“เรื่องราวของริคาร์โด,” พฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกัน: เรื่องราวของสมาชิก (2020)
“เรื่องราวของริคาร์โด,” พฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกัน: เรื่องราวของสมาชิก
เรื่องราวของริคาร์โด
เรื่องราวส่วนตัวของริคาร์โด
ริคาร์โด: ผมชื่อริคาร์โด ผมเป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ผมมีลูกหกคน และผมเสน่หาผู้ชาย ผมต้องพูดว่าชีวิตผมพยายามนึกถึงภาพรวมของสิ่งต่างๆ มาโดยตลอด ผมจำได้ว่าสมัยผมเป็นเด็ก ผมสนใจศิลปะมาก นั่นคือสิ่งที่ผมใช้หลีกหนี หลบไปสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เพื่อนที่ผมรู้จักหรือเด็กๆ ในโรงเรียนจะเล่นฟุตบอลหรืออะไรทำนองนั้น แต่ผมไม่รู้สึกเชื่อมโยงอย่างสนิทใจที่นั่น ผมยังจำได้ครั้งแรกเลยที่พ่อให้ผมเข้าไปในห้องนอน พ่อบอกผมว่า “ระวังวิธีแสดงออกด้วย ลูกต้องพูดให้ดูเป็นผู้ชายมากกว่านี้ ลูกต้องทำในสิ่งที่เด็กผู้ชายเขาทำกัน” หลังจากที่พ่อพูดกับผม ผมกลับไปที่ห้องนอนและเริ่มร้องไห้ ผมไม่เข้าใจว่าการที่ผมเป็นตัวของตัวเองเป็นเรื่องใหญ่อะไรหนักหนา
ผมทำสิ่งที่เด็กวิสุทธิชนยุคสุดท้ายทุกคนสมควรทำแล้ว อย่างเช่น ได้ฐานะปุโรหิต ส่งผ่านศีลระลึก และออกรับใช้งานเผยแผ่ ผมทำแบบนั้น แต่ไม่เคยรู้สึกถึงความสมบูรณ์เลย หลังจากผมรับใช้งานเผยแผ่ของศาสนจักรเป็นเวลาสองปี ผมมาที่สหรัฐเพื่อเรียนต่อจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาด้านการออกแบบกราฟิก ระหว่างช่วงเวลานั้นผมพบภรรยาของผม และผมหลงรักเธออย่างสุดซึ้งนับตั้งแต่วันแรกที่พบกัน
อลิซาเบธ: ครั้งแรกที่ฉันเจอริคาร์โด ตอนนั้นฉันเพิ่งย้ายเข้าไปที่อะพาร์ตเมนต์ เป็นปีสุดท้ายของฉันในมหาวิทยาลัย และฉันก็ไม่ได้คิดอะไร จากนั้นเขาก็ขอฉันเดท เราเริ่มจากตรงนั้น
ริคาร์โด: มีบางอย่างที่น่าประทับใจในตัวเธอ ผมชอบความรู้สึกตอนที่ผมอยู่ใกล้ๆ เธอ ผมนึกในใจว่า ผมต้องการแบบนั้น ผมต้องการรู้สึกแบบนั้นตลอดไป เมื่อเราเริ่มออกเดทกันอย่างจริงจังมากขึ้น ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกกับเธอว่าผมมีความคิดและความรู้สึกต่อผู้ชาย แต่ผมไม่ได้บอกเธอตรงๆ ว่า “ผมเสน่หาผู้ชาย” ผมกลัวมากที่จะบอกเธอเรื่องนั้น
อลิซาเบธ: ใช่ค่ะ เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก มันน่าตกใจ ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเลย ฉันไม่คิดว่าจะมีใครนึกถึงเรื่องแบบนั้นหรอก แต่ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร และเรื่องนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาเปลี่ยนไป ฉันยังคงรักเขาและยังคงต้องการให้ความสัมพันธ์ดำเนินต่อไป
ริคาร์โด: ผมรู้ว่าหลายคนอาจถามว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่คุณพูดว่าคุณเสน่หาภรรยาคุณ ในเมื่อคุณพูดว่าคุณเสน่หาผู้ชาย?” ผมคงต้องยอมรับว่าผมไม่มีคำอธิบายสำหรับเรื่องนั้น ผมพูดได้แค่ว่านั่นคือสิ่งที่ผมเป็น สองสามปีก่อนผมทำงานเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ให้กับศาสนจักร และในที่ประชุมของที่ทำงาน ผมพบเพื่อนร่วมงานที่เปิดเผยตัวเองว่าเป็นเกย์ ผมประทับใจมากๆ กับความมั่นใจของเขาที่จะพูดถึงพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันในวิธีที่ไม่น่าอับอาย ผมจำได้ว่าเราไปรับประทานอาหารกลางวันและเริ่มแบ่งปันเรื่องต่างๆ ผมรู้สึกดีมากที่ได้พูดคุยกับคนที่ผมเชื่อมโยงได้ คนที่สามารถช่วยผมและคอยให้กำลังใจ ใครบางคนที่จะช่วยให้ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้น เพราะเขาเองก็ประสบกับเรื่องเดียวกัน
ผมประสบกับความรู้ตื่นภายในจิตวิญญาณและในใจอย่างสมบูรณ์ ขณะที่ผมกำลังผ่านประสบการณ์นี้ ผมก็เริ่มเข้าใจแง่มุมโดยรวมของชีวิตผมมากขึ้น ผมเริ่มสร้างเครือข่ายเพื่อนและการสนับสนุนที่ดี
อลิซาเบธ: เขาเริ่มหาเพื่อนและไปที่การประชุมเพิ่มประจักษ์พยาน เขามักจะกลับมาอย่างมีความสุขและมีพลังมากจนเขาพูดว่าเขารู้สึกสมดุลมากกว่า แต่ในช่วงฤดูร้อนฉันก็รู้สึกเหนื่อยกับสถานการณ์ของเรา เขาส่งข้อความบ่อยมากและวางแผนสิ่งต่างๆ ซึ่งก็ดีสำหรับเขา ฉันเองก็มีความสุขกับเขา แต่ในขณะเดียวกันฉันไม่รู้สึกว่าฉันเป็นคนสำคัญที่สุด
ริคาร์โด: เธอพูดว่าเธอมีความสุขที่ผมมีความมั่นใจมากขึ้น ใจเย็นมากขึ้น สงบมากขึ้น แต่เธอรู้สึกเหมือนเป็นแม่ตัวคนเดียวเพราะผมทำงานหลายชั่วโมง กลับบ้าน แล้วจากนั้นเพื่อนของผมก็โทรมาหรือส่งข้อความมาหาผม เธอต้องการเวลาและความสนใจจากผม ผมไม่รู้เลยว่าผมสูญเสียเวลาที่จะต้องอยู่กับครอบครัวและภรรยาไปมากแค่ไหน เราไม่ได้เดินในเส้นทางนี้ด้วยกัน และสิ่งที่ผมยอมทำคือกลับบ้านและไม่เล่นโทรศัพท์ ทุ่มเทเวลาให้กับเธอและลูก แล้วนั่นก็ช่วยได้มากจริงๆ
อลิซาเบธ: ฉันคิดว่าใช้เวลาไปอย่างน้อยสี่เดือน หลังจากที่เขาเปิดเผยและจริงใจต่อเรื่องนั้น เขามีส่วนร่วมในการสร้างสัมพันธ์ที่ดีแบบผู้ชายมากขึ้นกับผู้ชายคนอื่นๆ แต่ฉันแค่ต้องการความสมดุลในชีวิตของเราเท่านั้นเอง
ริคาร์โด: เมื่อมองย้อนกลับไปในภาพทั้งหมดที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตผม ผมเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น เมื่อผมเห็นพระผู้เป็นเจ้าอยู่ตรงศูนย์กลาง ผมเห็นตัวผมเองออกมา ออกมาจากขวากหนามทางวิญญาณที่ผมเคยประสบมาก่อน ภาพเต็มของการเป็นเกย์และวิสุทธิชนยุคสุดท้ายมีความหมายที่ต่างออกไปสำหรับผมในตอนนี้ ก่อนหน้านั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าผมมีความเสน่หาเหล่านั้น ทำให้ผมรู้สึกอยู่เสมอว่าขาดการเชื่อมต่อกับพระผู้เป็นเจ้าและต่อพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ แต่นั่นเป็นเพียงมุมมองที่ผมมีต่อตนเอง และผมเห็นตนเองในสัมพันธภาพกับพระผู้ช่วยให้รอดอย่างไร ผมไม่เคยรู้สึกคู่ควรต่อพระองค์อย่างสมบูรณ์เลย นั่นคือส่วนที่ช่วยปลดปล่อย คือ ผมสามารถพูดคุยกับคนที่ผมรักเกี่ยวกับเรื่องนี้ รับการสนับสนุน พูดคุยกับภรรยาของผม การเป็นตัวของตัวเองเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุด ผมไม่ต้องสมบูรณ์แบบ ผมสามารถรับรู้ถึงความเสน่หาและก้าวต่อไปกับชีวิตของผม แต่ก็มีพลังในการพูดอย่างเปิดเผย และยอมให้แสงสว่างของพระคริสต์สัมผัสและรักษา เหมือนกับการเติมเต็มภาพ เหมือนกับการยื่นมือออกไปและขยับขึ้นไปหาแสงสว่าง นั่นไม่ใช่การเดินทางที่โดดเดี่ยว ผมพูดได้ว่านั่นคือการเดินทางของครอบครัว เป็นการเดินทางของชุมชน การสนับสนุนจากอธิการ ภรรยา การสนับสนุนจากเพื่อนสนิทในที่ทำงานและเพื่อนร่วมงาน ขณะที่ผมรู้สึกถึงความรักและการสนับสนุนจากพวกเขา ผมก็รู้สึกถึงความรักและการสนับสนุนจากพระผู้เป็นเจ้าด้วย
ความเสน่หายังไม่ยุติ ความรู้สึกเหล่านี้จะยังคงอยู่ไปตลอดชีวิตผม แต่ผมไม่รู้สึกสูญเสียอะไรในชีวิต สำหรับผม นั่นคือการเป็นตัวตนที่แท้จริง เป็นการค้นพบความสุขที่เป็นแก่นแท้ในตัวคุณ และสำหรับผม เป็นสิ่งสำคัญที่ความสุขซึ่งเป็นแก่นแท้สอดคล้องกับความเชื่อและพระกิตติคุณของผม นั่นคือสิ่งที่ได้ผลสำหรับผม
เรื่องราวของริคาร์โดต่อ
การเปิดใจไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป เป็นเรื่องซับซ้อน และต้องใช้ความกล้ามากๆ ที่จะพูดในสิ่งที่อ่อนไหวของตนเอง ปีนี้เป็นปีที่สำคัญเพราะในที่สุดผมก็ยอมรับว่าผมเสน่หาผู้ชาย ผมรู้สึกมาโดยตลอดแต่ไม่เคยเข้าใจหรือรู้ว่าผมจะใช้ชีวิตอย่างแท้จริงอย่างไร การยอมรับเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเข้าใจยากสำหรับวิสุทธิชนยุคสุดท้ายบางคน อาจดูเหมือนว่าถ้าผมยอมรับพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันของผม หมายความว่าผมละเมิดพระบัญญัติ สำหรับผม ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากความจริง ความเข้าใจและความจริงนั้นนำสันติสุขมาสู่ชีวิตผม
ผมจะเล่าเรื่องของผมให้ฟังเพื่อแสดงว่าพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันของผมเปลี่ยนบางสิ่งที่เจ็บปวดและน่าอายไปเป็นพรได้อย่างไร ใช่ครับ เป็นพร!
ผมมีความสุขที่รู้อยู่ในใจว่าพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันของผมไม่ได้นิยามผมในฐานะบุคคลหรือเป็นบุตรของพระเจ้า ทำให้ผมมีเครื่องมือที่ช่วยให้ผมเป็นพรแก่ผู้อื่นได้ขณะที่ผมติดตามพระผู้ช่วยให้รอด
การเดินทางของผมเริ่มขึ้นเมื่อผมอายุสี่ขวบ ผมเกิดและโตที่เม็กซิโก ซิตี เป็นพี่คนโตจากทั้งหมดห้าคน ผมเติบโตขึ้นในที่แออัดและมีความเป็นส่วนตัวน้อยพร้อมญาติและแขกจำนวนมากที่ไปๆ มาๆ
ผู้ชายสองคนที่อาศัยอยู่กับเราล่วงละเมิดทางเพศผมโดยทำให้ดูเหมือนเป็นการเล่นของเด็ก เมื่ออายุแค่นั้น ผมจึงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจำได้แค่ว่ารู้สึกเชื่อมโยงกับพวกเขาผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่พวกเขากระตุ้นในตัวผม เป็นสิ่งที่มีพลังมหาศาลและน่าสับสนสำหรับผม ไม่ใช่ความเกรี้ยวกราด ในทางกลับกัน พวกเขากลับให้ขนมและให้ความสนใจผม
ความสนใจเป็นสิ่งที่ผมโหยหาและยินดีที่จะได้รับ น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณผมและส่งผลต่อวิธีที่ผมเชื่อมต่อและรับรู้เกี่ยวกับผู้ชายมาตลอดชีวิต ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นรากเหง้าของการที่ผมเสน่หาทางร่างกายกับผู้ชายหรือไม่ แต่มันมีส่วนทำให้เกิดความรู้สึกและนิสัยที่หลอกหลอนผมมาหลายปีให้หลัง
การโต้อภิปรายเรื่องรากเหง้าของความรู้สึกไม่สำคัญสำหรับผม สิ่งสำคัญสำหรับผมคือตอนนี้ผมสามารถเข้าใจว่าประสบการณ์นี้ส่งผลต่อวิธีที่ผมมองตนเองในฐานะของผู้ชายและในฐานะบุตรของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร
ผมรู้สึกขัดแย้งต่อความรู้สึกเรื่องการมีค่าควรของผมอยู่เสมอ ผมเติบโตกับความน่าอับอายมาตลอด 40 กว่าปีในชีวิตของผม! แต่โชคดีที่ผมเติบโตมาในบ้านที่มีความรัก ผมแข็งขันในศาสนจักรมาโดยตลอด นั่นช่วยผมอย่างมากและนำความหวังมาให้ผม แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ผมมักจะรู้สึกไม่มีค่าควรต่อพระผู้ช่วยให้รอดอยู่เสมอ
เมื่อเติบโตขึ้น ผมรู้สึกราวกับว่าผมมีมุมมองและความซาบซึ้งต่อสิ่งต่างๆ แตกต่างออกไป ผมชอบวาดรูป การมีความคิดสร้างสรรค์ การเข้าใจและซาบซึ้งต่อความงามและสุนทรียภาพของทุกสิ่งรอบๆ ตัวผม ผมจำได้ว่าผมตัดชุดกระโปรงที่ทำจากกระดาษเช็ดปากให้กับตุ๊กตาของพี่สาว พี่ๆ ของผมชอบชุดนั้นมาก! แน่นอนว่าผมต้องทำชุดนั้นโดยไม่ให้พ่อรู้ พ่อจะบอกผมมากกว่าหนึ่งครั้งให้ผมพูดแบบผู้ชาย เล่นฟุตบอล มีแฟนเป็นผู้หญิง และสนใจสิ่งที่เด็กผู้ชายชอบทำกัน สิ่งที่พ่อบอกทำให้ผมน้ำตาไหล เพราะผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเรื่องใหญ่นัก ผมไม่ได้เป็นอันตรายต่อใคร ผมรู้ว่าพ่อบอกสิ่งเหล่านั้นกับผมเพราะรักผม แต่ความคิดเห็นของพ่อมีแต่จะทำให้ผมอับอายและรู้สึกแตกต่างมากขึ้นไปอีก ผมคิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่เคยรู้สึกปลอดภัยที่จะพูดคุยกับพ่อเรื่องพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันของผมจนกระทั่งตอนนี้ พ่อของผมเป็นผู้มีความรักและตอนนี้เขาก็ยังเป็นแบบนั้น แต่ผมไม่เคยรู้สึกผูกพันแน่นแฟ้นกับเขาเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่เรากำลังพยายามทำอยู่ตอนนี้
ที่โรงเรียนผมจะสังเกตเห็นเด็กชายหน้าตาดีรวมถึงเด็กหญิงบางคนด้วย แต่ความขัดแย้งนี้ทำให้ผมทรมาน มันคือความขัดแย้งจากการเก็บเป็นความลับ ซ่อนไว้ในกำแพงหลายชั้นที่ผมสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง
หนึ่งในชั้นป้องกันนั้นคือ อาหาร ในช่วงหนึ่งของชีวิต ผมมีน้ำหนักมากกว่า 300 ปอนด์ ผมไม่รู้สึกมีเสน่ห์หรือมั่นใจ และรู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ของผมกับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย การต่อสู้นี้ทำให้เกิดบาดแผลในจิตวิญญาณผม ผมรู้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดอยู่ตรงนั้นเพื่อผม แต่ผมไม่รู้วิธีเข้าถึงพระองค์ สิ่งเดียวที่ให้ความกล้าหาญกับผมคือการนึกภาพตัวเองได้รับการโอบอุ้มจากพระผู้ช่วยให้รอด
ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในสหรัฐ และที่นั่นผมพยายามอย่างหนักที่จะรู้ว่ากำลังรู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะกับผู้ชายคนอื่นที่ผมสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเศร้ามาก เมื่อเขาจากไปรับใช้งานเผยแผ่ ผมจำได้ว่าผมคิดและบอกกับตัวเองว่า “เกิดอะไรขึ้นกับผมนักหนาเนี่ย? ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนั้น?” ผมรู้ว่าต้องการความช่วยเหลือ แต่ผมไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี ผมมีความกล้าที่จะไปพูดคุยกับนักบำบัดของมหาวิทยาลัย เขาช่วยผมจัดการกับเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากพอสมควร แต่ผมไม่พร้อมจะพูดถึงพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันของผม
เมื่อผมอายุ 27 ปี ผมเริ่มรู้สึกต้องการจุดมุ่งหมายที่ใหญ่กว่าในชีวิต ผมกลัวมากแม้จะคิดถึงเรื่องแต่งงาน ผมคิดจริงๆ ว่าผมต้องโสดตลอดไปแน่ๆ ผมขอให้พระบิดาบนสวรรค์ทรงช่วยให้ผมทำตามพระวิญญาณและระบุบุคคลที่ผมควรจะแต่งงานด้วย หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็พบภรรยาของผม ผมจำวันที่เราพบกันได้อย่างชัดเจน ผมหลงรักเธอตั้งแต่วันแรก เธอดูมีความสุข สวย และมั่นใจ เธอมีสีหน้าสงบ และผมต้องการความสงบสุขในชีวิตเช่นกัน
เราเริ่มเดทกัน ตอนนั้นผมรู้สึกอึดอัดใจมากที่จะอยู่กับแฟนของผมในที่สาธารณะ และเจอผู้ชายบางคนที่น่าสนใจ ผมเกลียดความรู้สึกนั้น ผมรู้สึกสิ้นหวัง ไม่คู่ควรกับเธอและกับพระผู้เป็นเจ้า เมื่อผมและคนรักเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเราอย่างเป็นทางการ ผมบอกเธอเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ และความรู้สึกที่ผมมีต่อผู้ชาย ตอนนั้น ผมไม่มีคำพูดหรือเครื่องมือใดๆ ที่จะช่วยอธิบายความรู้สึกของผมได้อย่างลึกซึ้ง
เธอพูดว่าเธอเสียใจที่ผมต้องผ่านเรื่องเหล่านี้ไปเพียงคนเดียว แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลต่อความรู้สึกที่เธอมีต่อผมเลย แต่เธอไม่รู้ว่าพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันส่งผลกระทบต่อผมมากเพียงใด เธอพูดว่าเธอรักผมในแบบที่ผมเป็น และพระวิญญาณยืนยันต่อเธอผ่านการเปิดเผยส่วนตัวว่าผมคือผู้ชายที่เธอต้องแต่งงานด้วย เราหมั้นหมายและแต่งงานกันในพระวิหารโอกแลนด์ แคลิฟอร์เนีย
ผมพูดได้ว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมรู้สึกมาตลอดว่าผมต้องอยู่ใกล้พระเจ้าให้มากที่สุด ผมรู้สึกลึกๆ ในใจว่า ชีวิตของผมมีจุดมุ่งหมายไม่ว่าการทดลองของผมจะเป็นอย่างไร การเชื่อในจุดมุ่งหมายนี้ทำให้ผมมีความหวัง แต่ก็ยังไม่เกิดขึ้นจนผมอายุ 40 กลางๆ กระบวนการบำบัดรักษาของผมจึงเริ่มขึ้น
การประชุมในที่ทำงานนี่เองที่จะเปลี่ยนชีวิตผมให้ดีขึ้น เพื่อนพนักงานคนหนึ่งเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันระหว่างการประชุมของเรา ผมจำได้ว่าได้เห็นและรู้สึกถึงความมั่นใจอย่างมากที่ออกมาจากสีหน้าท่าทางของเขา เขาไม่ได้ขอโทษหรืออับอายกับพฤติกรรมของเขาเลย เขายืดอกพูดเกี่ยวกับพฤติกรรมของเขาราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย ผมเห็นความสงบในดวงตาของเขา และคิดว่า “ผมต้องการความสงบนั้น ผมต้องการความอิสระนั้นมาเป็นตัวผม และไม่ต้องขอโทษกับสิ่งที่ผมไม่ได้เลือก”
ผมนั่งตรงข้ามกับคนที่ผมเชื่อมโยงได้เป็นครั้งแรกในชีวิต เราออกไปรับประทานอาหารกลางวันกัน และการได้พูดคุยกับคนที่เข้าใจว่าผมผ่านอะไรมาบ้างเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก เราพัฒนาความเป็นเพื่อนขณะที่ผมค่อยๆ เริ่มเปิดใจและรู้สึกถึงการสนับสนุนของเขา
เป็นเรื่องน่ากลัวที่จะเปิดใจเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเก็บเป็นความลับมาทั้งชีวิต แต่เมื่อผมมีความจริงใจมากขึ้น ความมั่นใจของผมก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ผู้คนรอบข้างตอบรับผมด้วยความรัก สนับสนุน และเข้าใจ บางคนถึงกับแสดงความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติม
ผมพบว่าขณะที่ผมแบ่งปันเรื่องราว พระวิญญาณทรงอยู่ที่นั่นเพื่อเป็นพยาน เรื่องราวดูเหมือนว่าจะสัมผัสใจและความคิดเมื่อเราเข้าใจว่าเราทุกคนคือบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าเรากำลังรับมือกับเรื่องอะไร เราทุกคนคู่ควรกับการชดใช้ ผมได้รับพรอย่างยิ่งสำหรับสิ่งนั้น
การสนับสนุนของภรรยาผมสำคัญต่อความก้าวหน้าของผมมาก การรับรู้ใหม่และการเป็นตัวตนที่แท้จริงเปลี่ยนชีวิตแต่งงานของเราไปในทางดีขึ้น บางครั้งก็ท้าทาย เราเรียนรู้ที่จะสื่อสารให้ดีขึ้น เรารู้ว่าเราต่างก็ไม่สามารถเติมเต็มความต้องการทุกอย่างของกันและกันได้ เป็นการปรับตัวสำหรับเราทั้งคู่ เนื่องจากผมได้พัฒนามิตรภาพเพื่อสนับสนุนผมในการเดินทาง เธอมีความสุขที่ผมมีความมั่นใจมากขึ้น แต่เธอก็เตือนผมด้วยว่าเธอต้องการรับรู้ว่าเธอเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตผม ผมไม่รู้ว่าผมเปลี่ยนไปมากจากประสบการณ์นี้
ผมต้องการช่วยให้เธอร่วมเดินทางกับผมจริงๆ และทำให้แน่ใจว่าเธอรู้สึกได้รับความรัก ความต้องการ ความสนใจ และความปลอดภัย
ภรรยาของผมเป็นผู้สนับสนุนที่สำคัญที่สุดและเป็นที่รักของชีวิตผม เธอเป็นคนเดียวที่ผมสร้างสายสัมพันธ์นิรันดร์ที่ตัดไม่ขาดและไม่มีใครสามารถตัดขาดได้ ต้องใช้การกระทำ การสื่อสาร ความเข้าใจ และความสมดุล ขณะที่เราก้าวผ่านสิ่งนี้ไปด้วยกัน ชีวิตแต่งงานของเรากำลังพัฒนา เราสร้างความเข้มแข็งให้กันและกันโดยการเป็นตัวตนที่แท้จริงและซื่อสัตย์มากขึ้น หัวใจสำคัญของการสร้างความเข้มแข็งในชีวิตแต่งงานคือทำให้พระผู้ช่วยให้รอดเป็นศูนย์กลางในชีวิตเรา
เรื่องราวการเดินทางต่อ ผมคิดไม่ออกทั้งหมดหรอก แต่ผมรู้ว่าการรับรู้ใหม่ ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของผม และความสัมพันธ์ของผมกับพระผู้ช่วยให้รอดกำลังช่วยเรา วิเศษมากที่รู้สึกคู่ควรกับการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด และไม่รู้สึกทรมานจากพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันของผมอีกต่อไป ผมเห็นตนเองในแบบที่เป็น เป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า เป็นชายที่แท้จริงที่คู่ควรกับพรแห่งชีวิตนิรันดร์ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าไม่มีสิ่งใดเสียหาย หรือบกพร่อง หรือต้องได้รับการแก้ไขในหัวใจและจิตวิญญาณของผมอีกแล้ว
ผมพูดได้ว่าผมกำลังประสบกับสัญญาที่ให้ไว้กับโมโรไนในอีเธอร์ 12:27ที่ว่า “และหากมนุษย์มาหาเรา เราจะแสดงให้พวกเขาเห็นความอ่อนแอของพวกเขา เราให้ความอ่อนแอแก่มนุษย์เพื่อพวกเขาจะนอบน้อม; และพระคุณของเราเพียงพอสำหรับคนทั้งปวงที่นอบน้อมถ่อมตนต่อหน้าเรา; เพราะหากพวกเขานอบน้อมถ่อมตนต่อหน้าเรา, และมีศรัทธาในเรา, เมื่อนั้นเราจะทำให้สิ่งที่อ่อนแอกลับเข้มแข็งสำหรับพวกเขา”
ผมชอบพระคัมภีร์ข้อนั้นและต้องการนำมาปรับใช้กับชีวิตผมอย่างมาก แต่ผมคิดไม่ออกว่าจะเปลี่ยนให้ความอ่อนแอนี้เป็นพรได้อย่างไร ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันของผมไม่จำเป็นต้องเป็นความอ่อนแอ
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าหลังจากผ่านประสบการณ์เหล่านี้มา ผมเติบโตและสามารถช่วยให้งานของพระเจ้ารุดหน้าได้ พระวิญญาณของพระองค์ทรงสถิตอยู่กับผมเสมอ
คุ้มค่าที่จะกล้าเปิดใจ คุ้มค่าจริงๆ
เรื่องราวของอลิซาเบธ: ภรรยาของริคาร์โด
อลิซาเบธรู้ว่าริคาร์โดคือผู้ชายที่เธอควรจะแต่งงานด้วย ชีวิตสมรสของพวกเขาไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขาก็เป็นคนดีขึ้นได้เพราะความไม่สมบูรณ์แบบนั้น อุปสรรคอย่างหนึ่งของพวกเขาคือริคาร์โดประสบพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกัน ขั้นตอนที่ยากของการเข้าใจว่าจะให้ความรักและการสนับสนุนอย่างดีที่สุดต่อกันอย่างไร บางครั้งน่าเจ็บปวดจนเลือดตาแทบกระเด็น แต่ด้วยการพึ่งพาการชดใช้และยินดีที่จะพูดแบบเปิดใจ ทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาด้วยกัน
ฉันเกิดและได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัววิสุทธิชนยุคสุดท้าย ในแคลิฟอร์เนีย ฉันโตมาพร้อมกับพี่น้องผู้ชายห้าคน ขณะที่ฉันยังเด็กมาก ฉันรู้ว่าเมื่อฉันแต่งงาน ฉันไม่ต้องการแต่งงานกับคนที่เป็นเหมือนพี่น้องชายของฉัน ริคาร์โดไม่เหมือนพี่น้องชายของฉันเลย
ฉันพบกับริคาร์โดในช่วงฤดูร้อนปี 1997 ฉันเรียนอยู่ปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัยพร้อมกับเป้าหมายที่จะเรียนจบสาขาสถิติในฤดูใบไม้ผลิถัดไป ฉันจดจ่อกับการเรียนจบมากถึงขนาดที่ตอนเจอกับริคาร์โด ฉันไม่ได้นึกถึงเรื่องการพัฒนาความสัมพันธ์กับเขาเลยจริงๆ เขาเป็นเพียงเพื่อนของเพื่อนร่วมห้องของฉันเท่านั้น คืนหนึ่งเขามาหาเพื่อนร่วมห้องของฉันที่เป็นนักเรียนนานาชาติเหมือนกับริคาร์โด ฉันอยู่ในครัว กำลังเตรียมอาหารเย็นและทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์อยู่บนโต๊ะในครัว เนื่องจากเราเคยพูดคุยกันสองสามครั้งแล้ว ฉันจึงสบายใจที่เขาอยู่ด้วย และฉันก็เป็นคนชวนเขารับประทานอาหารเย็นด้วยกันในคืนนั้นเอง เป็นเรื่องดีที่เราได้พูดคุยและทำความรู้จักกัน เย็นวันนั้นขณะริคาร์โดกำลังพูดคุยอยู่ ฉันมีประสบการณ์ที่พิเศษมาก ฉันได้รับการเปิดเผยส่วนตัวจากพระบิดาในสวรรค์ว่าริคาร์โดคือผู้ชายที่ฉันจะแต่งงานด้วย
ฉันไม่เคยประสบกับสิ่งที่ลึกซึ้งมาก่อนในชีวิต! ตอนนั้นฉันไม่ได้พูดอะไรกับใครเลย คืนนั้น ริคาร์โดขอฉันออกเดทเป็นครั้งแรก หลังจากคืนนั้นฉันก็มองเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เราเริ่มทำความรู้จักกันอย่างช้าๆ ในช่วงฤดูร้อนนั้น ช่วงเริ่มต้นภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วง เรากลายเป็นแฟนกัน ไม่นานหลังจากที่เราคบกันอย่างเป็นทางการ ริคาร์โดพูดว่าเขาต้องการบอกสิ่งสำคัญบางอย่างกับฉันขณะที่เรากำลังเตรียมอาหารเย็นด้วยกันในอะพาร์ตเมนต์ นั่นเป็นตอนที่เขาบอกฉันเรื่องการโดนล่วงละเมิดทางเพศเมื่อเขาเป็นเด็กอายุประมาณสี่ถึงห้าขวบ ในตอนนั้นเขาไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากนัก สิ่งที่เขาบอกฉันคือ เขามีความคิดและความรู้สึกเหล่านี้ และบางครั้งก็เป็นฝันร้าย ฉันรู้สึกเสียใจมากที่เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเขา สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาเปลี่ยนไป ฉันแสดงความเห็นใจและทำให้เขามั่นใจว่าการแบ่งปันเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาเปลี่ยนไป เขาไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดอื่นๆ และฉันก็ไม่ได้ถาม ฉันรู้สึกพิเศษที่เขารู้สึกสบายใจมากพอจะเปิดใจกับฉันเกี่ยวกับเรื่องที่ละเอียดอ่อนและเข้าใจยากเช่นนี้
เรื่องการแต่งงานเข้ามาสู่บทสนทนาของเราอย่างรวดเร็ว ริคาร์โดขอฉันแต่งงานในคืนหนึ่งช่วงปลายเดือนมกราคมปี 1998 เราหมั้นกันประมาณหกเดือนครึ่ง ระหว่างนั้น เราเรียนชั้นเรียนเตรียมการแต่งงานด้วยกันที่มหาวิทยาลัย BYU ฉันเรียนจบ และเขาฝึกงานเสร็จประมาณสองเดือนในนิวยอร์กซิตี เรารับการผนึกในพระวิหารโอกแลนด์ แคลิฟอร์เนียช่วงปลายฤดูร้อนนั้น
เราเริ่มสร้างครอบครัวอย่างรวดเร็ว และตอนนี้เรามีลูกที่น่ารักด้วยกันหกคน ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฉันไม่รู้เรื่องพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันของเขา และฉันก็ไม่เคยได้ยินคำนั้นมาก่อนด้วย เป็นเวลานานที่เขาไม่พูดถึงความคิดและความรู้สึกเหล่านั้นที่เขากล่าวถึงในช่วงเริ่มต้นความสัมพันธ์ เขาอาจจะพูดว่าเขาฝันร้ายบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็พูดแค่นั้น ฉันไม่รู้เลยว่าเขารู้สึกอับอายขนาดไหนระหว่างหลายปีที่ผ่านมา เราแข็งขันในศาสนจักรและยุ่งอยู่กับการเลี้ยงดูครอบครัวเสมอ เมื่อใดก็ตามที่เราไปพระวิหาร เขาจะพูดว่าฉันจะได้ไปอาณาจักรซีเลสเชียลแต่เขาไม่ ฉันไม่เข้าใจว่าเขาเอาความคิดพวกนั้นมาจากไหน
เขามีความรักและทำงานหนัก เขาปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสามีและพ่อที่ดีมาโดยตลอด ฉันไม่เคยรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันของเขา และไม่รู้เลยว่าเขาจะรู้สึกอับอายมากขนาดไหน
ฉันรู้สึกว่าเขาไม่ควรรู้สึกลบๆ แบบนั้น เมื่อใดก็ตามที่เขาแสดงออกถึงความกังวลนั้น ฉันจะบอกกับเขาว่าการถูกล่วงละเมิดไม่ได้เป็นความผิดของเขา ดังนั้น ในความคิดของฉัน ความคิดและความรู้สึกเหล่านั้นไม่ใช่ความผิดของเขา
เมื่อเวลาผ่านไป เราพยายามใช้ชื่อเฉพาะ แต่ก็ไม่เคยรู้สึกสบายใจ คำว่า เกย์ มีความหมายเชิงลบต่อความเชื่อของชาวคริสต์ส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับคำว่า รักร่วมสองเพศ ในช่วงต้นปี 2015 ริคาร์โดพบกับเพื่อนร่วมงานที่เปิดเผยเกี่ยวกับพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันของตน เขาแต่งงานอย่างมีความสุขพร้อมกับมีลูกสี่คน นั่นคือตอนที่ริคาร์โดติดต่อกับกลุ่มสนับสนุนและเริ่มหาเพื่อนใหม่ โดยผ่านการเชื่อมโยงเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกว่าการชดใช้มีผลในชีวิตเขา เขาไม่รู้สึกอับอายเรื่องพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันอีกต่อไป
ฉันมีความสุขมาก ในที่สุดเขาก็รู้สึกตัวและเห็นว่าเขาเหมาะสมกับแผนนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับเขาและกับเราในฐานะครอบครัว
ต้องบอกว่าการตื่นรู้ครั้งใหม่ของริคาร์โดทำให้ชีวิตสมรสของเราขัดแย้งกันในบางเรื่อง เราทั้งคู่มีคำถามมากมายและรู้สึกว่าไม่ได้รับคำตอบทั้งหมด ริคาร์โดเริ่มหาเพื่อนใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่รับมือกับพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกัน มันเริ่มต้นได้ดีแต่เป็นการเดินทางที่ยากสำหรับเราทั้งคู่
สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ฉันสนับสนุนริคาร์โดได้มากขณะที่เขาเริ่มการเดินทางของเขาคือคำแนะนำจากพ่อแม่ของฉันว่า เมื่อฉันโตขึ้น ให้แต่งงานกับเพื่อนสนิท
ดังนั้นเมื่อริคาร์โดและฉันพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกัน ฉันจึงพยายามรับฟังในฐานะเพื่อนสนิท ไม่ใช่ในฐานะภรรยาช่างอิจฉา เรายังพยายามสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความคิดและความรู้สึกของเราอีกด้วย
ฉันชอบฟังและไม่ตัดสินความคิดเห็นทุกอย่างที่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ฉันรู้ว่าการแสดงความคิดเห็น ประสบการณ์ ความผิดหวัง ความสนใจ และความคิดของเขาต่อฉันเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อที่เขาจะได้สามารถเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นได้ หลายๆ ครั้งเขาแค่ต้องการให้ฉันรับฟัง ฉันไม่จำเป็นต้องแก้ไขอะไรเลย
สิ่งหนึ่งที่ฉันได้ยินในชั้นเรียนเตรียมแต่งงานในมหาวิทยาลัยที่ฉันจำได้ตลอดมาคือ “คู่สมรสที่ดีสามารถตอบสนองความต้องการของคู่ครองได้เพียง 80 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น” คำพูดนั้นทำให้ฉันรู้ว่าฉันไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือนักบำบัด ฉันแค่แสดงความรักและเคารพเขาเท่านั้น
เพียงไม่นาน ฉันก็รู้สึกว่าได้ร่วมอยู่ในการเดินทางของริคาร์โด แต่หลังจากเวลาผ่านไป ฉันเริ่มรู้สึกเหมือนถูกแทนที่ เขาส่งข้อความเยอะมากเมื่อกลับมาถึงบ้านในตอนค่ำ หลังจากที่ออกไปทำงานมา 10 ชั่วโมง ฉันจะต้องออกไปหลังอาหารเย็นเพื่อทำการเรียกของศาสนจักร หรือเขาจะออกไปเพื่อทำการเรียกของศาสนจักร ในช่วงสองสามเดือน เขาไปที่กลุ่มสนับสนุนสัปดาห์ละครั้ง ดังนั้นในวันศุกร์ ฉันก็เหนื่อยและอยากพักผ่อนแล้ว เป็นเรื่องยากสำหรับฉันที่ความสนใจทั้งหมดไปอยู่ที่เพื่อนใหม่ซึ่งมีพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันของเขา เวลาที่เขาอยู่บ้าน ฉันรู้สึกเหมือนเขาไม่มีตัวตนสำหรับฉันและลูกๆ บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนแม่ตัวคนเดียว ต้องปลุกลูกๆ ทั้งหกคนให้ตื่นและเตรียมตัวไปโรงเรียน ขับรถไปส่งลูก ทำงานลูกเสือและศรัทธาในพระเจ้า ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกๆ ทำการบ้านเสร็จ ซักผ้า ทำอาหาร และทำความสะอาด จากนั้นก็เตรียมลูกๆ เข้านอน วงจรนั้นเกิดขึ้นซ้ำๆ ตลอดเวลา และฉันพักผ่อนไม่เพียงพอ ฉันจึงร้องไห้อยู่บ่อยๆ เมื่อลูกไปโรงเรียนและริคาร์โดไปทำงาน ในที่สุดครั้งหนึ่งเขาก็ “เข้าใจว่าฉันต้องการบอกอะไรเขา” เพราะฉันส่งอีเมลไปหาเขาขณะที่เขาออกไปข้างนอกกับเพื่อนๆ เราคุยกันอยู่หลายชั่วโมง เขาบอกว่าเขาจะหยุดทำทุกอย่างที่เขามีส่วนร่วมเพื่อฉัน ต้องใช้การสื่อสาร การทำความเข้าใจ ให้ความรู้ตัวเราเอง ช่วยเขาขจัดความอับอายที่เขามีมาตลอดชีวิต สร้างข้อผูกมัดเป็นอย่างมากและที่สำคัญที่สุดคือแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างต่อกันเสมอ
ในที่สุดฉันก็รู้สึกเหมือนฉันเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับเขา เมื่อเขายอมหยุดเล่นโทรศัพท์สองสามชั่วโมงเมื่อกลับถึงบ้าน อยู่กับฉันและลูกๆ การทำเช่นนั้นสร้างความแตกต่างอย่างมาก เขายังสัญญาว่าจะให้เวลากับฉันเต็มที่เป็นเวลา 10 นาที หลังจากที่เด็กๆ เข้านอนแล้ว เขายังคงพยายามทำแบบนั้นอยู่ ชีวิตของเราทั้งสองวุ่นวายมาก แต่ฉันเห็นว่าเขาพยายามทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัย ได้รับความรัก ความสนใจ และสำคัญที่สุดในชีวิตเขา เราพูดคุยและสื่อสารกันอยู่เรื่อยๆ เราพูดคุยกันอย่างชัดเจนมาก จนถึงขนาดที่อีกฝ่ายไม่ต้องเดาเลยว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังพูดคุยกับภรรยาของผู้ชายที่มีพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันในชุมชนอยู่ เธอบอกกับฉันว่าเธอยอมให้สามีพูดคุยกับเธอเรื่องพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันมากกว่าพูดคุยกับคนอื่น เพราะเขาจะหาคนที่พูดคุยด้วยและสนับสนุนเขาได้
ฉันคิดว่าในฐานะภรรยาของสามีที่รับมือกับพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกัน เรามีตำแหน่งพิเศษ เราสามารถเป็นทั้งผู้สนับสนุนที่ดีและช่วยเหลือสามีของเราค้นหารากฐานที่มั่นคงในศาสนจักร หรือเราอาจจะห่างเหินและเสียโอกาสเพื่อทำให้การแต่งงาน คู่สมรส และตัวเราใกล้ชิดกันและใกล้ชิดกับพระผู้ช่วยให้รอดของเรามากขึ้น
ถือเป็นประสบการณ์ที่นอบน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง เราไม่ได้ดีไปกว่าสามีของเรา และพวกเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าเรา
ไม่สำคัญว่าสถานการณ์หรือความยากลำบากที่เราเผชิญคืออะไร การแต่งงานจะไม่สามารถเจริญงอกงามได้ เว้นแต่ทั้งคู่จะยืนหยัดเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วยความรักและความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ต่อพันธกรณีอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทำในพระวิหาร
ริคาร์โดชอบบอกฉันทุกวันว่าเขารักฉันมากแค่ไหน ฉันไม่เคยต้องเดาเองเลยว่าเขารู้สึกอย่างไร ฉันรู้สึกได้รับพรมากที่มีสามีแบบเขา
ฉันรู้ว่าสำหรับฉันกับเขา การแต่งงานเจริญงอกงามขึ้นเมื่อเรามีเวลาให้กัน และสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา พร้อมๆ กับการแสดงความรัก ฉันรักเขา!
เรื่องราวของมาร์ค: อธิการของริคาร์โด
มาร์คเป็นมากกว่าอธิการของริคาร์โด เขาเป็นทั้งเพื่อนและคนสนิท เป็นเหตุผลว่าทำไมเขารู้สึกขอบคุณมากที่ริคาร์โดมีความมั่นใจมากพอที่จะแบ่งปันเรื่องราวกับเขาเกี่ยวกับพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกัน
ผมมีโอกาสรับใช้ผู้คนที่ยอดเยี่ยมมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทุกคนช่วยให้ผมเห็นความดีงามและความรักแท้ที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคน แสดงให้เห็นถึงความต้องการพื้นฐานที่เหมือนกันที่จะได้รับรักและรักผู้อื่น ริคาร์โด โรซาส คือหนึ่งในคนเหล่านั้น
ก่อนที่ผมจะได้รับเรียกเป็นอธิการ ผมรับใช้กับริคาร์โดในตำแหน่งอื่นๆ เราได้เห็นการต่อสู้ดิ้นรนและความสำเร็จของกันและกัน บางครั้งเป็นเรื่องยากที่จะเปิดใจกับอธิการหรือเพื่อนสนิทเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เพราะพวกเขากลัวว่าจะเกิดความตกใจและความผิดหวังหากพวกเขาเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวบางอย่างไป แต่ผมรู้สึกขอบคุณที่ริคาร์โดมีความมั่นใจมากพอจะแบ่งปันกับผมถึงเรื่องราวของเขาเกี่ยวกับพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกัน การเปิดเผยนั้นช่วยให้เราทั้งคู่เรียนรู้บทเรียนที่เราอาจไม่มีโอกาสเรียนรู้จากที่ไหน
ริคาร์โดดูเหมือนมีความลังเลในตอนแรก อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกขอบคุณผู้ที่เต็มใจแสวงหาการสนับสนุนเมื่อพวกเขารู้สึกเศร้า เหงา หดหู่ ไม่ได้รับการให้อภัย หรือสับสนเสมอ ไม่เพียงแต่เขาจะรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอกเท่านั้น แต่ยังถือเป็นการเปิดหูเปิดตาให้ผมด้วย ผมตระหนักว่าอาจมีคนอื่นที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน หรือมีความกังวลอื่นๆ และอาจเก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ภายใน
การเปิดเผยเรื่องพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันไม่ได้เปลี่ยนแปลงความเคารพของผมที่มีต่อริคาร์โด ทั้งยังไม่ได้เปลี่ยนความคิดของผมเกี่ยวกับความสามารถในการรับใช้ รักและช่วยเหลือผู้อื่นของเขา
เขายังคงรับใช้ในการเรียกต่างๆ ดำรงชีวิตแต่งงานในพระวิหารด้วยความรัก รักษาค่าควรในการเข้าพระวิหาร และเลี้ยงดูครอบครัวด้วยความชอบธรรม บางคนในศาสนจักรอาจเลี่ยงการพูดถึงพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันของตน เพราะพวกเขากลัวว่าผู้คนจะมองพวกเขาเป็นคน “ไม่ดี” หรือ “ไม่มีค่าควร” ผมเห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับริคาร์โด สมาชิกเหล่านี้ไม่ได้เป็นคนไม่ดี พวกเขาได้รับความรัก และพวกเขาก็มีส่วนร่วมในชีวิตทั้งสุขและทุกข์เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
เราทุกคนถูกล่อลวงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้แต่พระผู้ช่วยให้รอดก็ทรงถูกล่อลวง
หากการล่อลวงเพียงอย่างเดียวกำหนดธรรมชาติทางจิตวิญญาณของมนุษยชาติ เราคงจะไม่มีความหวังใดๆ
มีพระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่ผมชอบนึกถึงเกี่ยวกับริคาร์โด ในพระคัมภีร์มอรมอน พระเจ้าทรงเปิดเผยหลักคำสอนที่ลึกซึ้งแก่ศาสดาพยากรณ์โมโรไนอีเธอร์ 12:27 อ่านว่า “และหากมนุษย์มาหาเรา เราจะแสดงให้พวกเขาเห็นความอ่อนแอของพวกเขา. เราให้ความอ่อนแอแก่มนุษย์เพื่อพวกเขาจะนอบน้อม; และพระคุณของเราเพียงพอสำหรับคนทั้งปวงที่นอบน้อมถ่อมตนต่อหน้าเรา; เพราะหากพวกเขานอบน้อมถ่อมตนต่อหน้าเรา, และมีศรัทธาในเรา, เมื่อนั้นเราจะทำให้สิ่งที่อ่อนแอกลับเข้มแข็งสำหรับพวกเขา”
ริคาร์โดเปลี่ยนความอ่อนแอ หรือสิ่งที่เขามองว่าเป็นความอ่อนแอ ไปเป็นความเข้มแข็งโดยการมาหาพระเจ้า อ่อนน้อมถ่อมตน และแสวงหาความเข้าใจผ่านพระวิญญาณ
เขาต้องการแบ่งปันเรื่องราวกับคนอื่นๆ ไม่ใช่เพื่อการยอมรับส่วนตัว แต่เพื่อให้คนอื่นรู้ว่ายังมีความหวังผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ เพื่อรับความสุขในชีวิตนี้และชีวิตหน้า
เรื่องราวของริคาร์โดยังมีอีกมากมาย แต่เขาจะเป็นคนแบ่งปันเรื่องเหล่านั้นเอง ผมรู้ว่าเขาเป็นคนคิดบวกมากกว่าจริงๆ ทั้งเขาและผมต่างได้รับความเข้าใจอันลึกซึ้งมากกว่าที่เราเคยมีมาก่อนเกี่ยวกับความเมตตา ความกล้าหาญ ความเข้าใจ และศรัทธาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์
เรื่องราวของนิค: เพื่อนและเพื่อนร่วมงานของริคาร์โด
มิตรภาพของริคาร์โดท้าทายวิธีที่นิโคลัสมองชุมชนเพศทางเลือก LGBT โดยเฉพาะวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่เป็นเกย์ ท้ายที่สุดแล้ว เหตุใดวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ดีจึงไม่ควรได้รับอนุญาตให้เกี่ยวพันกับพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันและยังคงมีประจักษ์พยานและศรัทธา และดำเนินชีวิตอย่างมีค่าควรควบคู่กับไปด้วยได้?
สำหรับผม มิตรภาพไม่ได้สร้างกันง่ายๆ ขณะที่ผมเติบโตขึ้นมา ครอบครัวของผมย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ ขณะการย้ายที่อยู่ทำให้ผมมีโอกาสพบปะกับคนใหม่ๆ และหาเพื่อนใหม่ แต่ก็ทำให้การพัฒนามิตรภาพที่มีความหมายในระยะยาวแทบเป็นไปไม่ได้ ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่ผมเริ่มสร้างความสัมพันธ์ ครอบครัวของผมก็ย้ายไปที่ใหม่ในการผจญภัยครั้งใหม่ เนื่องจากการเลี้ยงดูของผม คนที่ผมเรียกว่าเพื่อนมักจะมีอยู่ไม่มากนัก
การเติบโตมาแบบนี้เป็นสาเหตุให้ผมมีการไตร่ตรองที่ดีในชีวิต ทำให้ผมอยากมีเพื่อนที่สามารถเชื่อมต่อและแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวได้ คือเพื่อนที่ผมสามารถเรียกว่า “เพื่อนตลอดชีวิต” ได้
วันนี้ผมพูดได้อย่างจริงใจว่าผมเจอเพื่อนแบบนั้นแล้ว ริคาร์โดและผมทำงานร่วมกันระยะหนึ่งก่อนที่เราจะเริ่มสนิทสนมกัน ผมได้รับการโน้มน้าวใจอย่างอ่อนโยนด้วยการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณ และต่อมาก็เป็นการกระตุ้นเตือนที่น่าสนใจยิ่งขึ้นของภรรยาผม (ซึ่งเป็นคนที่ชอบเข้าสังคมมาก) ผมตัดสินใจถามริคาร์โดว่าเขาต้องการให้ครอบครัวของเรามาเจอกันไหม ใช้เวลาประมาณสองเดือนในการลงรายละเอียดและกำหนดวันที่ครอบครัวของเราทั้งสองจะได้พบกัน
ก่อนที่จะมีการพบปะในครอบครัว ภรรยาของผมถามเกี่ยวกับริคาร์โด ผมบอกบางเรื่องที่ผมรู้ให้เธอฟัง อย่างเช่น เขามาจากเม็กซิโก เขาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ในที่ทำงาน เขาเป็นมิตร และเขามีลูกที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับลูกของเรา จากนั้นผมก็พูดกับภรรยาแบบติดตลกว่า “ถ้าเขาไม่ได้ทำงานที่ศาสนจักรและมีครอบครัว ผมคงคิดว่าเขาเป็นเกย์”
ผมจำบทสนทนานี้ได้แบบเฉพาะเจาะจง เพราะต่อมา เมื่อริคาร์โดบอกเรื่องนั้นกับผม อย่างที่คุณอาจจินตนาการได้ มันได้ท้าทายวิธีที่ผมมองสิ่งต่างๆ เช่น ความเข้าใจของผมเกี่ยวกับคนที่เป็น LGBT และสมมติฐานของผมเกี่ยวกับผู้อื่น ไม่ใช่เรื่องยากที่จะยอมรับเขาในแบบที่เขาเป็น เขาเป็นเพื่อนของผม และนั่นจะไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่ทำให้ผมไม่สบายใจคือผมคิดว่า “ชาวมอรมอนที่ดี” ไม่สามารถเกี่ยวพันกับพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันได้
ความคิดเกิดขึ้นกับผมอย่างรวดเร็วว่า “เหตุใดชาวมอรมอนที่ดีจึงไม่ควรได้รับอนุญาตให้เกี่ยวพันกับพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกัน และยังคงมีประจักษ์พยานและศรัทธา และดำเนินชีวิตอย่างมีค่าควรควบคู่กันไปด้วยได้?”
หลังจากริคาร์โดบอกผมเรื่องที่เป็นเกย์ เราก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้นไปอีก เราออกไปรับประทานอาหารกลางวันกันหลายครั้งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และมีบทสนทนาที่ยอดเยี่ยมหลายครั้ง เรามีความสนใจและมุมมองที่คล้ายกันในหลายๆ เรื่อง ความไว้วางใจที่ริคาร์โดมอบให้ผมพร้อมกับ “ความลับ” ของเขา ทำให้ความไว้วางใจที่ผมมีต่อเขามีแต่จะมากขึ้น ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่เขารู้สึกสบายใจมากพอจะแบ่งปันส่วนนั้นของชีวิตกับผม ซึ่งไม่ง่ายเลย
บางครั้งริคาร์โดพยายามหาทางสำรวจว่าเขารับรู้ตนเองอย่างไร และรับรู้มุมมองของผู้อื่นที่มีต่อเขาอย่างไร บางวันสำหรับเขาก็ยากกว่าวันอื่น ในฐานะเพื่อนของเขา ผมมองเห็นและยากสำหรับผมที่จะเห็นว่าเขากำลังดิ้นรนเพื่อจัดการกับสิ่งต่างๆ บางครั้งผู้คนก็แสดงอาการไม่ค่อยเป็นมิตรเมื่อต้องปฏิสัมพันธ์กับชุมชน LGBT มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ริคาร์โดดูว้าวุ่นใจเป็นพิเศษ เราพูดคุยกันสักพักเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆ ไป เขาเริ่มขอโทษที่เป็นเพื่อนที่มีความต้องการมากมายและที่เขาได้ “แตกสลาย” สิ่งนี้ทำให้ผมประหลาดใจ ผมไม่เชื่อว่าคนเราจะแตกสลายได้ แน่นอนว่า พวกเราบางคนต้องรับมือกับสิ่งที่แตกต่างกัน และบางครั้งเราก็อาจจะรู้สึกแบบนั้น แต่เราไม่ได้แตกสลาย
ผมให้ความมั่นใจกับริคาร์โดว่าเขาเป็นเพื่อนผม และผมกอดเขา
ริคาร์โดอ้างว่าผมช่วยเขาหลายเรื่อง อันที่จริงผมเรียนรู้จากเขาและเขาช่วยเหลือผมในหลายๆ ด้านมากกว่าที่ผมเคยช่วยเขาเสียอีก ผมรู้สึกขอบคุณที่มีริคาร์โดเป็นเพื่อนในชีวิตและจะยืนหยัดในความรักและมิตรภาพนั้นตราบเท่าที่เขาเต็มใจให้ผมสนับสนุนเขา