอนของประธานศาสนจักร: โจเซฟ เอฟ. สมิธ (1998), 201: “ตอนที่ข้าพเจ้าเป็นเด็กหนุ่มเริ่มปฏิบัติศาสนกิจใหม่ๆ ข้าพเจ้าจะทูลขอพระเจ้าบ่อยๆ ให้ทรงแสดงสิ่งอัศจรรย์เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับประจักษ์พยาน แต่พระเจ้าทรงยับยั้งสิ่งอัศจรรย์ไว้จากข้าพเจ้า และแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นถึงความจริง บรรทัดมาเติมบรรทัด กฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์ ที่นี่นิด ที่นั่นหน่อย จนกระทั่งพระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้ารู้ความจริงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และจนกระทั่งความสงสัยและความกลัวถูกลบล้างออกไปจากข้าพเจ้าจนหมดสิ้น พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงส่งทูตสวรรค์ลงมาทำสิ่งนี้หรือตรัสด้วยแตรของทูตสวรรค์ แต่โดยการกระซิบด้วยสุรเสียงสงบแผ่วเบาจากพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระองค์ประทานประจักษ์พยานที่ข้าพเจ้ามีอยู่ และโดยหลักธรรมกับอำนาจนี้ พระองค์จะประทานความรู้เรื่องความจริงให้ลูกหลานมนุษย์ทั้งปวงซึ่งจะอยู่กับพวกเขา และจะทำให้พวกเขารู้ความจริงดังที่พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้ และทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเช่นเดียวกับพระคริสต์ทรงทำ”

  9. โมไซยาห์ 16:9

  10. หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:46; ดู ยอห์น 1:9 ด้วย

  11. หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:12–13

  12. David A. Bednar, The Spirit of Revelation (2021), 7.

  13. หลักคำสอนและพันธสัญญา 6:23

  14. หลักคำสอนและพันธสัญญา 8:2; ดู ฮีลามัน 5:30 ด้วย

  15. ดู โมไซยาห์ 5:2; หลักคำสอนและพันธสัญญา 11:12 ด้วย

  16. ดู 2 นีไฟ 4:21; ฮีลามัน 5:44

  17. พระเจ้าทรงระบุว่าความสามารถในการเชื่อประจักษ์พยานของผู้อื่นเป็นของประทานฝ่ายวิญญาณ (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 46:13–14)

  18. การเปิดเผยยุคปัจจุบันสอนถ้อยคำในพระคัมภีร์ว่า “พระวิญญาณของเราให้มันแก่เจ้า, … และเว้นแต่เป็นโดยอำนาจของเราแล้ว เจ้าจะมีมันไม่ได้; ดังนั้น, เจ้าจะเป็นพยานได้ว่าเจ้าได้ยินเสียงเรา, และรู้ถ้อยคำของเรา” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 18:35–36)

  19. ดู โมไซยาห์ 2:17; โมโรไน 7:45–48

  20. 1 นีไฟ 1:20 เอ็ลเดอร์เกอร์ริท ดับเบิลยู. กองพูดถึง “[การ] มองด้วยตาเพื่อจะได้เห็นและชื่นชมยินดีในพระเมตตาอันละเอียดอ่อนมากมายของพระเจ้าในชีวิตเรา” (“การปฏิบัติศาสนกิจ,” เลียโฮนา, พ.ค. 2023, 18) และวิธีที่ “พระหัตถ์ของพระเจ้าในชีวิตเรามักชัดเจนที่สุดหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว” (“ระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา,” เลียโฮนา, พ.ค. 2016, 108) ของประทานแห่งการรับรู้และยอมรับพระหัตถ์ของพระเจ้าในชีวิตเราอย่างสุดซึ้ง แม้ว่าเราจะไม่รับรู้หรือรู้สึกในขณะนั้น แต่ก็ทรงพลังมาก พระคัมภีร์มักพูดถึงพลังทางวิญญาณของการจดจำ (ดู ฮีลามัน 5:9–12; หลักคำสอนและพันธสัญญา 20:77, 79), ซึ่งสามารถเป็นที่มาของการเปิดเผย (ดู โมโรไน 10:3–4)

  21. โจเซฟ สมิธสอนว่า “บุคคลอาจได้รับประโยชน์ได้โดยสังเกตนัยครั้งแรกของพระวิญญาณแห่งการเปิดเผย ตัวอย่างเช่น เมื่อท่านรู้สึกถึงสติปัญญาอันบริสุทธิ์ที่หลั่งไหลมาสู่ท่าน นั่นอาจทำให้ท่านฉุกคิดขึ้นได้ในทันที ทั้งนี้โดยการสังเกต ท่านอาจพบว่าความคิดดังกล่าวเป็นจริงในวันนั้นหรือในไม่ช้า อาทิ สิ่งที่เข้ามาในความคิดท่านโดยพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นจริง ด้วยเหตุนี้โดยการเรียนรู้และเข้าใจพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ท่านจะค่อยๆ เติบโตไปสู่หลักธรรมแห่งการเปิดเผยจนท่านดีพร้อมในพระเยซูคริสต์” (คำสอนของประธานศาสนจักร: โจเซฟ สมิธ [2007], 141)

  22. เอเฟซัส 1:10

  23. หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:40: “เพราะความรู้แจ้งแนบสนิทกับความรู้แจ้ง; ปัญญายอมรับปัญญา; ความจริงน้อมรับความจริง; คุณธรรมรักคุณธรรม; ความสว่างแนบสนิทกับความสว่าง”

  24. แอลมา 32:35 แอลมาเน้นย้ำว่าประสบการณ์ที่เปี่ยมด้วยแสงสว่างเหล่านี้ แม้จะเล็กน้อยแต่ก็เป็นจริงในทุกแง่มุม ความจริงจะมีพลังมากยิ่งขึ้นเมื่อรวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ที่ทรงพลัง

  25. หลักคำสอนและพันธสัญญา 50:24

  26. แอลมา 32:41