การเสน่หาเพศเดียวกัน
เรื่องราวของลอรี


“เรื่องราวของลอรี,” พฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกัน: เรื่องราวของสมาชิก (2020)

“เรื่องราวของลอรี,” พฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกัน: เรื่องราวของสมาชิก

เรื่องราวของลอรี

ลอรีรู้เสมอว่าพระกิตติคุณเป็นความจริง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อะไรง่ายขึ้นเลย อันที่จริง ความรู้ของเธอดูเหมือนจะส่งผลให้การตัดสินใจเป็นไปได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ผ่านการทดลองและร้องไห้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เธอจึงพบว่าเธอทุ่มเทให้กับพระผู้ช่วยให้รอดและพระกิตติคุณของพระองค์

เรื่องราวส่วนตัวของลอรี

ฉันชื่อลอรี แคมพ์เบลล์ ปัจจุบันฉันอาศัยอยู่ในโอเชียนไซด์ แคลิฟอร์เนีย กับสามีและลูกชาย

ฉันเป็นผู้สร้างเนื้อหาโฆษณา แต่ฉันนำเก้าอี้พร้อมแล็ปท็อปไปนั่งอยู่ริมชายหาด มีวิวทะเลที่ยอดเยี่ยม นั่นเป็นที่ทำงานของฉัน ครอบครัวแพทย์ของฉันผิดหวังมาก หลังจากที่ฉันเรียนสาขาจุลชีววิทยาจบสี่ปี ฉันกลับเปลี่ยนสาขาไปเป็นศิลปะแทน ย้ายไปแคลิฟอร์เนีย และเรียนอีกสี่ปีจนจบที่ศูนย์ศิลปะ

ฉันจะบอกความจริงกับคุณว่านี่เป็นความรู้สึกที่สงบและสบายจริงๆ สุขภาพจิตของฉันเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากมาก และโครงการศิลปะจากแผ่นกระเบื้องที่ฉันเพิ่งตัดสินใจทำช่วยให้ฉันมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นได้จริงๆ ตอนที่ฉันเรียนมัธยมปลาย ฉันเป็นโรคซึมเศร้าและวิตกกังวลบ่อยมาก ฉันจึงหันไปใช้ยาเสพติดและแอลกอฮอล์ ฉันพบคนที่ฉันรู้สึกชอบพอด้วยมากเป็นคนแรก เธอเป็นโค้ชและเป็นผู้หญิง รู้มั้ยว่าเธอไม่เคยมีทีท่าว่าจะสนใจฉันเลย ฉันคิดว่าเป็นเพราะฉันไม่เคยแสดงออกว่าชอบเธอ อย่างที่คุณทราบ เพราะฉันเป็นมอรมอน

ฉันรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าต้องทรงช่วยฉัน ฉันจึงสวดอ้อนวอนพระองค์ให้ทรงช่วย และฉันก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น ฉันสวดอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งแต่อีกสิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้น หรือฉันจะไปต่ออีกวันหนึ่งฉันก็ไปไม่ได้ แต่แล้วฉันก็ต้องไปต่ออยู่ดี ตอนที่ฉันเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ฉันเบื่อหน่ายกับความรู้สึกผิด ฉันเริ่มออกเดทกับผู้หญิง และอย่างที่ทราบ ฉันรู้สึกดี ฉันลงเอยกับผู้หญิงที่ฉันตกหลุมรัก และฉันรู้สึกว่าฉันอยากใช้ชีวิตที่เหลือกับเธอ และนั่นเป็นความรู้สึกที่ถูกต้อง แต่ก็มีเวลาที่ฉันเกิดความรู้สึกว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงต้องการให้ฉันใช้ชีวิตแบบนั้น คุณรู้ไหม ฉันมีความคิดฆ่าตัวตายมากกว่าหนึ่งครั้ง เพราะความขัดแย้งที่ฉันมีความรู้สึกตกหลุมรักและมีความรู้สึกลึกซึ้งกับคนคนหนึ่ง แล้วจากนั้นก็รู้สึกว่าต้องหยุดความสัมพันธ์ เหมือนกับว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการคุณ… การเลิกกันนั้นเป็นเรื่องยากมาก

เหมือนกับว่าสองสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต กลายเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน เป็นเรื่องที่รับมือได้ยากมาก เป็นความรู้สึกที่ว่า… ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว การเลิกเหล้าใช้ความพยายามมาก เป็นเรื่องที่ยากมาก และฉันใช้เวลาไปกับความล้มเหลวที่จะเลิกเยอะมาก ฉันไปที่สถานบำบัดผู้ติดเหล้าอยู่ช่วงหนึ่ง แนวคิดของการให้ความสำคัญกับพระผู้เป็นเจ้าก่อนและยอมทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ช่วยฉัน และฉันตัดสินใจว่าฉันอยากเริ่มไปที่โบสถ์ของเราอีกครั้งเพราะนั่นเป็นสิ่งที่ฉันเชื่อ มีเพียงแสงหริบหรี่นี้เท่านั้นประหนึ่งพระคริสต์ทรงชูเทียนขึ้นมา เหมือนกับเทียนเล่มเล็กๆ ด้วยใช่ไหม? ราวกับจะบอกเป็นนัยๆ ว่า “เจ้าทำได้ นี่เป็นเรื่องยาก แต่เจ้าทำได้” และพระองค์ตรัสได้ถูกต้อง ไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันยังคงรักเธอและอยากใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่ ฉันพูดถึงสองสิ่งที่ฉันเชื่อนั่นก็คือ ฉันเชื่อในความสัมพันธ์ของเรา และฉันเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้ฉันอยู่ในความสัมพันธ์นี้ และฉันพูดว่า ฉันคงทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าในเรื่องนี้ ต้องใช้ศรัทธาอย่างมากเพื่อทำให้ฉันเริ่มออกเดทกับผู้ชาย และนั่นคือปัญหา ฉันจะออกเดทกับผู้ชาย และพูดว่าโอ้ไม่อยากเชื่อเลยฉันเป็นเลสเบียน

ฉันทำไม่ได้… นั่นช่างเป็นประสบการณ์ที่แย่จริงๆ! ช่วยฉันที!

ฉันรู้สึกว่ารสนิยมทางเพศเป็นวิธีจัดหมวดหมู่ผู้คนอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องสำคัญสำหรับหลายๆ คน และสำหรับฉันมันเป็นอุปสรรค ฉันจึงไม่ต้องการรู้สึกว่าฉันถูกตราหน้า สิ่งที่ไม่ช่วยอะไรเลยแม้แต่ในตอนนั้นก็คือผู้คนที่จะพูดว่า “คุณรู้อะไรไหม ศาสนจักรกำลังจะเปลี่ยนแปลง พวกเขากำลังจะยอมรับความสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน” และนั่นเป็นเรื่องที่ฉันก้าวผ่านไปได้ยาก เหมือนกับว่า เอาล่ะ โอเค ถ้านั่นเป็นเพียงความจริง ฉันก็ควรจะอยู่กับเทรซี่ ฉันมีความเข้มแข็งอะไรเพื่อก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้?

สิ่งที่ช่วยฉันได้มากที่สุดคืออธิการซึ่งเข้าใจ เขากล่าวว่า “ผมไม่เคยรับมือกับเรื่องนี้มาก่อน แต่คุณรู้ไหม มาช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรดีกว่า” เป็นเวลาสามปี สามปีที่เขาพบกับฉัน เพื่อน โบสถ์ การสวดอ้อนวอน การอ่านพระคัมภีร์ล้วนสำคัญ ฉันเขียนต้นฉบับเกี่ยวกับชีวิตของฉันเสร็จแล้ว และเพื่อนของเราคนหนึ่งก็เพิ่งเริ่มกลับมาเข้าโบสถ์ เราทำเรื่องสนุกหลายอย่าง และคุณรู้ไหม เขาไม่ได้พยายามใกล้ชิดทางกาย และฉันก็ไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรให้เขาเหมือนกัน ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของเราดำเนินไปอย่างราบรื่น

นอกเหนือจากที่ฉันรักเทรซี่แล้ว ฉันยังมีความสุขกับการอยู่คนเดียวด้วย ฉันจึงคิดว่าฉันจะไม่แต่งงานหรือมีสัมพันธ์ทางเพศ แล้ววันหนึ่งเขาก็พูดว่า “ผมหวังว่าความสัมพันธ์ของเราจะไปไกลได้มากกว่านี้” ฉันรู้สึกตื่นตระหนก ฉันไปดูและเห็นว่ามีต้นฉบับ 150 หน้านี้เกี่ยวกับชีวิตของฉัน และฉันก็พูดว่า “คุณรู้ไหม ฉันคิดว่าคุณต้องรู้เกี่ยวกับตัวฉันมากกว่านี้สักหน่อย ทำไมคุณไม่เอาไปอ่านล่ะ?” เพื่อนๆ ล้อฉันตลอดสุดสัปดาห์ เพราะเพื่อนฉันพูดทำนองนี้ “โอเค เธอให้หนังสือเขาไป เพื่อเขาจะได้ไปจากเธออย่างนั้นหรือ?” ฉันตอบว่า “ไม่แน่ใจ” ฉันจึงวางต้นฉบับ 150 หน้านี้บนตักเขาและพูดว่า “ถ้าคุณยังต้องการความสัมพันธ์หลังจากอ่านต้นฉบับนี้แล้ว ให้มากินอาหารค่ำในคืนวันอาทิตย์และเจอกับฉันที่นี่หกโมง และถ้าคุณไม่มา ฉันก็เข้าใจ” ฉันพูดว่า “คุณไม่จำเป็นต้องโทรมาบอกด้วยซ้ำ ถ้าคุณไม่อยากมา ไม่เป็นไรหรอก”

เขาปรากฏตัวตอนหกโมงพร้อมน้ำตาคลอหน่วย เขาร้องไห้และพูดว่า “ผมเสียใจด้วยที่คุณต้องก้าวผ่านเรื่องนี้” เขาพูดว่า “มันแย่มาก” และพูดว่า “ผมหวังว่าจะได้อยู่ตรงนั้นกับคุณขณะที่คุณยังอายุน้อย ผมหวังว่าคุณน่าจะมีใครสักคนให้คุยด้วย” และฉันรู้สึกโล่งใจ เขากอดฉัน โอบฉันไว้และร้องไห้ และฉันก็ร้องไห้ ราวกับว่าจากปฏิกิริยาทุกอย่างที่เขาอาจจะมีได้กับเรื่องราวในหนังสือนั้นที่พูดถึงเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์และเสพยา ความสัมพันธ์กับผู้หญิง ปฏิกิริยาทุกอย่างที่เขาอาจจะมีได้ … เรากอดกัน มีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวที่ฉันไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน ไม่ใช่ผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่เหมือนความรู้สึกที่ฉันเคยมีมาก่อน และเขาพูดว่า “ถ้าคุณจะยังให้โอกาสความสัมพันธ์นี้กับผม ผมก็จะถือว่าเป็นเกียรติ” นั่นเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง

ที่จะคิดว่าปัญหาทุกอย่างทั้งเรื่องการแต่งงานและการมีครอบครัวได้จบลงแล้ว ฉันยังคงรู้สึกโง่มากที่คิดแบบนั้น รู้ไหมว่าความวิตกกังวล/ความซึมเศร้าจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเด็ก นั่นเกิดขึ้นจากการแต่งงานและมีบุตร บางคนพูดกับฉันว่า “จริงๆ นะ คุณก็เป็นแค่เลสเบียน แล้วคุณก็แต่งงานกับผู้ชาย แล้วคุณก็ไม่ได้ใช้ชีวิตที่เป็นตัวเองจริงๆ” ฉันเข้าใจว่าทำไมพวกเขารู้สึกแบบนั้นเพราะฉันก็เคยรู้สึกแบบนั้นมาก่อนเหมือนกัน แต่ตอนนี้ สิ่งที่ฉันเคยคิดว่าเป็นความจริงกลับไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด ฉันต้องยอมรับว่า จะอย่างไรก็ตามนี่เป็นเรื่องที่ท้าทาย เราแค่วางใจทุกอย่างที่พระเจ้าจะทรงพาเราไปแค่นั้น

เรื่องราวของลอรีต่อ

ฉันตระหนักว่าฉันชอบโค้ชในโรงเรียนมัธยมของฉันที่เป็นผู้หญิง ย้อนกลับไปช่วงกลางทศวรรษ 1970 ในตอนนั้นการถูกเรียกว่าเกย์และเลสเบียนเป็นเรื่องเจ็บปวดและน่าอาย มีไม่กี่คนที่เปิดตัวเรื่องเพศของตนเองเพราะมันเจ็บปวดเกินไป การเล่นกีฬาช่วงมัธยมปลายช่วยฉันเพราะฉันมีเพื่อนที่เป็นเลสเบียนหลายคน ฉันไม่ได้รู้สึกชอบพอเพื่อนเหล่านั้นสักคน แต่ฉันรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ใกล้ๆ พวกเขามากกว่าคนอื่น

ฉันรู้สึกผิดที่โบสถ์เพราะเมื่อฉันอายุ 10 ขวบ ฉันถูกพี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องลวนลามทางเพศ และฉันถูกผู้ชายที่ฉันคิดว่าเป็น “เพื่อนของครอบครัว” ข่มขืน จากนั้นฉันรู้สึกเหมือนโดนทำร้ายจากบทเรียนของศาสนจักรเรื่องกฎแห่งความบริสุทธิ์ทางเพศ ที่พุ่งเข้าใส่ฉันอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องราวกับว่ามาจากทีมยิงปืนที่พบว่าฉันมีความผิด “เมื่อเสียพรหมจรรย์ไปแล้ว ก็ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้” “คุณจะเลือกอะไรระหว่างรถที่ใช้แล้วกับรถใหม่?”

เฒ่าหัวงูคนที่ฉันคิดว่าเป็น “เพื่อนของครอบครัว” ได้ทำให้ฉันเชื่อว่าที่ฉันโดนข่มขืนเป็นความผิดของฉัน เขายืนกรานว่าถ้าฉันบอกเรื่องนี้กับคนอื่น ฉันจะมีปัญหาแน่ ฉันเลยไม่ได้บอกใคร และฉันรู้สึกผิด รู้สึกผิดอย่างรุนแรง ที่คิดว่าฉันได้ทำ “บาปร้ายแรงที่รองจากฆาตกรรม”

ผู้หญิงยืนอยู่ริมชายหาด

ฉันเล่นกีฬาในมหาวิทยาลัยด้วย และใช้เวลาส่วนใหญ่กับเพื่อนที่เป็นเลสเบียน ฉันหลีกเลี่ยงที่จะออกเดทในตอนปีหนึ่ง เพราะประจักษ์พยานของฉันในพระกิตติคุณ แต่ในช่วงปีสอง ฉันหยุดไปโบสถ์อย่างสิ้นเชิง แล้วก็ดื่มแอลกอฮอล์และใช้ยาเสพติด ฉันเบื่อหน่ายกับความรู้สึกผิด และเพราะฉันไม่ได้ไปโบสถ์และไม่ได้เชื่อฟังพระคำแห่งปัญญา ฉันเลยคิดว่าฉันอาจจะออกเดทกับผู้หญิงด้วย

ฉันทำแบบนั้นเพราะฉันคิดว่ามันคงเป็นแค่เรื่องชั่วคราว ฉันคิดว่าพอถึงจุดหนึ่งในอนาคต ฉันคงจะเลิกออกเดทกับผู้หญิงและกลับไปเข้าโบสถ์เหมือนเดิม แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คือ ฉันตกหลุมรักกับผู้หญิงที่ฉันออกเดทด้วย ฉันประหลาดใจเพราะฉันไม่เคยคิดว่าฉันจะตกหลุมรัก (แม้ฉันจะไม่แน่ใจว่าฉันคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นเพราะฉันออกเดทกับผู้หญิงก็ตาม) ถึงแม้ความรู้สึกที่ฉันมีให้เธอนั้นลึกซึ้งมาก แต่ประจักษ์พยานก็มีอิทธิพลต่อฉันมากเช่นกัน ทั้งในแง่ของความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นต่อพระกิตติคุณและน้ำหนักของความขัดแย้ง

หลังจากเราคบกันประมาณหนึ่งปีครึ่ง เราก็เลิกกัน ฉันออกเดทกับผู้หญิงอีกเพื่อพยายามจะลืมเธอ แต่ก็ไม่ได้ผลมากนัก ตอนที่ฉันย้ายออกจากรัฐ ฉันมีความรู้สึก— ความประทับใจนี้—ว่าฉันควรค้นหาว่าฉันอยู่ในวอร์ดไหนแล้วไปคุยกับอธิการ ฉันไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไรด้วยซ้ำ ฉันแค่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ

ผู้หญิงมองไปที่มหาสมุทร

เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันรู้เหตุผลแล้วว่าทำไม เพราะพระคุณของพระผู้เป็นเจ้า อธิการท่านนั้นเป็นเหมือนพระคริสต์จริงๆ เขาใช้อำนาจของฐานะปุโรหิตเพื่อฉัน เฉกเช่นแบบแผนจากสวรรค์ที่ได้ออกแบบไว้ เขาดำเนินชีวิตตามพระคัมภีร์ “ไม่มีอำนาจหรืออิทธิพลใดสามารถหรือจะธำรงไว้ได้โดยอาศัยฐานะปุโรหิต, นอกจากโดยการชักชวน, โดยความอดกลั้น, โดยความสุภาพอ่อนน้อมและความอ่อนโยน, และโดยความรักที่ไม่เสแสร้ง” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 121:41)

อธิการท่านนั้นพบกับฉันเกือบสามปี แม้ว่าฉันจะกลับไปคบกับแฟนที่เป็นผู้หญิงอยู่ช่วงหนึ่ง

เมื่อฉันทำผิดพลาด เขาก็จะเพิ่มความอดทนอดกลั้นและรักโดยไม่เสแสร้ง

ฉันมีความรู้สึกที่แรงกล้าว่าการรักกับผู้หญิง “เป็นสิ่งที่ถูกต้อง” และความสัมพันธ์นั้นมีเรื่องดีๆ หลายอย่าง ความรู้สึกว่า “นี่เป็นสิ่งที่ผิด” จึงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ และทำตามได้น้อยกว่ามาก สิ่งที่รู้สึกว่าถูกกลับผิด สิ่งที่รู้ว่าผิดกลับถูกจริงๆ บางครั้งความขัดแย้งจะโหมกระหน่ำเข้ามาจนฉันคิดจะฆ่าตัวตาย ฉันรู้สึกว่าเป็นพรที่ยังมีชีวิตอยู่

ด้วยความช่วยเหลือจากอธิการ ฉันเริ่มอ่านพระคัมภีร์ทุกวันและเข้าโบสถ์บ่อยขึ้น แม้ว่าฉันจะรักษาศรัทธาของฉันได้ยากก็ตาม หลายครั้งฉันไม่สามารถรู้สึกถึงพระสิริของพระผู้เป็นเจ้า การสวดอ้อนวอนดูเหมือนการพูดคนเดียวมากกว่าเป็นบทสนทนา

ผู้หญิงกำลังไตร่ตรอง

ฉันมั่นใจมาตลอดว่าความเจ็บปวดที่แต่ละคนต้องอดทนในชีวิตนี้มีจำกัด เรารู้ว่าเราจะไม่ได้รับมากเกินกว่าที่เราจะทนได้ แต่พอถึงจุดหนึ่งที่ฉันมั่นใจว่าฉันทนไม่ได้อีกแล้ว จุดนั้นเจ็บปวดอย่างที่สุด ความเจ็บปวดในรูปแบบที่ชัดเจนและถูกกลั่นออกมา ทำให้ฉันรู้สึกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ฉันเริ่มได้รับความเข้มแข็งที่จำเป็นในการใช้สิทธิ์เสรีและเลือกแผนพระกิตติคุณ

แต่นั่นก็ยังเป็นตัวเลือกที่ยากอยู่ดี

โอกาสก็ดูไม่ค่อยดี ฉันไม่มีความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตกับผู้ชายคนหนึ่งไปตลอดชีวิต—ความปรารถนานั้นยิ่งน้อยลงมากหากเป็นนิรันดร์

นั่นทำให้ฉันเหลือทางเลือกเพียงทางเดียวคือรักษาความโสดไปตลอดชีวิต ฉันมีความสุขเสมอกับการใช้เวลาอยู่กับตัวเองซึ่งช่วยฉันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้เวลาไปกับการเขียนและการถ่ายภาพ

ฉันรู้ว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นความจริง ฉันรู้ว่าพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นความจริง ฉันรู้ว่าเรามีศาสดาพยากรณ์ที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ฉันจึงเดินหน้าต่อไปในทิศทางนั้น

แต่ฉันก็ยังคงไม่สบายใจบ่อยๆ เมื่ออยู่ที่โบสถ์ ฉันไม่รู้จักใครเลย ฉันยังคงสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และเสพยา แล้วก็เก็บซ่อนความสนใจทางเพศไว้ ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้ดำเนิน “ชีวิตชอบธรรม” อย่างที่ฉันคิดว่าทุกคนในศาสนจักรดำเนินชีวิตเช่นนั้น ฉันรู้สึกแปลกแยก เหมือนกับว่าฉันอยู่ต่างถิ่น

นอกจากอธิการแล้ว ในที่สุดฉันก็พบเพื่อนคนหนึ่งที่โบสถ์ เธอได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เยี่ยมสอนของฉัน ความรัก การยอมรับ และการสนับสนุนของเธอช่วยให้ฉันรู้สึกสบายใจมากขึ้น ในที่สุดฉันก็มีเพื่อนที่โบสถ์ผู้ที่รู้ว่าฉันเป็นใคร รวมถึงรู้ทุกสิ่งที่ฉันเคยทำพลาดไป และก็ไม่คิดว่าฉันเป็นคนไม่ดี ชั่วร้าย หรือวิปริต

อาทิตย์อัสดงเหนือท่าเรือและมหาสมุทร

ฉันใช้เวลาอีกหลายปีในการเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แอลกอฮอล์ และยาสูบ และเพื่อค้นหาความสบายใจอย่างแท้จริงโดยไม่ต้องมีผู้หญิงอีกคนในชีวิต ตอนที่ฉันอายุครบ 30 ปี ฉันเตรียมตัวไปเข้าพระวิหาร ฉันคิดว่าฉันตั้งปณิธานที่จะรักษาความบริสุทธิ์ไปตลอดชีวิต และฉันมีศรัทธาที่จะทำให้สำเร็จ

แต่ฉันรู้สึกว่าฉันควรพยายามออกเดทกับผู้ชาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้ฉันคิดว่าฉันเป็นเลสเบียนและไม่มีทางอยู่กับผู้ชายได้เลย หลังจากนั้นสักพัก ฉันก็พบกับเพื่อนผู้ชายที่ฉันสบายใจจะอยู่ด้วย เขาร่าเริงมากและน่าเข้าไปพูดคุยด้วย เราเป็นเพื่อนกันจนกระทั่งเขาพูดว่าเขาต้องการความสัมพันธ์ เนื่องจากในตอนนั้นฉันกำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตของฉันอยู่ ฉันจึงส่งต้นฉบับให้เขาอ่านสิ่งที่ฉันพูดถึงบาปร้ายแรงที่สุดที่ฉันเคยล่วงละเมิดมาแล้ว

ฉันคิดว่าคงไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว แต่เขาก็มากินอาหารค่ำในคืนวันอาทิตย์นั้น

เขาไม่เพียงยอมรับเรื่องในอดีตของฉันได้เท่านั้น แต่เขายังรู้สึกสะเทือนใจอย่างมากด้วย

เขาร้องไห้ เขาขอโทษที่เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นขณะที่ฉันอายุยังน้อยและไม่สามารถช่วยอะไรฉันได้เลย

ฉันทึ่งและซึ้งใจมากจริงๆ ความรู้สึกของฉันที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปในเวลานั้น นับตั้งแต่นั้นมา ฉันก็รู้เลยว่าเขาคือคนที่ใช่สำหรับฉัน และสิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ เขาเป็นผู้ชาย

จนถึงวันนี้ ในบางสถานการณ์ ฉันบอกให้ผู้คนทราบเกี่ยวกับภูมิหลังของฉัน เมื่อฉันรู้สึกว่าจำเป็นต้องให้ความรู้และบอกให้พวกเขาทราบ เพื่อช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกัน และวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่เป็น LGBT ที่กำลังมองหาความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งในชุมชนของวิสุทธิชน บางครั้งฉันก็ได้รับการปฏิบัติที่ต่างออกไป บางคนถึงขนาดเลี่ยงที่จะไม่เจอหรือแสดงความรังเกียจเลยด้วยซ้ำ แต่บ่อยครั้งที่ฉันได้มิตรภาพที่ยิ่งใหญ่และค้นพบว่าฉันมีอะไรเหมือนกับคนอื่นๆ มากกว่าที่คิด

คู่รักกำลังมองดูอาทิตย์อัสดงเหนือมหาสมุทร

ฉันยอมรับว่าฉันมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเมื่อมีคนพูดว่า “แน่นอนสิ คุณใช้ชีวิตแบบชอบธรรมได้เพราะคุณแต่งงานแล้ว เป็นเรื่องง่ายกว่าอยู่แล้วสำหรับคุณ” การพูดอย่างนั้นทำให้ฉันไม่สบายใจ เพราะฉันเผชิญความลำบากจากภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง (PTSD) และด้วยการเลี้ยงดูลูกสามคนของเราซึ่งแต่ละคนต้องต่อสู้กับความท้าทายบางอย่าง และสำหรับฉันสถานการณ์พวกนั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่าเสียอีก การทนกับความเจ็บปวดของลูกๆ แย่ยิ่งกว่าตัวฉันเจ็บปวดเอง “โปรดทำร้ายฉันแต่อย่าทำลูกของฉัน!”

ฉันเติบโตขึ้นด้วยศรัทธาในหลายๆ ด้าน อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็รู้ดีเกินกว่าที่จะคิดว่าฉันได้เห็นช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดของตนเองไปแล้ว ฉันรู้สึกขอบคุณที่มีสามีที่รักและสนับสนุนฉันและได้ผ่านอะไรกับฉันมามากมาย ฉันรู้ว่าเขาทำให้ชีวิตฉันง่ายขึ้นเพราะเราเลี้ยงลูกๆ มาด้วยกัน ผ่านความท้าทายและทุกอย่าง

ศรัทธาของฉันเข้มข้นมากขึ้นในตอนนี้ ฉันพึ่งพาพระเจ้าในทุกๆ สิ่ง และเริ่มวางใจว่าบางวิธี บางหนทาง ทุกสิ่งที่เราเจอกำลังให้ประสบการณ์แก่เรา แม้ว่าขากรรไกรแห่งนรกดูเหมือนพร้อมจะงับฉันหลายครั้งตลอดชีวิตที่ผ่านมา แต่ฉันก็มีความรู้ที่สมบูรณ์ว่าทั้งหมดนั้นก็เพื่อความดีของฉัน (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา122:7)

ความรักและการอุทิศตนของฉันต่อพระผู้ช่วยให้รอดและพระกิตติคุณของพระองค์ไม่สามารถและจะไม่พังทลายอีกต่อไป

เรื่องราวของดัลลาส: สามีของลอรี

ดัลลาสต้องการรูปแบบความสัมพันธ์แบบเดียวกับที่พ่อแม่ของเขามีเสมอมา เขาไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ จนกระทั่งเขาพบลอรี อดีตของเธอทำให้เขาสะเทือนใจมาก แต่ดัลลาสก็รู้ได้อย่างรวดเร็วว่าถ้าลอรีสามารถยอมรับเขาได้แม้ว่าเขาจะไม่สมบูรณ์แบบ เขาก็ทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน

ผู้ชายนั่งอยู่ในครัว

ผมจำความปั่นป่วนที่ตามมาได้เมื่อพี่ชายคนโตพูดในการประชุมศีลระลึกว่าเขาไม่เคยได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกันเลย บางคนคิดว่าเขาพูดเกินจริง คนอื่นๆ คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เราก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน พ่อแม่ทุกคนไม่เหมือนกับพ่อแม่ของเราหรอกหรือ? ผมคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่รับรู้ว่าพ่อแม่รักและเคารพซึ่งกันและกัน และผมกับพี่ชายก็รู้ว่าพวกท่านรักเรา ผมไม่รู้ว่าพวกท่านทำได้อย่างไร แต่นั่นเป็นสภาพแวดล้อมที่วิเศษที่สุดที่เราเติบโตขึ้นมา ด้วยการเริ่มต้นที่ดีแบบนี้ คุณคงคิดว่าชีวิตผมต้องยอดเยี่ยมแน่ๆ ใช่ไหม ไม่ใช่เลย

ผมกลับบ้านจากงานเผยแผ่ได้เพียง 16 ปี เมื่อผมพบลอรี เพื่อนของเราแนะนำให้รู้จักกัน และเธอใช้เวลาหลายเดือนกระตุ้นให้ผมกลับไปเข้าโบสถ์ ผมคิดว่าลอรีมีเสน่ห์มากและค่อนข้างจะดื้อรั้น เธอไม่ใช่คนหัวอ่อน ในชีวิตเธอตอนนั้น เธอผ่านการเดินทางที่ยาวนานและยากเย็นเพื่อจะเรียกคืนศรัทธาของเธอและเพื่อไปพระวิหาร เธอได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของเธอแล้วว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญ ผมยังทำไม่ได้ขนาดนั้น

เราอยู่ในแผน “เดทเดือนเดียว” สักพักหนึ่ง ผมชอบบุคลิกของเธอมาก เธอไม่เหมือนใคร เป็นคนประเภทใหม่ๆ สำหรับผม หลังจากผ่านไปสองสามเดือน ผมก็ตั้งตารอที่จะใช้เวลากับเธอ ผมคิดว่าเธอกำลังเรียนรู้ผมอยู่เช่นกัน และก็ไม่ได้เป็นไปในทางที่ดีสักเท่าไรนัก เย็นวันหนึ่งเธอบอกกับผมว่าเธอคาดหวังมากกว่านี้ เธอบอกว่าพระกิตติคุณสำคัญต่อเธอมากเพียงใด และกังวลที่เราไม่ได้มีมุมมองเดียวกัน นั่นคือตอนที่ผมเริ่มรู้ ขณะที่เราคุยกัน ผมก็เข้าใจทันทีว่าผมสามารถมีความสัมพันธ์แบบเดียวกันกับเธอได้ อย่างที่พ่อแม่ผมมีให้กันและกัน ผมไม่เคยคิดแบบนั้นมาก่อน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเป็นไปได้

มือที่กำลังเขียนในบันทึกประจำวัน

ผมบอกเธอว่าผมสนใจบางอย่างที่มากกว่าความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ เธอตอบผมด้วยการให้หนังสือมาอ่าน ซึ่งก็คือเรื่องราวชีวิตของเธอ ผมสัญญาว่าผมจะอ่านขณะที่เธอไม่อยู่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ผมเอาหนังสือกลับไปที่บ้านและไม่อยากจะแตะมัน หนังสือวางอยู่ตรงนั้น 24 ชั่วโมง และมันทำให้ผมกังวลใจมาก ในที่สุด ผมก็ได้รับแรงจูงใจจากความรู้สึกที่ผมบอกเธอ ผมจึงเปิดหนังสือแล้วเริ่มอ่าน (ตอนนั้นผมได้ค้นพบว่าเธอเป็นนักเขียนที่เก่งมาก) สิ่งที่ผมอ่านในคืนนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดเท่าที่ผมเคยอ่านมา คนที่ผมห่วงใยอย่างสุดซึ้งประสบเรื่องราวน่าสลดใจเช่นนี้โดยที่ผมไม่รู้ได้อย่างไร?

ในหนังสือนั้นพูดถึงความรู้สึกเสน่หาเพศเดียวกันของเธอด้วย และเธอต้องต่อสู้กับพระคำแห่งปัญญา ผมอ่านต่อไปเรื่อยๆ ผมก็เจอข้อความที่ไม่คาดคิด “ไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะรู้สึกสบาย สะดวก หรือพอใจกับวิถีชีวิตของคุณเพียงใด ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ทำให้คุณเข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้น ไม่สำคัญหรอกว่าสิ่งนั้นจะพาคุณไปที่ใด”

ถ้าความรู้สึกที่ผมมีต่อเธอคือลิ่ม ข้อความนั้นก็คือค้อน แรงตอกทำให้หัวใจของผมเปิดกว้าง ได้สัมผัสกับชีวิต โลก และความเจ็บปวด ผมเห็นว่าผมมีทางเลือกที่ต้องเลือกอย่างชัดเจนคือ ผมสามารถไปตามเส้นทางปัจจุบันเรื่อยๆ และตายไป หรือสามารถเลือกชีวิต ผมพิจารณาวิกฤตการณ์นั้น และผมเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยสุดใจของผม

ผมรู้ในชั่วขณะนั้นว่าผมไม่คู่ควรหรือไม่เหมาะสมที่จะใช้ชีวิตกับลอรี แต่ผมก็รู้ดีว่าผมรักเธอ ผมพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เร็วที่สุด การเปลี่ยนแปลงเป็นลักษณะหนึ่งของแผนอันสำคัญยิ่งแห่งความสุข ผมรู้สึกขอบคุณพรแห่งการเปลี่ยนแปลง

มีช่วงของความกังวลก่อนที่เราจะแต่งงานกัน ตอนนี้ผมรู้ภูมิหลังของเธอแล้ว ผมจะทำให้สำเร็จได้ไหม?

ผมรู้สึกกังวลอยู่บ้าง สุดท้ายแล้วผมก็เป็นผู้ชาย แล้วเธอก็ไม่ได้เสน่หาผู้ชายมากนัก

เมื่อใดก็ตามที่ผมเริ่มกังวล ผมได้รับการเตือนอย่างรวดเร็วว่า ผมไม่ได้สมบูรณ์แบบและผมรู้สึกขอบคุณที่เธอยอมรับผมอย่างที่ผมเป็น ถ้าเธอยินดีทำเช่นนั้นเพื่อผม ผมจะทำแบบเดียวกันไม่ได้หรือ?

ผมตัดสินใจอย่างมีสติว่าจะไม่กังวลเกี่ยวกับอดีตของเธอและผมยึดมั่นกับสิ่งนั้น

หลังจากอยู่ด้วยกันมายี่สิบปี พัฒนาการที่น่าประหลาดใจคือผมใช้เวลามากสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่กังวลมากกว่าเวลาที่ใช้กังวลจริงๆ เสียอีก เห็นได้ชัดว่าไม่มีเหตุผลใดที่น่ากังวล—อย่างน้อยก็เรื่องอดีตของเธอ

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เราเริ่มชีวิตแต่งงาน เราพบสิ่งอื่นๆ ที่ต้องกังวลมากกว่า นั่นคือ ลูกๆ การเงิน ลูกๆ สุขภาพ ลูกๆ สิ่งที่เราคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องกังวลมากกลายเป็นเรื่องที่ไม่ได้สำคัญที่สุด เมื่อความต้องการของครอบครัวมีความสำคัญมากกว่า ประสบการณ์ของเธอสร้างตัวเธอเองบนเส้นทางพระกิตติคุณ ทำให้ศรัทธาของเธอเข้มแข็งและนำไปใช้ได้จริง ผมพบว่าความเข้มแข็งทางวิญญาณของเธอเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจ เป็นเรื่องที่เลวร้ายสำหรับเราทั้งคู่เมื่ออยู่ในภาวะซึมเศร้า (หรืออะไรก็ตามที่เป็นสาเหตุของหลายๆ อย่าง) เธอสูญเสียความรู้สึกถึงพระวิญญาณ แต่เธอก็ยังคงมีศรัทธาแม้จะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้

คู่สามีภรรยามองไปที่มหาสมุทร

ผมได้รับพรที่ได้อยู่กับลอรี ชีวิตเราทั้งคู่มีความท้าทาย แต่ก็ดี ผมยังทำได้ไม่ถึงมาตรฐานที่พ่อแม่กำหนดไว้เท่าไรนัก แต่ผมพยายามแล้ว เราพบโลกของเราด้วยกันในแบบของเราเอง ผมแอบตื่นเต้นเสมอเมื่อได้ยินเธอพูดว่า “พระกิตติคุณไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกสนใจผู้ชาย แต่พระกิตติคุณช่วยทำให้ฉันสนใจผู้ชายหนึ่งคน” ซึ่งก็คือผม นั่นมากกว่าที่ผมหวังไว้เสียอีก

เรื่องราวของเพื่อนลอรี

การกลับใจเป็นกระบวนการแสนยากเย็นที่ต้องผ่านไป แม้ว่าจะเป็นทางที่จำเป็นก็ตาม ลอรีต้องการแค่กำลังใจ—กำลังใจที่เพื่อนเท่านั้นที่จะให้ได้ คนบางคนที่จะสนับสนุนเธอต่อไปโดยไม่คำนึงถึงพฤติกรรมปัจจุบันของเธอหรือการตัดสินใจในภายหลัง

ภาพดอกไม้ระยะใกล้

ฉันเจอริบ ซึ่งเป็นชื่อที่ฉันใช้เรียกลอรีเมื่อเธอเริ่มเข้าร่วมวอร์ดคนโสดเป็นครั้งคราว ฉันชอบเธอหลังจากที่เธอให้ประจักษ์พยานอย่างสนุกสนานเกี่ยวกับผู้เยี่ยมสอนที่เธอมีขณะยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เป็นเรื่องราวที่ตลกและประทับใจที่สุดที่ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับผู้เยี่ยมสอนมาเลยก็ว่าได้

เหมือนกับถูกกำหนดไว้ ไม่นานฉันก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เยี่ยมสอนของเธอ

ฉันรู้จักเธออย่างรวดเร็วผ่านอารมณ์ขันของเธอ เรากลายเป็นเพื่อนกัน และเธอมักจะปรึกษาฉันในเรื่องการทดลองและความผิดหวังของเธอ ฉันฟังขณะรู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจที่เธอประสบปัญหามากมาย

เธอปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหยุดพฤติกรรมของเธอในหลายๆ ด้าน รวมถึงปัญหาเรื่องพระคำแห่งปัญญาและความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนหนึ่งด้วย เธอพบว่าเธอยังทำแบบนั้นไม่ได้ ดังที่เธอคร่ำครวญอยู่หลายครั้ง

ฉันต้องการเป็นเพื่อนของเธอโดยไม่คำนึงถึงพฤติกรรมปัจจุบันหรือการตัดสินใจในภายหลังของเธอ

ประมาณหนึ่งปีที่เป็นเพื่อนกัน ฉันชวนเธอไปรับประทานอาหารกลางวันกับฉัน ฉันไม่ได้มีแผนอะไรเป็นพิเศษ ฉันแค่รู้สึกว่าเป็นวิธีเยี่ยมสอนที่น่าสนุก เราทั้งคู่ยังหัวเราะกับเรื่องนั้นอยู่จนทุกวันนี้ หลังจากสั่งอาหารแล้ว เธอบ่นถึงอุปสรรคมากมายที่ดูเหมือนจะถาโถมเข้ามาในเส้นทางสู่การกลับใจของเธอ ถึงจุดหนึ่งเธอพูดแบบทีเล่นทีจริงว่า “ตอนนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ฉันต้องกลับใจใช่ไหม? ฉันมีเวลาหลายปีก่อนที่ฉันจะต้องรับมือกับผลของการตัดสินใจของฉัน”

ในตอนนั้น ฉันเงียบมาก และก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ฉันบอกกับเธอว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะเลิกเล่นกับพระเจ้าและผัดวันประกันพรุ่งวันกลับใจของเธอ ฉันบอกเธอว่าพระเจ้าทรงคาดหวังกับเธอ เพราะเธอฉลาดและมีความเข้าใจคำมั่นสัญญาของเธออย่างถ่องแท้ที่จะหยุดทำทุกอย่างที่ทำให้เธอเจ็บปวดและเป็นทุกข์

ฉันพูดแรง แรงกว่าที่เคยเป็นมาเพราะการกระตุ้นเตือนที่ว่าเธอจำเป็นต้องได้ยินสิ่งที่ฉันต้องการจะพูด เธอไม่กินอะไรเลยตลอดเวลาที่อยู่ร้านอาหาร ฉันไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์และจริงจังอย่างไม่น่าเชื่อกับลอรีไม่ว่าจะเกี่ยวกับอะไร

ในตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นในอนาคตหรือเปล่า แต่ฉันรู้ว่าฉันพูดแทงใจดำเธอ เธอไม่คาดคิดว่าฉันจะพูดตรงอย่างไร้ความปรานีกับเธอได้ขนาดนั้นและฉันพูดถึงทัศนคติที่ไม่อาจยอมรับได้ของเธอที่ว่า “ฉันจะหยุดและกลับใจได้ในภายหลัง”

ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน แม้ว่าเธอจะรับฟังสิ่งที่ฉันพูดอย่างจริงจังก็ตาม หนทางข้างหน้าของเธอไม่ง่ายในตอนนั้น หนทางข้างหน้าของเธอก็ยังไม่ง่าย ด้วยเหตุผลที่ต่างไปโดยสิ้นเชิงในตอนนี้ แต่เธอต้องการเปลี่ยน และในที่สุดเธอก็รู้ว่าเธอพูดอย่างเดียวไม่ได้ เธอต้องลงมือทำด้วย

เธอใช้เวลาอยู่หลายปี แต่ฉันคิดว่าที่ช่วงเวลานั้นเธอตั้งปณิธานแล้วว่าจะหยุดพูดเล่นแล้วลงมือสร้างเส้นทางใหม่ด้วยการกระทำที่เปลี่ยนชีวิตซึ่งมีความสำคัญและให้ผลระยะยาว

ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ เราจะยังคงเป็นเพื่อนกัน และเธอรู้ดี เราเป็นเพื่อนประเภทที่ไม่ต้องเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด

เราทั้งคู่ย้ายออกจากเขตที่เราอยู่และพบว่าเราไม่มีทางติดต่อกันได้เนื่องจากเราทั้งคู่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่ที่ไม่ได้บันทึกไว้ (ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนยุคโซเชียลมีเดีย) เราต่างพยายามหาที่อยู่ของอีกฝ่าย แต่เราอยู่ไกลกันเกือบครึ่งประเทศและนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในที่สุดริบก็เจอฉัน (เธอยังคงหยอกล้อและเตือนว่าเธอเป็นคนที่พบฉันไม่ใช่ฉันที่พบเธอ) ฉันสงสัยว่าจะมีเวลาไหนอีกหรือไม่ที่เราต้องขาดการติดต่อกันอีก การได้พบเธออีกครั้งหลังจากแปดปีรู้สึกราวกับว่าเวลาไม่ได้ผ่านไปเลย ฉันมีประจักษ์พยานที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ก็เพราะเธอ สำหรับฉัน เธอเป็นฮีโร่ เป็นคนที่ฉันชื่นชมและมองเป็นตัวอย่าง

มีความชื่นชมและความรักระหว่างเรา แต่ก็ยากที่จะจมอยู่กับแง่มุมนั้นในมิตรภาพของเรา เพราะเราชอบมีอารมณ์ขันและล้อเล่นกัน เราหัวเราะ หยอกล้อ และช่วยเหลือกัน เรารับฟังความคิดของกันและกัน เคารพมุมมองที่แตกต่าง ขณะเรียนรู้จากกัน

ฉันยังซาบซึ้งด้วยที่ไม่เคยมีการตัดสินระหว่างเราเลย เธอคือเพื่อนแท้ ฉันได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากเธอ และอย่างที่ฉันพูด เธอจะยังคงเป็นเพื่อนแท้แม้ว่าเธอจะไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียวในหลายปีที่ผ่านมา เราทั้งคู่เติบโตขึ้นและยังคงพยายามทำให้มันถูกต้องในขณะที่เราเลี้ยงดูครอบครัวของเรา! เธอตอบคำสวดอ้อนวอนของฉันมากกว่าหนึ่งครั้งโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เธอยอดเยี่ยมมาก

ความปรารถนาของริบที่จะทำสิ่งที่เธอเชื่อว่าถูกต้องเอาชนะความปรารถนาของเธอที่จะทำสิ่งที่เธอรู้ว่าเธอต้องหยุด ถ้าเธอไม่ต้องการเปลี่ยน เราก็คงไม่มีทางได้คุยเรื่องนั้นกันเลยระหว่างมื้อกลางวันนั้น ฉันไม่คิดไม่ฝันว่าจะบอกให้เธอหรือใครทำอะไรหรือกลับใจจากบางสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการกลับใจ ตอนนั้นฉันตกใจมากกับสิ่งที่พูดกับเธอในวันนั้น

อย่างที่เรารู้กันดีว่าไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะตัดสินคนอื่นหรือประณามพวกเขา โดยปกติ เรามีความสามารถที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดเพื่อตัดสินใจเลือกเองได้ แต่เราไม่มีสิทธิ์เอาความเชื่อของเราไปครอบงำใคร

เมื่อฉันยังเด็กพ่อแม่สอนฉันว่าอย่าตัดสินคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันในโบสถ์ที่อาจมีกลิ่นบุหรี่ติดตัวพวกเขา เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องของเรา และแน่นอนว่าเราไม่มีความสามารถที่จะตัดสินคนที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งซึ่งอาจพูดโกหก พูดอีกอย่างคือ พวกท่านสอนให้ฉันไม่ตัดสินใคร เพราะเราไม่พร้อมที่จะตัดสินใจอย่างชาญฉลาดและเท่าเทียมได้ ไม่เพียงเราจะไม่ตัดสินเท่านั้น เราไม่ควรมีเจตคติที่จะตัดสินด้วย แต่งานของเราคือกล้าหาญในความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ของเรา

ฉันขอบคุณริบและทุกคนที่ฉันเคยติดต่อด้วยที่มีประสบการณ์ต่างๆ มากกว่าฉันที่ยอมให้ฉันเข้าไปในชีวิตพวกเขาเพื่อแบ่งปันชีวิตกับพวกเขาและได้รับประโยชน์จากการคบหาของเรา

เรื่องราวของอธิการของลอรี

ผู้นำศาสนจักรมีบทบาทสำคัญในการช่วยผู้คนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยให้รู้สึกถึงความรักของพระผู้ช่วยให้รอด ความเข้าใจและความอดทนเป็นหัวใจสำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความรัก—ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

ผู้หญิงมองไปที่ท่าเรือและมหาสมุทร

นอกจากเรื่องราวของตัวเองแล้ว ฉันยังต้องส่งงานเขียนจากครอบครัว เพื่อน และผู้นำศาสนจักรที่คอยให้การสนับสนุนระหว่างการเดินทางออกจากความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันและกลับเข้าสู่การมีส่วนร่วมในศาสนจักรอีกครั้ง บุคคลคนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อฉันในระหว่างการเดินทางนั้น นอกจากพระผู้ช่วยให้รอดและพระบิดาบนสวรรค์แล้ว ก็คืออธิการของฉัน เนื่องจากเขาสิ้นชีวิตไปแล้ว จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับฉันที่จะต้องเขียนบางสิ่งที่เขาทำเพื่อสนับสนุนฉันและค่อยๆ ชี้แนะให้ฉันกลับไปสู่ศาสนจักร หวังว่าสิ่งนี้จะช่วยผู้นำศาสนจักรคนอื่นๆ ที่ปรารถนาจะทำเช่นเดียวกันกับผู้ซึ่งอยู่ในความพิทักษ์ที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์

ครั้งแรกที่ฉันพบกับอธิการ ฉันบอกเขาทุกอย่างว่าฉันมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอย่างไร ฉันกำลังคบกับผู้หญิงคนหนึ่ง และฉันใช้ยาเสพติดและแอลกอฮอล์ในทางที่ผิด เราไม่ได้มีเวลามากนักสำหรับการนัดหมายครั้งแรก เราจึงจัดตารางการเยี่ยมให้ยาวนานขึ้นในสัปดาห์ถัดไป ระหว่างนั้นฉันคิดว่าเขาพูดคุยกับประธานสเตคเพื่อขอคำแนะนำ เพราะในการพบกันครั้งที่สองของเราเขาถามคำถามที่แตกต่างไปเพื่อจะได้ทราบถึงขอบเขตความเกี่ยวพันของฉัน สิ่งนี้ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษ 80 ดังนั้นผู้นำศาสนจักรจึงแทบไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีประสบการณ์เสน่หาเพศเดียวกัน ฉันรู้สึกอึดอัดกับคำถามเหล่านั้น โชคดีที่อธิการรู้สึกถึงความอึดอัดนั้นได้ เพราะเขาหยุด และสูดลมหายใจ แล้วปล่อยให้การนำทางของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาอยู่กับเขา ฉันจำสิ่งที่เขาพูดหลังจากนั้นไม่ได้มากนัก ส่วนใหญ่ฉันจำได้ว่ารู้สึกถึงพระวิญญาณที่แผ่ออกมาจากเขาพร้อมกับความรู้สึกที่แข็งแกร่งมากของการได้รับความรักจากพระบิดาพระมารดาบนสวรรค์และจากอธิการของฉัน

เขาพูดว่า “ผมไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังรับมืออยู่มากนัก บางทีคุณอาจช่วยให้ผมเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงรักคุณและพระองค์ซาบซึ้งพระทัยสำหรับความปรารถนาที่จะกลับใจและเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ ผมยินดีจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้คุณกลับมา”

เราไม่ได้คาดว่าเราจะยังคงพบกันเกือบทุกสัปดาห์เป็นเวลาเกือบสามปี ฉันไม่แน่ใจว่าเราจะเต็มใจก้าวต่อไปหรือเปล่า หากเรารู้ว่าการเดินทางจะยาวนานและยากเพียงใด แต่เขาไม่เคยยอมแพ้ แม้ว่าฉันจะเคยยอมแพ้ก็ตาม เขาให้กำลังใจและโน้มน้าวฉัน ให้ความหวังฉันในเวลาที่ฉันรู้สึกสิ้นหวัง ต่อมาอธิการบอกฉันว่าไม่มีใครสอนให้เขาอดทนได้เหมือนฉัน ฉันยังได้เรียนรู้มากมายเช่นกันเกี่ยวกับความอดทนด้วยตัวฉันเอง

นอกจากการเป็นชาวคริสต์ที่น่าทึ่งผู้อุทิศตนเพื่ออุดมการณ์ของฉัน เพื่ออุดมการณ์ของพระเจ้าจริงๆ แล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่อธิการทำซึ่งช่วยฉันอย่างมหาศาล คือ

  1. เราสวดอ้อนวอนเสมอเมื่อเราพบกัน บางครั้งทั้งก่อนและหลังพบ

  2. แม้ว่าเราทั้งคู่จะไม่ทราบเกี่ยวกับการเดินทางไปข้างหน้าของฉันมากนัก แต่เขาก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้าทรงทราบว่าต้องทำอย่างไร

  3. เขาไม่รีบตัดสินฉัน แต่ค่อยๆ โน้มน้าว

  4. เขายังคงอดทนแม้ว่าฉันจะกลับไปคบกับผู้หญิงที่ฉันหลงรักอีก

  5. เขาจดจ่ออยู่กับการกระทำที่ชอบธรรมที่ฉันทำได้ เช่น การศึกษาพระคัมภีร์ทุกวัน หรือการเข้าโบสถ์ทุกสัปดาห์ มากกว่าการกระทำที่ไม่ชอบธรรมที่ฉันยังควบคุมไม่ได้

  6. เขาช่วยสร้างความมั่นใจให้ฉันด้วยการชมเชยสิ่งที่ฉันทำได้

  7. พระวิญญาณทรงนำบทสนทนาเสมอ เขาจะเริ่มตอบสนอง “ตามธรรมชาติ” แล้วหยุดชั่วขณะเพื่อให้พระวิญญาณเข้ามารับช่วงต่อ

  8. เขามักจะอ่านพระคัมภีร์อย่างน้อยหนึ่งข้อที่เขาคิดว่าจะช่วยได้ บางครั้งก็มากกว่านั้นขณะที่เราพูดคุยกันและเขารู้สึกได้รับการดลใจให้แบ่งปัน

  9. เขาให้พรฉันเมื่อพระวิญญาณทรงเรียก

  10. เขาช่วยมอบหมายผู้เยี่ยมสอนร่วมกับการสวดอ้อนวอน ผู้ซึ่งกลายมาเป็นผู้อุทิศตนเพื่องานของฉันอย่างจริงจังเช่นกัน

  11. ถ้าฉันพลาดการเข้าโบสถ์ เขาจะโทรหาฉันและถามว่าทำไม เพื่อกระตุ้นให้ฉันมาในสัปดาห์หน้า

  12. สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขารักฉัน ไม่ว่าฉันจะทำหรือไม่ทำอะไร

ในช่วงหลายปีตั้งแต่อธิการของฉันสิ้นชีวิต ฉันมีความรู้สึกแรงกล้าว่าเขาอยู่ที่นั่นหลายต่อหลายครั้ง ฉันไม่รู้เลยว่าอีกด้านหนึ่งหลังความตายเป็นอย่างไร แต่ฉันรู้ว่าความสัมพันธ์ที่เรามีกับคนที่เรารักไม่ได้ถูกตัดขาดเพราะความตาย ฉันรู้ว่าเราได้รับความช่วยเหลือจากทั้งสองด้านของม่าน ฉันคนหนึ่งที่สำนึกคุณที่อธิการยังคงเป็นพรแก่ชีวิตฉันในวิธีที่มองไม่เห็น ความลี้ลับของพระเจ้าช่างน่าอัศจรรย์ แม้ว่าส่วนใหญ่จะยังคงลี้ลับอยู่เช่นนั้น