การเสน่หาเพศเดียวกัน
เรื่องราวของครอบครัวแมคอินทอช


“เรื่องราวของครอบครัวแมคอินทอช,” พฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกัน: เรื่องราวของสมาชิก (2020)

“เรื่องราวของครอบครัวแมคอินทอช,” พฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกัน: เรื่องราวของสมาชิก

เรื่องราวของครอบครัวแมคอินทอช

เรื่องราวของเบ็กกี

เบ็กกีรัก ซีอาน ลูกชายของเธอมาโดยตลอด เมื่อเขาเปิดเผยว่าเขาเป็นเกย์ เธอก็ค่อยๆ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความรักมากกว่าที่เธอเคยคิดว่าจะเป็นไปได้—โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักที่ไม่มีเงื่อนไขไม่ได้หมายถึงการยอมรับสิ่งที่คิดว่าไม่ถูกต้อง เธอปฏิเสธที่จะปฏิเสธศรัทธาของเธอและเธอปฏิเสธที่จะปฏิเสธความรักที่เธอมีต่อลูกชาย

ชายและหญิงนั่งอยู่บนระเบียง

ฉันเป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้าย และฉันมีลูกชายที่เป็นเกย์ ฉันรักเขาสุดใจ พลัง และจิตวิญญาณ และ ฉันรักศาสนาสุดใจ พลัง และจิตวิญญาณ นั่นคือหัวใจหลักของตัวฉัน ฉันจะไม่มีวัน ไม่มีวันหันหลังให้ลูกชายของฉัน และฉันจะไม่มีวัน ไม่มีวันละทิ้งศรัทธาต่อศาสนาของฉัน จบ เคยมีผู้ถามฉันว่าอย่างไรและทำไม เป็นเพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงบอกชัดเจนกับฉันว่าฉันต้องรักซีอาน ลูกชายของฉันโดยไม่มีเงื่อนไข

ฉันยอมรับว่าต้องใช้เวลาสักพักเพื่อทำความเข้าใจว่าจริงๆ แล้ว “ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข” หมายความว่าอย่างไร ฉันสับสนระหว่าง “ความรัก” กับ “การยอมรับ” แต่เมื่อฉันคิดออกว่าความรักแบบไม่มีเงื่อนไขจริงๆ แล้วหมายความว่าอย่างไร หัวใจของฉันก็พองโตขึ้นเป็นร้อยเท่า ไม่เพียงสำหรับลูกชายของฉันเท่านั้น แต่ยังสำหรับทุกคนทุกที่ด้วย ศรัทธาของฉันดำเนินไปอย่างลึกซึ้ง ฉันปฏิเสธไม่ได้ และฉันจะไม่ปฏิเสธความรักที่ลึกซึ้งต่อลูกชายของฉันเหมือนกัน

ขณะที่ฉันไตร่ตรองการเดินทางของเรา ฉันสามารถเห็นหลายสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนฉันผ่านซีอานได้ ศรัทธาของฉันขยายออกไปจนถึงขีดสุดในแบบที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ พระองค์ทรงสอนฉันว่าการมีความกรุณาปรานี ความเห็นอกเห็นใจ และความรักที่ไม่เสแสร้งหมายความว่าอย่างไร เมื่อซีอานพูดกับฉันว่า “แม่ครับ ผมไม่รู้ว่าอนาคตของผมจะเป็นอย่างไร แต่การแต่งงานกับผู้หญิงดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้” มันเป็นเรื่องยากที่จะฟัง โดยเฉพาะการรับรู้ว่าลูกชายของฉันกำลังออกห่างจากศาสนจักร และตอนนี้ฉันก็รู้ว่าเขากำลังมีความสัมพันธ์ ครอบครัวของเราเรียนรู้ที่จะขยายแวดวงความรักของเรา การเมินพวกเขาจะไม่สอดคล้องกับสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอน

ความรักอาจดูเหมือนเป็นคำถามในสถานการณ์แบบครอบครัวของพวกเรา แต่จริงๆ แล้ว นั่นคือคำตอบ ฉันเรียนรู้ว่าการกระทำของฉันที่เกิดขึ้นจากการสวดอ้อนวอน เกี่ยวข้องกับการรับรู้ถึงคนรอบข้างที่อาจกำลังทุกข์ทรมาน ฉันพยายามหนักขึ้นที่จะจัดการสถานการณ์ต่างๆ ด้วยความรัก ฉันเรียนรู้ว่าหากฉันมุ่งเน้นไปที่สถานการณ์เชิงบวกและจัดการสถานการณ์ที่ยากลำบากด้วยความรัก ฉันจะเห็นความสวยงามและประหลาดใจแทนที่จะเห็นหายนะและความเสียใจ

เมื่อซีอานเติบโตขึ้น ฉันก็สงสัยในตัวเขา ไม่ใช่สิ่งที่อธิบายกันได้ง่ายๆ และฉันก็ไม่อยากคิดมากด้วย ฉันเลิกคิดเรื่องนั้นโดยบอกกับตัวเองว่าเขาแค่ไม่อยากมีแฟนเป็นผู้หญิงก่อนไปรับใช้งานเผยแผ่ ฉันตื่นเต้นมากที่เขาอยากจะรับใช้งานเผยแผ่ด้วยตัวเอง และเขาก็ทำ เขารับใช้งานเผยแผ่อันทรงเกียรติที่คณะเผยแผ่ดีทรอยต์ มิชิแกน เมื่อกลับจากงานเผยแผ่ เขาไปเรียนที่มหาวิทยาลัยบริคัมยังก์ ฮาวาย เอกสังคมสงเคราะห์ จากนั้น ในช่วงวันหยุดคริสต์มาสปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย เขาส่งข้อความมาให้ฉันซึ่งมีประโยคว่า “แม่ครับ ผมเป็นเกย์” อยู่ด้วย ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าพระเจ้าทรงเตรียมฉันสำหรับเรื่องนี้

ผู้ชายพูดคุยกัน

หลายเดือนก่อนที่เขาจะเปิดเผยเรื่องนั้นกับเรา ฉันได้รับความประทับใจอย่างมากว่าซีอานเป็นเกย์ สิ่งที่ฉันกลัวกำลังจะกลายเป็นความจริง ฉันยังคงไม่อยากจะเชื่อ แม้ในตอนที่ฉันอ่านคำว่า “แม่ครับ ผมเป็นเกย์” ฉันยังแทบไม่อยากเชื่อเลยในตอนแรก ฉันตกใจมาก เมื่อตระหนักถึงความเป็นจริง คำถามมากมายก็หลั่งไหลเข้ามาในความคิดฉัน ฉันทำอะไรผิด? ฉันจะทำให้แตกต่างไปได้ไหม? ฉันจะแก้ไขเขาได้อย่างไร? คนอื่นจะคิดอย่างไร?

คืนแรกนั้นฉันนั่งอยู่กับลูกชายบนโซฟาและรับฟังเขา พยายามทำให้สิ่งที่ได้ยินสมเหตุสมผล ฉันรู้สึกถึงความเจ็บปวดของเขา ความเศร้าเสียใจ และความหวังของเขาเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิม ฉันบอกเขาว่าฉันรักเขา และความรักของฉันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จากนั้น ฉันเกลียดที่จะต้องยอมรับ แต่ฉันก็เริ่มให้คำแนะนำเขา เหมือนกับว่าฉันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เขากำลังเผชิญ ฉันแบ่งปันสิ่งที่ฉันคิดว่าเป็นคำปลอบโยนและความหวังเกี่ยวกับพระกิตติคุณ โดยไม่ได้ตระหนักว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นมีดที่ทิ่มแทงหัวใจลูกชายของฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว เพราะเขาได้ยินมาเป็นร้อยครั้งในขณะที่เติบโตขึ้นมา เมื่อถึงจุดหนึ่งฉันเริ่มรู้ว่า ซีอานต้องการให้ฉันรับฟังและรักเขาให้เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ท้ายที่สุดเขาก็เป็นเด็กคนเดียวกับที่ฉันรู้จักและรัก

ฉันหวังว่าฉันจะพูดได้ว่า การรับฟังและรักเป็นเรื่องง่ายและเป็นธรรมดาสำหรับฉัน ฉันคิดไม่ออกจริงๆ จนกระทั่งในเวลาต่อมา คืนนั้นฉันคิดว่าฉันรับฟังและรักแล้ว แต่ฉันก็รู้ว่าฉันทำได้ดีกว่านี้ ฉันรู้สึกขอบคุณลูกชายผู้อดทน เขาร้องไห้หนักมาก และฉันก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไร ฉันบอกกับเขาตลอดว่าฉันรักเขา แต่ก็มีน้ำตามากมาย

ต้นข้าวสาลี

เมื่อเขากลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ฉันก็มุ่งแต่จะ “แก้ไข” เขามากกว่าที่จะรักเขา เหนือสิ่งอื่นใด ฉันอยากได้ยินเขาพูดว่า ถึงแม้เขาจะเป็นเกย์ แต่เขาก็ยังคงยึดมั่นในพระกิตติคุณ การพูดแบบนั้นจะทำให้หัวใจของฉันรู้สึกสงบและทุกอย่างจะดีขึ้น ฉันจะส่งอีเมลที่มีพระคัมภีร์และคำพูดจากผู้นำศาสนจักรที่ฉันคิดว่าจะทำให้เขาสบายใจและช่วยให้เขากลับมายึดมั่นในพระกิตติคุณ สิ่งนั้นยิ่งทำให้สิ่งต่างๆ ยากขึ้นสำหรับเขา และทำให้ความสัมพันธ์ของเราห่างเหินกัน

เมื่อฉันเปลี่ยนความสนใจไปที่การรักซีอาน รักเขาจริงๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม และรับฟังเขา ฟังจริงๆ ความสัมพันธ์ของเราก็ดีขึ้น การร้องไห้ก็ลดลง

ไม่เพียงแต่ความรักเป็นคำตอบเท่านั้น แต่ยังเป็นทางเลือกที่มีสติซึ่งเป็นทางเลือกที่พระเจ้าทรงต้องการให้เราเลือก เมื่อฉันพยายามมีความรักมากขึ้น พระเจ้าทรงเติมเต็มช่องว่าง จากนั้นก็เติมเต็มบางส่วน

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่ฉันสามารถพยายามมีเมตตาให้สมบูรณ์แบบ รักให้สมบูรณ์แบบ และตอบสนองด้วยความรัก

ขณะที่ฉันเปิดใจและอ้าแขนให้กว้างกว่าที่ฉันเคยคิดไว้ว่าจะทำได้ หัวใจของฉันก็พองโตขึ้นเป็นร้อยเท่า ฉันเต็มใจรักและยอมรับใครก็ได้

ผู้ชายกำลังลูบหัวม้า

พระเจ้าไม่ได้ประทานคำตอบแก่ฉันทั้งหมด เพราะจะง่ายเกินไป แต่พระองค์ทรงตอบคำสวดอ้อนวอนของฉันเหมือนพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักเท่านั้นที่สามารถทำได้ เมื่อฉันหันไปหาพระองค์เพื่อขอความเข้าใจและการนำทาง พระองค์ประทานเหตุผลที่จะวางใจพระองค์และพึ่งพาพระองค์ให้ฉันมากขึ้น พระองค์ทรงทำให้ฉันเรียนรู้มากขึ้นด้วย

บางทีฉันควรจะนอนขดตัวร้องไห้และคิดว่า “เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนิรันดร์ของฉัน?” แต่ฉันได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการปล่อยวาง ฉันวางทุกอย่างไว้ที่พระบาทของพระผู้ช่วยให้รอดครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก และฉันมีสันติสุข

“เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย” (ยอห์น 14:27)

ฉันยังคงวางใจและให้พระวิญญาณทรงนำทางฉัน โดยจำไว้ว่าพระองค์ทรงรักลูกของเรามากเกินกว่าที่เราจะรักได้ ทุกคนต้องการเป็นที่รักและยอมรับ เคารพและไว้วางใจ เห็นคุณค่าในสิ่งที่พวกเขาเป็น เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน ฉันรู้สึกโชคดีที่รู้ว่าเรามีพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก พระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ผู้ทรงดำเนินงานผ่านศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ คอยชี้แนะและนำทางเราและจะไม่มีวันทำให้เราหลงผิด เมื่อฉันทำตามคำแนะนำและการนำทางของพระองค์ โดยระลึกว่าครอบครัวเป็นหัวใจสำคัญของแผนแห่งความรอด ฉันสามารถรักษาความรักและเปิดช่องทางการสื่อสารไว้ได้

เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์ กล่าวว่า “ท่านกลายเป็นเครื่องมือที่พระเจ้าทรงสามารถอวยพรคนอื่นได้ พระวิญญาณจะทำให้ท่านรู้สึกถึงความห่วงใยและความสนใจของพระผู้ช่วยให้รอด จากนั้นรู้สึกถึงความอบอุ่นและความหนักแน่นของความรักของพระองค์” (“To Be Healed,” Ensign พ.ค. 1994, 9)

ฉันพบว่าสิ่งนี้เป็นความจริงขณะที่ฉันพยายามเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้าอย่างจริงใจ ฉันเชื่อว่าขณะที่ฉันรักซีอานและลูกๆ ของฉันรวมทั้งคนอื่นๆ อย่างสมบูรณ์ ทุกอย่างจะเป็นไปตามวิจารณญาณอันสมบูรณ์แบบของพระเจ้า

รูปภาพครอบครัว

ฉันหวังว่าเราทุกคนจะสามารถยื่นความรักและความเมตตาให้เพื่อนบ้าน สมาชิกในครอบครัว และเพื่อนที่มีพฤติกรรมเสน่หาเพศเดียวกันตลอดจนชาว LGBT ได้ เราสามารถช่วยกันทำความเข้าใจ และแสดงความรัก เหมือนกับที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำกับเรา เราสามารถยื่นมือออกไปส่งข้อความ กอด ให้คุกกี้ ส่งดอกไม้ หรือเชิญใครสักคนมารับประทานอาหารค่ำ ความรักคือคำตอบ ความกรุณาเป็นหนทาง ซึ่งเป็นวิธีของพระผู้ช่วยให้รอด

เรื่องราวของสก็อตต์

สก็อตต์คิดว่าการเป็นเกย์สามารถเลือกได้ แม้ว่าลูกชายของเขาจะเปิดเผยกับเขาแล้ว ปฏิกิริยาแรกของเขาคือความโกรธ แต่เขาอดกลั้นไว้ หลังจากนั้นลูกชายก็ทำให้เขามั่นใจว่าการเป็นเกย์ไม่ใช่สิ่งที่เลือกได้ นั่นเป็นตอนที่สก็อตต์ตระหนักถึงความจริง แสดงความรัก และขอโทษสำหรับความคิดเห็นที่ไม่ใส่ใจในอดีต

ผู้ชายยิ้มแย้ม

เบ็กกีกับผมแต่งงานกันมา 30 กว่าปีแล้ว และเรามีลูกด้วยกันเจ็ดคน ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่พวกเราเลี้ยงดูครอบครัวอยู่ในศาสนจักร เรากำลังคิดว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี จากนั้นซีอาน ลูกชายคนกลางของเรา กลับบ้านมาจากมหาวิทยาลัยในช่วงวันหยุดคริสต์มาส เขาส่งข้อความส่วนตัวผ่านทางเฟซบุ๊ก มาให้ผมกับภรรยาว่า

“สวัสดีครับ ผมจะไม่อ้อมค้อมอะไรมากนะ ผมจะบอกอะไรบางอย่างที่พ่อกับแม่น่าจะรู้อยู่แล้ว หรือไม่พ่อกับแม่ก็อาจจะมีความคิดแบบนั้นอยู่ ผมเป็นเกย์ ผมแน่ใจว่านี่ไม่ใช่ข่าวดีที่สุดที่พ่อกับแม่จะได้รับ แต่ผมก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องสำหรับผมเหมือนกันที่จะไม่พูดถึงเรื่องที่เป็นจริงสำหรับผม ผมอยากจะบอกพ่อกับแม่ให้รู้ว่า ผมยังคงเป็นซีอานคนแปลกคนเดิม ฮ่าฮ่า ผมรักพ่อแม่มาก และพ่อกับแม่เป็นพ่อแม่ที่ดีที่สุดที่ลูกจะมีได้ นี่คือเหตุผลที่ผมใช้เวลานานมากกว่าที่จะบอกพ่อกับแม่ได้ บางครั้ง ผมก็รู้สึกไม่เป็นไรกับความเจ็บปวดที่จะมาจากเรื่องนี้ แต่ผมไม่อยากทำร้ายพ่อกับแม่เพราะพ่อกับแม่ไม่สมควรได้รับสิ่งนั้น ผมจะบอกอีกครั้ง ผมรักพ่อกับแม่มาก ผมจะบอกเรื่องนี้แบบกระชับ เพราะผมรู้ว่าพ่อกับแม่คงอยากจะคุยกับผมมากกว่าแน่ๆ และผมก็ยินดีที่จะคุยกันร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมไม่เคยบอกใครมาก่อนเลย ผมอยากให้พ่อกับแม่รู้ก่อนเป็นคนแรก”

คนสองคนกำลังนั่งอยู่

ผมอ่านข้อความนั้นแล้วพูดกับตัวเองว่า “ไม่ ผมไม่รู้มาก่อนเลย และไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำ ทำไมผมต้องคิดแบบนั้นด้วย?” ผมแปลกใจและไม่เข้าใจความจริงที่ว่าเขาเปิดเผยและบอกเราผ่านข้อความบน Facebook แต่เมื่อมองย้อนกลับไป นั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉลาดที่สุดที่เขาทำได้ เพราะเขาให้เวลาผมคิดไตร่ตรองในสิ่งที่เขาบอก และมีปฏิกิริยาโดยไม่มีเขาอยู่ตรงนั้น ได้กำจัดความโกรธของผมออกไป ผมคงจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาที่ผมจะต้องเสียใจเอง

จากนั้นผมไปหาเบ็กกีที่อยู่ในห้องถัดไป เพื่อดูว่าเธอได้รับข้อความทางเฟซบุ๊ก เหมือนกันไหม ผมโกรธมาก ผมคิดไม่ออกเลยว่าทำไมซีอานถึงเลือกเป็นเกย์ เพราะในตอนนั้น ผมคิดว่าการเป็นเกย์คือสิ่งที่ผู้คนเลือกเอง และผมก็พูดบางอย่างที่เห็นแก่ตัวออกไป ผมดีใจที่เบ็กกีเป็นคนเดียวที่ได้ยินคำพูดพวกนั้น

เมื่อซีอานกลับมาถึงบ้านในคืนนั้น ผมเข้านอนไปแล้ว เบ็กกียังไม่หลับ และเธอพูดคุยกับเขา เมื่อเธอกลับมาที่ห้อง ผมพูดว่า “คุณไปไหนมา?”

“ฉันอยู่ข้างล่าง คุยกับซีอาน”

“โอเค เป็นยังไงบ้าง?”

“มันผ่านไปด้วยดี”

ผู้ชายกำลังซ่อมเครื่องจักร

ผมจึงลุกขึ้นไปคุยกับเขา เบ็กกีบอกว่า “คุยกับเขาดีๆ นะ ได้โปรดมีเมตตา” น่าเศร้ามากที่เธอต้องบอกกับผมแบบนั้น ผมลงไปข้างล่างและกอดซีอานไว้แน่น จากนั้นผมพูดว่า “พ่อรักลูก”

ซีอานซาบซึ้งมาก จากนั้นเขาก็แสดงความคิดเห็นว่า “พ่อ พ่อรู้ไหมว่าพ่อพูดบางอย่างที่ใจร้ายกับผมมากในหลายปีที่ผ่านมา” เขาพูดถูก ในความคิดของผม ผมคิดว่าผู้คนเลือกจะเป็นเกย์เอง และหากว่าพวกเขาเลือกแบบนั้นแล้ว พวกเขาก็สมควรได้รับอะไรก็ตามที่เป็นเชิงลบที่ผมทำต่อพวกเขา

ผมไม่รู้จะตอบอะไรกับเขาด้วยซ้ำ สิ่งที่ผมคิดได้คือ “ไปนอนเถอะและเราค่อยคุยกันทีหลัง” ซีอานกลับไปมหาวิทยาลัย และผมก็ตัดสินใจว่าผมจะ “แก้ไข” เขา ผมจะอ่านทุกอย่างที่หาได้เกี่ยวกับหัวข้อจากมุมมองของศาสนจักรและส่งให้ซีอานอ่าน จากนั้นเขาก็ส่งอย่างอื่นมาให้ผม เป็นสิ่งที่เขาเขียนจากมุมมองของเขาเอง ผมยังคงไม่เปิดใจยอมรับ ผมหวังอยู่ตลอด หวังมากๆ ว่ามันจะหายไป เหมือนกับว่าเป็นแค่ช่วงหนึ่งที่เขาจะต้องผ่านไป

ชายสองคนพูดคุยกัน

หลังจากนั้นสองสามปีที่ผมเป็นแบบนั้น ซีอานกลับมาจากมหาวิทยาลัยอีกครั้งและพูดว่า “พ่อครับ ผมคิดว่าเราจะคุยกัน ผมหมายถึงคุยกันจริงๆ”

ผมตอบกลับไปทันทีว่า “ได้ งั้นเรามาคุยกัน” ผมเริ่มด้วยการแสดงความโกรธทั้งหมดที่ผมระงับไว้ “ซีอาน ทำไมลูกถึงเลือกแบบนี้ เพราะอะไร” เขามองมาที่ผมและหัวเราะเบาๆ ไม่ใช่การหัวเราะเยาะแบบนั้น แค่หัวเราะเบาๆ ผมมั่นใจว่าเขาได้ยินแบบนั้นมาหลายครั้งแล้ว ดูไร้สาระจริงๆ

ผู้ชายสองคนกอดกัน

จากนั้นเขาก็พูดว่า “พ่อครับ ผมไม่ได้เลือกสิ่งนี้ ทำไมจะมีใครเลือกสิ่งนี้ด้วย?”

ตอนนั้นเองที่ผมรู้ตัว ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานจากเรื่องตลกทั้งหมดที่ผมบอกเขา ความคิดเห็นที่ใจร้ายทุกอย่าง ตลอดเวลาที่ผมพูดอะไรบางอย่างที่น่าเจ็บปวดเกี่ยวกับใครบางคนกับทั้งครอบครัวโดยมีเขานั่งอยู่ตรงนั้นโดยคิดว่า “พ่อผมคงไม่รู้ว่าเขากำลังพูดเกี่ยวกับผม” ผมเริ่มคิดถึงเวลาทั้งหมดนั้น ความเจ็บปวดที่ลูกชายผมได้ผ่านมา นั่นเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงสำหรับผม และตอนนั้นเองที่แรงบันดาลใจหลั่งไหลเข้ามาในตัวผม

ผมจำเรื่องราวที่เคยได้ยินเมื่อหลายปีก่อนได้ นักเขียนข่าวกีฬาได้รับมอบหมายให้เขียนข่าวเกี่ยวกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในเรื่องของการพายเรือแคนูและเรือคายัค เขาสัมภาษณ์หนึ่งในกัปตันทีมและถามว่า “แล้วลมล่ะ? แล้วฝนล่ะ? แล้วความตื่นตัวจากเรือลำอื่นล่ะ?”

กัปตันทีมตอบว่า “เรื่องพวกนั้นมันอยู่นอกเหนือจากเรือของผม” เมื่อนักข่าวถามว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เขาตอบว่า “สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นไม่มีประโยชน์ที่ผมจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น ผมสนใจสิ่งที่อยู่ในเรือของผม”

ขณะที่ผมนั่งอยู่ตรงนั้นและพูดคุยกับซีอานอยู่ ผมก็ตระหนักได้ว่าผมพยายามจะ “แก้ไข” เขา และนั่นไม่ใช่หน้าที่ของผม นั่นไม่ใช่เรือของผม ผมยังรู้ตัวอีกว่าผมตัดสินเขา แต่ในฐานะคริสต์ศาสนิกชน เราเชื่อว่าพระคริสต์ทรงเป็นผู้พิพากษา ผมจึงนำเอาสิ่งนั้นใส่ลงในเรือของพระคริสต์แทน สิ่งที่ผมเหลืออยู่ในเรือคือการที่จะรัก ลูกทุกคนต้องการความรักจากผม ซึ่งก็คือความรักของพ่อ ไม่มีใครควรถูกละเลย

ผู้ชายยิ้มแย้ม

และศรัทธาของผมในพระกิตติคุณก็ไม่จำเป็นต้องถูกละเลยเช่นกัน เบ็กกีและผมต่างรักพระกิตติคุณ ผมดีใจมากที่ได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เชื่อสิ่งเดียวกันกับผม บางคนคิดว่านั่นเป็นเพราะเรารักลูกชายที่เป็นเกย์ของเรา เราจึงต้องนำตัวเราออกห่างจากศาสนจักร อันที่จริง การดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้เพื่อครอบครัวของเรา ผมบอกซีอานว่าเราจะไม่ออกห่างจากศาสนจักรเพื่อเขา และเขาตอบกลับมาว่าผมก็ไม่ได้หวังให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว

รักแบบไม่มีเงื่อนไขไม่ได้หมายความว่าต้องออกจากศาสนจักรเพียงเพราะสิ่งที่ลูกกำลังเผชิญอยู่ เบ็กกีและผมฟังผู้นำศาสนจักรที่การประชุม และเรารู้สึกขอบคุณที่มีการพูดถึงหัวข้อนี้ เป็นเรื่องดีที่ได้เห็นพวกเขาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เราสามารถพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างเปิดเผยและเห็นอกเห็นใจ

เรื่องราวของครอบครัวแมคอินทอช

สก็อตต์ แมคอินทอช: ผมคือสก็อตต์ แมคอินทอช ผมแต่งงานกับสาวสวยชื่อเบ็กกี ผมชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง ตั้งแคมป์ และล่าสัตว์ ผมชอบทำกิจกรรมเหล่านั้นกับครอบครัว

เบ็กกี แมคอินทอช: ฉันคือเบ็กกี แมคอินทอช และฉันอาศัยอยู่ที่ลีไฮ ยูทาห์ ฉันมีลูกเจ็ดคน และหลานเจ็ดคน

ซีอาน แมคอินทอช: ผมชื่อซีอาน แมคอินทอช ผมเพิ่งจบการศึกษาด้านสังคมสงเคราะห์สาขาสุขภาพจิต

เบ็กกี แมคอินทอช: ซีอาน เขาเป็นคนตลก เขาชอบทำให้คนอื่นหัวเราะ

สก็อตต์ แมคอินทอช: เขารักสัตว์ เราเลี้ยงเม่นแคระ เราเลี้ยงพังพอน เรามีแพะที่เรารีดนมทุกวันเป็นเวลาเจ็ดปี และเขาชอบอยู่กับสัตว์ต่างๆ มาก

เบ็กกี แมคอินทอช: เมื่อซีอานเปิดเผยกับเรา เขาส่งข้อความส่วนตัวมาให้พ่อของเขาและฉันทางเฟซบุ๊ก

ซีอาน แมคอินทอช: ผมขับรถไปซอลท์เลคเพื่อบอกลาเพื่อนบางคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น และผมก็ตระหนักว่าผมต้องบอกเรื่องนี้ และต้องบอกตอนนี้เลย

สก็อตต์ แมคอินทอช: สวัสดีครับ ผมจะไม่อ้อมค้อมอะไรมากนะ ผมแค่ต้องบอกพ่อกับแม่ตอนนี้ว่าผมเป็นเกย์

ซีอาน แมคอินทอช: แล้วผมก็บอกให้พวกเขารู้ว่าผมเป็นเกย์ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมพูดคำนั้นออกมาและเขียนส่งให้คนอื่น

สก็อตต์ แมคอินทอช: อาจเป็นสิ่งที่พ่อกับแม่เคยคิดหรือสงสัย

ซีอาน แมคอินทอช: ผมยังเป็นลูกชายคนเดิมของพ่อแม่ ผมรักพ่อกับแม่มาก ผมไม่เคยอยากทำให้พ่อแม่ต้องเจ็บปวด

สก็อตต์ แมคอินทอช: ผมมองไปที่ข้อความนั้น และไม่ ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย ทำไมผมถึงต้องคิดแบบนั้นด้วย

ซีอาน แมคอินทอช: ดูเหมือนจะไม่ใช่วิธีการเปิดเผยที่ปกติ

สก็อตต์ แมคอินทอช: ผมแปลกใจและไม่เข้าใจความจริงที่ว่าเขาเปิดเผยและบอกเราผ่านข้อความบนเฟซบุ๊ก

ซีอาน แมคอินทอช: แต่สำหรับพ่อแม่ของผม ผมรู้สึกว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด พวกท่านสามารถอ่านข้อความ สามารถคิดทบทวนเรื่องนี้ และแสดงปฏิกิริยาออกมาโดยที่ผมไม่เห็น

สก็อตต์ แมคอินทอช: เมื่อมองย้อนกลับไป นั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉลาดที่สุดที่เขาทำได้ เพราะเขาให้เวลาผมคิดไตร่ตรองในสิ่งที่เขาบอก และกำจัดความโกรธของผมออกไป

เบ็กกี แมคอินทอช: ฉันโทรหาเขาทันทีและพูดว่า “แม่ได้รับข้อความแล้วนะ รีบกลับมาบ้าน เราจะได้คุยกัน”

ซีอาน แมคอินทอช: ผมกลับถึงบ้าน แล้วผมกับแม่ก็คุยกัน

เบ็กกี แมคอินทอช: ฉันเริ่มให้คำแนะนำเขา

ซีอาน แมคอินทอช: ผมจำสิ่งแรกที่แม่ทำได้ แม่ทำมือแบบนี้ และพูดว่า “โอเค เราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี” ผมไม่รู้ว่าต้องตอบยังไง แล้วแม่ก็พูดว่า “เห็นได้ชัดว่าเราต้องให้ลูกได้รับฮอร์โมนเพศชายบางประเภท ลูกอาจต้องปรับระดับฮอร์โมน” ผมคิดว่า “แม่ครับ นี่ไม่ใช่ฮอร์โมนเพศชาย”

สก็อตต์ แมคอินทอช: ผมพูดว่า “คุณไปไหนมา?” เธอตอบว่า “ฉันอยู่ข้างล่าง คุยกับซีอาน” ผมพูดว่า “โอเค เป็นอย่างไรบ้าง?” เธอตอบว่า “ผ่านไปด้วยดี” แล้วเธอก็บอกว่า “คุยกับเขาดีๆ นะ ได้โปรดมีเมตตา” ซึ่งน่าเศร้ามากที่เธอต้องบอกผมแบบนั้น

ซีอาน แมคอินทอช: ไม่มีการแลกเปลี่ยนคำพูดกันจริงๆ จังๆ นอกจากพ่อกอดผมไว้แน่นแล้วพ่อก็พูดว่า “พ่อรักลูก” ผมคิดว่าการทำแบบนั้นมีความหมายต่อผมมาก แม้ว่าความคิดพ่อจะอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ต่างๆ และพ่อก็ไม่เข้าใจ และผมมั่นใจว่าพ่อโกรธ สิ่งแรกที่ออกมาจากปากของพ่อคือสิ่งที่ผมอยากฟัง

สก็อตต์ แมคอินทอช: ในอีกหลายปีข้างหน้า เราจะรับมือกับมันได้ ผมแค่หวังอยู่ตลอดว่ามันจะผ่านไป เหมือนกับว่าเป็นแค่ช่วงหนึ่งที่เขาจะต้องผ่านไปเท่านั้น

ซีอาน แมคอินทอช: ปฏิกิริยาของพ่อกับแม่ไม่ได้ดีที่สุด แม้ว่าพวกท่านจะบอกผมว่าพวกท่านรักผม พ่อกับแม่ไม่เข้าใจว่าผมใช้ชีวิตแบบนี้มา 24 ปีแล้ว

สก็อตต์ แมคอินทอช: ผมพยายามแก้ไขทุกอย่างเต็มที่ในช่วงสองปีแรก

ซีอาน แมคอินทอช: พ่อของผมเป็นคนดี เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม แต่เขาเป็นผู้ชายที่มีความเป็นลูกผู้ชายสูงมาก ดังนั้นการที่เขาจะมีลูกชายเป็นเกย์ ผมรู้สึกว่าไม่เพียงเป็นเรื่องน่าอายสำหรับเขาเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ด้วย

สก็อตต์ แมคอินทอช: ในความคิดของผม พวกเขาเลือกที่จะเป็นแบบนี้ และหากพวกเขาเลือกแล้วพวกเขาก็สมควรได้รับการกระทำเชิงลบทุกอย่างที่ผมทำ

ซีอาน แมคอินทอช: ผมกลับบ้านมาจากมหาวิทยาลัยในช่วงวันหยุดคริสต์มาส แล้วเราก็ไม่ได้คุยเรื่องนั้นกันอีก เราคุยกันเรื่องอื่น แต่เราไม่ได้คุยกันเรื่องผมเป็นเกย์

สก็อตต์ แมคอินทอช: แล้วเขาก็พูดว่า “พ่อครับ ผมคิดว่าเราจะคุยกัน ผมหมายถึงคุยกันแบบจริงจัง” ตกลง งั้นเรามาคุยกันเถอะ

ซีอาน แมคอินทอช: ผมกลัวเหมือนกัน และผมก็แน่ใจว่าพ่อก็คงประหม่าพอๆ กับผม

สก็อตต์ แมคอินทอช: ผมยอมให้เขาปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นไว้ออกมา ผมโพล่งออกมาว่า “ซีอาน ทำไมลูกถึงเลือกแบบนี้? เพราะอะไร?” เขามองมาที่ผมและหัวเราะเบาๆ ไม่ใช่หัวเราะเยาะ แค่หัวเราะเบาๆ มันทำให้เขาตลกมาก จากนั้นเขาก็พูดว่า “พ่อครับ ผมไม่ได้เลือกที่จะเป็นแบบนี้”

ซีอาน แมคอินทอช: จะมีคนเลือกแบบนี้ไปทำไมครับ? ผมคิดว่าตอนนั้นเองที่พ่อเริ่มเข้าใจ

สก็อตต์ แมคอินทอช: แล้วผมก็เข้าใจว่าเขาไม่ได้เลือก ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน รวมทั้งเรื่องตลกทั้งหมดที่ผมบอกเขา ความคิดเห็นทุกอย่างที่ใจร้ายกับเขา ตลอดเวลาที่ผมพูดอะไรบางอย่างที่น่าเจ็บปวดเกี่ยวกับใครบางคนกับทั้งครอบครัวโดยมีเขานั่งอยู่ที่เบาะหลัง กำลังคิดอะไรบางอย่าง “พ่อไม่รู้เลยว่าพ่อพูดถึงผมอยู่” ช่วงเวลาเหล่านั้นหลั่งไหลกลับมาหาผม ความเจ็บปวดที่ลูกชายของผมต้องเผชิญ นับจากนั้นเป็นต้นมาจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง มันเป็นการเปลี่ยนแปลง ผมโอบกอดลูกชายและรักเขา

เบ็กกี แมคอินทอช: สองปีต่อมาเขาพูดกับฉันว่า “แม่ครับ ผมไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ผมไม่รู้ว่าผมจะแต่งงานกับผู้หญิงได้หรือเปล่า”

ซีอาน แมคอินทอช: แม้จะพยายามอยู่นานหลายปี ให้ผมเจอผู้หญิงที่ผมอาจจะสนใจ และสุดท้ายผมก็รู้ว่าเรื่องนั้นไม่เกิดขึ้นกับผมแน่

เบ็กกี แมคอินทอช: เป็นเรื่องยากที่ต้องรับรู้ว่าลูกชายของฉันกำลังออกห่างจากศาสนจักร

ซีอาน แมคอินทอช: ผมค่อยๆ มาถึงจุดที่ผมอยู่ในวันนี้ ซึ่งก็คือการเป็นเกย์อย่างเปิดเผย

สก็อตต์ แมคอินทอช: ผมเห็นลูกชายของเรากำลังมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น โอเค นั่นไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เราสอนเลย

เบ็กกี แมคอินทอช: ฉันควรจะนอนขดตัว ร้องไห้และคิดว่า “เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนิรันดร์ของฉัน?” เมื่อคุณปล่อยวาง เหมือนฉันกำลังวางสิ่งทั้งหมดนี้แทบพระบาทพระผู้ช่วยให้รอด รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก และคุณจะมีสันติสุข

ซีอาน แมคอินทอช: สิ่งที่ผมอยากรู้คือแม่ยังรักผมอยู่ไหม เพราะนั่นคือความกลัวของผม

เบ็กกี แมคอินทอช: ฉันเต็มใจที่จะรักและยอมรับใครก็ได้

ซีอาน แมคอินทอช: นั่นเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมที่จะรู้ว่า เราอาจจะต่างกัน แต่สุดท้ายแล้วเราคือครอบครัวเดียวกัน การที่ผมปฏิบัติต่อผู้อื่น และเคารพผู้อื่น มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิธีที่ผมได้รับการเลี้ยงดูและเติบโตมาในพระกิตติคุณ

สก็อตต์ แมคอินทอช: ผมรู้สึกว่าพระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงอนุญาตให้เรามีสิ่งต่างๆ ในชีวิตที่จะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น ผมอดคิดไม่ได้ว่านั่นคือสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงรู้สึกต่อซีอาน ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงรักเขาอย่างสุดซึ้ง